Saturday, 12 October 2024
POLITICS NEWS

”บิ๊กป้อม” สั่งก.รง. เอาผิดนายจ้าง นำเข้าแรงงานต่างด้าว ฟัน ไม่มีละเว้น เผย จัดชุดเฉพาะกิจ 5 ชุดลงพื้นที่ตรวจจับ

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด ว่า ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้หารือถึงมาตรการป้องกันแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง โดยเฉพาะการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องในการนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาอย่างผิดกฏหมาย ซึ่งเรื่องนี้ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะมีการแถลงให้ทราบกัน ในส่วนของกระทรวงแรงงานจะดูในเรื่องของสถานประกอบกิจการที่มีการนำแรงงานผิดกฏหมายเข้ามา ที่ผ่านมาได้จับไปแล้วถึง 3 แสนกว่าคนใน 2 หมื่นกว่ากิจการ

“เรากำลังจะประชุมร่วมกับประธานหอการค้าไทย สภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ ก่อนที่จะมีการออกประกาศกฎกระทรวงเพื่อขอความร่วมมือและเอาผิดกับบรรดานายจ้างทั้งหมดที่นำเข้าแรงงานผิดกฏหมาย จะมีการกำหนดบทลงโทษชัดเจน โดยจะมีชุดเฉพาะกิจทั้งหมด 5 ชุดในการออกตรวจจับ ถ้าเจอก็จะดำเนินคดีให้สูงที่สุด ไม่มีละเว้นและรายงานผลออกมา เรื่องนี้เป็นนโยบายของพล.อ.ประวิตร อยู่แล้ว โดยจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดจากนี้ไป แต่จะไม่มีการดำเนินการย้อนหลังกับโรงงานที่ทำความผิดก่อนหน้านี้”

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการอย่างไรก็สถานประกอบการหรือเจ้าของโรงงานที่ไม่ยอมให้ตรวจ รมว.แรงงาน กล่าวว่า ตรวจได้ ตนมีอำนาจในการตรวจ ซึ่งโทษก็จะมีทั้งจำ ทั้งปรับ ส่วนบางโรงงานที่ปกปิดข้อมูลนั้น ไม่เชิงปกปิดข้อมูล และมีไม่เยอะ อย่างบางเคสที่เราเจอก็จะมีการปรามเพื่อไม่ให้มีการสั่งออเดอร์แรงงานเข้ามา ถ้าสั่งมาก็จับโดยส่งข้อมูลให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี กระทรวงแรงงานจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้กล่าวโทษ ส่วนการดำเนินคดีจะเป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งมีโทษแรง ทั้งนี้กระทรวงแรงงานจะทำงานแบบบูรณาการร่วมกับทางตำรวจซึ่งได้ คุยกับผบ.ตร.แล้ว รวมถึงกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งความจริงก่อนหน้านี้เราก็ทำงานร่วมกันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มีสถานการณ์ของโควิดอยู่ จึงมีความเป็นห่วง

เมื่อถามถึงกรณีที่บุคคลากรด้านหน้าทั้งหมอ พยาบาล ทำงานเหนื่อยกันมาก แต่ด้านหลังกลับปล่อยให้มีการลักลอบเข้ามา นายสุชาติ กล่าวว่า ความจริงต้องดูว่าตัวเลขที่เข้ามามีจำนวนเท่าไหร่ ความจริงไม่ได้มากอย่างที่คิดกัน และการที่จะติดเชื้อก็ไม่ได้ติดเฉพาะจากคนต่างชาติ แต่ก็มีติดจากคนไทยด้วย เพราะฉะนั้นต้องบูรณาการร่วมกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนตัวหนักใจกับโรงงานต่าง ๆ ที่มีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาหรือไม่ รมว.แรงงาน กล่าวว่า อย่าไปคิดว่าทุกโรงงานจะมีแรงงานต่างด้าว เพราะที่ไปตรวจ บางโรงงานก็ไม่มี หรืออย่างแคมป์คนงานที่อิตาเลียนไทยที่พบการติดเชื้อ ปรากฏว่าไม่ได้ติดจากแรงงานต่างด้าว แต่เป็นการติดจากคนไทยที่พบติดเชื้อถึง 15 คน ขณะนี้กำลังจะนำทีมเข้าไปฉีดวัคซีนในโรงงานที่มีคนงาน 500 คนขึ้นไป ส่วนโรงงานอื่น ๆ นั้น บางครั้งหากจะเข้าไปฉีดก็ต้องดูด้วยว่าอยู่ใกล้โรงพยาบาลหรือไม่ เพราะหากฉีดแล้วเกิดผลกระทบอะไรขึ้นมาก็อาจจะลำบากในการนำตัวไปยังโรงพยาบาล

