Thursday, 8 May 2025
POLITICS NEWS

“เลขาฯก้าวไกล” เชื่อ เม.ย.-พ.ค. การเมืองร้อนแรง ปชช.ไม่เอา “บิ๊กตู่" เพิ่มขึ้น ดักคอ พรรคร่วมเตรียมถลุงงบ 65  ตุนกระสุนรับอุบัติเหตุปลายปี

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองช่วงกลางเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ว่า คิดว่าความร้อนแรงและความกดดันทางการเมืองน้ำหนักน่าจะอยู่ที่ความสำเร็จในการบริหารจัดการปัญหาโควิด-19 ระลอก3 เป็นหลัก เราจะได้เริ่มเห็นการเเสดงออกมากขึ้น อาจไม่ได้ออกมาในรูปแบบการชุมนุมอย่างเดียว แต่กลุ่มคนมีความหลากหลาย รวมถึงคนที่เคยสนับสนุน หรือไม่ได้ต่อต้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม  ก็จะเริ่มออกมาแสดงออกทางการเมืองเพิ่มมากขึ้นด้วย  

นายชัยธวัช กล่าวต่อมา เมื่อสภาฯเปิดประชุมสมัยสามัญ พรรคร่วมรัฐบาลคงคาดหวังว่าการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65  จะสะสมทุนทางการเมืองครั้งสุดท้ายก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากพ.ร.บ.งบประมาณฯ ผ่านสภาฯ ซึ่งตนมองว่า พรรคร่วมรัฐบาล นอกจากช่วยประคองงบฯรอบนี้ให้ผ่านไปให้ได้เเล้ว เขายังเตรียมทางออกอื่นอีกหลายหน้าเอาไว้รับมือสถานการณ์การเมืองหลัง เม.ย.-พ.ค. เพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองในระยะเวลาอันใกล้โดยไม่คาดฝัน ถ้าจะให้วิเคาระห์ก็อาจจะปลายปีนี้ หรือต้นปี2565 ก็เป็นได้ 

"ในส่วนพรรคก้าวไกล ต้องเตรียมพร้อมที่สุดตลอดเวลา หากยุบสภาฯให้ประชาชนได้กำหนดอนาคตตัวเอง พรรคก็พร้อม แม้ว่ายังมีเสียงส.ว.250 เสียงค้ำอยู่ ก็ต้องย้ำว่าจริง ๆ การยุบสภาก่อนจะปิดสวิตช์ ส.ว.ได้ ก็น่าเป็นห่วง แต่หากยุบสภาฯขึ้นมาเร็วจริง ๆ ก็เป็นโอกาสเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอย่างสันติ โดยที่ไม่ต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อ พรรคการเมืองต้องพร้อมทุกโอกาสทุกสนาม พรรคก้าวไกลเองก็อยู่ในช่วงเตรียมคัดสรรผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงพัฒนานโยบายต่าง ๆ เพื่อรอสื่อสารกับประชาชนตลอดอยู่เเล้ว" เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าว

กลาโหมฯ ตั้ง รพ. สนาม 24แห่ง กว่า 5 พันเตียง ทั่วประเทศ  รมช.กลาโหมฯ ย้ำ! ให้เป็นมาตรฐาเดียวกัน แจงมาตรการชายแดน กักตัวกว่า 1.3หมื่นคน ติดเชื้อเกือบ 2 พันราย 

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม  ได้ประชุมร่วมกับ หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม  เหล่าทัพ กอ.รมน.และ ตำรวจ  ผ่านระบบประชุมทางไกล  ที่ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อติดตามความพร้อมของ รพ.สนาม ที่ กระทรวงกลาโหมจัดตั้งขึ้นเร่งด่วน 

พล.ท.คงชีพ  กล่าวว่า โดยภาพรวมปัจจุบันกระทรวงกลาโหม ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขท กำลังทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เร่งจัดตั้งและเตรียมความพร้อม รพ.สนามในพื้นที่ต่างๆ ทั้งการสนับสนุนยานพาหนะ กำลังพลและสิ่งอุปกรณ์กับส่วนราชการในพื้นที่ จัดตั้งเป็น รพ.สนาม และจัดตั้ง รพ.สนาม ขึ้นในหน่วยทหาร จำนวน 24 แห่ง  5,341 เตียง โดยมี ศปม.( กองทัพไทย ) เป็นหน่วยประสานกับส่วนราชการต่างๆ ภายใต้การบริหารจัดการภาพรวมโดย สธ. เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กระจายเป็นวงกว้างและมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น

