Friday, 16 May 2025
POLITICS

‘รศ.ดร.เจษฎ์’ ชี้ ควรให้ระบบรัฐสภาจัดระเบียบโหวตนายกฯ ลั่น!! อยากเห็น 14 ล้านเสียงที่เลือก ‘ก้าวไกล’ ลงถนน

เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก เป็นนักวิชาการทางกฎหมาย และพิธีกรรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับประเด็นทางบ้านเมือง สังคม ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คมชัดลึก’ ทางช่อง Nation online เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น รศ.ดร.เจษฎ์ได้กล่าวถึงความคิดเห็นต่อการโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โดยเมื่อถามว่า รศ.ดร.เจษฎ์ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร กับการเคลื่อนไหวของมวลชน หลังผลโหวตนายกรัฐมนตรีออกมาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านด่าน ส.ว.ในรอบแรก รศ.ดร.เจษฎ์ ตอบว่า…

“ผมคิดว่า มีความน่าใจ และผมอยากเห็นคนทั้ง 14 ล้านคนที่เลือกคุณพิธา ลงถนนเพื่อสนับสนุนพรรคก้าวไกล และผมก็อยากเห็นคนอีก 27-28 ล้านคน ที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล มาลงถนนด้วยกัน”

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่อว่า หากบอกว่าประชาธิปไตยคือการเดินเข้าสภาฯ คือการไปเลือก คือการ ‘บังคับ’ ให้ ส.ว. ต้องลงมติให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งได้คะแนนเลือกตั้ง 14 ล้านเสียง จากประชาชนที่มาเลือกตั้งกว่า 41-42 ล้านคน การที่ไปรวบรวมเอาคะแนนจากพรรคเพื่อไทยมาด้วย แล้วบอกว่าเป็นคะแนนของตัวเอง ตนก็ยังมีความแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าสิ่งนี้คือประชาธิปไตยแบบไหน การลงถนนก็ถือเป็นการแสดงออกเชิงประชาธิปไตย ก็ลงถนนได้ และหากจะเรียกร้องเสรีภาพ โดยอ้างว่าต้องการใช้เสรีภาพ การจะด่ากันก็ถือเป็นเสรีภาพนะ การฆ่ากันก็เป็นเสรีภาพ แต่หากพูดในแง่ของกรอบสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องพูดในแง่ของกฎหมาย ก็อาจทำให้เสรีภาพถูกตัดรอนด้วยเสรีภาพซึ่งกันและกันได้

“ถ้าเราใช้คำว่า ‘เสรีภาพ’ มาอ้างในการทำสิ่งต่างๆ อาจได้เกิดการฆ่ากันตายแน่นอน แต่ถ้าหากเรามาพูดในกรอบสิทธิ มันจึงมีหน้าที่เข้ามาด้วย แล้วเรามีหน้าที่อะไรล่ะ? เรามีหน้าที่ต่อประเทศชาติร่วมกัน ถูกไหมครับ ท่านจะเชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน หรือท่านจะไม่เชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน แต่ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ การที่ท่านเอาความชัง เอาความชอบส่วนตัวมาเป็นที่ตั้ง มันย่อมเป็นปัญหาแน่นอน การกดดันกัน และใช้วิธี ‘บังคับให้เลือก’ อย่างเช่น การบอกว่า พรรคก้าวไกล ได้คะแนน 14 ล้านเสียง แต่จะมามาบังคับให้ทุกคนเลือกตัวเองให้หมด เพราะตัวเองได้คะแนนเสียงมากที่สุด” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทย เคยได้คะแนนเสียง 377 เสียง แต่สุดท้ายพรรคไทยรักไทยกลับถูกกดดันให้ยุบสภาฯ และเกิดการปฏิวัติ รัฐประหารในที่สุด

“มันดีไหม การปฏิวัติ รัฐประหาร มันไม่ดีหรอก มันไม่ควรทำ ไม่มีใครเห็นชอบหรอก แต่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ อย่างในกรณีที่คุณอานนท์ นำภา บอกว่า หากพรรคก้าวไกล ถอยจากมาตรา 112 เมื่อไร ตนจะลุยพรรคก้าวไกลทันที และคนจำนวนหนึ่งก็เห็นด้วย ในขณะที่อีกจำนวนก็บอกว่า หากแตะมาตรา 112 เมื่อไร ก็จะลุยพรรคก้าวไกลเหมือนกัน และหากพรรคก้าวไกลก็ยังดึงดัน ยืนยันที่จะผลักดันให้แก้ไขมาตรา 112 เพราะมีเสียงสนับสนุน… หากสังคมยังอยู่กันแบบนี้ ผมว่าบ้านนี้ก็คงจะมีแต่การสู้กันตาย อาจเกิดสงครามการเมืองแบบสหรัฐอเมริกา หรือเหมือนฝรั่งเศสอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในตอนนี้ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า เราต้องถอยกลับมาที่ระบบรัฐสภา ระบบรัฐสภา คือการหาทางออกร่วมกัน และไม่ได้เป็นการบังคับกัน และตามที่ผมได้เคยบอกไปแล้วว่า ระบบรัฐสภา ที่เอา ส.ส.มาลงมติให้ ส.ส. เป็นระบบสากลที่ทั่วโลกใช้ ตรงนี้ผมไม่เถียง แต่พอเป็นประเทศไทย ซึ่งมีการเกิดคำถามเพิ่มเติมมา แล้วประชาชนก็ไปลงมติ โดยเสียงข้างมากบอกให้มีคำถามเพิ่มเติม มันก็ต้องยอมรับว่านี่คือระบบของประเทศไทย” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากจะบอกว่าในตอนนั้นไม่สามารถที่จะออกมาผลักดันได้ ว่าให้เห็นต่างในเรื่องของคำถามเพิ่มเติม ให้เห็นต่างในเรื่องของร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อคนที่สนับสนุน สามารถพูดได้มากกว่า ตนมองว่า โดยรวมแล้วประชาชนที่ไปใช้สิทธิ เป็นคะแนนบริสุทธิ์มากกว่าด้วยซ้ำไป ประชาชนที่จะเอาแบบนี้ก็จะไปว่าแบบนั้น ประชาชนที่จะเอาแบบนั้นก็จะไปว่าแบบนี้ จนท้ายที่สุด ต้องนำกลับเข้าสู่ระบบรัฐสภา ว่าจะต้องมี ส.ว.มาลงมติด้วย ส่วนเหล่า ส.ว.จะฟังเสียงกดดันหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัว ส.ว.เอง หรือเสียงกดดันจะยิ่งทำให้เขาอยากที่จะลงมติอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้

“ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ หากใช้การลงถนนแล้วบอกว่า จะยกระดับ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จะฆ่ากันตาย แล้วเอามาข่มขู่กัน ผมคิดว่าแบบนี้จะอยู่กันลำบาก และก็ไม่ใช่เพียงแค่ 14 ล้านคน เพราะหาก 14 ล้านคน สามารถลงถนนได้ อีก 27-28 ล้านคนก็ทำได้เช่นกัน มันก็กลายเป็นว่าเกิดการฆ่ากันตายทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วทำไปเพื่ออะไร? ทำเพื่อกลุ่มหนึ่งที่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ คนอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าไม่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ เพียงแค่นี้ก็อาจทำให้บ้านเมืองพังได้” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

โดยสรุปแล้ว รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่า สมควรให้ระบบรัฐสภามาจัดการในตัวของมันไป หากพรรคอันดับ 1 ไม่ได้ จะสลับอันดับ สลับขั้ว หรือเลือกแคนติเดตใหม่ เพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินกันต่อไปได้ ก็ว่ากันไป ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาพลังมวลชนจากท้องถนนมากดดัน

“อีกประเด็นหนึ่งคือ ใครจะชนะก็แล้วแต่ โปรดย่าลืมว่า เมื่อครั้งหนึ่ง ปี 2535 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ได้ทรงเตือน พลตรีจําลอง ศรีเมือง และพลเอกสุจินดา คราประยูร ถ้าพวกท่านชนะ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? ใครจะเป็นคนพ่ายแพ้ ผมมองว่าต้องมานั่งคิดในประเด็นนี้ด้วย จะรักใคร ชังใคร มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘สุวินัย’ ชี้!! ‘เพื่อไทย’ อยู่ในสถานะได้เปรียบ ‘ก้าวไกล’ ทุกประตู เชื่อ!! หากจับมือ ‘ขั้วรัฐบาลเดิม’ จะเป็นผลดีในระยะยาว

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย นักเขียน นักวิชาการสถาบันทิศทางไทยและผู้บำเพ็ญในวิถีบูรณาการ ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Suvinai Pornavalai’ โดยระบุว่า…

‘เศรษฐา’ : ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากเพื่อไทย?

