Tuesday, 1 July 2025
POLITICS NEWS

พท.ถามสูตรวัคซีนใหม่ หากผิดพลาดใครรับผิดชอบ ย้ำ ปชช.ไม่ใช่หนูทดลอง จี้รัฐควรเร่งแจก Rapid test

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่รัฐมีแนวคิดฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิดเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซเนกาว่า หากรัฐตัดสินใจใช้วิธีการนี้ ถ้ามีผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับประชาชนรัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร  เพราะประชาชนไม่ใช่หนูทดลองของพวกท่าน หากรัฐปรับการฉีดตามวิธีการนี้ เท่ากับว่ารัฐบาลยอมรับว่า วัคซีนซิโนแวคไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะป้องกันเชื้อโควิด -19 ได้ แต่รัฐบาลไม่ระงับการสั่งซื้อ กลับเพิ่มจำนวนวัคซีนดังกล่าวทำให้ประเทศต้องสูญเงินไปอีกกว่า 6 พันล้านบาท ส่วนกรณีที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้ประชาชนใช้ชุดตรวจคัดกรองโควิดด้วยตนเอง( Rapid Antigen Test ) ถือเป็นข่าวดีบนข่าวร้ายของประชาชนที่จะสามารถเข้าถึงชุดตรวจได้ แต่ปัจจุบันราคาขายปลีกชุดตรวจดังกล่าวในท้องตลาดสูงมากเกือบชุดละ 500 บาท ประชาชนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากซึ่งไม่มีเงินแม้จะประทังชีวิตคงไม่สามารถเข้าถึงได้ จึงอยากให้ ศบค. นำงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่ออุปกรณ์การแพทย์ มาจัดซื้อชุดตรวจโควิดด้วยตนเองและส่งให้ประชาชนถึงบ้าน โดยใช้ระบบการส่งไปรษณีย์ของไทยที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ จะช่วยลดความเสี่ยงรับเชื้อจากการต่อคิว เพื่อเข้ารับการตรวจเชื้อตามภาพที่ปรากฏในสื่ออย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้

น.ส.อรุณี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้หากรัฐจะอนุญาตให้เอกชนขาย Rapid antigen test ในเชิงพาณิชย์  กระทรวงพาณิชย์ควรใช้กลไกของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ออกประกาศกำหนดเพดานราคาจำหน่ายชุดตรวจเชื้อด้วยตัวเองอย่างเร่งด่วนและให้มีผลทันที หรือลดภาษีการนำเข้าชุดตรวจ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่ายได้ในราคาที่เป็นธรรม เอื้อต่อการตรวจหาเชื้อที่ครอบคลุมมากที่สุด โดยอย่าปล่อยให้มีใครฉกฉวยโอกาสนี้หากินบนความเดือดร้อน บนความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นในยุคพล.อ.ประยุทธ์ วัคซีนถูกตั้งคำถาม ชุดตรวจฟรีเข้าถึงยาก อย่าให้วิกฤตครั้งนี้กลายเป็นโอกาสของการทำนาบนหลังคน สงสารประชาชนเถอะ

“เสกสกล” เย้ย “โทนี่” ไม่มีใครอยากปรึกษานักโทษหนีคดี ถาม ถ้าอยากกลับไทย พร้อมคืนค่าเสียหาย - รับโทษ หรือไม่

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ 
วู้ดซัม กล่าวผ่านคลับเฮาส์ ระบุให้นายกรัฐมนตรี โทรหาเพื่อขอคำปรึกษา และหากจะไล่นายกฯให้ไปฟ้องพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รวมถึงคนที่เป็นนักการเมืองจะแคร์ประชาชน คนที่มาจากการปฏิวัติไม่แคร์ประชาชน ว่า คำพูดเหน็บแนมของนายโทนี่ เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง คำปรึกษาคงไม่ได้ประโยชน์เพราะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ ไม่ได้สัมผัสกับความเดือดร้อนของประชาชน และสถานะคนทำผิดหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ไม่สมควรที่จะโทรไปปรึกษากับนักโทษที่มีคดีทุจริตติดตัว คงไม่ได้ประโยชน์อะไร และตอนนี้ทุกภาคส่วน บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนได้ร่วมมือกันอย่างดี เพื่อให้สถานการณ์โควิด-19คลี่คลายลง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอคำแนะนำจากนายโทนี่ หากจะช่วยประเทศชาติในภาวะนี้คือ หยุดพูดสร้างความสับสน เหน็บแนม ด้อยค่าคนอื่นและสร้างความแตกแยกให้คนไทยจะช่วยได้มากที่สุด