สำหรับในพื้นที่ชายแดน กองกำลังป้องกันชายแดน ยังคงความเข้มข้นเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายซึ่งพบสถิติสูงขึ้น จากความรุนแรงในเมียนมา พร้อมกันนี้ กห.โดยทุกเหล่าทัพ ยังคงทำหน้าที่หลักร่วมกับ สธ. ในการคัดกรองและบริหารจัดการสถานกักตัวควบคุมโรค ทั้ง SQ และ ASQ จำนวน 161 แห่ง ต่อเนื่องตั้งแต่ มี.ค.63 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนเดินทางกลับจาก ตปท.ผ่านการกักตัวควบคุมโรคแล้ว 251,023 คน อยู่ระหว่างกักตัว 13,649 คน  พบผู้ติดเชื้อ 1998 ราย

พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้แสดงความขอบคุณและห่วงใยการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ตำรวจทุกหน่วยงาน ที่สนับสนุนแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศต่อเนื่องที่ผ่านมาโดย พลเอกประยุทธ์ ย้ำขอให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ระมัดระวังป้องกันตนเองและครอบครัว และขอให้หน่วยต้นสังกัด ได้เสนอความต้องการและเร่งกระจายวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงและในพื้นที่เสี่ยงสูงเป็นลำดับต้น เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน  

“พล.อ.ชัยชาญ ได้กำชับ ขอให้ทุกเหล่าทัพ เร่งสำรวจความพร้อมของบุคลากรแพทย์ทหารและแพทย์อาสาของกองทัพ เพื่อประเมินความพร้อมในการสนับสนุนและทำงานร่วมกับ สธ.อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ รพ.สนาม มีมาตรฐานเทียบเคียงกัน รองรับผู้ป่วยระดับต่ำที่ไม่มีอาการรุนแรงที่มีจำนวนมาก พร้อมทั้งขอให้ทุกเหล่าทัพ เพิ่มความเข้มข้นมาตรการป้องกันในหน่วยทหารและปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ในการปฏิบัติงานที่ร่วมกันลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายโรคที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว

ทำเนียบฯ เข้ม มาตราการป้องโควิด-19 เน้น ขรก.-จนท. ทำงานที่บ้าน ขอ จำกัดสื่อ ลดแออัด

เมื่อวันที่ 13 เมษายน นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รักษาการที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ​ ได้แจ้งผ่านไลน์กลุ่มผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล ว่า ตามที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้ประกาศแนวปฏิบัติของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 นี้ สำนักโฆษกจึงต้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนที่เข้ามาปฏิบัติงานภายในทำเนียบรัฐบาล โดยนำแนวทางของ ศบค.เป็นหลัก ดังนี้ 1.มาตรการเวิร์กฟอร์มโฮม อย่างเข้มข้น จนถึง 30 เมษายน เพื่อลดการใกล้ชิด สัมผัส จึงขอให้สื่อจำกัดการเข้ามาปฏิบัติงาน ดังนี้ 1.1 สื่อทีวี อนุญาต 1 ทีม 1.2 สื่ออื่นๆ สังกัดละ 1 คน ทั้งนี้ ขอให้แต่ละสังกัดส่งรายชื่อสื่อที่จะเข้ามาปฏิบัติงานในรอบสัปดาห์ล่วงหน้า โดยเริ่มวันศุกร์ที่ 16 เมษายนนี้

