สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564
สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ไทยยอดติดเชื้อใหม่พุ่งกว่า 2,048 ราย! ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ไทยยอดติดเชื้อใหม่พุ่งกว่า 2,048 ราย! ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีการโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ติดเชื้อโควิด-19 จากภายในเรือนจำว่า...
นายอานนท์ไม่ได้อยู่ร่วมกับพวกกักโรค หรือติดโควิด อยู่ในแดนอื่น และล่าสุดได้มีการตรวจโควิดแล้วก็ไม่พบว่าติดเชื้อ ดังนั้นเพจทนายอานนท์ที่มีแอดมินดูแลอยู่ควรระมัดระวังในการเสนอเรื่องราวภายในเรือนจำ มิฉะนั้นจะให้ฝ่ายกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ดำเนินคดี เพราะทำให้เกิดความเสียหาย และเกิดความวุ่นวาย
ตนอยากฝากบอกว่าควรมีจิตสำนึก เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีโรคโควิดระบาดประชาชนก็เดือดร้อนอยู่แล้วอย่าสร้างความวุ่นวาย ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะเหมาะสมกว่า นอกจากนี้ในส่วนของผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธ์ หรือแอมมี่ และนายเฉลิมพงษ์ คำวงศ์ แกนนำม็อบ ทั้ง 3 คน ผลตรวจไม่พบเชื้อ ตอนนี้อยู่ระหว่างกักตัว และรอตรวจซ้ำสัปดาห์หน้าอีกครั้ง
“ช่วงที่สถานการณ์ของประเทศกำลังวิกฤติ ผมขอร้องอย่าสร้างความวุ่นวายในช่วงนี้เลย การจะเผยแพร่ข้อมูลใด ๆ ควรอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่ทำเพื่อสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนแบบนี้ และการที่ทนายเข้าไปเยี่ยม และนำข้อมูลที่ไม่จริงออกมาเผยแพร่ ตรงนี้อาจจะต้องให้สภาทนายความดำเนินการด้วย” ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต ระบุ
ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/100741
สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32
จากกรณีที่ เว็บไซต์ change.org พบกลุ่มชื่อ 'หมอไม่ทน' สร้างแคมเปญรณรงค์ล่ารายชื่อ เพื่อเรียกร้องให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลาออกจากตำแหน่ง โดยเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 26 เม.ย. 64 พบว่ามีผู้ร่วมลงชื่อแล้วกว่า 1.7 แสนรายชื่อ
โดยกลุ่มหมอไม่ทน ให้เหตุผลว่า ในการผุดแคมเปญดังกล่าวว่า "กว่า 1 ปีเต็มที่ผ่านมาของการระบาด COVID-19 เป็นข้อพิสูจน์แล้ว ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีความสามารถมากพอในการควบคุมดูแลการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งเรื่องการวางนโยบาย การจัดการทรัพยากร การจัดหาวัคซีน และการสร้างความเชื่อมั่นให้บุคลากรทางการแพทย์
นอกเหนือไปกว่านั้น หลายครั้งบทสัมภาษณ์จากนายอนุทิน ยังทำให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีวิสัยทัศน์ที่เหมาะสมในการทำงานควบคุมกระทรวงที่เป็นกระทรวงหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การระบาดไม่สามารถควบคุมได้
เริ่มต้นตั้งแต่ที่พูดว่า "เป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา" เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อ ก็แจ้งว่า "หมอไม่ระวังตัวเองจนติดโควิด-19 ไม่ได้ติดจากงาน แบบนี้ต้องหวดกัน" และบทสัมภาษณ์อีกมากมาย ที่ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน
จากความล้มเหลวทั้งหมดนี้ เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเราไม่อาจจะให้เวลาอันมีค่าของเรา หมดสิ้นไปกับการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพไม่มากพอได้ ขอเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูลลาออก และให้ผู้ที่มีความสามารถ มีความเหมาะสมมากกว่าเข้ารับตำแหน่ง ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังตกอยู่ในความวิกฤตนี้"