"อรรถวิชช์" เสนอรัฐบาล เร่งส่งวัคซีนฉีดให้เจ้าหน้าที่ไทยในต่างประเทศ ชี้ นายกฯ ได้ครบ 2 เข็มพร้อมสู้ แต่ทูต-เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานยังเสี่ยง 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวเสนอให้รัฐบาลส่งวัคซีนที่มีอยู่ ฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ไทยที่ปฏิบัติงานดูแลคนไทยในต่างประเทศ เพราะมีข้อร้องเรียนมาว่า เจ้าหน้าที่ที่ประจำการหลายประเทศยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ดูแลคนไทย ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนักในหลายประเทศ มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีน โดยประเทศปลายทางเป็นผู้ให้บริการ

"ทูตและผู้แทนไทย เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตร กองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ตำรวจ ธนาคารแห่งประเทศไทย BOI การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปปส. หน่วยงานเหล่านี้ล้วนมีเจ้าหน้าที่อยู่ต่างประเทศ แต่หลายคนยังไม่ได้รับวัคซีน ทั้งที่มีหน้าที่เป็นด่านหน้าในการดูแลคนไทยในต่างประเทศสู่ภัยกับโรคระบาดครั้งนี้ จนปัจจุบันมีหลายท่านที่ป่วยและไม่สามารถปฏิบัติงานได้" นายอรรถวิชช์กล่าว 

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้รับวัคซีน Astrazeneca เข็มที่ 2 แล้วในวันนี้ ก็คงสามารถทำงานได้ดีขึ้น เสี่ยงน้อยลง แต่เจ้าหน้าที่ของไทยในต่างแดนยังต้องเสี่ยงอยู่ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเหมือนที่ท่านนายกฯ เคยกล่าว โดยขอให้เทียบเคียงกรณีสหรัฐฯ ส่งวัคซีน Pfizer มาฉีดให้เจ้าหน้าที่สหรัฐในไทยเมื่อต้นเดือนนี้ หรือจีนที่ส่งวัคซีน Sinovac มาให้คนจีนในไทยฉีดในช่วงเวลาที่ผ่านมา 

นายอรรถวิชช์ ย้ำด้วยว่า เรื่องนี้สะท้อนระบบราชการที่ล้าหลัง ในการดูแลคนทำงานหน้าด่านในต่างประเทศ การส่งวัคซีนข้ามประเทศโดยใช้เอกสิทธิ์ทางการทูตน่าจะไม่จากเกินกำลังของรัฐบาลไทย  ความเร็ว เป็นหัวใจในการแก้วิกฤติ เป็นกำลังใจให้คนทำงาน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32
 

“ไทยไม่ทน” บุกปชป. ยื่นหนังสืงจี้ “จุรินทร์” ถอนตัวร่วมรัฐบาล ออกมายืนเคียงข้างปชช. เปิดทางให้ทุกฝ่ายนำร่วมกันหาผู้นำคนใหม่ ชี้ ”ระบอบประยุทธ์” เป็นภัยคุมคามปชต.-สถาบัน

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ คณะไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ นายวีระ สมความคิด พร้อมคณะ เข้ายื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านนายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงานของ รมว.พาณิชย์ ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อเห็นแก่ชาติและประชาชน