นางสาวนัทรียา กล่าวว่า 2.เคร่งครัดการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ตรวจอุณหภูมิ ซึ่งจัดไว้ที่ตึกบัญชาการ 1 และรับสติกเกอร์รายวันจากสำนักโฆษก เว้นระยะห่างทุกกรณี และหมั่นล้างมือ ทำความสะอาด 3.งดรุมสัมภาษณ์ทุกกรณี ให้สื่ออยู่ในที่ตั้ง จุดที่พักของตนเอง หากมีการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่จะแจ้งและอำนวยความสะดวกให้ 4.ในกรณีสั่งของหรืออาหารมาจากภายนอก ไม่ให้เข้ามาส่งภายในตึกหรือพื้นที่ด้านในของทำเนียบฯ โดยให้มีการจัดสถานที่นำส่งของหรืออาหารบริเวณใกล้ประตูทางเข้า และ ผู้สั่งต้องออกไปรับสิ่งของหรืออาหารนั้นเข้ามา และ 5.ผู้ที่เคยเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง ขอให้แจ้งต้นสังกัด และงดเข้ามาปฏิบัติงานในทำเนียบอย่างเคร่งครัด การขอความร่วมมือข้างต้นก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคนร่วมกัน หากมีข้อติดขัด หรือปัญหา ขอให้แจ้งสำนักโฆษกได้ตลอดเวลา

“ศักดิ์สยาม” คาดแพทย์ให้ออกรพ. 21 เม.ย. นี้ ระบุยังไม่เห็นเอกสาร “สิระ” จี้แจงไทม์ไลน์ ยันทุกอย่างคือความจริง เข้าใจโซเชียลฯโจมตีเพราะเป็นคนสาธารณะ 

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าอาการป่วย ภายหลังเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.บุรีรัมย์ เนื่องจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้อาการโดยรวมปกติ ทั้งการหายใจ ความดัน และไม่มีไข้ คาดว่าแพทย์จะอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ในวันที่ 21 เมษายนนี้

เมื่อถามถึง กรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เตรียมเชิญเข้าให้ข้อมูลและชี้แจงไทม์ไลน์นั้น นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ขอให้ตนหายดีก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่หายดี เนื่องจากต้องพักรักษาตัวเพื่อรอดูอาการ และกักตัวเพื่อควบคุมโรค รวมถึงยังไม่เห็นเอกสารที่นายสิระทำเรื่องเชิญมา ขอให้เห็นเอกสารก่อน

เมื่อถามว่า ตอนนี้ในโซเชียลมีเดียวิพากษ์วิจารณ์โจมตีหนักถึงไทม์ไลน์ ยังยืนยันว่าไทม์ไลน์ที่ชี้แจงออกมาก่อนหน้านี้ถูกต้องใช่หรือไม่ นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ความคิดคนห้ามกันไม่ได้  ทุกอย่างอยู่ที่ความจริง ที่ผ่านมามีเฟคนิวส์หรือข่าวปลอมเยอะมาก มีการใส่รูปใส่ข้อความพยายามสื่อสารว่าคนในภาพเหมือนหรือคล้ายกับตน ซึ่งก็ได้มอบหมายให้ทนายความแจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 2 ราย และตนเองก็ไม่สบายด้วย แต่ทั้งนี้เข้าใจดีว่าความสงสัยก็เป็นสิทธิของแต่ละคน อีกทั้งตนก็เป็นบุคคลสาธารณะ แต่ทุกอย่างต้องดูข้อเท็จจริง ตนก็ถือเป็นผู้ติดเชื้อคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นผู้แพร่เชื้อ และที่ผ่านมาก็มีคนติดเชื้อจำนวนมาก ไม่ใช่ตนเพียงแค่คนเดียว ทั้งนี้ เราต้องช่วยกันลดการแพร่ระบาดให้ลดลง เพื่อประโยชน์ของทุกคน สิ่งที่น่าห่วงคือเราต้องไม่การ์ดตก

เมื่อถามถึงกรณีที่นายสิระระบุว่าหากนักการเมืองหรือรัฐมนตรีคนใดปกปิดไทม์ไลน์ถือว่าขัดจริยธรรม ต้องแสดงสปิริตลาออก มองว่าประเด็นนี้จะทำให้เกิดความสั่นคลอนความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า อย่าไปคิดไกลขนาดนั้น ขอให้ตนรักษาตัวให้หายดีก่อน อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนยกการ์ดระวังตนเอง เพราะเชื้อโควิด-19 ไม่เลือกเพศ อายุ และการศึกษา ดังนั้นต้องระมัดระวัง คนที่สัมผัสผู้ติดเชื้อมีโอกาสติดเชื้อต่อได้เสมอ แต่เมื่อเป็นแล้วก็พบแพทย์ ต้องเข้าใจโรคนี้ และปฏิบัติตามที่แพทย์สั่ง

