Tuesday, 1 July 2025
POLITICS NEWS

'พิธา' แถลงก่อนการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ ย้ำผู้นำอาเซียนต้องไม่ให้การประชุมเป็นเวทีรับรองความชอบธรรมของเผด็จการทหารเมียนมา รัฐบาลประยุทธ์ต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและภูมิภาคไม่ใช่รักษาความสัมพันธ์ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แถลงออนไลน์ถึงสถานการณ์ในเมียนมา บทบาทของอาเซียนในการหาทางออกให้กับสถานการณ์ในเมียนมา และบทบาทของไทยในการประชุมผู้นำอาเซียนที่กรุงจาการ์ตาในวันที่ 24 เมษายน 2564

พิธา กล่าวว่า ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาทั้งโลกได้ติดตามสถานการณ์ในเมียนมาด้วยความสะเทือนใจ เนื่องจากมีผู้ถูกทหารเมียนมาสังหารแล้วกว่า 700 คน เป็นเด็กถึง 50 คน บางคนอายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น คนนับพันคนถูกจับกุมหรืออุ้มหาย ซึ่งนี่เป็นปฏิบัติการอย่างเป็นระบบของทหารเมียนมาเพื่อปราบปรามประชาชนให้สยบด้วยความหวาดกลัว

“ถ้าไม่มีการยับยั้ง ทหารเมียนมาก็จะเดินหน้าปราบปรามสังหารประชาชนมือเปล่าและชนกลุ่มน้อยต่อไป ถ้าไม่มีใครทำอะไร คนอีกนับพันอาจถูกสังหาร คนนับแสนอาจต้องพลัดถิ่น และวิกฤติทางมนุษยธรรมที่ตามมาก็จะสร้างผลสะเทือนไปทั้งภูมิภาค”

พิธากล่าวต่อไปว่า เมื่ออาเซียนก่อตั้งขึ้นมาในปี 2510 ด้วยปฏิญญากรุงเทพฯ ก็ได้มีระบุไว้ถึงวัตถุประสงค์ของอาเซียนในปฏิญญาว่าก่อตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคผ่านหลักนิติธรรมและหลักการของสหประชาชาติ

นอกจากนี้พิธายังกล่าวถึงในกฎบัตรอาเซียนที่เน้นย้ำถึงหลักการสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ในอดีตอาเซียนเคยแสดงบทบาทเป็นตัวกลางเจรจาหาทางออกให้กับความขัดแย้งในภูมิภาคมาแล้วหลายครั้ง และวิกฤติของเมียนมาในครั้งนี้ก็เป็นบททดสอบอีกครั้งหนึ่งของอาเซียน

ในโอกาสของการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ ที่กรุงจาการ์ตา ในวันที่ 24 เมษายนนี้ พรรคก้าวไกลเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดตั้งกระบวนการสันติภาพที่นำโดยอาเซียน เพื่อยุติการสังหารประชาชนและนำเมียนมากลับคืนสู่เส้นทางประชาธิปไตย โดยกระบวนการสันติภาพก็มีหลายกลไกที่อาเซียนสามารถใช้ได้ เช่น จัดตั้ง กลุ่มผู้ประสานงานอาเซียน (ASEAN Troika) จัดตั้งทูตพิเศษของอาเซียน (Special Envoy) หรือจัดตั้งกลุ่มเพื่อนประธาน (Friends of the Chair)

พรรคก้าวไกลเชื่อว่าเป็นความจำเป็นทางมโนสำนึกที่กระบวนการสันติภาพจะมีเป้าหมาย ได้แก่ การทำให้เมียนมากลับคืนสู่สภาวะปกติที่ สิทธิ เสรีภาพ ความเป็นอยู่ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้รับการคุ้มครอง และทหารเมียนมาต้องยุติการใช้ความรุนแรงและปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมขั้นต่ำที่ประชาชนอาเซียนควรเรียกร้องจากผู้นำของตนเอง

พิธาย้ำว่า ผู้นำอาเซียนต้องไม่ปล่อยให้การประชุมผู้นำอาเซียนเป็นเวทีที่ให้การยอมรับและความชอบธรรมกับเผด็จการทหารเมียนมา ผู้นำอาเซียนควรผลักดันผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้มีโอกาสหาทางออกร่วมกันในกระบวนการจะเปิดรับทุกฝ่าย ดังนั้นผู้นำอาเซียนจึงควรยื่นคำเชิญให้กับทุกฝ่ายในการหาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากพรรค NLD คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ (CRPH) ไปจนถึงกองทัพ และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการสันติภาพที่เปิดกว้างและมีความจริงใจเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้อาเซียนควรยืนยันในหลักการ “ความเป็นแกนกลางของอาเซียน” โดยตระหนักว่าถึงเวลาแล้วที่จะเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ดำเนินการตามอำนาจในหมวด 6 และจัดตั้งคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงของสถานการณ์ในเมียนมา และเพื่อรับมือกับวิกฤติด้านมนุษยธรรม พิธาเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมียนมา และเรียกร้องให้ทหารเมียนมายอมเปิดให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปถึงได้ในทุกพื้นที่ของประเทศ