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 64 ปรากฏเพจเฟซบุ๊กของโรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง ได้โพสต์ข้อความให้กำลังใจนายอนุทิน ขณะเดียวกันได้สร้าง แฮชแท็ก #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน
เช่นโรงพยาบาลปากช่องนานา ระบุว่า ชาวสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาขอให้กำลังใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้เสียสละทุ่มเท แรงกายแรงใจ ในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอดครับ #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน
โรงพยาบาลลำปาง ก็โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะเดียวกันเช่นกัน โดยระบุว่า บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลลำปาง ขอขอบพระคุณท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีระกูล ที่ได้เมตตาดูแลพวกเรา และแก้ปัญหาสุขภาพของพี่น้องประชาชน ทุ่มเทแก้ปัญหาการระบาด ไวรัส COVID-19 มาโดยตลอด ขอเป็นกำลังใจให้ท่านร่วมสู้ไปกับพวกเราต่อไป #ทองแท้ ย่อมเป็นทองแท้ #สู้ต่อไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการโพสต์ของโรงพยาบาลรัฐหลายแห่งออกมา ปรากฏว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก เข้าไปคอมเม้นท์ในเชิงว่ากล่าว ติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ ความคิดและการกระทำของเพจดังกล่าว อย่างกว้างขวาง แม้ต่อมาเพจเหล่านั้นจะได้ลบโพสต์ออกไปแล้วก็ตาม
ส่งผลให้ แฮชแท็ก #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน ขึ้นอันดับหนึ่งและสอง ในเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทย ในวันนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่า นายแพทย์ธนาคาร สาระคำ หมอประจำโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่โพสต์ให้กำลังใจนายอนุทิน ได้ทำการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Tanakarn Sarakam‘ โดยระบุว่า "ขอประณามการแสดงออกทางการเมืองในนามองค์กร"
สืบเนื่องจาก โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ได้เผยแพร่ข้อความให้กำลังใจ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" ผ่านทางเพจ ข่าวประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก โดยมีข้อความระบุในนาม "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก"
ข้าพเจ้านายแพทย์ธนาคาร สาระคำ นายแพทย์ชำนาญการ ในฐานะบุคลากรโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ขอแสดงจุดยืนตามเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญว่า
1.) ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจในฐานะการเป็นผู้บริหารขององค์กร แสดงออกจุดยืนทางการเมืองที่ควรเป็นส่วนตัว เพื่อรับใช้ฝั่งฝ่ายทางการเมืองที่ตนเองรักใคร่ชอบพอ
2.) ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการสื่อสารในนาม "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก" โดยมิได้ถามความเห็นของบุคคลทุกคนในนามที่ทางโรงพยาบาลอ้างถึง บุคคลทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง และไม่จำเป็นจะต้องมีความคิดเห็นเหมือนกัน องค์กรไม่ควรเหมารวมและแสดงออกในนามองค์กรเพียงเพราะมีคนไม่กี่คนรู้สึกเช่นนั้น
3.) ในฐานะ "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก" ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกในครั้งนี้
4.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาตั้งแต่ต้น และจากบทบาทการทำงานที่ผ่านมา ได้เห็นชัดแล้วว่านายอนุทินบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ
5.) ในฐานะแพทย์ ทุกคนควรมีสำนึกในจริยธรรม สำนึกในหลักวิชาการที่ตนเองร่ำเรียนมา และสำนึกในวิชาชีพ ข้าพเจ้าเห็นว่าในสถานการณ์การระบาดทั่วของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา นายอนุทินไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติการระบาดยาวนาน และล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน
6.) นายอนุทินได้แสดงออกหลายต่อหลายครั้ง ว่ามิได้เข้าใจบริบทการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ จะเห็นได้จากถ้อยคำบางถ้อยคำที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์เสียกำลังใจและก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นวงกว้าง
7.) จากที่กล่าวมาทั้งหมด ข้าพเจ้าเห็นว่านายอนุทินไม่ควรดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียว และไม่ควรค่าแก่การที่บุคลากรทางการแพทย์จะให้กำลังใจหรือกล่าวคำขอบคุณ
8.) โรงพยาบาลควรให้กำลังใจ และขอบคุณบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันตลอดมา ไม่ว่าจะในช่วงสถานการณ์การระบาดหรือช่วงก่อนหน้านี้ บุคคลเหล่านี้ต่างหากที่โรงพยาบาลควรสำนึกว่าเขามีบุญคุณต่อองค์กร เพราะทุกคนต่างเป็นกำลังให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
ข้าพเจ้าขอประณามคณะผู้บริหาร หรือบุคคลใดก็ตาม ที่ฉวยโอกาสใช้พื้นที่ขององค์กรในการแสดงออกทางเมือง ไม่ว่าจะด้วยเป็นคำสั่งหรือการขอความร่วมมือจากระดับกระทรวง ดูได้จากการกำหนดให้ใช้ข้อความเดียวกัน หรือเป็นการแสดงออกจากใจของผู้บริหารจริง
ขอแสดงความไม่นับถืและรู้สึกขยะแขยง
นายแพทย์ธนาคาร สาระคำ
ในฐานะ "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก"
ที่ไม่เห็นด้วยกับโพสต์ดังกล่าว
สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32
เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มีคำสั่งที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดแบ่งงานให้รัฐมนตรีดูแลพื้นที่ โดยมอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ดูแลจ.สงขลา นครศรีธรรมราช และจ.ภูเก็ต ว่า
การที่มีพรรคการเมืองบางพรรค ออกมากล่าวถึงเรื่องดังกล่าว เห็นว่า ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องของการเมือง โดยคำสั่งดังกล่าว ถือเป็นแนวคิดที่ดี เช่น ภาคใต้ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรี คนใหม่เข้ามาดูแลพื้นที่ มีแนวคิดใหม่ๆ และหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ และที่เห็นว่าการเป็นเรื่องดีที่เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีดูแล ไม่ใช่เพราะเป็นรัฐมนตรี สังกัดพรรคพปชร.ไม่ว่าจะเป็นใครหากสามารถช่วยขับเคลื่อนให้พื้นที่ภาคใต้พัฒนากว่าที่ผ่านมาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกคน เพราะที่ผ่านมาเราเคยให้โอกาสพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองเดิม บริหารพื้นที่มานานกว่า 30 ปี แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ภาคใต้กลับไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้นการเปลี่ยนบุคคลดูแลจึงสะท้อนความล้มเหลวของกลุ่มการเมืองเดิม
นายสัณหพจน์ กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวฯแสดงให้เห็นว่า รัฐบาล รับฟังสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ สะท้อนปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการผ่านตัวแทนของประชาชนคือ ส.ส.ภาคใต้ ทั้ง14 คนของพรรคพปชร.ที่นำเสนอผ่านพรรคไปถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพปชร. ต่อจากนี้ส.ส.ภาคใต้ จะสนับสนุนการทำงานในพื้นที่อย่างเต็มกำลังตามที่ได้ทำมาตลอดกว่า 2 ปี เพื่อช่วยเหลือและขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของรัฐบาลที่เป็นประโยชน์สูงสุดในกับประชาชนทุกคน ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด และหลังจากนี้ที่จะต้องมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะในพื้นที่ฐานราก