42 จังหวัด คนนอกเข้า"ต้องกักตัว"

วันที่ 13 เมษายน 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) รายงานจังหวัดที่มีคำสั่ง/ประกาศให้มีการกักกันตัวผู้ที่เดินทางมาจากนอกพื้นที่ รวม 42 จังหวัด ประกอบด้วย ภาคเหนือ 14 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา เพชรบูรณ์ แพร่ ลำพูน อุทัยธานี นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตรและลำปาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 15 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ นครพนม บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่นและอุบลราชธานี  ภาคกลาง/ภาคตะวันออก/ภาคตะวันตก 5 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท สระบุรี สิงห์บุรี สระแก้ว และลพบุรี ภาคใต้ 8 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ตรัง นราธิวาส ปัตตานี พังงา สงขลา สตูลและระนอง

“แรมโบ้” ซัด เลขาฯก้าวไกล โรคฝีรักษาหาย พรรคร่วมรัฐบาล ทำงานร่วมได้ดี อยู่ครบเทอมแน่

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุรัฐบาลถูกปัญหารุมเร้า ลุแก่อำนาจ พรรคร่วมเริ่มถอยห่าง เชื่ออยู่ไม่ครบเทอม จุดจบทางการเมืองไม่สวย ซ้ำรอยคณะรัฐประหารในอดีต  ว่า ที่ผ่านมานายกฯและรัฐบาลได้ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด แม้จะมีปัญหารุมเร้าบ้างแต่เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาจากการระบาดเชื้อโควิด-19 ที่เห็นได้จากเป็นที่ยอมรับและได้รับการชื่นชมจากประชาชนในประเทศหรือแม้แต่นานาประเทศ

นายเสกสกล กล่าวว่า การบริหารจัดการวัคซีนนั้นนายกฯย้ำอยู่เสมอว่าจะต้องเป็นไปตามกระบวนการ และต้องให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยให้กับประชาชนมากที่สุด ขณะนี้วัคซีนได้ทยอยเข้ามาแล้วอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้การกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็ว นายกฯได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล ซึ่งนายกฯไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องเหล่านี้พยายามทำทุกวิถีทางให้วัคซีนเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด 

นายเสกสกล กล่าวว่า สำหรับการทำงานในรัฐบาล ยืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคงทำงานร่วมกันได้ดี แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ถือเป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตยที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็ยังทำงานร่วมกันได้ดี "นายกฯ และรัฐบาลยังทำงานได้ดี ไม่ได้ทำผิดอะไร จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะอยู่ไม่ครบเทอม อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุนนายกฯอยู่ การที่เลขาธิการพรรคก้าวไกลบอกว่านายกฯ มีปัญหารุมเร้านั้น ตนเองมองว่าปัญหาเดียวที่รุมเร้านายกฯและรัฐบาลในขณะนี้คือปัญหาจากพรรคก้าวไกล และพรรคร่วมฝ่ายค้านมากกว่า เพราะนอกจากจะไม่เคยช่วยทำประโยชน์อะไรเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังคอยที่จะเล่นแต่เรื่องการเมือง โจมตีรัฐบาลทุกเรื่องไม่หยุด ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนเข้าใจผิดนายกฯ รัฐบาล  เพียงเพราะอยากเข้ามาเป็นรัฐบาลเอง"

นายเสกสกล กล่าวว่า ตนอยากบอกว่า ฝียังรักษาหายได้ ไม่น่าเป็นห่วง แต่โรคที่น่าเป็นห่วงกว่า ฝีและร้ายแรงกว่าโควิด-19เสียอีก คือโรคมะเร็งร้ายในหัวสมองของคนที่คิดไม่ดีต่อสถาบัน โดยเฉพาะแกนนำของคณะก้าวหน้า คนในพรรคก้าวไกลบางคน และเหล่าสมุนทั้งหลายที่ออกมาเคลื่อนไหวจาบจ้วง นี่ต่างหากคือมะเร็งร้ายของบ้านเมือง ที่ต้องรีบจัดการคนหล่านี้ อย่าให้เชื้อมะเร็งที่ฝังตัวอยู่ในสมองของคนพวกนี้รุกลามแพร่เชื้อกระจายไปทั่ว เพราะสมองคนเหล่านี้ ไม่เคยคิดหวังดีต่อบ้านเมืองและสถาบัน จึงต้องจัดการกับพวกเชื้อมะเร็งร้ายในสมองของคนพวกนี้อย่างเด็ดขาด ให้มะเร็งร้ายเหล่านี้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยโดยเร็ว คนไทยจะได้มีความสุขใจสุขกายใช้ชีวิตอย่างปกติสุข