ในหนังสือดังกล่าว มีสาระสำคัญระบุว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์บ้านเมือง ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สืบทอดอำนาจมาถึง 7 ปี แม้จะอ้างว่า ในช่วง 2 ปีหลังเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่วิญญูชนย่อมรู้ดีว่า นับแต่รัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์และเครือข่ายก็วางโรดแมปเพื่อสืบทอดอำนาจนับแต่นั้นเป็นต้นมา จนสามารถสถาปนา “ระบอบประยุทธ์” ที่สร้างความทุกข์ยากแสนสาหัสให้กับผู้คนในประเทศ ความเลวร้ายของระบอบประยุทธ์ไม่สามารถสาธยายได้หมด แต่ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ประชาชนกำลังเผชิญไม่ว่าจะเป็นวิกฤติโควิด-19 ที่ประชาชนเสียชีวิตเป็นใบไม้ร่วงทุกวัน ๆ ปัญหาเศรษฐกิจทั้งในระดับครัวเรือนและมหภาค การทุจริตคอรัปชั่นที่นำอำนาจผลประโยชน์ไปหล่อเลี้ยงความสามานย์ของระบอบประยุทธ์ การเติบโตขยายอำนาจของรัฐระบบราชการ ที่ไม่เห็นหัวประชาชน ด้อยค่า ลดทอนอำนาจฝ่ายการเมืองที่เป็นตัวแทนประชาชนลงทุกขณะ ที่สำคัญคือ การแอบอ้างสถาบันแสวงหาประโยชน์ แบ่งแยกประชาชน จนสถาบันเกิดความมัวหมอง

เวลานี้ประชาชนที่ไม่ยอมจำนนและไม่ทนกับความชั่วร้ายของระบอบประยุทธ์ กำลังเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้ประเทศได้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เป็นคนดีมีความรู้ความสามารถนำพาประเทศให้หลุดพ้นปากเหวแห่งหายนะ เสียงเรียกร้องและความเคลื่อนไหวนี้ค่อย ๆ พัฒนา ยกระดับขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคนในเครือข่ายระบอบประยุทธ์ก็พยายามโต้กลับ กำราบปราบปรามทุกวิถีทางและมีแนวโน้มว่าถึงที่สุดก็จะใช้ความรุนแรงปราบปราม เข่นฆ่าประชาชน ซึ่งนั่นหมายความว่า ประเทศก็จะยิ่งวิกฤติและเป็นบาดแผลครั้งใหญ่มากกว่าเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย 

ด้วยความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดอยู่คู่กับประเทศมาถึง 75 ปี ย่อมมองเห็นแนวโน้มของวิกฤตภายใต้ระบอบประยุทธ์ ไม่ต่างไปจากความเคลื่อนไหวเรียกร้องของภาคประชาชน สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่ได้ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพราะมีประชาชนให้การสนับสนุน วาทะที่นายชวน หลีกภัย แกนนำคนสำคัญของพรรค กล่าวอยู่เสมอว่า “เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา” หรือ “ถึงที่สุดแล้วประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกประชาธิปไตยที่มองประชาชนเป็นใหญ่ ซึ่งเหล่านี้คือบทบาทของพรรคที่นับได้ว่ามีส่วนและคุณูปการช่วยธำรงรักษาระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภามาไม่น้อย 

ดังนั้น เมื่อระบอบประยุทธ์ คือ ภัยคุกคามของระบอบประชาธิปไตย ภัยคุกคามต่อสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชน ภัยคุกคามความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติของประเทศที่จะต้องส่งมอบต่ออนาคตให้คนรุ่นลูกหลานได้ดำรงอยู่ จึงขอให้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อเปิดทางเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันหาผู้นำประเทศคนใหม่ตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป ขอพรรคประชาธิปัตย์ก้าวมาอยู่เคียงข้างประชาชน หยุดความชั่วร้ายสามานย์ของระบอบประยุทธ์


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“บิ๊กป้อม” เรียกประชุมเร่งปิดช่องว่างชายแดน บูรณาการงานเชิงรุก เข้มจนท.ทุกฝ่ายดำเนินการจับกุมหลบหนีเข้าเมืองจริงจังตามกม. วอนผู้ประกอบการหยุดใช้แรงงานเถื่อน 

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด โดยมี รมว.มหาดไทย รมว.แรงงาน รมช.กลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมประชุม ที่ห้องประชุม 301 ทำเนียบรัฐบาล และ มีผวจ.จังหวัดชายแดน ประกอบด้วย จ.แม่ฮ่องสอน, จ.กาญจนบุรี, จ.อุบลราชธานี, จ.สระแก้ว และ จ.นราธิวาส ร่วมประชุมด้วย ผ่านระบบ VTC เพื่อมอบนโยบายแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

