Saturday, 17 May 2025
POLITICS

‘วิษณุ’ ชี้!! ทักษิณกลับไทย ‘ต้องเข้าคุกก่อนขออภัยโทษ’ ปัดตอบขัง ‘คุกพิเศษ’ อ้างกระทบสิทธิ-ความสงบเรียบร้อย

(12 ก.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีเอกสารหลุดของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ถึงแผนรักษาความปลอดภัย กรณีมีผู้ต้องหาตามหมายจำคุกเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยเครื่องบินโดยสาร ว่า ก็เป็นธรรมดา เพราะนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประกาศเองว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยช่วงวันคล้ายวันเกิดวันที่ 26 ก.ค.นี้ แต่ขณะนี้ใกล้ถึงวันเกิดก็ยังไม่ได้ข่าวคืบหน้า ซึ่งหากเดินทางกลับมาเมื่อไหร่ เขาก็คงติดต่อมาและจะได้ดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอน ก็เป็นเรื่องธรรมดาซึ่งการเดินทางกลับมาก็เกี่ยวพันกับตำรวจ กรมราชทัณฑ์ ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมการในส่วนของเขา

เมื่อถามว่าจะมีการประชุมหรือหารือกันอย่างไรบ้าง นายวิษณุ กล่าวว่า ขอไม่เปิดเผยในเรื่องนี้

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าการข่าวมีความเป็นไปได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ท่านเป็นคนพูดเอง ถ้าท่านไม่พูดก็คงไม่มีอะไรต้องทำ ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่มีการขยับหรือเคลื่อนไหวอะไร ตนในฐานะรักษาการ รมว.ยุติธรรมก็ต้องได้รับรายงาน ซึ่งจากที่ตนได้สอบถามก็ยังไม่มีรายงานว่าจะกลับหรือไม่เมื่อไหร่ เพราะที่บอกว่าจะกลับท่านเป็นคนพูดเอง ว่าจะกลับก่อนวันเกิด แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ซึ่งก็ไม่ทราบอาจจะกลับก่อนหรือหลังก็ได้

เมื่อถามอีกว่าโดยหลักการแล้วหากนายทักษิณจะเดินทางกลับจะต้องมีการประสานตรงจุดไหนอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ขอไม่ตอบตรงนี้ เพราะมันไม่ดีกับตัวนายทักษิณและรัฐบาล ซึ่งหากนายทักษิณกลับมาก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการ และตัวนายทักษิณเองก็ทราบว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง 

เมื่อถามด้วยว่าจะต้องเข้าสู่กระบวนการก่อนถึงจากขอพระราชทานอภัยโทษได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ ซึ่งไม่มีการกำหนดว่าจะต้องจำคุกกี่วัน ถึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ ส่วนจะโปรดเกล้าฯ พระราชทานเมื่อใด นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

เมื่อถามย้ำว่าหากนายทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยจะสามารถเข้าไปอยู่ในสถานที่คุมขังพิเศษหรือเฮาท์ อาเรซได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ต้องขออภัยที่ตนอธิบายไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพของเขา ซึ่งมันกระทบกับความสงบเรียบร้อยด้วย แต่ก็ไม่ผิดที่สื่อจะอยากรู้แต่ถ้าตนตอบตนก็ผิด

ส่องปฏิกิริยา 'พิธา' หลัง กกต.มีมติส่งศาล รธน.ปมไอทีวี ท่าทีเคร่งขรึม รับวันรัฐสภาเดินหน้าโหวตเลือกนายกฯ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รับเดินทางออกจากห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรทันที หลังทราบข่าวคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณีถือหุ้นสื่อ (ไอทีวี) 42,000 หุ้น พร้อมให้ฝ่ายสำนักงาน ส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญทันที

พิธาเดินออกไปด้วยท่าทีเคร่งขรึม ผิดไปจากแต่ก่อน ซึ่งก็ควรจะเคร่งขรึม เพราะพรุ่งนี้รัฐสภานัดลงมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ และเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี กำลังจะโหวตอยู่แล้ว แต่กลับมีเรื่องใหญ่มาดักหน้าพอดี

แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า คุณสมบัติของพิธาในเวลานี้ยังครบถ้วนสมบูรณ์ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมา ขบวนการในวันนี้ จะเป็นแค่งานธุรการ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็จะรับเรื่องไว้ แต่โดยขั้นตอนยังไม่น่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ทันในวันนี้ คงต้องผ่านขั้นตอนปกติในคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ก่อนนำเข้าที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

โดยสรุปพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) ก็จะเป็นการประชุมตามปกติของรัฐสภา และเดินหน้าโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ส.ได้เวลาอภิปราย 4 ชม. สว.ได้เวลา 2 ชม.ส่วนฝ่ายตอบยังไม่ได้จำกัดเวลา ขึ้นกับดุลยพินิจของประธานรัฐสภา

‘ปรเมษฐ์’ ยก ‘ลุงตู่’ เหนื่อยเพื่อชาติ ผลงานเด่นชัด แต่ ‘ก้าวไกล’ คงเหนื่อยหนัก ยิ่งใกล้วันตัดสินชะตา

(12 ก.ค.66) จากไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กของ ‘นายปรเมษฐ์ ภู่โต’ สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ออกอากาศทางช่อง NBT ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีใจความว่า...

“การประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยโพสต์ลงในเพจ Facebook ของพรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น ถือว่าเป็นที่ชัดเจนแน่นอนและปลดล็อกในหลายเรื่อง โดยในสาระสำคัญของประกาศดังกล่าวนั้น ได้มีการพูดถึงความตั้งใจของท่านที่ได้เข้ามาทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศชาติ แล้วก็ขอบคุณพี่น้องประชาชน รวมทั้งฝากฝังพี่น้องประชาชนให้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

“ฉะนั้นหากใครที่ยังคิดว่า ลุงตู่จะมีแผนไม้ 1 ไม้ 2 ไม้ 3 เพื่อวางแผนจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถึงเวลานี้ก็น่าจะ ‘เลิกคิดกันได้แล้ว’ แต่แน่นอนว่ายังมีคนมองไปอีกหลายมุม ว่าถ้าลุงตู่ไม่อยู่แล้ว เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ‘คุณพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่ ‘คุณเอกนัฎ พร้อมพันธุ์’ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่า ประการแรก จะไม่ขอร่วมรัฐบาลกับพรรคที่จะแก้หรือยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 และ ประการที่ 2 จะไม่เอาแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อย”

อย่างไรก็ตาม หากมองตามเกมการเมืองแล้ว นายปรเมษฐ์ เชื่อว่า “หลายคนคงเริ่มมองออกว่า พรรคก้าวไกล อย่างไรก็ไม่น่าจะไปต่อได้ และนั่นก็อาจจะเกิดสมการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ดึงพรรคภูมิใจไทย, พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติไปรวมกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะว่า ‘เมื่อไม่มีลุงอยู่แล้ว’ ก็จะหมดเงื่อนไขในการไม่มาร่วม

“ถึงกระนั้น ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้โพสต์ Facebook เกี่ยวกับการลาออกของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยบอกว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้หารือเกี่ยวกับเส้นทาง ทางการเมือง โดยได้บอกกับคุณพีระพันธุ์ว่า ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้นไม่มีความประสงค์จะแสวงหาอำนาจทางการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แค่อยากขอโอกาส สอนงานต่อในสิ่งที่มุ่งหวังตั้งใจ แต่เมื่อไม่มีโอกาสนั้น หรือก็คือการเลือกตั้งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ได้เสียงมาไม่มากพอ รวมทั้งตัวท่านพลเอกประยุทธ์เองก็ถูกนำไปโยงให้พรรครวมไทยสร้างชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์...ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของท่าน ซึ่งมีความเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอ และเกรงว่าจะทำให้พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นมีปัญหา รวมทั้งมีการพยายามสร้างประเด็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงมีประกาศดังกล่าวออกมา”

นายปรเมษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า “หากมองภาพการณ์ดังนี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า ลุงตู่ คงอยากจะทำงานทางการเมืองต่อ แต่ไม่ใช่เพราะอยากจะแสวงหาอำนาจ แต่อยากจะเข้ามาสานงานต่อ อย่างที่พวกเราคนไทยก็ได้รู้กันว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ทำงานหลายสิ่งหลายอย่างไว้ เยอะแยะ ซึ่งหลายโครงการนั้นก็ต้องการ การสานงานต่อ มิเช่นนั้นประเทศชาติจะเสียโอกาส อย่างเช่นโครงการ EEC ที่ตอนนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก หรือแม้กระทั่ง แนวคิดแกนหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศนั่นก็คือ การวางรากฐานอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็ได้มาลงทุนตั้งโรงงานเพื่อผลิตขายในประเทศไทยและก็ส่งออก โดยประเทศไทยก็ตั้งไว้ว่าจะเป็น ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนี้ก็คือสิ่งที่จะต้องสั่งงานต่อเพราะว่าเราได้ทำมาเยอะแล้ว แต่ก็น่าเป็นห่วงว่า ถ้าหากรัฐบาลใหม่ไม่สานงานต่อมันก็จะเสียโอกาสของประเทศชาติ”

นายปรเมษฐ์ ชี้ให้เห็นภาพอีกว่า “สิ่งที่อยากจะคุยในวันนี้ก็คือว่า ถ้าเราไม่ปิดตาปิดใจกันจนเกินไปกับสิ่งที่ลุงตู่ทำมา เราก็จะเห็นว่า ‘วาทกรรม 8 ปีไม่มีอะไรนั้น’ มันเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อด้อยค่าคนทำงานคนหนึ่ง ถ้าเราเอาเรื่องหนัก ๆ ในการทำงานลุงตู่มาวิเคราะห์กัน ก็จะเห็นว่า ท่านเข้ามาในช่วงที่บ้านเมืองมีปัญหา มีขยะอยู่ใต้พรมมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องของประมง ที่เราถูกสารภาพยุโรป EU ให้ใบเหลือง ทำให้เรามีปัญหาในการส่งสินค้าประมงออกไปขายในสหภาพยุโรป ทำให้เขามีมาตรการที่กีดกันเรา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา สะสางปัญหา สุดท้ายก็แก้ปัญหาได้จนสหภาพยุโรป EU ยกเลิกใบเหลือง หรือแม้แต่เรื่องของการบินพลเรือน ที่เราถูกสหภาพการบินพลเรือนให้ธงแดงเพราะว่า เราไม่มีมาตรฐาน สุดท้ายเราก็แก้ปัญหานี้ได้จากความร่วมมือกันของทุก ๆ ฝ่าย