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนที่ระบุว่าคนที่มาจากการปฏิวัติไม่แคร์ประชาชน อย่าเข้าข้างตัวเองเพราะคนที่เอาประชาชนมาอ้าง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และทุจริตหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ กฎหมายเอื้อประโยชน์ตัวเอง เป็นเป็นเผด็จการรัฐสภา หรือระบอบทักษิณ เรียกว่าแคร์ประชาชนหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ไม่แคร์ประชาชน คอยพูดสร้างความสับสนให้ในยามวิกฤตโควิด มากกว่าช่วยเหลือ และคิดแต่จะล้มรัฐบาลกลับมามีอำนาจ ขณะที่บ้านเมืองต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ยืนยันว่านายกฯจะทำงานแก้ไขปัญหาจนครบเทอม ไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร และคงไม่ต้องไปบอกพล.อ.ประวิตรให้ไปบอกนายกฯประยุทธ์ ให้ลาออก

นายเสกสกล กล่าวว่า นายโทนี่พูดแต่ละครั้งไม่มีสาระที่เป็นประโยชน์ แค่อยากมีบทบาทและกลัวคนจะลืม หรือต้องการให้พรรคเพื่อไทย เข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล จะได้ช่วยเหลือให้พ้นผิดและกลับประเทศ หากแน่จริงขอให้กลับมารับโทษที่ทำผิดไว้โดยไม่ต้องรอเวลา และขอถาม2ข้อว่า ถ้ากลับมาพร้อมที่จะชดใช้ค่าเสียหายคืนให้ประเทศชาติ ประชาชนในโครงการที่เกิดการทุจริตในยุครัฐบาลนายทักษิณและยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่ และพร้อมที่จะกลับเข้ามารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ หากรับเงื่อนไขสองข้อ คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่คงไม่ขัดข้องที่จะให้กลับได้ถ้า ส่วนจะเดินเข้าทางช่องประตูหน้าหรือประตูหลัง หรือประตูไหน คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้อย่างแน่นอน

“อนุชา” เผย ชัยนาทเตรียมเปิดรพ.สนามแห่งที่ 2  ลดความแออัดดูแลผู้ป่วยในพื้นที่-จว.ใกล้เคียง

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วประเทศในขณะนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ชัยนาท ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสม รวม 254 ราย และตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันยังมีปริมาณเพิ่มขึ้น จึงมอบหมายผู้ว่าฯชัยนาท นายกองค์การบริหารส่วนชัยนาท ดูแลความเรียบร้อย และคุมเข้มการแพร่ระบาด อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และให้เพิ่มโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 รองรับผู้ป่วยได้ 140 เตียง คาดว่าเพียงพอสำหรับรองรับความเดือดร้อนของชาวชัยนาทและในจังหวัดใกล้เคียง เพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 1 ที่จะดูแลผู้ป่วย เป็นเวลา 10 วัน เมื่ออาการดีขึ้นจะย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 อีกจำนวน 4 วัน ก่อนส่งตัวผู้ป่วยกลับบ้าน

“สงคราม” เชื่อยอดติดเชื่อพุ่งเกินหมื่นนอนรอความตายที่บ้านหลักพัน อัด “บิ๊กตู่” ทอดทิ้งประชาชนปล่อยนายทุนหาประโยชน์จากวิกฤตโควิด

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันมีประชาชนจำนวนมาก ต้องนอนรอที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ข้ามวันข้ามคืน เพื่อตรวจหาเชื้อเพราะสามารถตรวจได้เพียงจุดล่ะ 300-400 คนต่อวันในขณะที่มีคนจำนวนนับพันไปรอการตรวจหาเชื้อ แต่รัฐบาลกลับไม่มีมาตราการที่จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่จะมาดูแลประชาชน

นอกจากนี้บางพื้นที่มีรายงานข่าวเข้ามาว่า เอกชนบางราย นำชุดตรวจหาโควิดไปให้บริการประชาชน หากจะตรวจต้องมีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 800-1,000 บาท ต่อคน ทั้งๆที่รัฐบาลต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัตไว้ชัดว่า ประชาชนต้องเข้าถึงการบริหารทางการแพทย์โดยไม่ค่าใช้จ่าย แต่รัฐกลับปล่อยให้มีการหาประโยชน์จากการบริหารทางการแพทย์ของรัฐ