สำหรับภาพรวมสถานการณ์ ยังพบความต้องการแรงงานและขบวนการลักลอบนำพาผู้หลบหนีเข้าเมืองข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติและขนย้ายส่งต่อเข้าพื้นที่ชั้นในไปยังสถานประกอบการในหลายจังหวัด โดยตั้งแต่ ก.ค. 62 ถึงปัจจุบัน ทหาร ตำรวจได้ร่วมจัดตั้งจุดตรวจร่วม 1,086 จุด สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ถึง 3,2812 คน โดยจับได้ในพื้นที่ชายแดน 23,258 คน พื้นที่ชั้นใน 9554 คน เป็นผู้นำพา 264 คน ทำลายเครือข่ายไปแล้ว 105 เครือข่าย 

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำสั่งการ ขอให้ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และ กระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้กลไก “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด” ร่วมกันคุมเข้มเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบขนส่งยาเสพติด และสินค้าผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับการคุมเข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรค ตั้งแต่พื้นที่ชายแดน ต่อเนื่องเข้ามาพื้นที่ชั้นในและเขตเมืองอย่างเป็นระบบ โดยกำชับ เน้นงานข่าวย้อนกลับจากผลสอบสวนและต้องปิดช่องว่างที่เกิดขึ้นให้ได้ ตามสืบจับขยายผลทำลายเส้นทางและโครงสร้างขบวนการลักลอบนำพาแรงงาน ตั้งแต่ต้นทางชายแดน ถึงปลายทางสถานประกอบการ พร้อมย้ำกับทุกส่วนราชการ หากมีการปล่อยปละละเลย หรือบกพร่องต่อหน้าที่ ต้องมีผู้รับผิดชอบ และจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดทั้งวินัยและอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องสมประโยชน์ทุกระดับไม่มียกเว้น

โดยพล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับกระทรวงมหาดไทย ย้ำกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัดชายแดน ต้องใช้กลไก “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด” และให้เพิ่มความถี่ลงกำกับขับเคลื่อนงานกับหน่วยงานความมั่นคงในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่อย่างต่อเนื่องและจริงจังถึงระดับหมู่บ้าน ตำบลติดชายแดน คู่ไปกับกลไก กอ.รมน.จว. โดยให้วางเครือข่ายเฝ้าระวังดึงประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นหูเป็นตา ไม่ให้มีผู้ลักลอบหลบหนีเข้ามาในทุกช่องทาง โดยเฉพาะต้องหยุดการเคลื่อนไหวของผู้นำพาในพื้นที่ และประชาสัมพันธ์ขยายผลความร่วมมือประชาชนไปด้วยกัน 

ส่วนกระทรวงแรงงาน พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำสั่งการให้เร่งเข้าไปตรวจสอบความเชื่อมโยงจากผลการสอบสวนถึงผู้ประกอบการที่สั่งนำแรงงานเถื่อนเข้าและให้ประสานกับฝ่ายความมั่นคง ทำลายเครือข่ายการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเดิมและที่พบใหม่ให้หมดสิ้นโดยเร็ว พร้อมกับให้เร่งรัดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติที่ยังตกค้างให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดโดยเร็ว พร้อมกันนี้ขอให้ดำรงความต่อเนื่องเชิงรุก ตรวจคัดกรองแค้มป์คนงานและสถานประกอบการ รวมทั้งกำกับติดตามการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นกลุ่มก้อนที่อาจนำพาโรคโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ขอให้เน้นงานเชิงรุกให้มากขึ้น กำหนดมาตรการป้องกันและบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด กับสถานประกอบการที่ยังใช้แรงงานผิดกฎหมาย ร่วมไปกับขอความร่วมมือสถานประกอบการระงับการใช้แรงงานผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด

“รองนายกฯ ขอให้ ตำรวจประสานแก้ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองกับประเทศเพื่อนบ้าน และกำชับการทำงานของหน่วยงาน ตชด. ตม.และตำรวจภูธรทุกพื้นที่ สนับสนุนการทำงานของ ศูนย์สั่งการชายแดนฯ และกวดขันเพิ่มจุดตรวจทั้งเส้นทางหลักและรอง สกัดกั้นการลักลอบเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาในพื้นที่ชั้น และควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นกลุ่มก้อน ทั้งนี้ยังให้คงความต่อเนื่องเปิดปฏิบัติการ กวาดล้างจับกุมการค้ามนุษย์ ยาเสพติด แหล่งมั่วสุมในทุกพื้นที่ชุมชน โดยให้ขยายผลยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทุกราย เพื่อร่วมกันควบคุมโรคและการกระทำที่ผิดกฎหมายควบคู่กันไป พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”พล.ท.ควชีพ กล่าว