ข้อมูลล่าสุดที่ผมทราบจาก ‘แหล่งข่าว’ จากพรรคเพื่อไทย คือ
1.) คุณอุ๊งอิ๊ง ยังไม่พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์นี้ และครอบครัว คุณทักษิณก็เห็นตรงกัน
2.) แต่คุณเศรษฐาเองก็ไม่ได้เป็นที่พอใจของคนในพรรคเพื่อไทยนัก แถมเจ้าตัวยังไม่มี สส.ในมือเลยสักคนเดียว นี่ยังไม่นับเรื่องทุกครั้งคุณเศรษฐาที่ออกมาพูดจะดึงเรตติ้งของพรรคตกเสมอ
3.) ถึงกระนั้นพรรค​เพื่อไทยก็จำเป็นต้องเสนอชื่อ​ ‘เศรษฐา’ แต่เจ้าตัวกลับมีเงื่อนไขว่า ถ้าเป็นเขาจะต้องมี ‘ก้าวไกล’​ ร่วมรัฐบาลด้วย ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของจตุพร พรหมพันธุ์ (แต่ล่าสุดเขาออกมาปฏิเสธข่าวลือนี้ทางทวิตเตอร์แล้ว)

ทางเลือกของพรรคก้าวไกล ตามทฤษฎีเกม

- ถ้ายังยืนกรานจะชูพิธาเป็นนายกฯ อีกครั้งในวันที่ 19 กรกฎาคม ผลลัพธ์น่าจะเหมือนเดิม มิหนำซ้ำคะแนนที่โหวตให้น่าจะน้อยลงกว่าครั้งก่อนแน่นอน ดีไม่ดีพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่โหวตให้ด้วยซ้ำ

- แต่ถ้าพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะขอเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยจะชิงเสนอชื่อ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ ค่อนข้างแน่ แต่จะจับขั้วกับพรรคไหนเพื่อตั้งรัฐบาล อันนั้นยังไม่แน่

แต่มีแนวโน้มว่าเพื่อไทยไม่อยากจับมือกับก้าวไกลตั้งรัฐบาล เพราะก้าวไกลยังยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวว่า จะชูนโยบายแก้ ม. 112 เป็นนโยบายหลักของพรรค ซึ่งอาจทำให้เหล่า สว.ไม่โหวตให้เศรษฐาเป็นนายกฯ ถ้าเศรษฐายังยืนกรานว่าจะดึงก้าวไกลมาร่วมรัฐบาลด้วย

- พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายเสนอ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ เสียเอง ความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ ถ้าพิจารณาจากอัตตาและตัวตนของก้าวไกลที่เป็นประเภท ‘ยอมหักไม่ยอมงอ’

‘หมากมือนำ’ ของพรรคเพื่อไทย

- ตอนนี้พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานะที่ ‘ได้เปรียบ’ พรรคก้าวไกลทุกประตู แถมยังถือ ‘หมากมือนำ’ ในการกำหนดเกมอำนาจ เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ในระยะยาวต่อจากนี้ได้ พร้อมกับ ‘ทางเลือกทางการเมือง’ มากมาย

- พรรคเพื่อไทยรู้แก่ใจตนเองดีที่สุดว่า พรรคก้าวไกลคือคู่แข่งคนสำคัญที่สุดของตน และน่าจะเป็น ‘ว่าที่ศัตรูหลักในอนาคต’ ของพรรคเพื่อไทยด้วย การเดิน ‘หมากมือนำ’ ของพรรคเพื่อไทย จึงควรเป็นการเดินหมากที่ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น รวมทั้ง ‘ทำลายพิษสง’ ของพรรคก้าวไกลไปพร้อม ๆ กัน

- ม็อบด้อมส้มที่จะลงถนนเพื่อต่อต้าน ‘รัฐบาลพรรคเพื่อไทย’ ที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยน่าจะไม่รู้สึกหนักใจหรือวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะในอดีตเพื่อไทยเคยเจอทั้งม็อบพันธมิตรฯ และม็อบกปปส. มาแล้ว ซึ่งทั้งอึดกว่าและทรงพลังกว่าม็อบด้อมส้มมาก

- เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘การร่วมจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิม’ น่าจะเป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยในระยะยาวมากกว่า ในแง่การทำงานบริหารประเทศ ที่พูดภาษาเดียวกันรู้เรื่องทางการเมือง

- ขณะที่พรรคก้าวไกลจะกลายมาเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ทรงพลังในรัฐสภาอย่างแน่นอน ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ข้างต้น เป็นบทวิเคราะห์ของผม ถูกผิดประการใด ผมขอน้อมรับคำชี้แนะด้วยจิตคารวะ

ชำแหละเทคนิคทางการเมืองแบบมวลชน ฉบับ ‘ก้าวไกล’ หากยอมถอย ‘ม.112’ ก็จะไม่มี ‘ปีศาจ’ ไว้ปั่นความเกลียดชัง

(15 ก.ค. 66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Chaiyan Chaiyaporn’ โดยระบุว่า…

จาก ‘อาจารย์แก้วสรร’ ครับ

การเมืองของก้าวไกล 
เทคนิคของการใช้การเมืองแบบมวลชน คือ ต้องหาเป้าหมายสักอย่างหนึ่ง มาให้ผู้คนร่วมกันเกลียดชังว่า “เป็นต้นตอของความงี่เง่าเฮงซวยของบ้านเมือง”

เป้าหมายนี้ ต้องดูมีฤทธิ์เดช เ_ี้ยได้มากจริง เช่น ถ้าเป็นคอม ก็วาดเป้าหมายเป็นนายทุน เป็นนาซีก็วาดเป็นยิว เป็นชาตินิยมก็เป็นจักรวรรดิ์นิยม

การเมืองของก้าวไกลเดินมาทางนี้ แล้วเลือกเอาสถาบันฯ เป็นปีศาจของความเกลียดชัง ทำให้ดูขลัง จึงลากเป็นมรดก 2475

คนเราพอเกลียดร่วมกันมากๆ ก็เกิดเป็นพวกเป็นม็อบไปในที่สุด การเลิกไม่พูดไม่ชูแก้ ม.112 จะทำให้ขาดการชี้ปีศาจไปในทันที พลังก้าวไกลจะอ่อนยวบลงเลย ให้เขาเลิกไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นตัวตนของเขา

นี่คือเหตุผลที่ก้าวไกล ไม่มีวิสัยทัศน์ของอนาคตมาโชว์จริงๆ มีแต่ความเกลียดชังร่วมในกองทัพและสถาบันฯ แล้วแถมของชำร่วยทางปัจเจกชนนิยมให้กลุ่มต่างๆ เป็นพิเศษ ทั้งเพศพิเศษ ก_หรี่เสรี เลิกเครื่องแบบนักเรียนฯ

การเมืองวันนี้ เดิมทีระบาดด้วยโลภ จนเกิดนิสัยประชานิยมที่ก้าวไกลมาเติมใหม่

ใหม่จริงแต่ไม่ใช่ ‘ประชาธิปไตย’

แต่เป็น ‘โมหะ’

สองตัวนี้ถึงจุดหนึ่ง ‘โทสะ’ จะเกิดขึ้นในที่สุด

ลุ้น!! ‘ก้าวไกล’ เสนอชื่อพิธาอีกรอบ 19 ก.ค.นี้ แต่ผลคะแนน ‘คาด’ ยังไม่เปลี่ยนจากหนแรก

ฉากทัศน์การเมืองตอนนี้เป็นอย่างไร? ภายหลังผลโหวตนายกรัฐมนตรี ไม่เห็นชอบ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล

- ก้าวไกลเสนอชื่อพิธาอีกรอบ 19 ก.ค.นี้

- สถานการณ์ด้านคะแนนยังไม่น่าเปลี่ยน ไม่น่าจะแตกต่างจากเดิม

- พิธา ก้าวไกล ตอกย้ำ แก้ ม.112 เป็นพันธกิจที่ให้ไว้กับประชาชน

- แปลความว่าก้าวไกลเดินหน้าแก้ ม.112 แบบไม่ถอย

- ก้าวไกลแก้เกมรุกด้วยการเสนอแก้ รธน.มาตรา 272 ปลดล็อก ส.ว. ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ทันโหวตเลือกนายกฯครั้งสอง ครั้งสามแน่นอน ไม่มีประโยชน์อะไร

- ยิ่งจะเป็นการขยายแผลให้ ส.ว.กว้างเข้าไปอีก

- แก้ รธน.มาตรา 272 ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ต้องพึ่งเสียง ส.ว.1/3 หรือ 84 เสียง

- หา 64 เสียงยังไม่ได้ จะหา 84 เสียงมาปิดสวิตช์ตัวเองจากไหน

- สมัยเพื่อไทยขอแก้ ม.272 ก้าวไกลงดออกเสียง วันนี้จะขอแก้เอง หนุกหนาน

- เพื่อไทยเตรียมตัวแล้ว ถ้าพิธาไม่ผ่านรอบสอง เพื่อไทยจะเสนอคนของพรรค

- น่าสนใจ ชลน่านบอกว่า เมื่อพิธาไม่ผ่าน เป็นความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามเสนอแข่ง ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

- ประเด็นต้องพิเคราะห์ เพื่อไทยจะเอาใครเป็นนายกฯ

- ลดความเสี่ยงของอุ๊งอิ๊ง ในการพาพ่อกลับบ้าน น่าจะส่งเศรษฐา เป็นนายกฯ

- ตาโทนี่น่าจะเลื่อนกลับไทย จากเดิมบอกว่าจะมาก่อนวันเกิด 26 กรกฎาคม

- จับตาลุงป้อมจะต่อรองอะไรกับเพื่อไทย ถ้าเพื่อไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนขั้ว ทิ้งก้าวไกล

- สูตรใหม่ จึงน่าจะเป็นเพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ (ลุงตู่ลาออกเปิดทางให้แล้ว) ไทยสร้างไทย (เจ้หน่อยลาออกเปิดทางให้แล้ว) ประชาชาติ (ต้องเอาวันนอร์ประธานสภาไว้) ชาติไทยพัฒนา (พรรคกลางๆ)

- ส่วนประชาธิปัตย์ รอดูท่าทีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ถ้าขั้วเฉลิมชัยชนะ ก็ร่วมรัฐบาล ถ้าอภิสิทธิ์ชนะก็เป็นฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะขั้วไหน

‘พิธา’ จอดป้าย ‘เพื่อไทย’ ไปต่อ ดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับบ้านแลกนายกฯ

ผลการโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ออกมาตามโผและความคาดหมายของใครต่อใคร… รวมทั้ง ‘เล็ก เลียบด่วน’ ณ คอลัมน์ ‘เลียบการเมือง’ แห่งนี้ ที่ต้องขอบอกว่าไม่ได้โม้… ได้ทำนายทายทักมานานแล้วว่า เสียงสนับสนุนจาก สมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว.นั้นจะมีประมาณ 15 เสียงบวกลบ… เท่านั้น

สุดท้ายได้มา 13 เสียง เป็นท่านใดบ้าง คงไม่ต้องมาขานชื่อกันตรงนี้อีก… และพรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องมาอธิบายความว่า ส.ว.ถูกกดดันถูกสั่งการโน่นนี่นั่นกันให้มากความ เอาเป็นว่า ส.ว.ส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วย ไม่พร้อมที่จะสนับสนุนคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลให้มาบริหารประเทศ

บันทึกคะแนนโหวตเป็นทางการไว้สักนิด สมาชิกรัฐสภาลงมติโหวตทั้งสิ้น 705 คน เห็นชอบให้พิธาเป็นนายกฯ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 งดออกเสียง 199 พิธาสอบไม่ผ่าน… ด้วยคะแนนที่แม้กระทั่งคนชื่อ ‘นิด’ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยบอกว่า… ต่ำไปหน่อย

‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่สรุปวิเคราะห์แบบเหลียวหลังแลหน้าเป็นข้อๆ ตามสไตล์ในสาระสำคัญของสถานการณ์ดังนี้… 

1.) ความผิดพลาดจนไปไม่ถึงฝันของพิธาและพรรคก้าวไกลมัดรวมอยู่ตรงที่นโยบายสุดโต่งที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม… แต่เป็นความไม่เหมือนเดิมในเชิงลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการยืนกระต่ายขาเดียวที่จะต้องแก้แบบยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งแม้ ณ นาทีก่อนโหวต ‘พิธา’ หรือสมาชิกพรรคก้าวไกลก็ไม่ยอมลดเพดานหรือถอยแม้แต่ก้าวเกียว… และต้องยอมรับว่าการอภิปรายชี้แจงของพิธาและ ส.ส.พรรคก้าวไกลไม่สามารถหักล้างคำอภิปรายเรื่องมาตรา 112 ของ ส.ส.ชาดา ไทยเศรษฐ์, ส.ว.คำนูญ สิทธิสมาน และอีกหลายคนได้

2.) พรรคเพื่อไทยเขาอ่านเกมออกตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่าอย่างไรสูตรรัฐบาล 8 พรรคไปไม่ตลอดรอดฝั่ง เพียงแต่เขาติดกับดักคำว่า ‘พรรคฝ่ายประชาธิปไตย’ กลัวด้อมส้มและติ่งแดงจะถล่มหากรีบตีจากก็เลยลากมาถึงวันที่ คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว เสนอชื่อพิธา และให้สหายศรชัย… อดิศร เพียงเกษ อภิปรายสนับสนุนสองสามคำ… เท่านั้นเอง

3.) สถานการณ์ของพิธาและก้าวไกลหนักหนาสาหัส… สมมุติแม้จะดันทุรังจนได้โหวตหนที่สองก็จะไม่ผ่านอีกแต่โอกาสจะไม่ได้โหวตรอบสองมีสูงด้วยกฎกติกามารบาทตามข้อบังคับ… ไม่แต่เท่านั้นที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 19 ก.ค.อาจสั่งให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ กกต.ร้องขอมาก็ได้

4.) การดิ้นรนแก้เกมด้วยการยื่นร่างแก้ไขมาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.ไม่ให้มีสิทธิโหวตนายกฯ นอกจากจะไม่ทันกาลแล้ว โอกาสจะผ่านก็มีน้อยมาก แม้ ส.ว.จำนวนไม่น้อยเขาไม่ติดใจที่จะปิดสวิตช์ตัวเอง แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขาไม่พร้อมปิดสวิตช์เพื่อให้พรรคก้าวไกลไปเป็นรัฐบาลแล้วแก้มาตรา 112

5.) เกมการเมืองเกือบทั้งหมดกำลังเคลื่อนไปอยู่ในมือพรรคเพื่อไทยที่ปีกหนึ่งเห็นว่าในการจัดตั้งควรจะอุ้มกระเตงพรรคก้าวไกลไปด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าขืนทำแบบนั้น ส.ว.ก็จะโหวตคว่ำอีก แต่อีกปีกหนึ่งไม่เห็นด้วย… ที่สุดแล้วเพื่อไทย อาจจะยอมทำ แม้จะถูกด่า ทั้งนี้เพื่อตัวเองจะได้มีความชอบธรรมในการสลัดทิ้งพรรคก้าวไกล… แล้วผสมพันธุ์ข้ามขั้วกับพรรคฝ่ายที่ถูกเรียกว่าอนุรักษ์นิยมหรือขั้วอำนาจเดิม

6.) ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดก็คือ ยังมีความพยายามเจรจาต่อรองให้ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต่อไปหรือไม่… ซึ่งประเด็นนี้ พรรคเพื่อไทย คิดหนัก เพราะเดิมพันกับคะแนนนิยมในสมัยหน้า...แต่บางกระแสกระซิบมาว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะยอมถ้าได้ยึดคุมกระทรวงสำคัญไว้ในมือ… และที่สำคัญคือ แลกกับดีลลับเรื่องทักษิณกลับบ้านที่จะต้องเรียบร้อยสมบูรณ์

7.) สถานการณ์การชุมนุมแสดงความไม่พอใจที่พิธาพลาดหวังจะมีอย่างต่อเนื่อง กึ่งๆ แฟลชม็อบ แต่ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าไม่หนักหนาสาหัสหรือรุนแรงมากนัก ขณะที่บรรดา ส.ว. หรือ ส.ส.ที่มีบทบาทโดดเด่นกรณีโหวตพิธาจะได้รับผลกระทบระดับหนึ่งจากเกมล่าแม่มดของด้อมส้ม

‘หมอพรทิพย์’ เผย แกนนำก้าวไกลบอกไม่เห็นด้วย ด้อมส้มคุกคามครอบครัว ส.ว. แต่ไม่รู้จะจัดการยังไง

(15 ก.ค. 66) พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กตอบโต้กรณีโลกออนไลน์ผุด #ธุรกิจสว ภายหลังนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล โหวตไม่ผ่านที่ประชุมร่วมรัฐสภา รอบแรก ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ระบุว่า…

“ขอประณามขบวนการด้อมส้มและอวตารที่ไปราวีตามสื่อของสมาชิกวุฒิสภาและครอบครัว รวมทั้งผู้เห็นต่าง เดิมทีก็มีขบวนการเช่นนี้ในสื่อโซเชียลมานานแล้ว แต่หลังการโหวตนายก ก็มีขบวนการนี้เข้ากระหน่ำอย่างถี่ด้วยวาจาที่ก้าวร้าว ต่ำตม หลังเลือกตั้งถึงขนาดสร้างเฟซบุ๊กปลอมของหมอแล้วนำเอาโพสต์ที่ด่าก้าวไกลมาลงแบบที่เรียกได้ว่าเรียกแขก ในส่วนของการบูลลี่หมอมักใช้วิธีผ่านไป บล็อกได้ก็บล็อก ส่วนเฟซปลอมไม่สามารถจัดการใดๆ ได้ด้วยขบวนการของรัฐฯ มาวันนี้ขบวนการเลวร้ายนี้กำลังกระจายไปยัง ส.ว. และครอบครัวจำนวนมาก

ที่น่าสนใจคือการได้พูดคุยปัญหานี้กับตัวแทนของพรรคก้าวไกลที่ส่งมาคุยเพื่อให้โหวตให้พิธา เพราะหมอเชื่อว่าคนที่ทำคือด้อมส้ม และอวตารที่ War room ส่งมา คำตอบของตัวแทนพรรคคือเขาก็ไม่เห็นด้วย ไม่รู้จะจัดการอย่างไร

นี่หรือคือคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญ กลับใช้วิธีสกปรก รุกรานผู้เห็นต่าง ลามปามไปยังคนรอบข้าง ถ้าอยากเป็นนายกแต่ไม่ห้ามหรือไม่สามารถจัดการได้ ก็อย่าอาสามาทำงานให้ประชาชนเลย เพราะนี่คือการสร้างความแตกแยกมากกว่าการสร้างความเจริญ ถล่มมาเลยนะเพราะจะบันทึกไว้ดำเนินการ”

‘อ.เดชา’ เชื่อ หาก ‘พิธา’ ยังฝืนดึงดันแบบนี้ต่อไป ผลที่ได้คือความทุกข์​น่าสยดสยอง​เกินจินตนาการ!!

(15 ก.ค. 66) นายเดชา ศิริภัทร เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Deycha Siripatra’ ระบุว่า…

“ได้อ่านโพสต์​ของคุณ​พิธา​ ลิ้มเจริญ​รัตน์​ แล้วเข้าใจและเห็นใจอย่างยิ่ง

การตั้งความหวังไว้สูงสุด​ พยายามฝ่าฟันไปจนจะเอื้อมมือถึง​ แต่ความหวังกลับพังครืน พังลงต่อหน้าตนเองและคนไทยทั้งประเทศ​ รวมถึงชาวโลกที่ติดตามดูการถ่ายทอดสด

ความทุกข์​ที่เกิดจากความผิดหวัง​ เพราะไปตั้งความหวังไว้นั้น​ เป็นบทเรียนธรรมะขั้นสูง หากนำมาเป็นบทเรียน​ แล้วนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป​ จะมีประโยชน์​มาก

แต่ถ้ายังไม่ยอมรับ​ แต่พยายามทำซ้ำแบบเดิมอีก ก็จะผิดหวังเหมือนเดิมอีกครั้ง

คราวนี้ความทุกข์​ที่เกิดขึ้นใหม่​ จะทับถมซ้ำเติมความทุกข์​เก่า​ ที่ยังไม่ทันจางหายไปใหน ลองจินตนาการดูว่าจะหนักหนาสาหัส​ขนาดใหน​ แค่คิดผมก็รู้สึกสยดสยองจนไม่กล้าคิดต่อ

แต่ถึงอย่างนั้น​ ผมก็เชื่อว่า​ คุณ​พิธา จะยังเดินหน้าต่อไปเพื่อทำซ้ำอย่างเดิม​ ไม่ยอมหยุด ผลที่ได้รับก็คงเป็นความผิดหวัง​ และความทุกข์​ที่น่าสยดสยอง​เกินจินตนาการนั่นเอง

โชคดีนะครับคุณ​พิธา ขอให้คุณ​สมหวังในสิ่งที่ตั้งใจ​ อย่าให้สิ่งที่ผมคิด​ เกิดขึ้นจริงเลย”

‘ด้อมส้มล่าแม่มด’ ใช้โซเชียลโจมตี ส.ว.ลาม ‘ครอบครัว-ธุรกิจ’ ‘รุ้ง’ ลั่น!! นี่แค่จุดเริ่มต้น ฟาก ‘ส.ว.’ เตรียมสวนด้วยกฎหมาย