“ท่านพลเอกประยุทธ์พูดเสมอ ว่าประเทศไทยติดอยู่ในกับดักของประเทศที่มี ‘รายได้ปานกลาง’ มายาวนาน ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงไม่สามารถหลุดพ้นจากกลับจากนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าเรา ‘ไม่มีโครงการใหญ่ ๆ ที่จะพาให้ประเทศนั้นพุ่งไปข้างหน้า ได้อย่างมีพลัง’ ท่านพลเอกประยุทธ์ จึงพยายามที่จะผลักดันโครงการ EEC ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ให้เราเห็นแล้วว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาเข้ามาทำงานนะ”

นายปรเมษฐ์ กล่าวอีกว่า “หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่ารัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างยกตัวอย่างเช่นรถไฟรางคู่ มีทั้งที่ทำเสร็จแล้วมีทั้งที่อนุมัติโครงการไปแล้ว มีทั้งที่กำลังก่อสร้าง ก็ต้องถือว่าประเทศไทยได้พัฒนาระบบรางไปมากมาย ถือว่าเป็นยุคที่มีการก่อสร้างทางรางมากที่สุด ยกตัวอย่าง 1 โครงการ ก็คือ รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเส้นทางนี้มีการศึกษากันมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2503 แต่ก็ไม่ได้ก่อสร้างกันสักทีมาถึงยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่กำลังลงมือก่อสร้างกัน ขณะที่อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดง อย่างการก่อสร้างระบบรางในกรุงเทพฯและปริมณฑล นั่นก็คือ ‘การสร้างรถไฟฟ้า’ ที่ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็คือผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์”

นายปรเมษฐ์ เสริมด้วยว่า “แต่ก็ต้องยอมรับกันว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกอยู่ในวงล้อมของสงครามสื่อ ที่เสียเปรียบ เวลาทำเรื่องอะไรที่มันดี ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ก็ไม่มีการเอาไปขยายผลเท่าที่ควร แต่ถ้าหากพลาดอะไรไปนิดเดียว หรือบางทีไม่ได้พลาดเลย แต่ก็มีเฟกนิวส์เข้ามาโจมตีกันเต็มไปหมด กลายเป็นการสร้างความรู้สึก ‘เบื่อลุงตู่’ แบบผลิตซ้ำขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งคนส่วนหนึ่งที่รับข้อมูลแค่บางด้านบางมุม ก็รู้สึกคล้อยตาม แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรต้องให้ความเป็นธรรมกับคนที่เขาทำงาน”

หลังจากจบประเด็นการประกาศวางมือทางการเมืองของ พลเอกประยุทธ์ แล้ว นายปรเมษฐ์ ยังได้วิเคราะห์ต่อถึงอนาคตของ ‘พรรคก้าวไกล’ อีกด้วยว่า “ความคืบหน้าของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ วันนี้พรรคก้าวไกล รวบรวมเสียงของ ส.ว.ได้เท่าไหร่แล้ว เพราะจุดชี้ขาดที่แท้จริงที่จะทำให้ ‘นายพิธา’ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็คือเสียงของ ส.ว. ต้องได้เสียงของ ส.ว. อย่างน้อย 67 เสียง 

“โดยปัจจุบันฟากแนวร่วมก่อตั้งรัฐบาลก็มีเสียงของ ส.ส. 312 เสียงแล้ว แต่ต้องได้เสียงรวมกันอย่างน้อย 376 เสียง ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณศิริกัญญา ตันสกุล ผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาให้ข่าวว่าได้เสียงสนับสนุนครบแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดนี้ ก็ทำให้บรรดาด้อมส้มก็ตีปีกกันใหญ่เลย แต่เมื่อมาดูความเป็นจริงกัน เสียงของ ส.ว.ประมาณ 70 เสียง ที่คุณศิริกัญญา พูดถึงก็ยังไม่เห็นว่ามีใครบ้าง แต่จากแหล่งข่าวก็เห็นอยู่ว่ามีเสียงอยู่แค่ประมาณ 20 คน และ 1 ใน 20 คนนั้นก็คือ ‘ครูหยุย’ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ซึ่งครูหยุยก็ได้โพสต์ Facebook บอกว่าตัวเลข ส.ว. ที่สนับสนุนนั้นมีอยู่แค่เพียง 10 คน เท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ก็ตรงกับสำนักข่าวหลายๆ สำนักที่ได้คำนวณกันไว้

“ยิ่งล่าสุด นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ได้เล่าให้ฟังว่า ในการประชุมพรรคร่วม ก็มีการถามไถ่พรรคก้าวไกลด้วยว่า ได้รวบรวมเสียง ส.ว. ได้กี่เสียงแล้ว? ซึ่งคุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ได้ตอบว่า ไม่ได้มีเสียง ส.ว. หนุนเท่าไร แต่ก็กำลังพยายามหาอยู่ ซึ่งมันขัดแย้งกับสิ่งที่คุณศิริกัญญา ได้เคยพูดไว้ โดยตรงกันข้ามกันเลย”

ฉะนั้น หากให้พูดตามความจริง แบบไม่ปั้นแต่ง...สถานการณ์ของ ‘พรรคก้าวไกล’ กับความหวังในการดันนายพิธาเป็นนายกฯ ก็ร่อแร่พอสมควร...