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่กองทัพประกาศยืนยันชัดเจนว่าจะไม่เลื่อนการเรียกทหารเกณฑ์ ผลัด 1/2564 เข้ารายงานตัว ในวันที่ 1 พ.ค. ตามกำหนดการณ์เดิม
โดยนายพิจารณ์ กล่าวว่า ในขณะที่รัฐบาลออกมาตรการระงับ ยกเว้น การทำกิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจ และการเคลื่อนย้ายของประชาชน ห้ามการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลมากกว่า 50 คน ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ และกทม.ก็ออกคำสั่งปิดสถานศึกษา สถานบริการ และสถานบันเทิง เป็นเวลา 14 วัน แต่กองทัพ กลับยังยืนยันเดินหน้าให้ทหารเกณฑ์เข้ารายงานตัวตามปกติ และอ้างว่ามีการออกมาตรการป้องกันโรคที่รัดกุมในทุกเรื่อง ซี่งตนอ่านแล้วรู้สึกขำ เพราะถึงขนาดสั่งให้การเข้ารายงานตัวในหน่วยต่างๆ ให้เดินทางในเวลากลางคืนเพื่อป้องกันความแออัดตามปั๊มน้ำมัน ในกรณีที่ต้องหยุดพักเข้าห้องน้ำ แต่กลับไม่มีการวางแผนที่จะใช้ชุดตรวจ PCR หรือ Rapid Test ในการคัดกรองโรคในทหารเกณฑ์ใหม่ มีแค่เพียงการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเพียงเท่านั้น สรุปว่านี่คือการคัดกรองคนเข้าห้างสรรพสินค้าหรือเข้าค่ายทหารกันแน่
นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า ความน่าเป็นห่วงของเรื่องนี้ คือ การรวมตัวของทหารเกณฑ์ใหม่ที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ หากมีทหารเกณฑ์ที่เป็นผู้ติดเชื้อ แต่ยังไม่มีอาการปะปนเข้าไปฝึกและกินนอนร่วมกัน แล้วเกิดการแพร่ระบาดในค่ายทหารกันขึ้นมาบรรลัยแน่ เพราะจำนวนทหารเกณฑ์ผลัด 1 มีถึง 30,000 คน
"หากกองทัพไม่สามารถชี้แจงถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องให้ทหารเกณฑ์รายงานตัวในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันแบบนี้ได้ ก็เรียกร้องให้เลื่อนการรายงานตัวออกไปก่อน เชื่อว่าการเลื่อนออกไป 30-60 วัน จะเสียหายน้อยกว่ากองทัพเป็นแหล่งคลัสเตอร์ใหญ่ในการแพร่เชื้อเสียเอง ภายใต้สถานการณ์ที่ความพร้อมด้านสาธารณสุขยังมีปัญหาแบบนี้ ซึ่งล่าสุดมีข่าวจากกรมควมคุมโรคว่าได้มีการประชุมร่วมกับผู้แทนกองทัพในประเด็นนี้ คงต้องรอดูว่ากองทัพจะยอมเลื่อนหรือไม่" นายพิจารณ์ กล่าว
ด้าน นายณัฐชา กล่าวว่า ขอใช้มุมมองจากประสบการณ์ที่เคยเป็นทหารเกณฑ์ ผมคิดว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดรุนเเรง ขอเรียกร้องให้กองทัพพิจารณาการเรียกกำลังพลเข้ารับราชการทหารของกองทัพครั้งนี้ใหม่ และขอตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่กองทัพจำเป็นต้องเรียกพลทหารเข้ากองทัพเวลานี้ เพราะเหล่าทัพขาดทหารรับใช้ใช่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่ทหารที่รับราชการในกองทัพก็ปฏิบัติงานในรูปแบบเวิร์กฟอร์มโฮม จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นใดที่กองทัพจะเรียกพลทหารเข้าประจำการ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19
“หากกองทัพจะดำเนินการต่อ เกรงว่าพลทหารกว่า 30,000 นาย ซึ่งมาจากทุกสารทิศที่มารวมตัวกัน จะต้องพบเจอความเสี่ยงทั้งต่อตัวพวกเขาเอง และต่อสถานการณ์ในภาพรวมที่อาจกลายเป็นแหล่งเเพร่กระจายเชื้อโควิด-19 คลัสเตอร์ใหม่ จึงขอให้กองทัพออกมาชี้เเจง โดยเฉพาะผู้นำเหล่าทัพ ที่สำคัญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะต้องชี้เเจงต่อประชาชนในฐานะอดีตผู้บัญชาการทหารบกต่อกรณีดังกล่าว” นายณัฐชา กล่าว