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 66 ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมรัฐสภาในการเป็นนายกฯ โดยเฉพาะในโลกโซเชียล ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลหรือ ‘ด้อมส้ม’ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นโจมตีการลงมติของ ส.ว.ที่ส่วนใหญ่งดออกเสียง และไม่เห็นชอบ รวมทั้งยังมีส่วนหนึ่งออกมาเปิดวาร์ปโซเชียลมีเดียของลูกชายนายสมชาย แสวงการ ส.ว.ที่อภิปรายไม่เห็นชอบให้นายพิธาเป็นนายกฯ จนทำให้ลูกชายนายสมชายต้องตั้งค่าอินสตาแกรมเป็นส่วนตัว แต่ชาวทวิตเตอร์จำนวนมากต่างออกมาตำหนิพฤติกรรมดังกล่าวว่า ไม่เหมาะสม เพราะลูกหลานของ ส.ว.ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ประการใด

นอกจากนั้น ยังมีการผุดแฮชแท็กธุรกิจ ส.ว.จนติดเทรนด์ทวิตเตอร์ โดยมีการนำข้อมูลกิจการของ ส.ว.หรือคนในครอบครัว ส.ว.ที่ลงคะแนนไม่เห็นชอบ และงดออกเสียงมาแขวนเพื่อโจมตี และแบนธุรกิจนั้นๆ บางรายก็ระบุพิกัดให้ขนทัวร์ไปลง อาทิ ธุรกิจปั๊มน้ำมัน, คลินิกของลูก ส.ว., ร้านอาหาร, ตลาด, โรงพยาบาลสัตว์, ร้านขายรองเท้า, ทีมฟุตบอล เป็นต้น โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้มีที่ยืนในสังคม

ขณะที่บางส่วนได้นำข้อมูลเงินเดือน และค่าสวัสดิการต่างๆ ของ ส.ว.มาเปิดเผย แม้ ส.ว.บางรายที่เดินทางไปต่างประเทศก็ยังโดนโจมตีด้วย นอกจากนี้ยังมีธุรกิจในครอบครัวของ 5 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ยังถูกขุดขึ้นมาล่อเป้า รวมทั้งนายชาดา ไชยเศรษฐ์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ที่ลุกขึ้นอภิปรายนายพิธาก็ถูกขุดประวัติมาถล่มเช่นเดียวกัน

น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ ‘รุ้ง’ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมทวีตข้อความว่า…

“เรียนให้ ส.ว.ทราบว่าราคาที่พวกคุณต้องจ่ายไม่ใช่แค่นี้หรอก นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น ไล่ดูในเทรดไปแล้วก็เศร้า พวกเขามีทุกอย่างที่คนทั่วไปยังต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มาเพียงเสี้ยว ชีวิตดีกันจังเลย”

ขณะที่ นายพายุ เนื่องจำนงค์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ทวีตข้อความว่า พฤติกรรมการชี้เป้าลูกหลานและเครือญาติของ ส.ว.ที่ไม่ยอมโหวตนายกฯ เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การกระทำจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จากแฟนด้อมที่ไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งกรณีเช่นนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศอื่นๆ สุดท้ายแล้วไม่ได้จบแค่การคุกคามทางโซเชียล แต่จะจบด้วยความรุนแรงต่อตัวบุคคลถึงชีวิตหรือทรัพย์สิน หากการกระทำเหล่านี้ไม่ได้รับการหยุดยั้งห้ามปราม โดยพรรคหรือนักการเมืองที่แฟนด้อมคลั่งไคล้และรับฟัง ซึ่งหากถึงวันนั้นใครจะออกมารับผิดชอบ? หรือจะออกมาบอกว่าไม่เกี่ยวข้องด้วยอีก แล้วปล่อยให้ผู้กระทำผิดโดนดำเนินคดีไป ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นอาวุธทางการเมืองให้กับใคร และใครได้ประโยชน์จากมัน หากสำเร็จในการใช้การคุกคามกดดันและกดขี่ให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการทางการเมือง

ด้านนายสมชายกล่าวว่า ขณะนี้ ส.ว.หลายคนกำลังรวบรวมหลักฐานที่มีบุคคลอื่นมาบูลลี่ตนเองและครอบครัว เพื่อแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะถือเป็นการคุกคาม ซึ่งถือว่าเลวร้ายกว่าในอดีต เป็นวิธีการที่สกปรก ชั่วช้า และเลวทราม คนที่เห็นต่างก็เข้าไปบูลลี่เขาหมด ทั้งตามโรงเรียน มหาวิทยาลัย และครอบครัว ดังนั้น ส.ว.ประชุมกันแล้วว่าจะดำเนินคดีทั้งหมด และเบื้องต้นได้ส่งหลักฐานให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) แล้ว และอยู่ระหว่างตั้งทีมกฎหมาย

“ขณะที่คุณล้ำเลิศประชาธิปไตย เวลาติดคุกไม่ต้องมาขอโทษนะ เพราะไม่มีปล่อยฟรี ถูกดำเนินคดีจริงจัง แล้วอย่าลืมนะว่าเป็นนักกฎหมายทั้งนั้นที่มาสนุกสนานเล่นๆ กันแบบนี้ดำเนินคดีหมด ตอนนี้ทุกคนเตรียมหลักฐานไว้หมดแล้ว จะเอาให้เต็มที่ต่างกรรมต่างวาระ ไม่ต้องออกจากคุกกันเลย ทำ 10 ครั้งก็ 10 กรรม 10 วาระ” นายสมชายกล่าว

นายสมชายกล่าวอีกว่า จากนี้จะตรวจสอบทั้งหมดและย้อนหลังไป หากพบว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทก็จะดำเนินคดีทั้งหมด เพราะถือว่าไม่เคารพคนอื่น ประชาธิปไตยของคุณเป็นประเภทไหน เป็นพวกโจราธิปไตยหรือไม่ ที่ผ่านมาเคยดำเนินคดีกับคนที่หมิ่นประมาทมาแล้ว บางคนร้องห่มร้องไห้เพราะต้องออกจากราชการก็ให้อภัยไปหลายคนแล้ว แต่หลังจากนี้จะไม่ให้อภัยแล้ว ขอเตือนให้หยุดทั้งหมด อย่าคิดว่าหาไม่เจอ ที่ผ่านมาถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ แต่จากนี้จะเริ่มนับหนึ่งในการดำเนินคดี เพราะคุณไม่ได้ใช้สิทธิเสรีภาพ แต่เป็นการใช้สิทธิคุกคามคนอื่นมีความผิดทางอาญา

“ขอเตือนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่จะไปคุกคามคนอื่น ส.ว.มีหน้าที่ที่ต้องทำ เช่นเดียวกันกับ ส.ส. หน้าที่ใครหน้าที่มัน การใช้สิทธิ์ของประชาชนไปหมิ่นประมาทคนอื่นย่อมได้รับผลตามกฎหมาย ยืนยัน ส.ว.ไม่ปล่อยเรื่องนี้แน่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลัง ปั่นกระแส หากสืบไปถึงตัวกลางก็จะดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองคนไหนจะดำเนินคดีด้วย” นายสมชายย้ำ

วันเดียวกัน ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มีการจัดชุมนุมของเครือข่าย ‘Respect My Vote’ เคารพผลเลือกตั้งฟังเสียงประชาชน ซึ่งนำโดยแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ, คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.), กลุ่มโมกหลวงริมน้ำ และ 24 มิถุนาประชาธิปไตย เพื่อยืนยันเจตจำนงของประชาชน 14 ล้านเสียง ที่ต้องการให้นายพิธาเป็นนายกฯ

โดยบรรยากาศเวลา 17.00 น. (14 ก.ค. 66) เริ่มมีประชาชนทยอยเดินทางมารวมตัวอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนมากสวมเสื้อผ้าสีส้ม ซึ่งเป็นสีประจำพรรค ก.ก. และยังมีร้านค้าวางจำหน่ายสินค้าที่มีสัญลักษณ์ของพรรค ก.ก.และใบหน้าของนายพิธา และในเวลา 17.40 น. เริ่มมีการแจกใบปลิวขาด A3 สีแดงดำ ระบุข้อความว่า “ยกเลิก ส.ว.ไร้ประโยชน์ มีไว้เพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ”

โดยก่อนเริ่มกิจกรรมปราศรัย มวลชนได้รวมตัวชู 3 นิ้วแสดงสัญลักษณ์ ถือป้ายระบุข้อความเรียกร้องให้ยกเลิก ส.ว. ต่อมาผู้ชุมนุมได้เริ่มการปราศรัย โดยโจมตีการทำหน้าที่ของ ส.ว. ซึ่งส่วนใหญ่โจมตี ส.ว.ที่ไม่เห็นด้วยและงดออกเสียงในการโหวตนายกฯ โดยเฉพาะนายเสรี สุวรรณภานท์, นายคำนูณ สิทธิสมาน, นายสมชาย แสวงการ และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ และชื่นชม ส.ว.ทั้ง 13 คนที่โหวตเห็นชอบให้นายพิธา

นายเสกสิทธิ์ แย้มสงวนศักดิ์ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ ส.ว.และ ส.ส.ต้องเลือกนายกฯ ตามเจตจำนงของประชาชน ไม่มีทางเป็นอื่น ถ้าไม่ทำ ถนนทุกสาย แม่น้ำทุกเส้นก็จะไหลไปที่รัฐสภา และไม่ใช่แค่สภา แต่จะเลยไปถึงหน้าบ้านท่านแน่นอน ขอให้ทุกคนติดตามโซเชียลมีเดียทุกช่องทางในสัปดาห์หน้า เพื่อฟังนัดหมายให้มาชุมนุมกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน แสดงพลัง 26 ล้านเสียง 52 ล้านตีน มารวมตัวกันเพื่อให้รู้ว่าจะมากมายแค่ไหน

“สัปดาห์หน้ายังขอเชิญชวน ทุกท่านที่เลือกพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย สวมเสื้อสีส้มและสีแดงทุกวันก่อนถึงวันเลือกนายกฯ หรือติดสัญลักษณ์สีดังกล่าวเพื่อแสดงออกให้เห็นถึงเจตจำนงของพวกเรา”

ขณะที่ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กล่าวว่า ขอให้มวลชนจับตาการประชุมศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ในประเด็นของการแก้ไขมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ ถ้าผลออกมาอย่างที่คาดการณ์กัน ก็ถึงเวลาแล้วที่ภารกิจล้มล้างการปกครองมาถึงพวกเราแล้ว
.