‘ชัยวุฒิ’ โพสต์ข้อความสุดซึ้งถึง ‘บิ๊กตู่’ พร้อมขอบคุณที่ให้โอกาสทำงานรับใช้ ปชช.

(12 ก.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ได้ประกาศวางมือทางการเมือง โดยระบุว่า สำหรับผมขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้โอกาสผมได้เข้ามาทำงาน... 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ และความเป็นคนจิตใจดีของท่านนายก ฯ ท่านอาจจะพูดไม่หวาน เป็นคนตรงไปตรงมา แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความจริงใจ ความตั้งใจ พลังศรัทธา ความเสียสละ ที่มีต่อชาติ เเละบ้านเมืองของเรา ทำให้ 9 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยของเรา พัฒนาและก้าวหน้าไปในทุก ๆ ด้าน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้จะเกิดวิกฤติที่เข้ามาทั้งสถานการณ์โควิด 19 และสถานการณ์การเมืองบนความขัดแย้ง 

“ความขัดแย้ง” ทำให้สิ่งที่ผมพูดวันนี้ บางคนอาจจะยังมองไม่เห็น หรือ ไม่เข้าใจ เเต่ถ้าวันที่ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนนี้เเล้ว ผมเชื่อว่าในที่สุดทุกคนจะมองเห็นและเข้าใจครับ 

ผมอยากฝากเพลงนี้ถึงท่านเป็นเพลงที่ผมชอบ เป็นเพลงที่ผมคิดถึง เพลง ของลุงตู่ครับ …คนดีไม่มีวันตาย 

ขอบคุณคลิปจาก PMOC

‘เศรษฐา’ เชียร์ ‘กิตติรัตน์ ณ ระนอง’ นั่งนายกฯ บอลไทย ชี้!! เป็นคนกว้างขวาง - ทุ่มเท - ซื่อสัตย์สุจริต

(12 ก.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ระบุ ‘กิตติรัตน์ ณ ระนอง’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้จัดการทีมชาติไทย มีคุณสมบัติคู่ควรกับการเป็น นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย

นายเศรษฐา ระบุว่า “ผมสนับสนุนคุณกิตติรัตน์ครับ ฟุตบอลไทยต้องการคนที่ทุ่มเท เข้าใจสภาพแวดล้อมทั้งหมดของกีฬาประเภทนี้ ไม่ใช่คนที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติ คุณกิตติรัตน์เป็นคนที่ทุ่มเท ทำอะไรทำจริง ซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่เคารพรักของทุก ๆ คน ไม่ใช่แค่วงการกีฬาอย่างเดียว วงการสื่อวงการธุรกิจมีเพื่อนฝูงมากมาย”

“การที่ได้คนดีคนซื่อสัตย์มาบริหาร จะนำความมั่นใจกลับมาสู่สมาคมฟุตบอลไทยพร้อมทั้งจะได้สปอนเซอร์อีกมากมายทำให้สถานภาพการเงินของสมาคมดีขึ้นนำมาพัฒนาฟุตบอลลีกไทยได้ไม่ต้องมีการค้างจ่ายค่าเตะของนักฟุตบอลถึงเวลาแล้วครับที่สังคมต้องต้อนรับคนดี ๆ ”

‘เพื่อไทย’ เร่งหาสาเหตุ ‘ทางยกระดับลาดกระบังถล่ม’ เยียวยาผู้เสียหาย ควบคุมการก่อสร้างทุกพื้นที่ทันที

(12 ก.ค.66) ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเหตุการณ์โครงการก่อสร้างทางยกระดับถนนอ่อนนุช-ลาดกระบังทรุดตัวจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บว่า พรรคเพื่อไทยขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้ได้รับความเสียหายทุกท่าน 

ทั้งนี้ ตัวแทนของพรรคเพื่อไทยนำโดย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขตลาดกระบัง และ ดร.สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตลาดกระบัง ได้เข้าประสานงานช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายทันทีที่รับทราบสถานการณ์ และขอแสดงความขอบคุณต่อหน่วยงานของกรุงเทพมหานครที่เข้าดำเนินการต่อสถานการณ์ดังกล่าวด้วยความรวดเร็ว

พรรคเพื่อไทย ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการที่เร่งด่วนในการดำเนินการต่อไป ดังนี้...

1. เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าวอย่างโปร่งใส และนำเสนอความคืบหน้าในการตรวจสอบให้สาธารณชนอย่างต่อเนื่อง 

2. เร่งกำชับการกำกับดูแลการก่อสร้างในทุกพื้นที่ และตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เดินทางผ่านพื้นที่ก่อสร้างต่าง ๆ และประชาชนโดยรอบ ได้มีความสบายใจในการดำเนินกิจกรรมตามปกติ 

3. เร่งรัดมาตรการเยียวยาแก่ผู้เสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

'วันนอร์' เคาะเริ่มโหวตเลือกนายกฯ 5 โมงเย็น 13 ก.ค. จับตา 8 ชั่วโมงแห่งการตัดสินชะตานายกฯ คนที่ 30

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยมติที่ประชุม 3 ฝ่ายเตรียมความพร้อมในการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ โดยสรุป คือ จะมีการอภิปรายและจะโหวตกันได้ในเวลา 17.00 น. โดย ส.ว. ได้เวลา 2 ชั่วโมง และ ส.ส.จากทุกพรรคการเมืองได้เวลารวม 4 ชั่วโมง

น่าจะสนุก...เมื่อเปิดประชุมรัฐสภาแล้ว เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ต่อด้วยให้สมาชิกอภิปราย ส.ว.ได้เวลาอภิปราย 2 ชั่วโมง ส.ส.ได้เวลาถึง 4 ชั่วโมง แต่ไม่มีรายละเอียดว่า ให้เวลากับคนที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีกี่นาที กี่ชั่วโมง

เข้าใจว่า 6 ชั่วโมงที่สมาชิกรัฐสภาได้มาเป็นช่วงเวลาของการซักฟอกยกแรกสำหรับชื่อ 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' และจะเป็นโอกาสของพิธาในการได้อธิบายนโยบาย หรือแนวทางของพรรคก้าวไกล ที่สังคม และสมาชิกรัฐสภายังกังขาอยู่

เป็น 6 ชั่วโมง บวกกับการชี้แจงของพิธาอีก 2 ชั่วโมง รวมเป็น 8 ชั่วโมง น่าจะเป็น 8 ชั่วโมงที่น่าสนใจติดตามชมการถ่ายทอดสดเป็นอย่างยิ่ง

คอการเมืองไม่ควรพลาดสำหรับ 8 ชั่วโมงนี้ จะได้กระจ่างกันทั้งสองฝ่าย และจะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ตรงประเด็น ไม่ต้องถามกันไปมา และทำให้การสื่อสารผิดเพี้ยนไปอีก

‘ปิยบุตร’ เปรียบเปรย!! ผู้กำกับบท จับหนังม้วนเก่ามาฉายซ้ำ หลัง กกต.ไร้มาตรฐานในเรื่องระยะเวลาในการพิจารณา ‘พิธา’

(12 ก.ค.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

[หนังม้วนเก่ากำลังกลับมาฉายซ้ำ]

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมได้แถลงข่าว ชี้ให้เห็นว่า เกิดกรณีไม่มีมาตรฐานในเรื่องระยะเวลาในการพิจารณาของ กกต. 

กรณีลักษณะต้องห้ามของ ดอน ปรมัตถ์วินัย กกต.ใช้เวลา พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 386 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 70 วัน และไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

กรณีลักษณะต้องห้ามของ 4 รัฐมนตรีสมัยรัฐบาล คสช. กกต.ใช้เวลาพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 355 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 75 วัน และไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว 

แต่กรณีของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กกต.ใช้เวลาพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 51 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 7 วัน และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว 

กรณีของธนาธรกลายเป็นสถิติที่ กกต. พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามและศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องได้รวดเร็วที่สุดราวกับนั่งรถไฟความเร็วสูง 

มาวันนี้ 4 ปีผ่านไป 

ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศใช้อำนาจของตนร่วมกันแสดงเจตจำนงสนับสนุนให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี คะแนนเสียงถล่มทลาย คะแนนเสียงมากกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ 

แต่พิธา ก็ยังถูก ‘นิติสงคราม’ กระทำซ้ำ และทำลายสถิติการพิจารณาคำร้องของ กกต. อย่างรวดเร็ว 

หากพิจารณานับจากวันที่เรืองไกร ยื่นคำร้องต่อ กกต.ซ้ำอีกครั้งในวันที่ 20 มิถุนายน ก็เท่ากับว่า กกต.ใช้เวลาพิจารณา 32 วันเท่านั้น!!!

พวกเขา บรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเอาหนังม้วนเดิมกลับมาเล่นใหม่ หนังม้วนนี้เล่นกันมาเกือบ 20 ปี แล้ว 

เราจะให้มันจบแบบเดิม อย่างนั้นหรือ???

ฉากทัศน์ 13 กรกฎา ตอกย้ำ 'พิธา' ไม่ผ่านด่าน 376 เสียง รัฐบาลหน้าไม่มี 'ก้าวไกล' แต่มี 'รวมไทยสร้างชาติ'

สถานการณ์การเมืองเขม็งเกรียวถึงจุดเลี้ยวโค้งสำคัญ...การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย ซึ่งนาทีนี้แน่นอนแล้วว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เหตุเพราะนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศวางเมืองทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้ร่ำลาผ่านเพจของพรรคเรียบร้อยไปแล้ว...

บางคนบอกว่าตราบใดที่ยังเป็นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อย่าเพิ่งตัดชื่อบิ๊กตู่ออกไป แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอบอกว่าอย่าไปคิดมากขนาดนั้น ปวดหัวเปล่าๆ

'ลุงตู่' แกบอกเป็นนัยแล้วว่า...ท้องฟ้าแจ่มใส...ไม่ใช่หรือ?