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า มาตรการล็อกดาวน์ 14 วัน คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะรัฐบาลทำผิดพลาดมาตั้งแต่การปิดแคมป์คนงานส่งผลมีการนำเชื้อออกไปในพื้นที่ต่างๆทั้วประเทศ ในขณะเดียวกันรัฐบาลไม่มีกาป้องกันการระบาดในพื้นที่ต่างจังหวัด พบว่าหลายจังหวัดตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น เพราะนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลส่งผลให้ประชาชนทุกพื้นที่ต้องรับความเสี่ยงไปด้วย
“การบริหารงานที่ผิดพลาด ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหาหลายด้าน และล้มเหลวทุกด้าน พลเอกประยุทธ์ทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยจากวิกฤตเป็นหายนะ ทั้งนี้เชื่อว่าหากมีการตรวจเชิงรุกจะพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 10,000 คนอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันมีจำนวนผู้ติดเชื้นอนความตายอยู่ที่บ้านมากกว่า 1,000 คน พลเอกประยุทธ์ไม่รู้สึกผิด หรือ ไม่สนใจในความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน”นายสงครามกล่าว

“องอาจ” ขอบคุณ ครม. ช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์ว่า ต้องขอขอบคุณคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีมาตรการเยียวยา ล่าสุดเพิ่มเติมรวม 9 สาขาอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยตรง มีรูปแบบการช่วยเหลือที่หลากหลายครอบคลุมกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการลดค่าน้ำค่าไฟที่กระจายไปยังประชาชนและภาคธุรกิจทั่วประเทศ อีกทั้งยังให้สถานศึกษาภาครัฐให้ความช่วยเหลือในการให้ส่วนลดเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษาได้อย่างมาก

หลังจากนี้จะได้ติดตามตรวจสอบต่อไปว่า มาตรการเยียวยาที่ออกมาจะปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือด้านการพักชำระหนี้ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ขอฝากประเด็นที่ควรออกเป็นมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมดังนี้
1. ควรงดเว้น หรือลดการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ของภาครัฐจากผู้ประกอบการ SME
2. กระทรวงการคลังควรหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์เรื่องการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อย หรือซอฟท์โลนเกิดขึ้นได้จริง
3. ควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ทั่วประเทศให้เดินหน้าต่อได้ จนกว่าภาครัฐจะทำให้สถานการณ์โควิดแพร่ระบาดคลี่คลาย

อย่างไรก็ดียังมีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากล็อกดาวน์คือ กลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น กลุ่มแรงงานนอกระบบ ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ซึ่งมาตรการเยียวยาล่าสุดจะมีมาตรการดึงแรงงานกลุ่มนี้ให้เข้ามาขึ้นทะเบียนประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคมนี้ แล้วจะได้เงินช่วยเหลือต่างๆ ตามที่กำหนด 

แต่ในความเป็นจริงอาจจะมีแรงงานนอกระบบ หรือกลุ่มอาชีพอิสระจำนวนไม่น้อยที่ไม่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนประกันสังคมก็ควรได้รับการเยียวยา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ครั้งนี้เช่นกัน 

นายองอาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกสามจนนำมาสู่การล็อกดาวน์ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบ การที่ ครม. ออกมาตรการเยียวยาล่าสุดนี้จะช่วยต่อลมหายใจของผู้ได้รับผลกระทบให้สามารถมีกำลังกายกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาโควิด ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายไปในที่สุด 

ราเมศ แจง ปชช อย่ากังวล สื่อสารได้ตามปกติ ยึดหลักสุจริต “ไม่บิดเบือน”

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง ข้อห้ามที่กำหนดไว้ในประกาศข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) ในเรื่อง มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ว่า

หลักการสำคัญของเรื่องนี้ คือการออกข้อกำหนดมามีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ข้อกำหนดในข้อ 11 จึงระบุข้อความมีสาระสำคัญคือ

"มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การข่าวหรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั่วราชอาณาจักรนั้น เป็นความผิดตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548" 