พิธากล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดและเป็นประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนควรมีบทบาทเชิงรุกในการหาทางออกให้กับสถานการณ์ในเมียนมา แต่รัฐบาลของ พล.อ ประยุทธ์ ก็แสดงออกให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ได้มีสำนึกที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาวไทยและชาวเมียนมาในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเช่นนี้ ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนนั้นอยู่บนหลักการของความเจริญผาสุกร่วมกันที่จำเป็นต้องมีเมียนมาที่มั่นคงทางการเมืองและเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ถ้าเมียนมาเกิดวิกฤติ ก็จะเป็นวิกฤติของประเทศไทยที่มีชายแดนติดต่อกับเมียนมาถึง 2,400 กิโลเมตร เช่นเดียวกัน

“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล พล.อ ประยุทธ์ จะต้องทำตามหลักการ “การคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองในระยะยาวโดยรู้แจ้งถึงสิ่งที่ถูกต้อง” (Enlightened self-interest) และแสดงออกให้เห็นว่าประเทศไทยยืนอยู่ข้างประชาชนชาวเมียนมา ไม่ได้เป็นสหายในสงครามร่วมหัวจมท้ายกับทหารเมียนมา” พิธากล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : https://www.facebook.com/timpitaofficial/videos/544792376534565


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“ทิพานัน” โต้ เพื่อไทย ยันโมเดล ศบค.สู้โควิด มีเอกภาพแก้ปัญหาได้ เหน็บ เปิดกว้างฟังข่าวสาร-หยุดรับข้อมูลบิดเบือน

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวกรณีที่พรรคเพื่อไทย ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เสนอแนะเรื่องการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้ประชาชน ลดการบริหารงานแบบรวมศูนย์ว่า การบริหารแบบรวมศูนย์ มีความเป็นเอกภาพ สามารถจัดการปัญหาได้เบ็ดเสร็จรวดเร็ว การแพร่ระบาดระลอกนี้ควบคุมโดยแบ่งโซนสี ให้เศรษฐกิจโดยรวมเดินต่อได้ และยังเตรียมพร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ สำรองเตียงรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลเอกชน ตั้งโรงพยาบาลสนามในมหาวิทยาลัย และขยายเตียงไอซียูเพิ่มหากผู้ป่วยมีจำนวนมาก อาจจัดตั้ง “ไอซียูสนาม”

นอกจากนั้นมีมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด อาทิ สนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) และสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ มีการจัดโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19 ระหว่าง พ.ค.-ธ.ค. 64 เพื่อสร้างอาชีพให้ผู้ว่างงาน กระตุ้นธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs ขนาดเล็ก ขยายเวลาโครงการเราชนะ ไปถึง 30 มิ.ย โครงการคนละครึ่งเฟส 3 เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย และเตรียมตำแหน่งงานว่าง 2 แสนอัตรา แก้ปัญหาคนว่างงาน และดูแลผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดสถานประกอบการให้ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยโควิด-19 โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวันรวมกันไม่เกิน 90 วัน

“ข้อมูลทั้งหมดนี้ พรรคเพื่อไทยสามารถช่วยสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจได้ทันที อยากขอพรรคเพื่อไทย งดรับข่าวสารที่บิดเบือนผ่านทางโซเชียล หากต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ครอบคลุมและเพียงพอ สามารถรับฟังจากการแถลงข่าวของศบค. แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลจากภาครัฐ เพื่อจะได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“สมศักดิ์” แจงร่วมงานเลี้ยง คนติดโควิด ยัน ไม่ใช่ปาร์ตี้ โวย บางภาพไม่ใช่งานนี้ อย่าเอามารวมทำคนเข้าใจผิด

เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวกรณีการเดินทางไปร่วมรับประทานอาหารกับกลุ่มคนสนิทแล้วมีการติดเชื้อโควิด-19 ว่า ในช่วงวันหยุดยาวได้เร่งทำงานมอบนโยบายปราบปรามยาเสพติด พื้นที่จ.เชียงใหม่และลำปาง และได้พักทำบุญที่บ้านเกิดจ.สุโขทัย ในวันที่ 12 เม.ย. จากนั้นเป็นประธานมอบนโยบายยาเสพติดภาคเหนือแก่ตำรวจภาคเหนือตอนล่างในการตัดวงจรยาเสพติด หลังจากจบภารกิจ ข้าราชการและผู้ติดตามทุกคนในคณะ ได้ตรวจโควิดและผลออกมาไม่มีใครติดเชื้อ 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับในงานเลี้ยงอาหารที่ร้าน คาเฟ่ เดอ ทรี ที่ตนเดินทางไปร่วมนั้นไม่ทราบว่ามีการจัดรดน้ำดำหัว และไม่ทราบว่าใครเป็นคนแพร่เชื้อ ไม่สามารถหาต้นตอได้ว่าใครเป็นผู้ติดเชื้อบ้างเพราะคนร่วมงานมีหลายคน ทั้งนี้ต้องขอโทษที่มีภาพหลุดออกมาจนเป็นประเด็นในสังคม แต่การไปรับประทานอาหารครั้งนี้ไม่ใช่ปาร์ตี้ตามที่เข้าใจผิดกัน เพราะ ไม่มีดนตรีและการแสดง แต่พูดคุยรับฟังปัญหาชาวบ้านจากกลุ่มคนที่ช่วยทำงานในพื้นที่ และกิจกรรมดังกล่าวใช้เวลาไม่นาน 

แต่ในโซเชียลมีเดีย บางแห่ง นำภาพบุคคลที่ร่วมรับประทานอาหารในวันที่ 12 เม.ย.ที่ติดเชื้อโควิด-19 มาเผยแพร่ ทั้งที่บางภาพไม่ใช่งานที่ตนไปร่วมรับประทานอาหาร โดยไม่ชี้แจงให้ชัดว่าเป็นวันใดซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด ยืนยันว่าทุกครั้งที่จะไปร่วมงาน จะระมัดระวังป้องกันตัวเองอย่างเข้มงวด ใส่หน้ากากและเว้นระยะเวลาพูดคุยกับใครๆเสมอ และที่ออกมาชี้แจงเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ติดโควิด เพราะมีข้อมูลบางส่วนยังไม่ตรงจนเกิดความเข้าใจผิดกลายเป็นความแคลงใจ

“จตุพร”บอกอย่ากระพริบตา!! ยก 2 ไล่ “ประยุทธ์” ออนไลน์ แฉทุกปมบกพร่องผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เผย 24 เม.ย. “ธีระชัย” อดีต รมว.คลัง เตรียมชำแหละ ศก.ระบอบประยุทธ์ 25 เม.ย.คิว “ไพศาล พืช” ถลกปมโควิด ลั่นภาพรวม 7 ปีสิ่งที่ รบ.เด่นชัดมีแต่ยโส โอหัง อวดดี ห่วยแตก

เมื่อ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ถึงรูปแบบการปราศรัยออนไลน์ เวทีไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ในหัวข้อ “24 เมษา ยก 2 ประยุทธ์ออกไป”  
 
นายจตุพร กล่าวว่า การจัดรูปแบบชุมนุมผ่านโซเชียลมีเดีย ในนัยยะหนึ่งเกี่ยวกับมาตรการโควิด-19 ซึ่งมีการระบาดไปทั่วประเทศนั้นจะต้องมีการวิพากษ์ถึงความล้มเหลว และชี้ให้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้แต่เพียงวันเดียว  
  
ในวันที่ 24 เมษายนนี้ จะเริ่มต้นกิจกรรมปราศรัยในเวลา 13.00 น.เป็นต้นไป โดยจะมีผู้ปราศรัยร่วมเเสดงความคิดเห็นเพิ่มขึ้น โดยไฮไลท์หลักของวันแรกจะอยู่ที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะพูดถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในแง่มุมต่างๆ  ทั้งเศรษฐกิจของประเทศ การเงินการคลัง หรือกรณีเรื่องทุนผูกขาด จึงอยากให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับรู้อย่างเท่าเทียมกันว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ไหน   
 
ดังนั้นอยากให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังว่าอย่างน้อยที่สุดในฐานะที่เราเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันนั้นเราควรมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นความจริงของประเทศไทย หรือแม้กระทั่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ควรจะรับฟัง   
  
พร้อมเปรียบเปรยว่า ขณะนี้ ใครเข้ามามีอำนาจ หูก็จะเริ่มหาย ก็คือเป็นเหมือนกับโดเรมอนแต่ว่าเป็นมนุษย์ที่ไร้หูซึ่งหมายความว่าใครพูดอะไร เสียงจะไม่เข้าหู แต่จะเข้าจมูกเป็นหลัก ก็จะมีการอาละวาดไปตอบโต้ไม่รับฟัง  
 