เอาเป็นว่า...เรามาสรุปเหตุบ้านการเมือง และการเลือกนายกรัฐมนตรีกันดีกว่า...

>> อันเนื่องจากการประกาศวางมือการเมืองของบิ๊กตู่ โดยลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ  ไม่เพียงทำให้ตัวเลือกนายกรัฐมนตรีชัดเจนขึ้นเท่านั้น ยังทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียงเป็นตัวแปรในการจัดสูตรรัฐบาลที่ไม่มีพรรคก้าวไกลได้ง่ายขึ้น เพราะอย่างน้อยพรรคนี้ 'ไม่มีลุง' แล้ว  หากแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้บทบาทและรับข้อเสนอของพรรค 36 เสียงพรรคนี้ได้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น...

>> สถานการณ์การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.ซึ่งผลจากประชุมวิปฝ่ายต่างๆ ทำให้ทราบว่าจะลงคะแนนโหวตกันจริงๆ ก็ประมาณ 5 โมงเย็น  โดยก่อนหน้านั้นจะเป็นการอภิปรายถกเถียงกันในประเด็นต่างๆ รวมถึงการแสดงวิสัยทัศน์แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะมีเพียงผู้เดียวคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

>> ทั้งนี้การอภิปรายที่จะถกเถียงกันให้วุ่นวายแน่นอนก็คือ กฎกติกามารยาทในการโหวต ตั้งแต่การลงมติที่ฝ่ายหนึ่งต้องการให้โหวตแยกทีละสภานัยว่าเพื่อจะเอา 312 เสียงไปเกทับ 250 เสียงของส.ว. อีกฝ่ายบอกต้องคละเคล้ากันไปตามลำดับอักษรรายชื่อ จนไปถึงความพยายามของฝ่ายพรรคก้าวไกลที่คงขอสงวนสิทธิ์ในการเสนอชื่อนายพิธาเป็นครั้งที่สองหรือครั้งที่สามหากครั้งแรกไม่ผ่าน  376 เสียง ในขณะที่ฝ่ายสมาชิกวุฒิสภาหลายคนโดยเฉพาะนายเสรี สุวรรณภานนท์ ได้เงื้อข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 ไว้คัดง้างแล้ว..

เอ้า!! ดูข้อบังคับข้อที่ 41 ประดับความรู้ไว้นิด

“ญัตติใดตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นมาเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เว้นแต่ญัตติที่ยังมิได้มีการลงมติหรือญัตติที่ประธานรัฐสภาจะอนุญาต ในเมื่อพิจารณาเห็นว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป”

ครับ...แค่เรื่องนี้ก็คงเถียงกันลั่นรัฐสภา...แต่ทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรน่าสนใจว่าในที่สุดจะมีเสียงโหวตสนับสนุนเกินจาก 311 เสียงของ 8 พรรคไปกี่เสียง มีเสียง ส.ว.สนับสนุนกี่เสียงกันแน่ เพราะข้อมูลของ 'เล็ก เลียบด่วน' มากสุดยังนิ่งอยู่ที่ 15 เสียงบวกลบ...สรุปคือพิธาสอบไม่ผ่าน...ดูอาการของแกนนำพรรคก้าวไกลก็พอจะรู้...ดูออก

>> พูดไปทำไม...สถานการณ์ตอนนี้วงในการเมืองนั้นข้ามช็อตออกแบบสูตรรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกันแล้ว...โจทย์ของพรรคเพื่อไทยตอนนี้คือ ถ้าพรรคก้าวไกลยึดคาถาเพื่อไทยไปไหนก้าวไกลไปด้วยขึ้นมาจะสลัดได้อย่างไร...เพราะทั้งพรรครัฐบาลขั้วเดิมและ ส.ว.ส่วนใหญ่นั้น นอกจากไม่โหวตให้พิธาแล้ว  ยังไม่เอาพรรคก้าวไกลด้วย...

มีการพูดกันถึงขั้นที่ว่า...สมมุติช็อตต่อๆ ไปพรรคเพื่อไทยเสนอ 'เศรษฐา ทวีสิน' เป็นนายกฯ แต่ส่วนผสมรัฐบาลมีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ด้วย คะแนนเศรษฐาก็จะไม่ผ่าน 376 เสียง...สุดท้ายอาจเลี่ยงไม่พ้นที่จะเปลี่ยนเป็น 'อุ๊งอิ๊ง' หรือ 'อนุทิน' หรือ 'ลุงป้อม' เป็นนายกฯ ของรัฐบาลที่ไม่มีพรรคก้าวไกล...

แต่มี รวมไทยสร้างชาติ !!