พท.จวกกรมปศุสัตว์ปล่อยลัมปีสกินระบาดในหมู วัว ควายซ้ำเติมเกษตรกรไทย หวั่นเสียหายหลายพันล้านบาท จี้จัดหาวัคซีน

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564  นายวิสุทธิ์ ​ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ได้เกิดโรคระบาดลัมปีสกินในโค กระบือ ล่าสุดได้ลุกลามมายังสุกรในพื้นที่กว่า 40 จังหวัด โดยได้เกิดการระบาดมาตั้งแต่เดือนม.ค. จนถึงขณะนี้ผ่านมา 5 เดือน กรมปศุสัตว์ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ แม้เคยออกระเบียบการเคลื่อนย้ายสัตว์ข้ามจังหวัด แต่ไม่สามารถระงับการระบาดของโรคได้ทันท่วงที เกษตรกรบางรายยอมจ่ายค่าผ่านทาง เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายสัตว์เพื่อไปจำหน่าย หารายได้ในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำในตอนนี้ หากรัฐบาลปล่อยให้การระบาดของโรคลุกลามไปมากกว่านี้ อาจสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ และสุกร ที่ปัจจุบันมีรายได้จากการจำหน่ายเนื้อสัตว์ในประเทศ และยังส่งออกไปต่างประเทศ เช่น เวียดนาม และจีน รวมมูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท 

นายวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า การที่กรมปศุสัตว์สั่งซื้อวัคซีนระงับการระบาด แต่เพิ่งดำเนินการสั่งซื้อเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งดำเนินการล้าช้าไม่ทันการณ์ต่อการระบาดของโรค และยังสั่งซื้อไม่เพียงพอที่ 80,000 โดส ขณะที่ปริมาณสัตว์ที่ติดเชื้อกว่าล้านตัว ทั้งนี้ อยากเรียกร้องให้ น.สพ.สรวิทย์ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะของฝ่ายราชการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะฝ่ายบริหาร ออกมาเปิดเผยข้อมูลการระบาด การรับมือและการจัดการป้องกันการระบาดของโรค และแสดงความรับผิดชอบที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดโรคระบาดในสัตว์จนลุกลามบานปลายสร้างความเสียหายให้กับประเทศ รัฐบาลล้มเหลวซ้ำซากไม่สามารถควบคุมทั้งโรคระบาดในคน และในสัตว์  สิ่งที่เกิดขึ้นได้เหยียบย่ำซ้ำเติมความหวังการหารายได้ของประชาชนและเกษตรกรที่กำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากโควิด-19  พวกท่านต้องรับผิดชอบ

‘อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ นำทีม ส.ส.ก้าวไกลฉีดวัคซีน ‘ซิโนแวค’ ทั้งที่โจมตีมาตลอด อ้างกลัวไม่ได้เข้าร่วมอภิปรายงบฯ เจอมวลชนสวนน่าจะเลือกไม่ฉีด ถามหาอุดมการณ์ต้องแน่วแน่

วันนี้ (23 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา อาคารรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยสำนักบริการทางการแพทย์ประจำรัฐสภา จัดให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แก่ ส.ส. บุคลากรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร บุคคลในวงงานรัฐสภา และสื่อมวลชนประจำรัฐสภา รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประชุมสภาและต้องเข้ามาภายในอาคารรัฐสภา ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

โดยหนึ่งในนั้นมี ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้าน อาทิ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ น.ส.วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เข้ารับการฉีดวัคซีนด้วย

ซึ่ง นางอมรัตน์ ได้โพสต์ภาพตัวเองเข้ารับการฉีดวัคซีน ซิโนแวค พร้อมทั้งเขียนแคปชั่น “ประธานสภาฉีดวัคซีนแล้วและกลัวมีปัญหาไม่ได้ร่วมอภิปรายงบประมาณรายจ่ายปี 65 เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาในสัปดาห์หน้า”