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันมีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์หลังประชุมร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องการกระจายวัคซีน ว่า ที่ประชุมหารือเบื้องต้นก่อนจะพูดคุยกับภาคเอกชนว่าในวันที่ 28 เม.ย.นี้ เพื่อเตรียมพร้อมการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาด ให้เห็นว่ารัฐบาลเตรียมการครบทุกด้าน ทั้งระบบคัดกรองผู้ป่วย การรักษาพยาบาล และการเตรียมวัคซีน และขณะนี้ประเทศไทยยังสามารถควบคุมการระบาดได้อยู่และอยู่ในระดับที่ประชาชนเชื่อมั่นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการประเมินว่าในสองสัปดาห์นี้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า มาตรการยังออกมาไม่ครบสองสัปดาห์ แม้จะมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่ม แต่ยอดผู้ที่รักษาหายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ประเด็นตอนนี้คือการดูแลผู้ติดเชื้อ ส่วนมาตรการทางเศรษฐกิจก็จะชัดเจนในเดือนพ.ค.นี้และมีผลบังคับใช้ในเดือน มิ.ย.นี้
เมื่อถามว่าจะพิจารณาแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือไม่ รองนายกฯกล่าวว่า ยังไม่ได้พิจารณา และภายในสัปดาห์นี้น่าจะทราบ เบื้องต้นเรากำหนดไว้ในเดือนก.ค.นี้ ส่วนที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวจาก 6 ล้านคน เหลือ 3ล้านคนนั้น เป็นภาพรวมเนื่องจากการระบาดเกิดทั่วโลกและในแต่ละปีคนไทยก็เที่ยวจำนวนมากมูลค่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี สถานการณ์กลับสู่ปกติ คนไทยก็อาจจะเที่ยวได้เหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม ถ้าคนไทยช่วยกันโดยออกมาใช้จ่าย ก็อาจจะได้จีดีพีที่ 4 เปอร์เซ็นต์ ก็จะช่วยได้ ทั้งนี้ขอให้คนที่มีเงินฝากเยอะนำออกมาใช้จ่าย เพื่อจะได้ไม่ต้องมาขอเงินจากโครงการคนละครึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องมีการกู้เงิน เข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ยัง เพราะยังอยู่ในกรอบใช้จ่ายด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การหารือมี2 เรื่อง ที่เตรียมจะหารือกับภาคเอกชน คือเรื่องการนำผู้ป่วยเข้ามารักษาในสถานพยาบาลประมาณ 800 คน จากที่ตกค้างกว่า1,400 คน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงาน คัดกรองกลุ่มที่เป็นผู้ประกันตน ซึ่งขณะนี้ได้จัดสถานที่ไว้ที่อินดอร์สเตเดียมหัวหมาก สำหรับคัดกรอง ถ้าไม่มีอาการ จะนำเข้าโรงพยาบาลสนาม หากอาการเป็นสีเหลือง จะต้องดูสถานที่รักษาอาจจะเป็นสถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม และอาการสีแดงให้นำเข้าโรงพยาบาล เพื่อรักษา
เรื่องที่สองคือการบริหารจัดการวัคซีน ที่จะต้องคุยกับภาคเอกชนว่าจะเข้ามาช่วยอย่างไร เมื่อวัคซีนเข้ามา 26 ล้านโดสในช่วงสามเดือนนี้ จากนั้นจะมีวัคซีนซีโนแวคเข้ามาอีกประมาณ 1ล้านโดส ขอให้มั่นใจได้ว่าสามเดือนนี้ ตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยประมาณ 30ล้านคน ส่วนวัคซีนทางเลือกเพิ่มที่มีการขึ้นทะเบียนแล้วคือ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน(Johnson & Johnson)ส่วนไฟเซอร์และยี่ห้ออื่นจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อขึ้นทะเบียนและนำเข้าเพิ่มเติมให้ได้ 100ล้านโดส และภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะฉีดให้ประชาชนได้ประมาณ 50ล้านคน ซึ่งมีทั้งฉีดเข็มแรกและเข็มที่สอง
ทั้งนี้เบื้องต้นจะขอความร่วมมือภาคเอกชนในการจัดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีน หรือรับไปฉีดให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าว่าในสามเดือนข้างหน้าจะต้องฉีดให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 แสนคน รวม30 ล้านคน ส่วนรายละเอียดต่างๆจะได้ข้อสรุปในวันที่28 เม.ย.นี้