อีกทั้ง ข้อเสนอแนะใดๆในการหาทางออกให้กับชาติบ้านเมืองทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีปัญญาในการแก้ไขปัญหาชาติแต่อย่างใด สภาพผู้นำที่ไร้หูนั้นเป็นภาวะวิกฤตของประเทศ ซึ่งในยามที่บ้านเมืองเป็นปกติ ผู้นำที่ไม่ฟังใครนั้นก็คนอาจจะไม่รู้สึกถึงผลกระทบ แต่ความล้มเหลวในทุกมิติโดยเฉพาะการบริหารการจัดการเรื่องวัคซีน ซึ่งต้องโทษคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีว่าเมื่อประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นอำนาจมาอยู่ที่นายกรัฐมนตรีและ ศบค.ก็ต้องฟังนายกรัฐมนตรี เพราะตอนนี้เป็นมาตรการเหมือนกับการใช้มาตรา 44 แต่อยู่ในรูปแบบ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน  
  
ดังนั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแม้กระทั่งการจัดหาวัคซีน นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขเข้าไปเป็นกรรมการร่วมรับผิดชอบ แปลความว่าปัญหาทั้งหมดที่พยายามยกมาอธิบายว่ามีการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดคิดว่าควบคุมโควิด-19 ได้ทำให้การบริหารการจัดการเรื่องวัคซีนไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ซึ่งเป็นการอธิบายความล้มเหลวได้อย่างทุเรศ แต่ปัญหาหลักวันนี้ ที่อยากให้นายกรัฐมนตรีได้ทบทวนคือ สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกหรือไม่  
 
ส่วนกิจกรรมต่อเนื่องในวันที่ 25 เมษายนนี้ ไฮไลท์จะอยู่ที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนที่ติดตามในเรื่อง สถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รัฐบาลรับมือบกพร่องผิดพลาดกันอย่างไร อยากให้ติดตามกัน  
  
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ในสถานการณ์การที่บริหารประเทศจนกระทั่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ โควิด-19 ได้ หลายคนก็ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมพลเอกประยุทธ์ จึงไม่ทำเรื่องขอเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงขอคำปรึกษาหรือฟังข้อเสนอแนะจากในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งปกติแล้วในสถานการณ์ที่บ้านเมืองวิกฤตคนที่เป็นผู้นำประเทศต้องทำเรื่องขอเข้าเฝ้าเพื่อขอพระราชทานคำปรึกษาในการแก้ไขปัญหาวิกฤตินี้  ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมพลเอกประยุทธ์ไม่กระทำ  เพราะสถานการณ์ที่มันเลยเถิดจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้มีหลากหลายเรื่องราวที่เดินเข้ามาสู่จุดนี้และนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่กระทำการในเรื่องนี้  
  
นอกจากนี้การพยายามที่จะปั่นกระแสใดๆก็ตาม ซึ่งจะไม่เป็นผลดี ซึ่งหลายเรื่องราว บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นมืองานของรัฐบาลตัวจี๊ดจ๊าดทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ชำนาญการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาด แต่เป็นผู้ชำนาญการในอีกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคระบาด ก็กลายเป็นหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยา ของรัฐบาลชุดนี้ ในการสร้างความหวาดวิตกให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน  
 
ดังนั้นเรื่องนี้ภายหลังจากสถานการณ์โควิด 19 ก็ควรจะได้รับการสะสาง และส่วนตัวมองว่าการจะอยู่โดยกล่าวอ้างสถานการณ์โควิด-19 โดยแก้ไขปัญหาชาติไม่ได้ หรือ จะอยู่โดยอ้างว่า รอฉีดวัคซีนคนให้ครบนั้น หากเป็นคนที่มีประสิทธิภาพปีนี้ทุกอย่างจะจบหมด แต่เพราะเรามีรัฐบาลที่ด้อยประสิทธิภาพ ยโส โอหัง อวดดี และห่วยแตก  ไม่รับฟังใคร   
  
อีกอย่าง ตนอยากเรียกร้องให้ผู้ที่มีความรู้ กล้าที่จะลุกขึ้นมาอธิบายเพราะหลากหลายเรื่องราวมันผิดปกติเป็นที่น่าสงสัย เพราะอย่างน้อยจะได้แลเห็นว่าในสถานการณ์ที่คนไทยได้รับโชคชะตากันอย่างนี้นั้นก็มีคนได้ประโยชน์กันอยู่มากมายและที่สำคัญที่สุดก็คือ ประโยชน์อันนี้มันคือความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้างคาที่ต้องการจะสื่อความให้เห็นว่าทำไมเราไม่สามารถที่จะให้พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศชาติบ้านเมืองได้ต่อไป   
  