ด่วน!! ‘กกต.’ เชือด ‘พิธา’ ส่งศาล รธน.ฟันพ้น ส.ส. ปมหุ้น ITV พร้อมขอสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จับตานำเรื่องเข้าพิจารณาบ่ายนี้

12 ก.ค. 66 ที่ประชุมกกต.มีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อและแคนดิเนตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ประกอบมาตรา 101 (6) หรือไม่จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวีจำกัดมหาชนจำนวน 42,000 หุ้น รวมทั้งมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย หลังใช้เวลากว่า 3 วัน รับฟังและพิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขอสำนักงาน กกต.แล้วเห็นว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานเพียงพอให้เชื่อว่ามีเหตุตามที่มีการยื่นคำร้องจริง โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ได้ลงนามในคำร้องและมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานฯนำไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญทันที

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าในส่วนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีการนัดประชุมประจำสัปดาห์วันนี้ในช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. ซึ่งต้องจับตามองว่าสำนักงาน กกต. จะส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญทันหรือไม่ และหากทันคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการนำคำร้องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาเลยหรือไม่

'โบว์ ณัฏฐา' ตั้งคำถามถึง 'พิธา' หากยืนยันความจงรักภักดีขนาดนั้น เหตุใดจึงเลือกคนที่โด่งดังจากการด่าเจ้ามาเป็น ส.ส.ของพรรค

(12 ก.ค. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ยังไม่ได้ดูเรื่องเล่าเช้านี้ และไม่ทราบว่าคุณพิธาได้ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างไรบ้าง แต่หากมีการยืนยันความจงรักภักดีขนาดนั้นจริง เราคิดว่าพรรคก้าวไกลต้องตอบคำถามสังคมจริง ๆ แล้วค่ะ ว่าทำไมจึงเลือกคนที่โด่งดังมาจากการแสดงความคิดเห็นสาธารณะตามที่ปรากฏในภาพนี้มาเป็น ส.ส.ของพรรคได้ จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นคงไม่ได้จริงๆ เพราะไม่ใช่เหตุการณ์เก่าๆและไม่ได้ไปแอบโพสต์ที่ไหน แต่โพสต์ในขณะที่เริ่มมีชื่อเสียงจากการ “ขับเคลื่อนสังคมด้วยการด่า” แล้ว และในพรรคก็ไม่ได้มีแบบนี้คนเดียวด้วย โดนคดีจากการแสดงออกลักษณะนี้ก็หลายคน นับเท่าที่เป็นการแสดงออกต่อสาธารณะ 

ยังไม่ต้องอภิปรายว่าคนเราต้องจงรักภักดีหรือไม่แค่ไหนอย่างไร (ส่วนตัวคิดว่าแค่ไม่ทำร้ายทำลายกันก็ยังดี) แต่ถามว่าสิ่งที่พูดกับการกระทำที่ผ่านมาหลายอย่าง มันย้อนแย้งกันมากเกินไปหรือไม่? กลุ่มเคลื่อนไหวที่มีพฤติกรรมหนักกว่านี้มาก พรรคก้าวไกลเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันมาขนาดไหน ทุกคนก็เห็น 

ร่างเสนอแก้ 112 ของพรรคก้าวไกล ก็มีเนื้อหาที่มีปัญหาและไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ร่างมาแบบแทบไม่เหลือความคุ้มครอง โทษต่ำกว่าหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาด้วยการโฆษณา มีเจตนาดึงสำนักพระราชวังมาเป็นผู้ฟ้อง ด้วยเหตุผลว่าคนที่เดือดร้อนจากการถูกหมิ่นก็ต้องฟ้องเอง เปิดช่องให้เกิดการลดทอนสถานะสถาบันหลักของชาติอย่างชัดเจน แล้วยังผลักดันการนิรโทษกรรมให้การกระทำเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นภายใต้การรับรู้และติดตามอย่างใกล้ชิดของพรรคก้าวไกลในช่วงสามปีที่ผ่านมา 

ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะไว้ใจพรรคการเมืองที่ปากอย่างใจอย่างได้อย่างนั้นหรือ?

‘นพ.เจตน์’ ฉุน!! สื่อประโคมข่าวโหวต ‘พิธา’ นั่งนายกฯ  ลั่น!! ถ้ายังแตะ ม.112 จะไม่ได้ 64 เสียงจากตนและพวก

(12 ก.ค. 66) นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีการเผยแพร่รายชื่อตามโซเชียลมีเดียว่าเป็น 1 ใน 20 สว. โหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

เล่นไม่เลิก

กรณีสื่อทั้งหลายจับชื่อผมไปอยู่ข้างที่จะโหวตให้พิธา ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ แม้จะปฏิเสธอย่างไร แม้จะโพสต์ FB และพูดจุดยืนชัดเจนผ่าน TV และสื่อไปหลายครั้งแล้ว

ในขณะที่ไม่มีคนของพรรคติดต่อ Lobby มา เข้าใจว่าคงไม่อยากเสียเวลาเปล่า

เชื่อว่าเจตนาเป็นเช่นเดียวกับที่พยายามออกข่าวว่า หาเสียง ส.ว. สนับสนุนได้เพียงพอแล้ว
ทั้งที่รู้กันดีว่า เสียงยังขาดอีกเยอะ ผสมกับการออกปลุกระดมทั่วประเทศของหัวหน้าพรรค

เพื่อสร้างความรู้สึกโกรธแค้นให้ด้อมส้ม

เมื่อผิดหวังในวันที่ 13 ก.ค. ความรู้สึกย่อมรุนแรงขึ้น

แต่ ถ้ายังแตะม.112 อยู่
ไม่ได้ 64 เสียงจากผมและเพื่อน สว. แน่นอนครับ

อ๋อม - สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดงชื่อดัง อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โพสต์อินสตาแกรม oomsakaojai