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานยังคงเดินหน้าพัฒนายกระดับทักษะฝีมือกำลังแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดกพร. ได้ใช้แนวทางประชารัฐของรัฐบาลร่วมมือกับคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา และสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอันตราย (HASLA)
จัดฝึกอบรมหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์สินค้าอันตรายเพื่อการขนส่งข้ามแดนในเขตอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (CLMVT) ภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์รองรับธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขานี้ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ รองรับการเติบโต ทั้งด้านการค้าการลงทุน และธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต
นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติภายใต้หัวข้อเกี่ยวกับสมาร์ตเทคโนโลยีเพื่องานขนส่งสินค้าอันตราย อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับป้องกันอันตรายในสถานการณ์ฉุกเฉิน การจัดทำและการรายงานข้อมูลอุบัติเหตุ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขนถ่ายการจัดวางการบรรทุก ข้อกฎหมายเกี่ยวกับงานขนส่ง การจัดเก็บวัตถุอันตราย และการขนส่งข้ามแดน การจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินและการซ้อมแผนฉุกเฉิน (Emergency Drill) การศึกษาการทำงานภาคปฏิบัติจริง การวัดและประเมินผล ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 240 ชั่วโมง เน้นกลุ่มเป้าหมายจบป.ตรีหรือกำลังจะจบการศึกษาระดับป.ตรี ผู้ผ่าน การฝึกอบรมจะได้รับโอกาสเข้าทำงานกับบริษัทในเครือสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอันตรายในตำแหน่งผู้ควบคุมระบบ GPS ผู้ควบคุมและบริหารการขนส่ง นักวางแผนงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ผู้ควบคุมคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง เป็นต้น
“ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการเปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 28 เมษายน 2564 รับจำนวนจำกัดเพียง 50 คน ปัจจุบันมีนักศึกษาและประชาชนให้ความสนใจสมัครเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการสอบคัดเลือกผ่านระบบออนไลน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 28 ปี เป็นผู้ว่างงาน ย้ำต้องจบป.ตรีหรือกำลังจะจบการศึกษาระดับป.ตรี สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ www.hasla.or.th หรือโทรสอบถามที่ 089-788-2134” อธิบดีกพร. กล่าว
เมื่อวันที่ 26 เทษายน 2564 ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติ จะมีการระงับการ ให้เดินทางเข้าประเทศหรือไม่ ว่า การเดินทางจากต่างประเทศนั้นยังมีระบบการออกใบอนุญาต ให้เดินทางเข้าประเทศโดยกระทรวงการต่างประเทศและเมื่อเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องแล้วก็ได้รับการดูแลอยู่ใน สถานกักตัวที่รัฐจัดให้ และสถานกักตัวทางเลือก ในเรื่องของการชะลอการออกใบอนุญาตเข้าประเทศนั้น ในที่ประชุม ศบค.มีการทบทวน และอยากให้ทุกคนติดตามว่าการประกาศจากกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นอย่างไร
ส่วนกรณีกลุ่มคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เช่น อินเดีย ปากีสถาน จะต้องกัดตัว 14 หรือ 21 วัน กันแน่ นั้น เรื่องดังกล่าวทางศบค. ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเพราะเป็นสิทธิที่ประชาชนไทยจะเดินทางกลับบ้าน เพียงแต่จำเป็นต้องได้รับการดูแลไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ ออกมาจากระบบการกักตัว ทั้งนี้จากการรายงานก่อนหน้านี้ของศบค. ถึงศักยภาพการรองรับการกักตัว ได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ในรูปแบบของฮอสปิเทล หรือโรงพยาบาลสนามบ้างแล้วซึ่งก็ต้องขอขอบคุณในข้อเสนอแนะและความเป็นห่วงที่ทุกคนส่งมา แต่อย่างไรก็ตามอยากให้ทุกคนได้ติดตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ อย่างใกล้ชิดในระยะนี้เนื่องจากมีการพูดคุยหารือใกล้ชิดกันอยู่