“7 ปีที่ผ่านมานั้นถ้ามันมีความสำเร็จเป็นรูปธรรมเพียงแค่เรื่องเดียวให้เห็น คนอาจจะมีความรู้สึก แต่นี่ลองอธิบายถึงความสำเร็จว่า ตั้งแต่ 22 พฤษภาคมซึ่งกำลังจะครบ 7 ปีในเดือนหน้านี้ มีอะไรที่เป็นความสำเร็จ มีอะไรที่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาบ้าง”  
  
พร้อมย้ำว่า หากพลเอกประยุทธ์ออกไปตนเชื่อว่า เราจะได้สถาปนารัฐธรรมนูญโดยประชาชน การอยู่หรือไปของพลเอกประยุทธ์นั้นตนขอย้ำอีกครั้งว่า จะเคียงคู่กับรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญปี 60 นั้นอย่างที่ตนเคยบอกว่าเป็นมรดกบาปเป็นพินัยกรรมของคนที่ได้รับประโยชน์คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเพราะฉะนั้นการแก้ไขพินัยกรรมเพื่อให้ประโยชน์ตกเป็นของคนอื่นนั้นคนที่ได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมไม่มีวันจะทำให้ดังนั้น มันจึงเป็นหน้าที่ของประชาชน  
  
ขณะเดียวกันในปรากฏการของคณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทยนั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น แต่ไปตรงกับความรู้สึกของประชาชนที่เขามีความทุกข์ยาก  ดังนั้นแม้ว่าเป็นเรื่องที่ยากของการเปิดประตูให้กับคู่ขัดแย้งที่จะต้องวางเรื่องของตัวเองไว้ชั่วคราวสามัคคีกันเฉพาะหน้าเอาพลเอกประยุทธ์ออกไปนั้นยังเป็นภารกิจที่มีความสำคัญจะต้องทำจิตใจให้กว้างขวาง ต้องทำจิตใจให้ผ่องโต ต้องทำจิตใจให้ใหญ่มากเพื่อแลกกับสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องได้รับความเชื่อมั่นกลับคืนมานั่นคือการเอาพลเอกประยุทธ์ออกไป

'เสรีพิศุทธ์' ชี้ 'บิ๊กตู่' หมดเวลาแล้ว หลังบริหารจัดการโรคระบาดและล่าช้าในการจัดหาวัคซีน

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงการฉีดวัคซีนของประเทศไทยว่า การฉีดวัคซีนล่าช้ากว่าประเทศอื่น ฉีดได้เพียงร้อยละ 1 เปอร์เซนต์ แต่ประเทศอื่นฉีดไปแล้วร้อยละ 70 เปอร์เซ็นต์ เพราะการสั่งซื้อล่าช้า ตนขอตั้งข้อสังเกตถึงการทุจริตจัดซื้อวัคซีนที่มีผลประโยชน์ นำเงินทอนไปใช้ทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้ง แม้จะยังไม่มีข้อมูลหลักฐานชี้ชัด แต่ด้วยประสบการณ์ของตัวเองแค่มองก็รู้แล้ว หากมีพยานหลักฐานที่พบว่ามีการทุจริตการจัดซื้อวัคซีน ก็จะหยิบขึ้นมาเป็นวาระในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ

(กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร แน่นอน

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวสะท้อนว่าไทยยังมีความเหลื่อมล้ำชนชั้นทางสังคมในการเข้าถึงวัคซีน เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือแม้แต่ในรัฐสภาที่มีความเหลื่อมล้ำ ส.ว.ได้ฉีดก่อนและมีรถมารับ แต่ ส.ส. ได้ฉีดทีหลังและต้องเดินทางไปเอง และส่วนตัวตนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนซึ่งรัฐสภาแจ้งให้ ส.ส.ไปฉีดภายในสิ้นเดือน เม.ย.นี้ ที่สถาบันบำราศนราดูร

“หากผมเป็นนายกรัฐมนตรีจะสั่งปลดนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ติดโควิด-19 ไปแล้ว และมุมการบริหารต้องใช้คนให้ถูกกับงาน ไม่ใช่ตามโควต้าพรรคร่วมรัฐบาล เพราะต่างก็คิดแต่อำนาจของตัวเองเป็นหลัก” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่าหมดเวลาแล้ว 1-2 ปีเป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่าสามารถบริหารได้หรือไม่ แม้ในขณะที่เป็นหัวหน้าพรรคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็บังคับอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้กฎหมายต้องผ่านสภา ทุกอย่างก็ยิ่งยากขึ้น สิ่งที่ควรแก้ก็ไม่แก้ อย่างเช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ขณะเดียวกัน ทาง กมธ.ป.ป.ช. เตรียมที่จะเชิญรมว.คมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตการบินพลเรือน และหากไม่มาชี้แจงภายในเดือนนี้ จะสรุปคำร้องว่ากระทำผิดกฎหมาย เพราะส่งผลกระทบความเดือนร้อนต่อประชาชน