‘เพื่อไทย’ ค้าน!! ‘ก้าวไกล’ แก้ รธน.272 ชี้ เป็นไปได้ยาก จ่อหารือกับพรรคร่วมรอบ 2 ยังไม่เคาะชื่อ ‘พิธา’ ชิงนายกฯ

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 66 ที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ ตัวแทนพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้นัดหารือกันหลังการโหวตชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตพรรคก้าวไกล ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา โดยมีตัวแทนพรรคก้าวไกล ประกอบด้วย นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค และ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ขณะที่พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที

บรรยากาศที่ประชุมวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี โดยได้หารือถึงภาพกว้างประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในการโหวตเลือกนายกฯ ครั้งที่ 2 วันที่ 19 ก.ค.นี้ โดยมองว่าในที่ประชุมรัฐสภาฯ จะมีการทักท้วงเกี่ยวกับการเสนอญัตติเดิมซ้ำในสมัยประชุมได้หรือไม่ รวมถึงประเมินว่าฝ่ายรัฐบาลเดิมอาจเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เข้ามาแข่งด้วย ซึ่งวงหารือยังไม่ได้ลงรายละเอียด เพียงแต่อยากประเมินสถานการณ์ให้แต่ละฝ่ายไปหาทางรับมือประเด็นนี้ไว้ล่วงหน้า ส่วนเรื่องที่พรรคก้าวไกลยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 นั้น พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นไปได้ยาก เพราะญัตติดังกล่าวต้องอาศัยเสียง ส.ว.ถึง 84 เสียง มองว่าเวลานี้ควรมุ่งหน้าเรื่องจัดตั้งรัฐบาลกันก่อน

ทั้งนี้ หลังจากนี้ทาง 8 พรรคร่วมรัฐบาลจะนัดหารือกันอีกครั้ง ในวันที่ 18 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา และจะมีการแถลงข่าวให้ทราบอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังไม่สรุปว่ายังเสนอชื่อนายพิธา ให้ที่ประชุมรัฐสภาโหวตให้เป็นนายกฯ อีกครั้งหรือไม่ และยังไม่มีการหารือรายชื่อนายกฯ รอบ 2 ว่าจะเป็นในรูปแบบใด เพราะต้องรอความเห็นจากที่ประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาลก่อน ส่วนการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 พรรคก้าวไกลจะรวบรวมเสียง ส.ว.หรือไม่นั้น ที่ประชุมก็มีการพูดคุยกัน แต่ก็ต้องมาหารือกันอีกครั้งในที่ประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาล

คนโกหกไม่ทำชั่ว ไม่มี!! 2 อดีต อ.เศรษฐศาสตร์ ชี้!! จะเป็น ‘รมต.คลัง’ ต้องไม่โกหก ซัด!! ‘ศิริกัญญา’ มุสาคำโต ปมรวมเสียง ส.ว. โหวตพิธา

(15 ก.ค. 66) จากเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเรื่อง ‘เมื่อ ‘ว่าที่รมต.คลัง’ ศิริกัญญา มุสา’ โดยระบุว่า…

คุณสมบัติประการหนึ่งของ ‘คนดี’ คือ ไม่มุสา เพราะ ‘คนโกหกไม่ประพฤติชั่วนั้นไม่มี’

ก่อนหน้านี้ ศิริกัญญาออกมารับรองอย่างมั่นใจเต็มปากเต็มคำว่า ‘ได้เสียง ส.ว. ครบที่จะส่งให้ พิธา ได้เป็นนายกฯ’

ตอนฟังทีแรก ผู้เขียนก็ไม่อยากจะติเรือทั้งโกลน ได้แต่รอว่าจะเป็นจริงอย่างที่ศิริกัญญาพูดหรือไม่

แล้วผลลงคะแนนเมื่อวานที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้เสียง ส.ว. เพียง 13 เสียงจาก ส.ว. ทั้งหมด 249 หรือเพียง 5% เท่านั้น 

มันบ่งชี้ว่า ศิริกัญญาเป็นคนอย่างไร ‘ดีหรือไม่ดี’ ‘กะล่อนหรือไม่กะล่อน’ ‘วาจาน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อถือ’

ประชาชนทั้งที่เลือกและไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกลคงพิจารณาได้เอง

‘ก้าวไกล’ ยื่นร่างแก้ ม.272 คืนอำนาจเลือกนายกฯ ให้ ปชช. ชี้!! เป็นทางออกที่ดีที่สุด เชื่อ!! ‘ส.ส. - ส.ว.’ พร้อมสนับสนุน

(14 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส. พรรคก้าวไกล เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยมี วันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นผู้รับเอกสาร สาระสำคัญของร่างคือ การยกเลิกมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจ ส.ว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

ชัยธวัชกล่าวว่า ส.ส. พรรคก้าวไกลได้เข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ เสนอร่างฉบับนี้เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกฯ ให้แก่ประชาชน เนื่องจากการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ เมื่อวานนี้ (13 ก.ค.) ปรากฏชัดว่ามี ส.ว.งดออกเสียงถึง 159 คน ไม่มาประชุมอีก 43 คน หลายคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ประสงค์ใช้อำนาจทำหน้าที่เลือกนายกฯ ขอให้เป็นเรื่องของ ส.ส. ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะนำไปสู่ทางตันทางการเมือง

ส.ส.พรรคก้าวไกลในฐานะสมาชิกรัฐสภา จึงเสนอทางออกให้ ส.ว.ในเมื่อท่านไม่ประสงค์จะใช้อำนาจนี้ด้วยความกระอักกระอ่วนใจหรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม ในการโหวตพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ทางนี้จึงจะเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ทั้ง ส.ว.ทั้งระบบรัฐสภาของประเทศ ทำให้การเมืองไทยเดินหน้าต่อไปได้ และมีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วที่สุด

เลขาธิการพรรคก้าวไกลชี้แจงต่อคำถามของผู้สื่อข่าวด้วยว่า คาดว่าระยะเวลาที่รัฐสภาพิจารณาร่างฉบับนี้ ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพราะเสนอแก้ไขเพียงมาตราเดียว และการพิจารณาสามารถดำเนินการคู่ขนานกับการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ได้ โดยหลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะดำเนินการขอเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ต่อไป

พร้อมกับย้ำว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิก ม.272 ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการเสนอหลายครั้งในสภาชุดที่แล้ว และ ส.ส. พรรคที่เป็นฝั่งรัฐบาลในเวลานั้น เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ก็เคยออกเสียงสนับสนุน รวมถึง ส.ว. มากกว่า 60 คนก็เคยเห็นชอบ จึงเชื่อว่าครั้งนี้ไม่น่ามีปัญหา

ทั้งนี้ ได้แจ้งการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อพรรคเพื่อไทยเป็นการเบื้องต้นแล้ว เนื่องจากพรรคก้าวไกลต้องการให้กระบวนการนี้ใช้เวลาสั้นที่สุด จึงไม่สามารถรอให้สมาชิกจากพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลพรรคอื่นๆ มาร่วมเซ็นด้วย ดังนั้น การที่พรรคก้าวไกลยื่นร่างนี้เพียงพรรคเดียว ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยและอีก 6 พรรค จะไม่เห็นด้วยหรือขัดข้องแต่อย่างใด

“ในเมื่อ ส.ว.มีมโนธรรมสำนึกว่าท่านไม่สามารถโหวตนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น เพื่อให้ท่านไม่ต้องทำอะไรที่ขัดกับมโนธรรมสำนึก ก็แก้ไขยกเลิกมาตรานี้เสีย เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกให้ประชาชน และเมื่อประชาชนตัดสินใจไปแล้ว จะถูกจะผิดอย่างไรท่านก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะท่านอ้างว่าถ้าตัดสินใจก็ต้องรับผิดชอบ ท่านจึงไม่ตัดสินใจ หนทางนี้จึงเป็นการหาทางออกให้ทุกฝ่าย เป็นทางออกที่ดีที่สุด และต้องถามไปยัง ส.ว.หลายท่านที่ได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้ว่าตนเองไม่อยากเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกฯ ท่านยินดีหรือไม่ที่จะช่วยกันเอาอำนาจของท่านออกไป และคืนอำนาจนี้ให้ประชาชน” ชัยธวัช กล่าว

ด้านประธานรัฐสภากล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่สภาตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของเอกสาร โดยจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นเรื่องด่วน

จาก ‘ฟ้ารักพ่อ’ สู่ ‘ด้อมส้ม’ สะเทือนแผ่นดิน เกมชิงมวลชน ถีบอนุรักษ์นิยมแพ้ตกขอบ

ปรากฏการณ์แฟนด้อมการเมืองในไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้ว่าเราเพิ่งมาเริ่มคุ้นกับปรากฏการณ์ ‘ฟ้ารักพ่อ’ ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในปี 2019 แต่จริงๆ แล้ว แฟนด้อมการเมืองในไทยเริ่มปรากฏให้เห็นมานานแล้วในรูปแบบ ‘แม่ยก พ่อยก’ ของบรรดานักการเมืองรุ่นเก่าๆ เช่น แม่ยกของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนวันนี้ก็ถึงคิวของ ‘ส้มรักพ่อ’ / ‘รักก้าวไกล’ / ‘รักพิธาจนหมดใจ’

อันที่จริง ถ้าจะให้พูดแบบไม่แอบอิง ปรากฏการณ์นี้ ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วย ชื่นชอบ ชื่นชม หรือแม้แต่อุดมการณ์เป็นที่ตั้ง แต่เป็น ‘ความหลงใหล’ 

ทั้งนี้หากมองวิวัฒนาการ ‘แฟนด้อมการเมืองในไทย’ แล้ว จะพบว่า มันถูกขับเคลื่อนผ่าน Pop Culture และ โซเชียลมีเดีย ที่ถูกนำมาใช้อย่างจริงจังจากช่วง ‘ฟ้ารักพ่อ’ ซึ่งเป็นประโยคเด็ดจากละคร ‘ดอกส้มสีทอง’ มาใช้ในการพูดถึงแฟนด้อมและความนิยมของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 