จากข้อความดังกล่าว มีความชัดแจ้งอยู่ในตัวคือ มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากมีการบิดเบือนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จก็มีความผิด การนำข่าวสารที่ถูกต้องแน่ไปทำการบิดเบือนก็มีความผิด เช่นรัฐบาลประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อ จำนวนหนึ่ง แต่ไปบิดเบือนขยายต่อว่าผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากเสียชีวิตมากกว่าที่รายงานกล่าวหาว่ารัฐบาลปกปิดจำนวนที่แท้จริง อันนี้ชัดเจนผิดแน่นอน ภาพข่าวมีคนเดินๆอยู่แล้วเป็นลมล้มเสียชีวิต แต่มาบิดเบือนว่าเกิดจากเพราะการฉีดวัคซีน อันนี้ก็ผิดอยู่แล้ว ไม่มีข้อกำหนดนี้ก็อาจจะผิดตามกฎหมายอื่น

นายราเมศ กล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนวิตกกังวลจนเกินไป ไม่มีข้อความใดในข้อกำหนดว่าห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง ขอให้ทุกคนยึดหลักสุจริต สื่อสารด้วยความจริง ไม่บิดเบือน จะเป็นเกราะคุ้มกันได้ดีที่สุด 
คนที่ออกมาบิดเบือนข้อกำหนดนี้ที่พยายามบิดเบือนทำให้สังคมหวาดกลัวโดยบอกว่าห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง น่าจะเป็นคนนำร่องผิดข้อกำหนดนี้เป็นคนแรก เพราะบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร นำไปสู่การทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ข้อเท็จจริงยุติว่าข้อความดังกล่าวทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิด ก็ต้องระมัดระวัง

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า หากสื่อสารด้วยความจริง สุจริต ไม่บิดเบือน ไม่ได้สร้างความสับสนให้สังคมเข้าใจผิด แล้วถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี ให้แจ้งมาตนจะว่าความทำคดีให้ด้วยตนเอง

"บิ๊กตู่"ย้ำจำเป็นยกระดับมาตรการหลังเดลตาระบาดหนักทั่วโลก กำชับคุมราคาวัคซีนทางเลือก-ชุดตรวจไว Antigen Test Kit ต้องไม่แพงไม่ และเป็นภาระปชช. “ปลื้ม”ข่าวดีไทยผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้เอง เตรียมเร่งกระจายสถานพยาบาล-รพ.สนามทั่วประเทศ ยันไม่สต๊อกที่ส่วนกลาง 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนนายกรัฐมนตรี หลังการประชุม ครม.ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์​การณ์แก้ปัญหาโควิด-19 ที่ค่อนข้างหนักหน่วงในเวลานี้ จนเกิดกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ลาออกเปิดทางให้คนอื่นมาแก้ปัญหาแทน ว่า เนื่องจากปัจจุบันการแพร่ระบาดโควิด มีสายพันธุ์เดลตาที่มีความรุนแรงและติดต่อได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้กลายเป็นปัญหาทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ4 จังหวัดภาคใต้ จึงมีการออกข้อกำหนด เพื่อลดการแพร่ระบาด ซึ่งการบริหารจัดการของรัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนและปลดล็อคในหลายเรื่องเพื่อเอาชนะโควิดให้ได้โดยเร็ว

นายอนุชา กล่าวย้ำว่า ในส่วนการจัดหาและฉีดวัคซีนจะจัดหาโดยเร็วและฉีดให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ฉีดไปแล้วมากกว่า 12 ล้านโดสและในปัจจุบัน รัฐบาลจะเร่งกระจายและเร่งฉีด ขณะนี้กระจายไปกว่า 5.4 ล้านโดส เพื่อลดการสูญเสียในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลในพื้นที่สีแดงต้องระดมฉีดให้ได้อย่างน้อย 1 ล้านโดส ในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ไป และจะมีการจำกัดการเคลื่อนย้าย การเข้าออกพื้นที่จะให้สถานการณ์ กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมได้โดยเร็ว 

นายอนุชา กล่าวว่า ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีนมีผลการศึกษา จากการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มตัวอย่างในปัจจุบันประมาณ 7 แสนคนที่ได้รับวัคซีนแล้วทั้งซิโนแวคและแอสตราเซเนกา มีรายงานว่าในจำนวนนี้มีผู้ติดเชื้อ 707 คน คิดเป็น 0.01 % ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนแล้ว มีอาการหนัก 3 รายและเสียชีวิต 2 ราย ซึ่งหากเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตในภาพรวมของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศก็สะท้อนให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนแมวป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ 100 % แต่ก็ลดความรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้เป็นอย่างมาก