ที่มา: https://siamrath.co.th/n/237658


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“แรมโบ้” ยืนยัน “บิ๊กตู่”รับฟังความเห็นทุกฝ่ายหากมีความจริงใจ ไม่ใช่ผู้หลบหนีคดีไปต่างประเทศ เตือน “อนุสรณ์” ปกป้องนายใหญ่ออกนอกหน้าจะพาเพื่อไทยเดือดร้อน

เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอบโต้ตนเองที่พูดถึงนายทักษิณ ชินวัตร หรือ  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พูดผ่านคลับเฮาส์ ขอย้ำว่า การออกมาพูดของนายทักษิณ เป็นการพูดเอาแต่ดีใส่ตัวโยนชั่วให้คนอื่น เพราะในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตโควิด-19  ซึ่งนายกฯ และรัฐบาล ทำงานอย่างหนัก แต่นายทักษิณกลับอาศัยจังหวะนี้ออกมาพูดแบบนี้ ที่ผ่านมานายทักษิณ พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาพูดแต่ตำหนิ กล่าวโจมตีนายกฯไม่หยุด ออกมาพูดเพื่อเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น หรือหวังผลทางการเมือง

“ ที่ผ่านมานายทักษิณ พรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่นายอนุสรณ์เองก็ออกมาพูดกล่าวโจมตีนายกฯไม่หยุด ไม่เคยเลยที่จะช่วย หรือพูดดี ให้กำลังใจรัฐบาล แบบนี้จะให้คิดได้อย่างไรว่านายทักษิณแสดงความจริงใจกับนายกฯ อย่างแท้จริง” นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกลกล่าวว่า ยืนยันว่านายกฯพร้อมรับฟังข้อเสนอจากทุกฝ่าย หากบุคคลเหล่านั้นมีความจริงใจที่แท้จริงตั้งแต่ต้น ไม่เป็นบุคคลที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศ ทั้งนี้นายกฯก็บอกแล้วว่าอย่ามาถามถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ไม่รู้เรื่องของนายทักษิณ ดังนั้นก็ขอให้นายอนุสรณ์เข้าใจด้วย และอย่าออกมาปกป้องนายใหญ่ จนออกนอกหน้า เกินความพอดี เพราะเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค หากมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็ขอให้ระวังว่าคนจะเข้าใจผิดได้ว่านายทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจทำให้พรรคเพื่อไทยลำบากได้เพราะมีรองหัวหน้าพรรคเช่นนายอนุสรณ์ 

"นายอนุสรณ์คงหวังว่านายใหญ่อาจจะให้รางวัลตอบแทนหรือเปล่า เพราะเห็นใครแตะต้องนายทักษิณหรือนางสาวยิ่กษณ์สองคนนี้เมื่อไร นายอนุสรณ์คนเดียวที่รีบกระโดดงับ ออกมาปกป้องทันที ก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับรางวัลโบนัสที่นายใหญ่ทั้งสองอาจจะมอบให้กับนายอนุสรณ์"นายเสกสกลกล่าว

ประกันสังคม เตือนนายจ้างแจ้งเข้า-ออกลูกจ้างให้ตรงตามกำหนด

สำนักงานประกันสังคม เตือนนายจ้างแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างทุกครั้ง ที่ลูกจ้างมีการแจ้งเข้าทำงาน ภายใน 30 วัน และแจ้งออกจากงาน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง โดยส่งข้อมูลผ่าน www.sso.go.th เพื่อความสะดวก รวดเร็วแก่นายจ้าง

นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึง การติดตามนายจ้างให้แจ้งขึ้นทะเบียนและแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ว่า สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการกับนายจ้างที่ไม่ได้แจ้งขึ้นทะเบียนและแจ้งสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยกฎหมายได้กำหนดให้นายจ้าง ซึ่งมีลูกจ้างทำงานในสถานประกอบการตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องแจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.1-03) โดยนายจ้างที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นแบบได้ที่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 

สำหรับนายจ้างที่มีสำนักงานใหญ่ในส่วนภูมิภาค ให้ยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ นายจ้างมีหน้าที่ขึ้นทะเบียนลูกจ้างภายใน 30 วัน นับจากวันที่รับลูกจ้างเข้าทำงาน กรณีที่มีลูกจ้างลาออกจากงาน ให้นายจ้างยื่นแบบแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน (สปส.6-09) พร้อมระบุสาเหตุการออกจากงาน หรือกรณีที่ผู้ประกันตนเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง ให้นายจ้างยื่นแบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงผู้ประกันตน (สปส.6-10) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจาก ที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง ทั้งนี้ นายจ้างสามารถทำธุรกรรมงานทะเบียนผู้ประกันตนผ่านระบบ e-service ได้ที่ www.sso.go.th

เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวในตอนท้ายว่า สำนักงานประกันสังคม ได้มีมาตรการ ดำเนินการกับนายจ้างที่ไม่ได้แจ้งการแจ้งขึ้นทะเบียนและแจ้งสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนไม่ตรงตามกฎหมายกำหนด โดยออกหนังสือเชิญพบ หากพบนายจ้างมีเจตนายังหลีกเลี่ยง จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอความร่วมมือให้นายจ้างปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์สูงสุ

"รองโฆษก ปชป." ประนามผู้ไม่หวังดี หยุดปั้นเฟคนิวส์ สร้างความหวาดกลัวตระหนกตกใจในสถานการณ์โควิด-19

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้ประเทศอยู่ในวิกฤตสาธารณสุขและหลายครอบครัวต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจไปอย่างควบคู่กัน เป็นที่น่าเสียใจว่าในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังช่วยกันเร่งแก้ปัญหา กับมีบุคคลบางกลุ่มไม่หวังดี ซ้ำเติมประเทศชาติในรูปแบบของ Fake News ที่ล้วนแต่สร้างความเสียหายและทำให้สังคมสับสน และนำไปสู่การสร้างความตื่นตระหนกและทำให้สถานการณ์บางอย่างเลวร้ายไปกว่าเดิม ซ้ำเติมปัญหาให้มากขึ้นไปอีก 

โดยนางดรุณวรรณ ได้กล่าวต่อว่าแม้การระบาดได้เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันและรุนแรงขึ้นกว่าเดิม กลุ่มคนที่ไม่หวังดีก็ยังมีพฤติกรรมในการสร้าง Fake News คือข้อมูล ข้อความ หรือข่าวอันเป็นเท็จหลอกลวงหรือบิดเบือนจากข้อเท็จจริงมาโดยตลอดตัวอย่างล่าสุดเช่นเรื่องการปล่อยข่าวลวงเรื่อง ศบค. ประกาศเคอร์ฟิว เวลา 23.00 – 04.00 น. ในพื้นที่สีแดง 18 จังหวัด หรือการแพร่ระบาดบริเวณร้านอาหารย่านเยาวราช มีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่เป็นจำนวนมากทำให้มีผู้ที่หลงเชื่อแชร์ข่าวต่อกันไปอีกเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังมีเฟคนิวส์รูปแบบต่าง ๆ เช่นการพาดหัวข่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิด การเขียนข่าวหรือทำคอนเทนต์โดยจงใจให้เกิดความเข้าใจผิด การมโนที่มา อ้างอิงไปยังบุคคลหรือแหล่งข่าวด้วย ทั้ง ๆ ที่เขียนโดยคิดหรือมโนขึ้นมาเอง หรืออ้างว่าเป็นข่าวลือในองค์กรที่น่าเชื่อถือ  แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการปลอม หรือตัดต่อ หากไม่สังเกตให้ดีจะดูไม่ออก เพราะการตัดต่อรวมถึงการตัดต่อภาพ เสียง วิดีโอ หรือแม้กระทั่งการเอาโลโก้ของสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือมาใส่ แต่ขั้นที่รุนแรงที่สุดของ Fake News คือการมโนทุกอย่าง ปลอมข่าวขึ้นมา เช่น ปลอมเป็นเว็บสำนักข่าวดัง ถือว่าร้ายแรงมาก เนื่องจากทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นสำนักข่าวนั้น ๆ 

“ขอประนามผู้ที่กระทำไม่ว่าจะทำขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ถือเป็นผู้ที่ผู้ไม่หวังดีกับประเทศชาติ และสมควรได้รับการลงโทษตามกฎหมาย โดยเฉพาะการปล่อย Fake News ในพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน และขอให้กระทรวงดิจิทัลฯ ช่วยติดตามสอดส่องอย่างเข้มข้น และที่สำคัญที่อยากฝากไว้สำหรับทุกคนคือ #ไม่แชร์ถ้าไม่ชัวร์ คือไม่ควรแชร์หรือส่งต่อข้อมูลที่ไม่ชัวร์ ที่ตัวเองไม่มั่นใจ โดยเฉพาะข้อมูลที่ไม่มีแหล่งข่าวอ้างอิงปรากฎชัดเจน ที่สำคัญคือหากรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ แต่ยังส่งต่อข้อความนั้น กฎหมายก็กำหนดให้ “ผู้ส่งต่อ” มีความผิดและได้รับโทษเช่นเดียวกันกับผู้นำเสนอข่าวเท็จดังกล่าวด้วย” นางดรุณวรรณ กล่าว