อีกตัวแปรที่ทำให้วัฒนธรรมแฟนด้อมเติบโตขึ้นมากในการเมืองไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือ วัฒนธรรมแฟนด้อมเกาหลีในหมู่วัยรุ่นไทย ที่เติบโตมาพร้อมกับพวกเค้า ภายใต้การอิงกายอยู่ภายใต้บรรยากาศการเมืองในระบอบที่ถูกอ้างกันว่าเป็น ‘เผด็จการ’ 

เด็กรุ่นใหม่จำนวนมากที่เติบโตมาในช่วงกระแสธารนี้ พัฒนาและปรับประยุกต์ผลงานที่เกี่ยวกับศิลปินที่ชอบ ผ่านงานอาร์ต บทความ กิจกรรม และแฮชแท็กต่างๆ เพื่อส่งเสริม รวมถึงเรียกร้องความไม่เป็นธรรมให้ศิลปินของตน จนกลายเป็น ‘วัฒนธรรม’ ใหม่ของเด็กยุคใหม่ 

>> ตรงนี้สำคัญ...เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องการแสดงออกทางการเมือง พวกเขาจึงเลือกแสดงออกด้วยวัฒนธรรมที่พวกเขาคุ้นเคยอย่างที่กล่าวมาข้างต้นต่อ ‘พรรคการเมืองใหม่’ ที่พวกเขาไว้ใจ ผ่านโซเชียลมีเดีย ช่วยมอบสิ่งดีๆ ให้เกิดการแชร์ในวงกว้าง และทำลายล้างสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อโซเชียลนิยมด้วยความเต็มใจ

ฉะนั้น ปรากฏการณ์ ‘ส้มรักพ่อ’ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนจากผลพวงของ ‘แฟนด้อมทางการเมือง’ ที่ทำให้ "ก้าวไกล" คว้าเส้นชัยอันดับ 1

แน่นอนว่า ‘ตบมือข้างเดียว’ ยังไงก็ไม่ดัง!!

เมื่อแฟนด้อมของ ‘ก้าวไกล’ ตอบสนอง เพราะเบื่อการเมืองแบบเก่าๆ เบื่อความไม่ชัดเจน การหาประเด็นจี้จุดตรงประเด็น และใส่วาทกรรมเติมแต่งให้น่าเชื่อถือ ด้วยการสร้างความ ‘หลงใหล’ ให้ ‘ด้อมส้ม’ จึงเกิดขึ้นแบบที่ ‘อนุรักษ์นิยม’ ที่ได้สัมผัสยังแอบเคลิ้มตาม

>> หลงใหลที่ 1: วาทกรรม
‘มีลุง ไม่มีเรา’ 
‘แก้ไขมาตรา 112’
‘ทลายทุนผูกขาด’
‘รีดพุงงบกองทัพ’
‘สุราต้องเสรี’
‘คนเราต้องเท่าเทียม’

เหล่านี้กลายเป็นความหลงใหลที่เกิดจากวาทกรรม ที่ไม่ต้องพูดชื่อ ‘พรรคก้าวไกล’ ใครๆ ก็นึกออกว่าเป็นบริบทที่เกิดขึ้นจากพรรคนี้

>> หลงใหลที่ 2: ชายที่ชื่อ ‘พิธา’
รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา พูดจาฉะฉาน ภาษาอังกฤษเป๊ะ น่ามองไปเสียทุกตรง คือ ความหลงใหลที่ ‘ด้อมส้ม’ พร้อมถมความภักดีให้กับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา หน้าตาของทุกสื่อ ทุกเวทีดีเบต ต้องมีภาพจำของพิธา และภาพจำสุดน่าปลื้มเหล่านั้น ก็ถ่ายเทไปถึงบรรดาผู้สมัครในพรรคท่านอื่นๆ ที่แม้จะโนเนม แต่ก็คว้าคะแนนปาดหน้าแชมป์เก่าในผู้สมัครเขตอื่นๆ ได้เพียงเพราะประชาชนมีภาพ ‘พิธา’ ติดตา ติดหู ฝังสมองไปแล้ว

>> หลงใหลที่ 3: ความเป็นกันเอง
พรรคก้าวไกลฝึกฝนบุคลิกทุกคนให้พรรค ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ให้เข้าถึง เป็นเพื่อน เป็นครอบครัวเดียวกันกับคนทุกคน อย่างที่เห็นชัดเจนคือ การดีเบตครั้งสุดท้ายที่พรรคก้าวไกลเลือกจะทำเวทีแบบวงกลมกลางสนาม และให้คนมานั่งล้อมรอบ สร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวระหว่างพรรคและคน 

นอกจากนี้การที่พรรคก้าวไกลมักจะบอกว่า พรรคตนเองไม่มีเงิน เพื่อสร้างความโปร่งใส ขจัดปัญหาการซื้อเสียง เรื่องเดิมๆ ที่ต้องมาพร้อมกับการเลือกตั้ง สร้างประสบการณ์ใหม่ที่แฝงด้วยการแก้ปัญหาพื้นฐานของการเลือกตั้งให้คนรับรู้ ก็เป็นกระแสความนิยมในการเมืองใหม่จากพรรคนี้

1.วาทกรรมที่โดนใจ 2.ผู้นำที่ต้องตา 3.การวางตัวที่ใครๆ เขาอยากเข้าหา นี่มันองค์ประกอบของ ‘ดารา’ ชัดๆ (หลายคนอาจจะคิดแบบนี้) และมันก็เข้าองค์ประกอบของการต้องมี ‘แฟนคลับ’ ที่ถาโถมเข้ามาร่วมกับ ‘ด้อมส้ม’ ก่อนหน้า 

และถ้าเจาะเข้าไปเนื้อใน 3 ข้อนี้ ก้าวไกล และ พิธา ไม่ได้แค่ทางการวางตัวให้คนรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย ติดดิน แต่พยายามเข้าใจถึงปัญหาปากท้องที่แท้จริง พร้อมรับฟังเสียงทุกเสียง และเลือกสื่อสารแบบเปิดเผย เพื่อลดช่องว่างระหว่างนักการเมืองกับ ‘ด้อมส้ม’ ของเขา 

สังเกตไหมว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกล เป็น แทบไม่ต่างอะไรจาก ไอดอลชั้นนำ ที่สร้าง ‘ความหลงใหล’ แก่แฟนคลับแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่เขาเป็นพรรคการเมือง และควรต้องมีนโยบายที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง เป็นตัวชี้นำ แต่ถ้านโยบายนั้นๆ มีความเป็นไปได้ว่าจะ แป๊ก!! ‘แฟนด้อมส้ม’ ก็ยังให้อภัย เพราะอย่างไรก้าวไกลก็จะแก้มาตรา 112 มาตราโดนใจที่ตอบโจทย์ สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการอย่าง ‘คนเราต้องเท่าเทียม’

ดังนั้น ปรากฏการณ์ ‘แฟนด้อมทางการเมือง’ ผู้ซึ่งเป็น ‘หัวคะแนนธรรมชาติ’ นี้ ไม่ใช่แฟนคลับที่คลั่งกรี๊ดแล้วจบ แต่อาจยอมสยบให้กับ ทุกวาทกรรม ทุกท่วงท่า ความงามของภาพลักษณ์ และความแนบชิด (การแสดง) จนพร้อมจะเป็นแรงหนุนให้ ‘พรรคก้าวไกล’ ต้องลุล่วงทุกภารกิจ 

และเมื่อถึงวันที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ถึงทางตัน ชวดนายกฯ ยุบพรรค ผู้สมัครถูกตัดสิทธิ์ ก็เป็นไปได้ว่า ‘แฟนด้อมส้ม’ อาจจะเปลี่ยนเป็น ‘ม็อบส้ม’ แค่สัญญาณ 3 นิ้วชูเหนือหัวพลพรรคก้าวไกล ก็เป็นได้...

‘ด้อมการเมือง’ ผลิตผลจากนักการเมืองหิวแสง หน่วยพิทักษ์สุดคลั่ง หนักถึงขั้นถวายชีวิต

‘Political Fandom’ หรือปรากฏการณ์แฟนด้อมการเมือง ที่เริ่มมีส่วนร่วมในการเมืองสมัยใหม่นั้น เริ่มถูกพูดถึงในวันที่ ‘นักการเมือง’ ไม่ใช่แค่บุคคลที่มีชื่อเสียง แต่เริ่มกลายเป็นบุคคลที่มีผู้คนตาม ‘กรี๊ด’ 

มีบางคำถามผุดขึ้นมาว่า ‘นักการเมือง’ ควรอยู่ในสภาพของการให้ความสำคัญแบบที่ ศิลปิน ดารา นักร้อง นักกีฬา ได้รับกันหรือไม่? เพราะนักการเมืองถือเป็นบุคคลที่ต้องคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ สุขุม หรือจะพูดแบบตรงๆ ก็คือ ต้องทำตัวให้แตะต้องยากหน่อย 

>> เรื่องนี้ เดี๋ยวมีคำตอบ!! แต่ก่อนอื่นอยากให้ลองทำความเข้าใจกันก่อนว่า แฟนด้อมการเมืองมันคืออะไร? และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

ต้องยอมรับก่อนว่า ในวันที่โซเชียลมีเดีย มีอิทธิพลต่อการถ่ายทอดตัวตนของใครก็ได้ในโลกให้คนทั้งโลกได้รู้จักตัวเองและสินค้าบริการของตน เนื่องจากมันประหยัดตังค์มากกว่า การนำเงินก้อนโตไปโอ๋สื่อช่องใหญ่ ที่จ่ายไปก็อาจจะได้ยอดคนรับรู้กลับมาแค่น้อยนิดนั้น ทำให้ทุกวงการ ศิลปิน ดารา นักร้อง นักกีฬา หรือแม้แต่ประชาชนคนธรรมดา เริ่มขยายขอบเขตความรู้จักของตนได้กว้างขึ้นผ่านช่องทางนี้

โลกของการเมือง ก็ไม่ต่างกัน ไอ้ที่จะใช้หัวคะแนน หรือเอาเงินไปหว่านแห่ซื้อแบบแต่ก่อน มันก็ไม่ค่อยได้ผล เพราะจ่ายไป ใช่ว่าคนจะเลือก หรือจะรัก