ในโพสต์ดังกล่าว มีลูกเพจ เข้ามาสอบถามว่านางอมรัตน์ ฉีดวัคซีน ยี่ห้ออะไร ซึ่งเมื่อทราบว่า เป็น ซิโนแวค ก็ถามว่า น่าจะเลือกไม่ฉีดนะ อุดมการณ์ต้องแน่วแน่ครับ ซึ่งก็มีหลายคน มาตอบแทนว่า ถ้าไม่ฉีดก็ประชุมสภาไม่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 23 พ.ค. จะมีการฉีดเป็นวันที่ 2 อีก 1,000 โดส รวมทั้งสิ้น 2,000 โดส เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้แก่ทุกคนก่อนจะมีการเปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ.2564 และเป็นการยกระดับมาตรการด้านสาธารณสุขของรัฐสภา ในการป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

 

ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000049647

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=530204451719090&id=100563224683217


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘สุชาติ' ชี้ โรงงานกลัวตรวจเชื้อ เป็นความคิดผิด รับกังวลคลัสเตอร์รง.เพชรบุรี เร่งประสานกทม. ลุยตรวจ 393 แคมป์คนงาน

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์กรณีการแพร่ระบาดคลัสเตอร์โรงงานว่า ในช่วงเช้านี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อดูแผนของกระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเรามีการตรวจสถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวอยู่ ส่วนที่ตรวจเจอว่าติดเชื้อก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แรงงานผิดกฎหมายแต่เข้ามาถูกต้องและมีบัตร เมื่อตรวจพบเชื้อก็ต้องรักษาเป็นเรื่องปกติ และเวลานี้ลามเข้ามาติดในส่วนของแรงงานต่างดาว ก็ต้องมีมาตรการดำเนินการ ยกตัวอย่าง เช่น ในกรุงเทพฯ ได้คุยกับผู้บริหารบริษัทอิตาเลียนไทย ก็ได้ซีลแคมป์คนงานทั้งหมดแล้ว และไม่ให้คนนอกเข้าออก 

นายสุชาติ กล่าวว่า ส่วนคลัสเตอร์โรงงานที่พบในจังหวัดเพชรบุรี ต้องยอมรับว่า เราวิตกกังวลตั้งแต่แรก แต่กระทรวงแรงงานไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ เวลาจะเข้าไปตรวจต้องให้สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เป็นประธานคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด ในการกำหนด ส่วนที่สามารถตรวจในจังหวัดต่าง ๆ ได้ เป็นเพราะได้รับความร่วมมือจากผู้ว่าฯ บางโรงงานก็ไม่ให้ตรวจ เพราะกลัวว่าตรวจแล้วเจอ หรือกังวลว่าหากตรวจพบเชื้อก็จะถูกปิดโรงงานหรือไม่ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ที่เราเข้าไปตรวจเป็นเพราะเป็นที่สุ่มเสี่ยง เช่น ที่จังหวัดชลบุรี เราตรวจเจอก็เข้าไปนำตัวออกมารักษา แต่แรงงานอีก 3,000 ถึง 4,000 คนรอบนอก ก็ปลอดภัย แต่ถ้าไม่เจอก่อน ก็มีปัญหา หรือที่โรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ ตรวจ 1,000 กว่าคน ตรวจพบ 26 คน ก็นำไปรักษา ที่เหลือก็สามารถทำงานต่อได้

ดังนั้นกระทรวงแรงงานและกระทรวงมหาดไทย รอวางแผน 393 แคมป์คนงาน ซึ่งมีรายชื่อแล้วและกำลังจะเข้าไปตรวจโดยประสานกรุงเทพมหานครไว้เรียบร้อยแล้ว

“หมอเกียรติภูมิ” ปักเข็ม 2 แอสตราเซเนกา ให้ “บิ๊กตู่” เจ้าตัวลั่น คนไทยทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนแน่นอน ย้ำไม่ว่าจะเชื้ออะไรรักษาได้ ทำเนียบแจ้งข่าวดี WHO รับรองวัคซีน ซิโนแวคแล้ว