นายอนุชา กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันได้มีการปลดล็อคในเรื่องการตรวจคัดกรอง ทั้งในส่วนการปลดล็อคให้โรงพยาบาลรับการตรวจให้ประชาชน แม้จะไม่มีเตียงรองรับ โดยให้ลงทะเบียนเข้าระบบแยกกับตัวและรักษาต่อไปตามความรุนแรงของอาการ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องปฏิเสธการตรวจโดยทันที นอกจากนี้ยังปลดล็อคการให้ใช้ชุดตรวจไวหรือที่เรียกว่า Antigen Test Kit โดยกระจายให้โรงพยาบาลหรือคลีนิคชุมชนสามารถใช้ได้ทันที พร้อมส่วนกลางที่จะให้ประชาชนซื้อไปใช้เองในระยะต่อไป โดยรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการเรื่องกฎระเบียบต่างๆเพื่อปลดล็อคให้ได้ และให้ประชาชนสามารถไปใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป รวมถึงเรื่องการควบคุมราคา โดยนายกฯ ได้กำชับว่าราคาต้องไม่แพงและประชาชนต้องไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนของวัคซีนทางเลือกและชุดตรวจไวหรือAntigen Test Kit ซึ่งย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้เก็บภาษีนำเข้าในส่วนเหล่านี้

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นอกจากนี้ในด้านการรักษา นอกจากมีการเพิ่มจำนวนเตียงเช่นที่รพ.บุษราคัม ที่เพิ่มเตียง จำนวน 1,000-2,500 เตียง ทำให้มีเตียงไม่ต่ำกว่า 3,000 - 4,000 เตียงแล้ว และยังได้เปิดศูนย์พักคอยอีก 17 แห่ง รองรับผู้ป่วย 2,560 เตียง และจะเสริมเป็น 3,000 เตียงต่อไป พร้อมกันนี้อนุมัติการแยกกับตัวที่บ้านหรือ Home isolation หรือการปรับตัวในชุมชนหรือ community isolationมาใช้ สำหรับผู้ติดเชื้อและไม่มีอาการหรืออาการน้อยในเกณฑ์สีเขียว โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์พร้อมการติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเต็มที่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและอาหารทุกมื้อ ไม่ต่างจากการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไป

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า อย่างไรก็ตามขณะนี้มีผู้ป่วยสีเขียวในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลขณะนี้ คิดเป็นร้อยละ 75 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งหากบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วจะมีเตียงเพิ่มขึ้นอีก 40-50 % และจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุข นอกจากนี้มีข่าวดีคือเราสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ได้เองและกำลังขึ้นทะเบียนตำรับยาเพื่อนำมาใช้โดยทันทีลดการนำเข้า ซึ่งขณะนี้มีอัตราการผลิตอยู่ที่ 3-5 ล้านเม็ดต่อเดือน โดยจะเร่งกระจายไปยังสถานพยาบาลโรงพยาบาลสนามต่างๆทั่วประเทศอย่างพอเพียงและไม่สต๊อกไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ตั้งแต่อาการเริ่มแรกและเพื่อลดผู้ป่วยอาการหนักตั้งแต่ต้น พร้อมการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยเช่นฟ้าทะลายโจรอย่างจริงจัง สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือผู้ป่วยที่แยกกับตัวที่บ้าน ควบคู่กับยาหลักตามคำแนะนำของแพทย์ 