ดังนั้นนักการเมืองในทศวรรษใหม่ จึงแปลงร่างตัวเองเป็น ‘นักการเมืองแบบเซเลบริตี้’ (Celebrity Politics) ที่เค้นคุณสมบัติที่สร้างแรงกระเพื่อมต่ออารมณ์คนติดตามได้ดี เช่น ภาพลักษณ์ที่ดี คำพูดคมๆ การสร้างตัวตนที่สะท้อนถึงการเป็นคนร่วมสมัย เอาใจคนรุ่นใหม่ และต่อต้านสิ่งที่กระแสสังคมโดยรวม โดยเฉพาะในโลกออนไลน์กำลังต่อต้าน อารมณ์ว่า แสงอยู่ไหน ฉันอยู่นั่น สถานการณ์ใด กิจกรรมใดที่กำลังป็อบปูลาร์ในสังคม จะต้องมีฉันไปยืนอยู่ท่ามกลาง และไม่จำเป็นต้องใช้เงินหว่านตรงๆ ให้คนมาติดตาม แต่อาจจะส่งเงินไปเปลี่ยนเป็นความงามทางภาพลักษณ์ในรูปแบบของการใช้สื่อ เพื่อกระพือความนิยมของตนเอง

ทีนี้ ลองมาดูคำจำกัดง่ายๆ ของแฟนด้อมการเมือง กันสักนิด ความหมายของมันก็คือ กลุ่มแฟนคลับของนักการเมืองและ/หรือแคมเปญทางการเมืองก็ได้ ซึ่งลักษณะมันก็จะคล้ายๆ กับแฟนด้อมของป๊อปคัลเจอร์ทั่วไป เช่น แฟนด้อมศิลปินเกาหลี แฟนด้อมซีรีส์ หรือแม้แต่แฟนด้อมทีมกีฬา 

>> ข้อดีของการมีแฟนด้อม คืออะไร?
แต่ละแฟนด้อม มักจะมีพื้นที่ไว้แลกเปลี่ยนพูดคุยถึงเรื่องของแต่ละแฟนด้อมเอง เรียกภาษาชาวบ้านก็ ‘ชุมชน’ (Community) นั่นแหละ โดยแต่ละชุมชนของแฟนด้อม มักจะมีการหยิบเรื่องราวมุมดีๆ ของคนดังนั้นๆ มาเผยแพร่ เช่น รูปภาพสวยๆ ข่าวสารอัปเดต รวมถึงกิจกรรมที่คนดังนั้นๆ ไปทำ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็อย่างวงฮอต BlackPink หรือแม้แต่ตัว ‘ลิซ่า’ ศิลปิน BlackPink เอง ที่ด้อมนั้นพร้อมจะปั่นทั้ง Hashtag และแชร์เรื่องราวดีๆ ให้แบบตัวคนดังนั้นๆ แทบไม่ต้องไปทำอะไรเลย ขอแค่คนดังนั้นๆ ตอบสนอง และลงมาโปรยยาหอม โบกมือให้ กอดนิดกอดหน่อย มอบลายเซ็น หรือพาตัวเองไปหา ‘ด้อมต้นทาง’ เพื่อสร้างความประทับใจ รัก หลง แบบตราตรึง สักนิด ที่เหลือ ‘ด้อมต้นทาง’ ก็จะไปสร้าง ‘ด้อมเครือข่าย’ ต่อให้ ยังกะแชร์ลูกโซ่ ขยายใหญ่จนกลายเป็นความเหนียวแน่นแบบโงหัวไม่ขึ้น

>> เทคนิคปั้น ‘แฟนด้อมทางการเมือง’!!
บริบทของแฟนด้อมการเมือง ก็ไม่ได้แตกต่างกันกับด้อมกลุ่มอื่นๆ แต่มันจะมีตัวแปรอยู่ที่บรรดา ‘นักการเมืองแบบเซเลบริตี้’ ที่ใช้เทคนิคของการสร้างแฟนด้อมการเมือง ซึ่งถ้าจะให้อธิบายอย่างง่ายที่สุด ก็คงเป็นการพา ‘การเมือง’ เข้าไปผูกกับสิ่งที่คนสนใจ เช่น บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ โดยเน้นการสื่อสารและใช้เทคนิคทางการตลาดในการเพิ่มชื่อเสียงและอำนาจทางการเมืองให้แก่ตัวเอง อาทิ การชักชวนดารา นักแสดงมาช่วยโปรโมตแคมเปญทางการเมือง เน้นขายรูปลักษณ์ ภาพลักษณ์ของนักการเมืองแทนนโยบายพรรค การหันไปออกรายการวาไรตี้เพื่อพูดคุยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การเมืองมากขึ้น หรือแม้แต่การที่ดาราผันตัวเป็นนักการเมืองโดยใช้ชื่อเสียงของตัวเองมากรุยทางการเมือง

ตัวอย่างนักการเมืองที่หันมาทำการเมืองแบบนี้ชัดมากๆ จนถูกเรียกว่า นักการเมืองแบบเซเลบริตี้ (Celebrity Politician) ก็มีให้เห็นทั่วโลกอย่าง แต่ขอยกคร่าวๆ เช่น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา (Barack Obama) ที่พาตัวเองเข้าไปอยู่กับตลาดนักกีฬาอย่างวงการบาส NBA หรือแม้แต่อดีตนักแสดงชื่อดัง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) ที่เอาความเป็นดาราของตัวเองชูเชิดจนผันตัวมาเป็นผู้ว่าการรัฐฯ ได้

>> การเมือง = การแสดง
ทีนี้กลับมาตอบ คำถามที่ค้างไว้ข้างต้น…เพราะความเบื่อหน่ายในการเมืองเก่า ของคนรุ่นใหม่ทั่วโลกนี่แหละ ที่เป็นแรงเร้าให้นักการเมืองเริ่มหันมาปรับตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการวางตัวที่คนทั่วไปมักจะมองว่า นักการเมืองเข้าถึงได้ยาก เหินห่าง ไม่ค่อยรับฟังและตระหนักถึงความเดือดร้อนของมวลชน ดังนั้นเพื่อดึงดูดคนให้กลับมาสนใจการเมืองมากขึ้น นักการเมือง จึงต้องหันมาแข่งขันกันอย่างหนัก โดยอาศัยการใช้โซเชียลมีเดีย และการเสนอภาพลักษณ์ของตัวเองให้แตกต่างจากภาพลักษณ์นักการเมืองแบบเดิมๆ ให้มากที่สุด จึงเกิดเป็นภาพนักการเมืองแบบใหม่ แบบเซเลบรีตี้ที่เน้นภาพลักษณ์ที่เข้าถึงง่าย มีมุมชิลๆ ขายความเป็นตัวเองมากขึ้นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้

จากจุดนี้เอง ที่พอจะทำให้สรุปได้ว่าการเมืองในปัจจุบัน เริ่มกลายเป็นเรื่องของ ‘การแสดง’ ไปแล้ว กล่าวคือนักการเมืองกลายเป็นดารา ส่วนมวลชนก็กลายเป็นผู้ชมโดยสมบูรณ์

>> ผลดี-ผลเสีย ‘แฟนด้อมการเมือง’ ต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบใหม่
คำถามใหญ่ที่หลายคนคงติดใจ แล้วเอาเข้าจริงๆ แฟนด้อมการเมือง คือ ผลผลิตของผู้คนที่อยากมีส่วนร่วมทางการเมืองแท้จริงแค่ไหน? หรือเป็นเครื่องมือทางการเมืองของนักการเมืองเซเลบริตี้...คำตอบนี้เชื่อว่าผู้อ่านคงมีอยู่ในใจ...

แต่หากให้มองผลดีของเรื่องนี้ คือ การมีอยู่ของแฟนด้อมการเมือง ได้ส่งผลให้มวลชนที่เลิกสนใจการเมืองหรือไม่เคยสนใจการเมืองเดิม เริ่มหันมาสนใจการเมืองมากขึ้น เนื่องจากชุมชนของแฟนด้อมมักใช้ภาษาที่เข้าถึงหมู่คนได้มากกว่า เช่น บทความสรุปนโยบายต่างๆ วิดีโอไฮไลต์งานปราศรัย และมีมนักการเมืองต่างๆ รวมไปถึงการเป็นแฟนด้อมการเมืองยังส่งผลต่อการแสวงหาข้อมูลและข่าวสารทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ แฟนด้อมการเมืองยังส่งผลดีต่อการเรียนรู้วัฒนธรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ เนื่องจากแฟนด้อมเป็นการรวมตัวของคนที่มีความสนใจเดียวกัน ไม่ได้เกิดจากสายสัมพันธ์ดั้งเดิม เช่น เพื่อน คนรู้จัก หรือ ครอบครัว จึงช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ผ่านการมีส่วนร่วมในชุมชนหรือแฟนด้อม การเป็นอาสาสมัครในกิจกรรมต่างๆ การวางแผนยุทธศาสตร์ และการแสดงความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะ

แต่...ในทางกลับกัน ผลกระทบเชิงลบที่น่ากังวล คือ แฟนด้อมการเมือง จะกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดด้อยค่าการเมืองหรือไม่ เรื่องนี้น่าห่วง เพราะบางครั้งการมุ่งความสนใจไปที่ตัวนักการเมืองคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว อาจจะทำให้ประเด็นทางการเมืองหรือนโยบายของพรรคถูกมองข้ามไป ซึ่งเรื่องนี้ก็อยากให้ผู้อ่านลองตอบข้อสงสัยนี้ดูอีกข้อว่าจริงเท็จแค่ไหน?

ท้ายสุด ขอบเขตของแฟนด้อมการเมือง จะมีจุดสิ้นสุดที่ตรงไหน จะขยายไปจนเริ่มหาแก่นสารไม่ได้ เช่น เริ่มจับนักการเมืองด้วยกันเองไปจิ้นบ้างหรือไม่ หรือแฟนด้อมควรมอง นักการเมือง พรรคการเมือง อุดมการณ์พรรคการเมือง นโยบายพรรคการเมือง และความถูกต้องในสังคมแบบใด? 