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ สถาบันบำราศนราดูร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เดินทางเข้ารับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เข็มที่ 2 ที่สถาบันบำราศนราดูร โดยไม่อนุญาตให้สื่อเข้าบันทึกภาพและทำข่าว เพราะสถานที่จำกัด อีกทั้งมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาปกติจำนวนมาก ซึ่งการเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่นี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้ารับการฉีดด้วยเช่นกันโดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้การต้อนรับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เข็มแรกไปเมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ตึกสันติไมตรึ ทำเนียบรัฐบาล โดยการฉีดวัคซีนเข็มที่สองนี้นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ปักเข็มให้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการพักรอดูอาการ

นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า ทุกคนจะได้ฉีดแน่นอน แต่เป็นไปตามลำดับความรุนแรง ทั้งนี้จะเร่งฉีดตามสัดส่วนของจำนวนประชากร เพิ่มลดอย่างไรค่อยว่ากัน ทั้งนี้ไม่อยากให้เสนอข่าวหลายทาง เพราะอาจจะทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้ ทั้งนี้ วัคซีนจะมีเข้ามาเพิ่มตามข้อตกลงเจรจา อย่างไรก็ตามวันนี้ทุกประเทศมีปัญหาทั้งหมด ปัญหาอยู่ที่คนถ้าพูดความจริงก็จบ แต่ไม่ว่าวัคซีนชื่ออะไรก็สามารถป้องกันได้ โดยการรักษาควบคู่ไปกับยาที่มีอยู่ เพียงแต่อย่าปล่อยให้เป็นหลายวันแล้วจึงมาโรงพยาบาล 

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน ว่า แม้จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้างแต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ซึ่งก่อนฉีดได้มีการให้คำแนะนำและหลังฉีดก็สามารถปรึกษาแพทย์ได้ตลอดเวลา เป็นแนวทางที่มอบให้กับ ศบค.ประชุมชี้แจง ทั้งเรื่องการกระจายสถานที่ฉีดวัคซีน ทั้งภาครัฐเอกชนที่ร่วมมือกัน มีบุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ฉีดให้ และจะจัดหาเพิ่มเติมให้เท่าที่จะทำได้ ขอบคุณประชาชนที่เข้ามาลงทะเบียนหมอพร้อมมากพอสมควร ในการแพร่ระบาดระลอกใหม่จำเป็นต้องพิจารณาเพราะมีหลายพื้นที่มีการแพร่ระบาดมากและน้อยต่างกัน แต่ขอยืนยันว่าทุกคนได้รับการฉีดแน่นอน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนพื้นที่ใดที่มีคนฉีดวัคซีนน้อยก็ให้กำชับเรื่องของมาตรการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ส่วนการบริหารจัดการวัคซีนนั้น ต้องพิจารณาถึงเรื่องปริมาณวัคซีนที่นำเข้ามาให้สอดคล้องกันแต่จะทำให้เร็วขึ้น ด้วยขีดความสามารถของกระทรวงสาธารณสุข ตอนนี้สถานที่ฉีดวัคซีนไม่มีปัญหาอยู่ที่ตัวเจ้าหน้าที่ ที่ต้องบริหารจัดการ หลายพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีแดงยังมีปัญหาโดยเฉพาะแรงงานก่อสร้างและแรงงานอุตสาหกรรม เพราะเป็นแหล่งสร้างงาน กลุ่มต่อไปคือครูที่ต้องเตรียมการเปิดโรงเรียน และกลุ่มที่มีการแพร่ระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ย้ำว่าขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถบริหารจัดการได้เพียงแต่ต้องการความเข้าใจ ไม่ต้องการให้ใครนำไปบิดเบือน 