"เบญจรงค์" ย้ำเห็นค้านต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสีเขียว ไม่อยากให้ผูกหนี้ค้างชำระ-ต่อสัมปทานเข้าด้วยกัน ชี้ควรเปิดประมูลใหม่และตั้งเงื่อนไขที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด หวังค่าโดยสารถูกลง-ได้ใช้โครงข่ายตั๋วร่วมใยแมงมุม ไม่ต้องรอ 30 ปี ขอทุกฝ่ายคำนึงถึงคนรุ่นต่อไป

นางสาวเบญจรงค์ ธารณา กรรมการบริหารพรรคกล้า ชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติมที่ไม่เห็นด้วยกับการให้เอกชนรับภาระหนี้สิน โดยรัฐจะอนุญาตให้สัมปทานเอกชนในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก 30 ปี โดยย้ำว่าไม่ได้มีปัญหากับทางเอกชนหรือ กทม. เพียงแต่มองว่าไม่ควรเอาเรื่องหนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการพิจารณาว่าจะขยายสัมปทานหรือไม่ เพราะเมื่อหมดสัญญาแล้ว ก็ควรเปิดให้มีการแข่งขันอย่างถูกต้อง เอกชนไม่ว่ารายใหม่หรือเจ้าเดิม ก็จะได้แข่งขันกันอย่างเท่าเทียมกัน บนเงื่อนไขที่รัฐและประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ก็ออกมาคัดค้านการต่อสัญญา และบอกว่า ค่าโดยสารสามารถถูกลงกว่า 65 บาท ตลอดสายได้ 

นางสาวเบญจรงค์ กล่าวว่า ในฐานะคนรุ่นใหม่วันนี้อายุ 26 ปี ใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร เดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องใช้รถไฟฟ้า และยังคงต้องใช้บริการไปอีกหลายปี เชื่อว่าการเปิดแข่งขันสัมปทานรอบใหม่อาจทำให้ค่าโดยสารถูกลงกว่าเดิม รวมถึงอาจเห็นเงื่อนไขความเป็นไปได้ในการใช้ตั๋วร่วมโครงข่ายใยแมงมุมกับระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ในการแข่งขันสัมปทานรอบใหม่ แต่หากขยายสัญญาสัมปทานนับจากปีสิ้นสุดสัญญา 2572 ไปอีก 30 ปี อาจทำให้รัฐและผู้ใช้บริการจะต้องอยู่บนเงื่อนไขเดิมไปอีกถึงปี 2602 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคนรุ่นเดียวกันกับตนเองก็คงอายุเกิน 60 ปี กันไปแล้ว จึงอยากให้การตัดสินใจของทุกฝ่าย คำนึงถึงคนรุ่นต่อไปที่จะใช้บริการด้วย 

ส่วนภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลโดย กทม. กับเอกชน นางสาวเบญจรงค์ กล่าวว่า หากมีหนี้สินเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องที่รัฐควรหาทาง หารายได้มาชำระต่อเอกชน แต่ย้ำไม่ควรนำมา เป็นเงื่อนไขประกอบการพิจารณาว่าจะต่อสัญญาสัมปทานหรือไม่ และขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันหารือถึงการหาแนวทางอื่นที่เหมาะสมมากกว่านี้

นายกฯ เสียใจ-สั่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติไฟไหม้รถบัสที่ขอนแก่น

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบเหตุไฟไหม้รถทัวร์โดยสาร 2 ชั้น บนถนนมิตรภาพ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่นแล้ว โดยเพลิงได้ลุกไหม้รถทัวร์โดยสารจนเสียหายหมดทั้งคันซึ่งมีผู้โดยสารเสียชีวิต 5 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะโดยสารชั้นที่ 2 ของรถทัวร์ ซึ่ง 2 ใน 5 ของผู้เสียชีวิตเป็นเด็ก โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกำชับให้หน่วยงานเร่งดูแล และให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่และดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด

นายกฯยังแสดงความห่วงใยประชาชน ในการเดินทางช่วงวันหยุด โดยขอให้ตรวจสอบสภาพยานพาหนะให้ดีพร้อมเดินทางไกล รวมทั้ง เมาไม่ขับ ยึดกฎจราจร  และบางจังหวัดมีพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางด้วย จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และขอให้หน่วยงาน เช่น คมนาคม ตำรวจ ทหาร ดูแลทั้งเส้นทางคมนาคม ให้เดินทางได้อย่างสะดวก และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่ควรหลีกเลี่ยง พร้อมย้ำว่าขอให้ทุกคนใช้ถนน ยานพาหนะขับขี่อย่างปลอดภัย ไม่ประมาท

เด็กพปชร. “เหน็บ” คนก้าวไกล หยุดเป็นพวกหัวหมอ ยกวัคซีนมาเป็นปมการเมือง

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นางสาวทิพานัน ศิริชนะ  อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล อ้างความเห็นของแพทย์ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาและฉีดให้บุคคลากรต่าง ๆ โดยกล่าวหาว่าเป็นวัคซีนแก้เขินหรือวัคซีนคนละครึ่ง ว่า ตนเคารพในความเห็นของแพทย์ เนื่องจากแพทย์มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นและต้องรับผิดชอบในความเห็นของตนเอง แต่นักกการเมืองอย่างนายวิโรจน์ที่นำความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไตมาขยายผลนั่นต่างหาก ที่น่าคลางแคลงใจว่ามีเจตนาที่ดีหรือประสงค์ร้าย ในความพยายามในการบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้พี่น้องประชาชนเกิดความสับสน ทั้งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อโดยตรงและผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน ต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคและลดความรุนแรงไม่ให้ป่วยหรือเสียชีวิตได้ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และยังป้องกันแม้แต่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษที่กำลังแพร่ระบาดจากคลัสเตอร์ทองหล่อในขณะนี้ 

หน้าที่ของส.ส. แม้จะนักการเมืองฝ่ายค้านเอง ไม่ได้มีหน้าที่ในการบริหารประเทศ แต่ก็สามารถช่วยเหลือประขาชนได้ ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช่จ้องทำลายความน่าเชื่อถือว่า ของวัคซีน หรือทำลายความน่าเชือถือของรัฐบาล นำเอาวิกฤติที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพี่น้องประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง“อยากฝากข้อคิดถึงนายวิโรจน์ ว่า มนุษย์ทุกคนมีจริยธรรม มีความรับผิดชอบ  และที่ขาดไม่ได้คือมนุษยธรรม หากยิ่งเป็นนักการเมืองด้วยแล้วต้องคำนึงตรงนี้ให้มาก ท่านจะมีจิตใต้สำนึกที่ดีหรือชั่วก็แล้วแต่สิ่งสั่งสมมา ” นางสาวทิพานัน กล่าว

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า ที่น่าสังเกตก็คือ ความพยายามโจมตีเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนของนายวิโรจน์ส.ส.พรรคก้าวไกลนั้น มีวาะซ่อนเร้นหรือไม่ เหมือนเป็นการรับช่วงต่อจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่เคยออกมาให้ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนก่อนหน้านี้  เป้าหมายยังเป็นการมุ่งด้อยค่า วัคซีนแอสตราเซเนกา ที่บริษัทสยามไบโอไซเอนศ์กำลังผลิตเตรียมส่งมอบในเดือนมิถุนายนนี้มากกว่า 

ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ววัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ได้ผลดี คุณภาพคงที่และปลอดภัยตามแผนจะยื่นให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ตรวจสอบได้ในช่วงกลางเดือนเมษายนนี้  ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดเจนว่า นายวิโรจน์ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน หรือต้องการฉวยโอกาสจากชีวิตประชาชน “ขอให้หยุดพฤติกรรมที่ส่อบิดเบือนใส่ร้าย อย่างอำมหิตเลือดเย็น ซึ่งจะกระทบต่อการทำงานของแพทย์ ที่ทุ่มเทช่วยเหลือทุกชีวิตอย่างหนักและเท่าเทียมกัน  อยากขอวิงวอนพี่น้องประชาชนให้เชื่อหมอ เชื่อข้อมูลที่มีหลักวิชาการ มากกว่าพวกหัวหมอ” นางสาวทิพานัน กล่าว