เรื่องนี้คงต้องรอวันเวลามาช่วยตอบ เพียงแต่สิ่งที่โคตรน่าห่วงในตอนนี้ คือ หากจะเปรียบการส่งมอบความรัก ความรู้สึก การตามติด การเก็บหอมรอมริบเงินทอง หรือหาซื้อสิ่งของมากองให้คนดังอันเป็นที่รักของเหล่าแฟนด้อมสายอื่นๆ… ‘เหล่าด้อมการเมือง’ ที่ถูกปลุกปั่นจนสุกงอม อาจจะพร้อมมอบ ‘ชีวิต’ ให้กับอุดมการณ์ที่ ‘นักการเมืองเซเลบฯ’ ชี้นำไปได้ไม่ยาก

อันนี้น่าห่วง...

และมันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงในสังคมตอนนี้ด้วย…

‘เพื่อไทย’ ผวาชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ โผล่ชิงนายกฯ ยัน!! ขอดัน ‘พิธา’ เป็นนายกฯ สุดลิ่ม

ดันสุดลิ่ม!! ‘ชลน่าน’ ยันเพื่อไทย ดัน ‘พิธา’ เป็นนายกฯสุดความสามารถ แจงยังไม่คิดเสนอชื่ออื่นแข่ง ย้ำไม่มีนิยามของคำว่าหนุนถึงที่สุด ชี้ ‘ปิยบุตร’ เป็นผู้นำจิตวิญญาณ ขึ้นกับก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านตามสั่งหรือไม่ แอบห่วงชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ ชิงนายกฯแพ็กกันแน่นได้เสียงเกิน 375

(14 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวการเสนอชื่อนายกฯ รอบสอง จะมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แข่งว่า ถ้ามีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง สิ่งที่เรามีข้อห่วงใย คาดการณ์ว่าเสียงโหวตที่จะโหวตให้คู่แข่งเรา อาจจะเกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นมาทันที จาก 188 เสียงถ้าเขาแพ็กกันแน่น บวกกับเสียง ส.ว. มีโอกาสที่เสียงจะเกิน 375 เสียงได้

เมื่อถามว่าพรรคพท.จะเสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ต่อหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังเคารพสิทธิของพรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคอันดับหนึ่ง และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ส่วนจะดันหรือไม่นั้นขึ้นกับพรรคก้าวไกล ที่จะเป็นผู้เสนอในระหว่างวงพูดคุยระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย รวมทั้งวงของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล

เมื่อถามว่าดูแล้วเสียง ส.ว.น่าจะโหวตให้ยาก นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “ไม่มีอะไรง่ายหรอก โดยเฉพาะการเมืองที่ไม่ปกติแบบนี้ มันคงเป็นประเด็นที่ 8 พรรคร่วมต้องมาคุยกัน ว่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร รู้อยู่แล้วว่าถ้าโหวตเลือกนายกฯ อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค. โดยที่เราไม่มีหลักหรือความมั่นใจ แล้วมีคนแข่งแล้วเรามีโอกาสแพ้ ก็ต้องมาปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไร”

เมื่อถามว่าในการพูดคุยกับพรรคก้าวไกลจะมีโอกาสเปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ ในการโหวตครั้งที่ 2 หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า อยู่ที่ข้อเสนอของการพูดคุย

เมื่อถามอีกว่าถ้าพรรคก้าวไกลยังเสนอชื่อนายพิธา พรรคเพื่อไทยจะแสดงท่าทีอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “ก็เป็นสิทธิของพรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคอันดับ 1 และเป็นพรรคแกนนำ พท.ลงเอ็มโอยูชัดเจนว่าจะสนับสนุนจนสุดความสามารถ ยืนยันอยู่แล้วครับ”

เมื่อถามว่าถึงเวลาสำหรับพรรคอันดับสองแล้วหรือยัง เพราะพรรคอันดับหนึ่งดูจะไม่ได้เสียงสนับสนุน นพ.ชลน่านกล่าวว่า ตนเชื่อว่า 8 พรรคร่วมจะคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ถ้าการโหวตนายกฯ ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ไม่ใช่ชื่อนายพิธาเป็นชื่ออื่นที่ไม่ได้อยู่ใน 8 พรรคร่วม ความคาดหวังของพี่น้องประชาชนจะถูกทำลายทันที

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าในการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 ทางพรรคร่วมจะเสนอชื่ออื่น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่มีคำว่าอาจจะ อยู่ที่การพูดคุย เมื่อถามต่อว่าหากสองพรรคพูดคุยจบแล้ว จะเป็นที่แน่ชัดหรือไม่ว่า 8 พรรคร่วมจะเสนอชื่อใครชิงตำแหน่งนายกฯ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องรอสรุปก่อน ถ้าเราไม่ชัดเจน วันที่ 19 ก.ค.ก็มีเจตนาชัดแล้วว่าอีกฝ่ายจะเสนอชื่อแข่ง ก็จะเป็นกับดักให้เรายอมรับกับความพ่ายแพ้ เหมือนเราเอาความหวังประชาชน 25 ล้านเสียงไปทลายตรงนั้น เชื่อว่าประชาชนรับไม่ได้

เมื่อถามว่าฉันทามติของประชาชนต้องการให้ 8 พรรคร่วมเป็นรัฐบาลหรือให้นายพิธาเป็นนายกฯ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า นายพิธาเป็นหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่ง เป็นผู้รวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ในเชิงสัญลักษณ์ก็เหมือนประชาชนสนับสนุนเขา เมื่อทุกฝ่ายรวมกันก็เหมือนเป็นการสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ

เมื่อถามว่าคำว่าจะสนับสนุนจนถึงที่สุด นิยามของคำว่าที่สุดคืออะไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คำว่าที่สุดไม่มีนิยาม มันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ ความเป็นเหตุเป็นผล ความเสียหาย และโอกาสของประเทศชาติบ้านเมือง รวมๆ กันทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าเราทำถึงที่สุดแล้วพรรคก้าวไกลพึงพอใจ เห็นชอบภาพรวมแล้วไม่ส่งผลกระทบ ถึงจะเป็นนิยามของคำว่าถึงที่สุด

เมื่อถามย้ำว่าจะให้โอกาสนายพิธาเป็นครั้งที่ 2 หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุย พรรค พท.ก็ยังหนุนนายพิธา เมื่อมีการพูดคุยก็จะเป็นไปตามข้อสรุปร่วมกัน

เมื่อถามถึงท่าทีของพรรค พท.กรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาฯ คณะก้าวหน้าโพสต์เฟซบุ๊กเสนอแก้มาตรา 272 รวมทั้งให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “ก็เป็นความเห็นของผู้นำทางจิตวิญญาณของทางก้าวไกลส่วนจะปฏิบัติหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่เราไม่มีข้อผูกมัดอะไรในการที่จะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่เป็นฝ่ายค้าน เพราะประชาชนเสียงข้างมากเลือกให้มาเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้เลือกเราให้มาเป็นฝ่ายค้าน

เมื่อถามอีกว่านายปิยบุตรระบุอีกว่า ต้องยอมไปเป็นแกะดำ เพื่อให้อีก 4 ปีข้างหน้าจะได้คะแนนเสียงมากกว่านี้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ก็แล้วแต่ความเห็น ไม่ขอวิจารณ์

เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ว.ระบุว่า ถ้ามีพรรคก้าวไกลอยู่ร่วมรัฐบาล ส.ว.จะก็ไม่สนับสนุน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นเพียงความเห็นของ ส.ว.บางคน

เมื่อถามต่อว่าข้อเสนอแก้มาตรา 272 ของพรรคก้าวไกลจะยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว.หรือไม่นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องไปถาม ส.ว.ว่าพอใจหรือไม่

‘ศาสตรา’ ส.ส.สงขลา รทสช. เตือนชาวเน็ตคอมเมนต์คะนอง จดหมายกำลังไปถึงหน้าบ้านหลายคน - ขอนำเงินไปทำบุญ

(14 ก.ค. 66) นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความพร้อมรูปในเฟซบุ๊ก ‘นายศาสตรา ศรีปาน - Sarttra Sripan’ ระบุว่า…

“น้อง ๆ ที่เข้ามาคอมเมนต์ด้วยความคึกคะนองโปรดระมัดระวังกฎหมายหมิ่นประมาท พรบ.คอม กันหน่อยนะครับ เพราะตอนนี้จดหมายกำลังไปที่บ้านกันหลายคนแล้ว ให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกันเป็นสิ่งแรกที่ควรจะมีในทุกสังคมนะ ทั้งโลก social ที่อยู่หลังหน้าจอโทรศัพท์ และ โลกแห่งความจริงที่เราจะเจอหน้ากัน เราจะเอาเงินส่วนนี้ไปทำบุญให้กับเด็กหาดใหญ่ด้อยโอกาสกัน💕จากทีมแอดมิน #ศาสตราเขต2”

ทั้งนี้ ข้อความในรูปที่แนบมาด้วย ปรากฏเป็นคำขอโทษจากบุคคลที่เคยคอมเมนต์ด้วยความคะนอง ใจความว่า…

“ผมขอโทษจริง ๆ ครับพี่ ด้วยความอวดดี รู้น้อยของผม ขอโทษ ๆ จากใจจริงครับ ให้โอกาสผมสักครั้งครับ ผมไม่อยากให้พ่อแม่เดือดร้อนเพราะการกระทำแย่ ๆ ของผมครับพี่ ผมหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินชดเชยให้พี่ ส.ส. ถ้าพี่ฟ้อง ผมขอโทษ ขอโอกาสสักครั้ง เหตุการณ์นี้ผมจะไม่ลืม ผมขอโทรไป ขอโทษจากน้ำเสียงได้ไหมครับ ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ ให้โอกาสผมสักครั้งนะครับ ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยครับ ผมคิดน้อย ไม่รู้หวันจริง ๆ ครับพี่ เหตุการณ์นี้ผมจะจำไว้สอนตัวเองตลอดเวลา ให้โอกาสเด็กคนนี้สักครั้งได้ไหมครับ พี่ ส.ส. ผมขอร้องจริง ๆ ครับ จากใจจริง ผมขอโทษครับ ผมเครียดมาก ๆ เลยครับ เป็นบทเรียนที่ผมจะไม่ลืมเลยจริง ๆ ขอความเมตตาสักครั้งนะครับ ผมจะจำความเมตตาของ พี่ ส.ส.ครั้งนี้ไปไม่มีวันลืมจริง ๆ ครับ
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top