รัฐบาล รับส่งมอบวัคซีนอาจมีปัญหา ยันไม่หยุดเจรจานำเข้าให้มากที่สุด ย้ำ"ไฟเซอร์-จอห์นสันฯ-สปุตนิควี"จ่อเพิ่มเติมเข้ามา 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามนายกรัฐมนตรีภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงแผนการส่งมอบหรือแผนการกระจายวัคซีนที่หลายฝ่ายมองว่าไม่เป็นไปตามเป้า ว่า จากการสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงต่อที่ประชุม ครม.ว่า อาจจะมีการส่งมอบวัคซีนที่เป็นการนำเข้ามาซึ่งปัจจุบันหากมีปัญหาทางกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล ยังมีการเจรจาเพิ่มเติมกับผู้ผลิตรายอื่นๆ รวมทั้งการนำเข้าจากผู้ผลิตทั้ง บริษัทไฟเซอร์ ฯ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันและ สปุตนิก วี (Sputnik V)
ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมเข้ามาซึ่งรัฐบาลจะเร่งนำเข้าวัคซีนให้ได้มากที่สุดเพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับแผนการกระจายวัคซีน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเพื่อกระจายตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขโดย ศบค. ได้พิจารณาจากการประชุมร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้เสนอต่อที่ประชุม ศบค. เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายตามคำแนะนำของคณะแพทย์ว่าวัคซีนที่นำเข้ามาควรจะฉีดให้กับใครและกระจายไปในพื้นที่จุดใด 

กสม. ส่งหนังสือถึงนายกฯ ให้รัฐบาลชะลอเสนอขึ้นทะเบียนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกก่อน จนกว่าแก้ปมสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยงบางกลอยคลี่คลาย

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ตามที่รัฐบาลจะนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ระหว่างวันที่ 16 – 31 ก.ค. 2564 นั้น กสม. โดย น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกสม.ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ลงวันที่ 12 ก.ค.64 เสนอให้รัฐบาลชะลอการเสนอขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติออกไปก่อน จนกว่าปัญหาสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยจะคลี่คลาย

โดยระบุว่า กสม. เห็นถึงคุณค่าของการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์สิทธิมนุษยชนกรณีกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งที่ได้เคยตรวจสอบกรณีดังกล่าว กสม. มีข้อเสนอเพื่อพิจารณาในประเด็นดังนี้ 1. คณะกรรมการมรดกโลกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้มีข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ซึ่งในปัจจุบัน ยังปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหากรณีดังกล่าว อาทิ การโต้แย้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในพื้นที่ดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย

2. แม้ภาครัฐได้พยายามแก้ไขปัญหาโดยการจัดสรรพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยที่ถูกย้ายออกจากพื้นที่ดั้งเดิมแล้ว แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยยังประสบปัญหาในการใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ได้รับการจัดสรรอย่างจำกัด ไม่ครบถ้วน และสภาพดินไม่สามารถทำกินได้อย่างเพียงพอ ต่อมา เมื่อประมาณต้นปี 64 กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยบางส่วนได้กลับเข้าไปทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ดั้งเดิม ทำให้ถูกจับกุม และเกิดข้อขัดแย้ง กระทั่งได้มีการแก้ไขปัญหาตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 67/2564 ลงวันที่ 16 มี.ค.64 และมีการตั้งคณะอนุกรรมการ 5 ด้านขึ้นมา เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีผลการดำเนินการและข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งถูกจับกุมกำลังถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย

3. กสม. ขอเสนอให้รัฐบาลชะลอการเสนอขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติออกไปก่อน จนกว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายและได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ เมื่อปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมแล้ว กสม. พร้อมที่จะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติต่อไป

โดยกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยมีลักษณะเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ซึ่งควรได้รับการคุ้มครองสิทธิในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของตน รวมทั้งมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามที่รัฐธรรมนูญ60 และหนังสือสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามได้ให้การรับรองไว้

ครม.เว้นค่าธรรมเนียม “สปา-นวด-เสริมงาม”อีก 1ปี ส่วนสถานดูแลผู้สูงอายุ เว้นให้ 2 ปี ลดภาระปชช.ช่วงโควิด

น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี  แก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการสปา กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี  

ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 2564- 17 มี.ค. 2565 และยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการแก่การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงแก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลบังคับใช้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาลดภาระและบรรเทาผลกระทบให้ผู้ประกอบการกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)และจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับค่าธรรมเนียมกิจการสปาอยู่ที่ปีละ 1,000 บาท กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเสริมความงามปีละ 500 บาท และกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงโดยมีการพักค้างคืนปีละ 1,000 บาท โดยมีกิจการสปาจำนวน 905 แห่ง กิจการนวดเพื่อสุขภาพและเพื่อเสริมความงาม จำวน  10,934 แห่ง และกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 138 แห่ง ทั้งนี้การเว้นค่าธรรมเนียมในครั้งนี้ รัฐจะเสียรายได้ 6,640,000 บาท 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top