มีการพูดคุยถึงเรื่องการกักตัว ของผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเพราะจากการรายงานเรายังพบผู้ติดเชื้อได้ในระยะหลัง 10 วัน เช่น 11 วัน 13 วัน บางคนมีรายงานว่าหลังจากที่ผู้ที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล 14 วันแล้ว ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วก็มีรายงานยืนยันว่าติดเชื้อได้ยาวถึง 21 วันเป็นต้น ซึ่งทางกรมควบคุมโรคได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ และมีการติดตามรายงานอย่างใกล้ชิดจึงอยากเน้นยามผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนาม หรือโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ในช่วงนี้ด้วยว่าหลังจากที่ ผู้รับการรักษากลับบ้านไปแล้ว ยังจะต้องแยกกัก ไม่ไปสัมผัสผู้อื่นหรือแม้แต่คนในครอบครัวอีกเป็นระยะเวลา 14 วัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ในประเทศขณะนี้มาตรการกักตัวอยู่ที่บ้านของผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง จะเป็นอย่างไร พญ.อภิสมัย กล่าวว่า การที่พี่น้องประชาชนรอเตียงนั้นขอเรียนว่าไม่มีใครสบายใจ และในหลายหลายครั้งหลายคนยอมรับว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเรา คนรอบข้างเรา พวกเราจึงพยายามช่วยกันหาเตียง แต่ในแง่ของการจัดการเตียงอย่างที่เรียนให้ทราบว่าในกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยกลับบ้านได้จำนวน 170 ราย ก็จะมีกระบวนการทำเรื่องให้กลับบ้าน และจะต้องดูแลอย่างไรให้ตัวเองปลอดภัย บุคลากรทางการแพทย์ได้เล่าให้ฟังว่าการทำเรื่องให้บุคคลกับบ้านนั้นมีกระบวนการหลายขั้นตอนมากๆ
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า และการจะรับผู้ป่วยใหม่นั้นไม่สามารถทำได้ปุบปับ ทันทีแต่จะต้องมีการเตรียมพื้นที่เต็มเตียงเพื่อที่จะรับผู้ป่วยใหม่ดังนั้นจึงเกิดการรอเตียง ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าการอยู่บ้านรอเตียง โดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบการรักษาได้หรือไม่ ทางศบค. มีการทบทวนอยู่ทุกวัน แต่มีการรายงานบางเคสเกิดความไม่สบายใจ เพราะเริ่มต้นวันที่หนึ่งอาการยังปกติดี เข้าสู่ระบบแล้วแต่ได้รับการยืนยันจากโรงพยาบาลว่ายังจำเป็นต้องรอเตียง จากนั้นเราจะเห็นอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หรือ การที่สภาพบ้านไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเราเน้นย้ำว่าการแยกกักอยู่ที่บ้านนั้นจะต้องมีการแยกพื้นที่กับบุคคลในครอบครัว ไม่รับประทานอาหารร่วมกัน พยายามไม่ใช้ห้องน้ำเดียวกัน ไม่มีการคลุกคลีใกล้ชิด ก็พบว่าทำได้ยาก ทำให้เราได้เห็นข่าวในตลอดว่า ในกรณีผู้ป่วยหนึ่งราย เกิดการติดเชื้อไปยังบุคคลในครอบครัวโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็กเล็กติดเชื้อ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ยังไม่สามารถระบุว่า ให้ประชาชนกักตัว หรือแยกกักรอเตียงอยู่ที่บ้าน ยังถือว่ามาตรฐานยังเป็นอันตรายอยู่
เมื่อถามว่ามีโอกาสหรือไม่ที่จะล็อคดาวน์พื้นที่บางจังหวัด พญ.อภิสมัย กล่าวว่า เรื่องล็อกดาวน์นั้น ในวันพฤหัส ที่ 29 เม.