รัฐบาล ชู “สังคมสูงอายุ” เป็นวาระแห่งชาติ นายกฯ หนุน คนไทยออมเงินใช้ยามชรา

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายน นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังผู้สูงอายุ ครอบครัวพี่น้องชาวไทย รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานด้านกิจการผู้สูงอายุ โดยหวังให้คนไทยตื่นตัวเรื่องสังคมสูงอายุให้มากเพราะเกี่ยวข้องกับคนทุกคน   รัฐบาลจึงได้กำหนดให้ “สังคมสูงอายุ”เป็นวาระแห่งชาติ และได้สานต่อแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ (พ.ศ.2545-2565) เพื่อสร้างความพร้อมสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ที่คาดการณ์ปี 2564 จะมีประชากรไทย อายุ 60 ปีขึ้นไปในสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จะมีคนไทยอายุถึง 60 ปี ปีละล้านคน รวมถึงในปี 2576 สัดส่วนผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 28 เข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด

สำหรับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุ รัฐบาลกำหนดให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ (25-59 ปี) และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ในส่วนกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการออม การสร้างทัศนคติไม่มองผู้สูงอายุเป็นภาระ การให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลผู้สูงอายุ และการปรับสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพผู้สูงอายุ ส่วนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้สูงอายุ จะเน้นการเสริมทักษะการทำงานใหม่ การสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างที่จ้างผู้สูงอายุ การสร้างงานผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบ สนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพผู้สูงอายุ  ในด้านสุขภาพ รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาระบบการให้บริการสาธารณสุขให้ผู้สูงอายุได้รับการตรวจ ป้องกัน และดูแลสุขภาพในระยะยาวที่บ้านและในชุมชนตามระดับความจำเป็น

นางสาวรัชดา กล่าวว่า นอกจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลการรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ยังพบว่าคนไทยมีอายุยืนขึ้น และผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย ในปี 2563 ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 80.4 ปี ผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 73.2 ปี และในปี 2583 อายุเฉลี่ยทั้งเพศหญิงและชายอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 83.2 ปี และ 76.8 ปี ดังนั้น เพื่อเชิญชวนให้คนไทยออมเงินจะได้มีใช้ในวัยเกษียณ ด้วยการเริ่มต้นการออมขณะที่อายุยังน้อย โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เช่น เกษตรกร รับจ้างทั่วไป  พ่อค้าแม่ค้า  วินมอร์เตอรไซด์ เป็นต้น   

รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการในหลายรูปแบบเพื่อสร้างหลักประกันในวัยเกษียณแก่ประชาชน คือ 1) การออมของผู้มีอาชีพอิสระ เริ่มออมได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ผ่านกองทุนเงินออมแห่งชาติ (กอช.) รัฐบาลช่วยสมทบด้วย ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกกว่า 2.4 ล้านคน  2) สำนักงานประกันสังคม เมื่อปีที่แล้วได้ปรับปรุงกฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีอายุเกิน 60 ปี แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ขณะนี้มีจำนวนผู้ประกันตนกว่า 3.5 ล้านคน และ 3) ล่าสุด มี.ค.ที่ผ่านมา ครม.เห็นชอบร่างกฎหมายตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เพื่อการออมไว้ใช้ยามเกษียณของลูกจ้างในระบบทุกประเภท 

 "นายกรัฐมนตรีกล่าวในหลายโอกาสว่า อยากให้คนไทยทุกช่วงวัย เห็นคุณค่าของการออม ซึ่งถือเป็นการวางแผนชีวิตในระยะยาวสำหรับทุกคน  เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้ มีเงินพอใช้ในการดำเนินชีวิตในช่วงสูงอายุ และยามจำเป็น แม้เวลานี้เราจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19  รายได้ลดลง  ก็ขอให้คำนึงถึงการออมเพื่อบั้นปลายชีวิตด้วย รัฐบาลได้ออกมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเดินหน้าการกระจายการฉีดวัคซีน ซึ่งคาดว่า ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น" นางสาวรัชดา ฯ กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top