(12 ก.ค. 66) จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศวางมือทางการเมือง

ล่าสุด อ๋อม - สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดงชื่อดัง อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โพสต์อินสตาแกรม oomsakaojai ระบุว่า ประกาศวางมือแล้วยังไม่พอนะ แต่ต้องสำนึกผิดและขอรับโทษกับการก่อกรรมที่ทำไว้ด้วย และย้ายบ้านซะ เปลืองงบว่ะ จะดีกว่าแค่วางมือ

‘บิ๊กป้อม’ กร้าว!! ไม่เอาพรรคแก้ ม.112 ย้ำ ส.ส. ในพรรค ออกเสียงโหวตเป็นเอกภาพ

(11 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ในที่ประชุม ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเป็นประธาน ใช้เวลาหารือถึงทิศทางการโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ค่อนข้างนาน และได้เปิดให้ ส.ส.แสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย โดยช่วงหนึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “พรรคเราต้องเป็นเอกภาพ เราจะไม่เอาคนที่ไม่เอามาตรา 112 และวันที่ 13 ก.ค.นี้ อาจจะโหวตงดออกเสียง” 

ขณะที่ ส.ส.อาวุโสรายหนึ่งได้แสดงความเห็นว่า มองว่าการงดออกเสียงก็เหมือนกับไม่เห็นชอบแล้ว ขณะนี้กระแสสังคมค่อนข้างแรง ถ้าโหวตไม่เห็นชอบเลยอาจจะมีผลกระทบ ต่อส.ส.ในพื้นที่ 

ด้านร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือได้ แสดงความเห็นว่าส.ว.หลายคนออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะลงมติงดออกเสียง จนพล.อ.ประวิตร ระบุว่า ค่อยว่ากันอีกทีในวันโหวต ทั้งนี้ระหว่างประชุม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประกาศวางมือทางการเมือง และลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยเมื่อนายมิ่งขวัญเห็นข่าว จึงได้แจ้งกับที่ประชุมว่า พล.อ.ประยุทธ์วางมือทางการเมือง แต่ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้พูดอะไร เช่นเดียวกับ ส.ส.ที่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรต่อเรื่องนี้

‘โบว์ ณัฏฐา’ กระเทาะมุมการเมือง ‘พอล ภัทรพล’ ชี้!! กดดัน 188 ส.ส.โหวตพิธา “มันไปกันใหญ่แล้ว”

(11 ก.ค. 66) จากประเด็นที่ ‘พอล ภัทรพล’ อดีตพิธีกรและนักแสดงชื่อดัง ได้ออกแสดงความเห็นทางการเมือง โดยการกดดัน ส.ส. 188 เสียง ให้มาโหวต ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกฯ เนื่องจากบริบททางการเมืองที่ไม่ปกติ รวมถึงยังมีเสียงแตกของ ส.ว. เป็นการสื่อให้เห็นถึงการการเรียกร้องเพื่อที่จะทำให้เสียงข้างมากได้ทำงานนั้น ทาง ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้กล่าวประเด็นดังกล่าว โดยมองว่ายังไม่ถูกต้อง

ขณะที่ด้านพิธีกรร่วมอย่าง คุณตรีณปางศ์ มณีชาตรี ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามองเห็นว่า ‘คุณพอล’ เป็นบุคคลที่มีศักยภาพที่จะให้ความเห็นในเรื่องของการลงทุน หรือการเทรดเงินต่าง ๆ ซึ่งอันนี้ก็ต้องยอมรับว่าเขามีความรู้ในเรื่องนี้จริง แต่พอมาให้ความเห็นในเรื่องทางการเมือง เขายังไม่รู้จริงในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นได้ง่าย ๆ ผ่านข้อความที่เหมือนกับถูกสคริปต์มา จากข้อมูลที่ไปได้มาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้มองเห็นบริบททางการเมืองทั้งระบบ เพราะฉะนั้นเราเองก็รู้สึกว่าแค่พอฟังได้”

ด้าน ‘โบว์ ณัฏฐา’ เสริมต่อว่า “รับฟังได้ แต่รู้สึกว่ามันฟังไม่ขึ้น เพราะล่าสุดที่ได้ฟังมารู้สึกเลยว่า ในเชิงหลักการมันผิด อย่าง ส.ส. แต่ละคนจากพรรคการเมืองที่อยู่ในด้าน 188 เสียง ตอนเขาไปหาเสียง เขาพูดอะไร? นี่คือคุณรวมพวกแบบรวมไทยสร้างชาติด้วยนะ อย่างรวมไทยสร้างชาติตอนไปหาเสียงมันก็ตรงกันข้ามกับก้าวไกลและคุณพิธา คือไม่เอาแนวทางนำพาบ้านเมืองแบบนี้ และประชาชนก็ได้เลือกเขามา และคนเหล่านั้นเป็นประชาชนเช่นกัน เมื่อถึงเวลาคุณจะมาบอกให้เขาเอาเสียงที่ได้รับมาจากประชาชน เพื่อไปโหวตให้กับสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์ของโหวตเตอร์เขาเหรอ? มันไปกันใหญ่แล้ว”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top