ย. จะมีการทบทวนมาตรการในเรื่องของพื้นที่ โดยจะพิจารณาว่าจะมีการเพิ่มมาตรการอย่างไร จะล็อกดาวน์หรือไม่ วันนี้ทางกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับศบค. และในช่วง 1-2 วันนี้คงจะได้เห็นมาตรการการปรับความเข้มข้นมากขึ้นในบางพื้นที่แต่ละกิจการกิจกรรม แต่ละจุด จึงขอให้ทุกคนได้ติดตาม อย่างใกล้ชิดด้วย ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชนที่สามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน สามารถวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของภาครัฐ ภาคสาธารณะสุขได้ แต่ขอให้ชี้แนะรวมไปถึงการให้กำลังใจบุคลากรในการทำงานด้วย อย่างไรก็ตามประชาชนอาจเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อาจมีความไม่พอใจ มีการตำหนิติเตียน แต่ถ้าดูที่มาที่ไปก็เพราะเรามีความเป็นห่วงประเทศไทยมีความรักในครอบครัวอาม่า ครอบครัวคุณอัพ ซึ่งก็เหมือนกับครอบครัวเรา เพราะฉะนั้นการที่เราอาจจะส่งเสียงทะเลาะกันบ้างในวันนี้เพราะเรามีความมุ่งมั่นเดียวกัน ต้องการทำให้ระบบดีขึ้น ขอให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันจับมือกันและร่วมมือกัน ถูกเถียงกันได้บ้างแต่ถึงอย่างไรเราก็ร่วมมือกัน
เมื่อเวลา 12.45 น.วันที่ 26 เม.ย. พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัวถึงการยกระดับการกระจายวัคซีน ว่า
“เช้าวันนี้ ผมได้หารือทีมที่ปรึกษา เรื่องยกระดับการกระจายวัคซีนเป็นวาระสำคัญเร่งด่วนสูงสุด เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายดังนี้ครับ
1.) ผลักดันให้มีการจัดหาวัคซีนให้ได้เพิ่มมากขึ้นในทุกวิถีทาง โดยมีเป้าหมาย 10-15 ล้านโดสต่อเดือน จากวัคซีนที่มีความหลากหลายในปัจจุบัน
2.) ปรับโครงสร้าง มีการจัดกลุ่ม แบ่งงาน ผสมผสานการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนให้ชัดเจน โดยต้องให้มีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง ผลักดันแนวหน้าในการฉีดวัคซีนให้เป็นเชิงรุก เพื่อแบ่งเบาภาระจากโรงพยาบาลและสาธารณสุข
3.) จัดให้มีศูนย์ฉีดวัคซีนทางเลือก โดยใช้สถานที่ที่เหมาะสม เช่น ศูนย์ประชุมฯ ศูนย์กีฬา โรงแรม เพื่อลดภารกิจของโรงพยาบาลหลัก และสาธารณสุข ที่ต้องรองรับ ดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก โดยศูนย์ฉีดวัคซีนฯ จะดึงการมีส่วนร่วมในการฉีดวัคซีนทางเลือกในกลุ่มที่มีศักยภาพเพิ่มเติมจากของภาครัฐ
4.) ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการฉีดให้ได้ 300,000 โดสต่อวัน หรือมากกว่า และเป้าหมายฉีดให้ประชาชน 50 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้หรือเร็วกว่า
นอกจากนี้ ผมยังได้สั่งการให้มีการปรับปรุงการคัดกรอง และระบบการเข้ารับการรักษาพยาบาลให้มีช่องทาง และการขนส่งเคลื่อนย้าย ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32
เมื่อวันที่ 26 เม.ย. นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ได้ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัวเสนอให้ใช้รัฐสภาเป็นโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ว่า เนื่องจากเห็นกันอยู่แล้วว่าอาคารโดยรวมของรัฐสภามีขนาดใหญ่เกินความจำเป็นและยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้งานอีกมาก อย่างน้อย ๆ ห้องพักส่วนตัวของ ส.ส. จำนวน 500 ห้อง ซึ่งสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดใช้งานก็สามารถใช้เป็นห้องพักผู้ป่วยได้เลย แต่ตนไม่ทราบว่า ส.ว. มีห้องพักส่วนตัวหรือไม่ แต่ถ้ามีห้องพักส่วนตัวเหมือนกันก็จะได้เพิ่มอีก 250 ห้อง รวมเป็น 750 ห้อง รวมทั้งพื้นที่โดยรอบทางด้านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่กำลังสร้างเป็นสนาม ซึ่งอากาศถ่ายเทสะดวกนั้นก็สามารถตั้งเต็นท์ได้จำนวนมาก
นางอมรัตน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีบริเวณห้องโถงในส่วนของสำนักงานที่ไม่ได้ใช้งานเต็มพื้นที่ สำหรับในส่วนที่ใช้งานแล้วก็สามารถที่จะไปใช้งานรวมกันแล้วเสียสละพื้นที่ให้ผู้ป่วยได้ อีกทั้งรัฐสภายังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่อาคารสถานที่อยู่แล้ว ไม่ต้องเปลืองงบประมาณเพื่อสร้างอะไรขึ้นมาใหม่อีกด้วย
สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32