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ในส่วนของประชาชนก็ควรมีส่วนในการตรวจสอบข่าวปลอมร่วมกันกับภาครัฐด้วย ข้อมูลใดที่ไม่แน่ใจสามารถตรวจสอบได้ผ่านแหล่งข้อมูลของภาครัฐ หรือศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของประเทศไทย สำหรับข่าวที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ควรเสพสื่อหรือฟังข่าวจากหน่วยงานที่เป็นผู้ให้ข่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งภาครัฐเองในปัจุบันโดย ศบค. ก็ได้มีความพยายามในการสื่อสารข่าวด้วยความรวดเร็ว ชัดเจนมากขึ้นแล้ว ในขณะเดียวกันหากประชาชนได้รับข้อมูลที่รวดเร็ว แม่นยำ ก็จะช่วยลดความตระหนกตกใจ ไม่กังวล จนทำให้ต้องไปแสวงหาข้อมูลด้วยตนเองด้วยเช่นกัน

หน.ศปม. ส่งรถทหาร 10 คัน ช่วยภารกิจลำเลียงผู้ป่วยประเภทสีเขียว ไปส่งรพ.สนาม สั่งแสตนบายอีก 20 คัน

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (หน.ศปม.) กล่าวถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นำรถทหาร เข้ามาช่วยในการลำเลียงผู้ป่วยโควิด-19 ว่า จะเข้ามาสนับสนุนในส่วนผู้ป่วยประเภทสีเขียว คือที่แพทย์ได้วินิจฉัยแล้วว่ามีผลเป็นบวก แต่อาการไม่มาก โดยจะเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาล ที่ผู้ป่วยได้เข้ารับการตรวจ และเอ็กซเรย์ปอดวินิจฉัยแล้วเข้าข่ายผู้ป่วยประเภทสีเขียว ไปส่งยังโรงพยาบาลสนาม

เบื้องต้นจนถึงขณะนี้ กองทัพได้สนับสนุนรถทหาร ในภารกิจแล้ว 10 คัน ตามแผนจะใช้ประมาณ 30 คัน โดยจะเป็นรถพยาบาล ของกองพันเสนารักษ์รวมถึงรถสองตอน ที่ต้องแยกระหว่างคนขับกับผู้ป่วยออกจากกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะดำการในกรุงเทพมหานครเป็นหลัก


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“จุรินทร์” ไม่วิเคราะห์นายกฯ ออกคำสั่งส่ง “ธรรมนัส” คุมปักษ์ใต้ ชี้ทุกคนอ่านออก แต่ “วิษณุ” แจ้งที่ประชุม ครม.แล้วว่าจะแก้ไขให้ใหม่จึงต้องรอดู

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อ 20 เมษายนที่ผ่านมา ที่ที่ประชุมรับทราบคำสั่งนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบงาน ภายใต้แนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด เพื่อให้การพัฒนา และแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการมอบหมายให้ร้อยเอกธรรมนัส พรมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปดูแลจังหวัดใหญ่ ๆ ในภาคใต้ ทั้งสงขลา ,นครศรีธรรมราช และภูเก็ต 

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ดูแล ว่าตนไม่ขอตอบตรงนี้ และไม่ขอไปวิเคราะห์ เพราะคิดว่าทุกคนก็สามารถเข้าใจได้ไม่ต่างกัน  เพียงแต่ว่านายวิษณุ  เครืองาม  รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วว่าจะมีการแก้ไขปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสม เพราะฉะนั้นก็ต้องรอตรงนั้นก่อน ซึ่งความจริงรัฐมนตรีหลายท่านก็เหมือนที่ปรากฏเป็นข่าว คือจะมีส่วนในการรับผิดชอบพื้นที่ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่

แต่ในส่วนของประชาธิปัตย์รัฐมนตรีหลายท่านก็ไม่ได้เข้าไปดูแลในพื้นที่ตรงนั้น ตัวอย่างเช่นกรณีของนายนิพนธ์ ที่เป็นอดีต ส.ส.สงขลา ดูแลพื้นที่จังหวัดสงขลา และนครศรีธรรมราช แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนให้ไปดูแลจังหวัดตรัง ละสตูล หรือแม้แต่นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ และส.ส.สุราษฎร์ธานี ก็ไม่ได้ดูแลพื้นที่ตนเอง แต่ได้ดูแลพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และหนองบัวลำภู หรือแม้แต่นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เป็นอดีต ส.ส.พิษณุโลก ก็ไม่ได้ดูแลจังหวัดพิษณุโลก และไปดูแลจังหวัดอำนาจเจริญ ยโสธร และพัทลุงแทน

“แต่ทั้งหมดนี้เมื่อนายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมชี้แจงว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไปก็ต้องรอว่าจะเป็นอย่างไร” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top