“ไม่มีสูตรใดสูตรหนึ่งที่สามารถทำได้ ต้องมีการปรับเปลี่ยนกันไปเมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ไข ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการหารือกันตลอดเวลามีการปรับแผนต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และจำนวนวัคซีนที่นำเข้ามา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะฉีดให้กับทุกคนอาจจะช้าบ้างหรือเร็วบ้าง แต่อย่าลืมและขอร้องอยากให้ฟังหมอในระบบเป็นผู้ชี้แจง และขอยืนยันหมอทุกคนหวังดี ถ้าชี้แจงและรับฟังทีเดียวก็จบ แต่ถ้าพูดหลายครั้งหลายคนไม่ตรงกันประชาชนจะเกิดความสับสนได้” นานกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามถึงไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่คืออินเดียหรือแอฟริกาที่ระบาดเข้ามา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้วัคซีน ได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุขว่าวัคซีนที่เรามีอยู่สามารถที่จะป้องกัน โควิด-19 สายพันธุ์ที่เข้ามาในประเทศไทยได้ ควบคู่ไปกับการรักษาทั้งยาฉีดและยากิน ซึ่งปรับใช้ตามลำดับความรุนแรงของโรค เพียงแต่ไม่อยากให้ทุกคนประมาทและตื่นตระหนก แต่ขอให้ตระหนักต่อตัวเอง ครอบครัวและสังคม เพราะเป้าหมายของคนทั้งประเทศเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลต้องดูแล แต่เราต้องบริหารจัดการปริมาณวัคซีนและปริมาณคน ก็ขอให้มั่นใจไปพบแพทย์ให้ทันเวลาไม่ว่าจะเป็นเชื้ออะไรก็ตามอย่าปกปิดหรือปิดบัง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคได้มอบวัคซีนพาสปอร์ตให้กับ นายกรัฐมนตรีที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม สามารถเดินทางได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้จะสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้แล้วเมื่อกลับมาก็ต้องกักตัว 14 วันเพราะเป็นมาตรการที่เรายังคงต้องปฏิบัติอยู่ ก่อนรับมอบหน้ากากอนามัยจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีข้อความ I got my shot ฉีดช่วยชาติ โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้รักกันมาก ๆ สามัคคีกันมาก ๆ ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้เราจะชนะไปด้วยกันขอบคุณทุกคน

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างการฉีดวัคซีนเข็มที่สองของนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ให้ข้อมูลว่า ได้แจ้งข่าวดีว่าวันเดียวกันนี้องค์การอนามัยโลกได้ ให้การรับรองวัคซีนซิโนแวคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนเดินทางกลับหลังการเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่สองแล้วพลเอกประยุทธ์ได้ยกมือชู 2 นิ้ว สัญลักษณ์สู้ ๆ ให้กับกลุ่มสื่อมวลชนและประชาชนที่เดินทางมายังสถาบันบำราศนราดูร รวมทั้งขณะที่ขบวนรถได้แล่นผ่านประชาชนและสื่อมวลชนด้านหน้าสถาบัน พลเอกประยุทธ์ก็ได้ลดกระจกลงพร้อมชู 2 นิ้ว ตลอดเส้นทาง ก่อนเดินทางกลับเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อปฏิบัติภารกิจ

เผย ศบค. เห็นชอบแผนการกระจายวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เข็มแรกเริ่มมิถุนายน-กันยายน จัดลำดับเร่งด่วน 4 จว.สีแดงเข้ม พร้อมจังหวัดรับท่องเที่ยว ก่อนทยอยกระจายทั้วประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ครั้งที่ 7/2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกนรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ผ่านระบบ Video Conference จากตึกสันติไมตรี ว่า มีรายงานแจ้งว่า ที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ นอกจากจะมีมติเห็นชอบ ขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกเขตท้องที่ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-31 กรกฎาคม 2564 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ ยังคงไม่ลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดมีแนวโน้มคงตัว

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบแผนการจัดสรรวัคซีนแอสตราเซเนก้า 36 ล้านโดส เข็มที่ 1 โดยเป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 พ.ค. เดือนมิถุนายน-เดือนกันยายน 2564 และเข็มที่ 2 เดือนตุลาคม-ธันวาคม เพื่อให้คนไทย และ คนต่างชาติจำนวน 50 ล้านคน ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ร้อยละ70 ในเดือนกันยายนด้วยความสมัครใจ

สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนหมอพร้อม จะได้รับประกันการจัดสรรวัคซีน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว ตามแผนเปิดประเทศที่กำหนด โดยกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการฉีดวัคซีน 8 กลุ่ม คือ

1.) บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน

2.) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมโรคโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย

3.) บุคคลที่มีโรคเรือรังประจำตัว

4.) ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

5.) ประชาชนที่มีความเสี่ยงสัมผัสโรค เช่น ครู พนักงานขับรถสาธารณะ ชาวไทยที่ไปศึกษาและทำงานต่างประเทศ

6.) คณะทูตานุทูต และครอบครัว รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ

7.) ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และ

8.) ชาวต่างชาติ และแรงงานต่างด้าว

สำหรับแผนการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เริ่มในเดือนมิถุนายน 6.3 ล้านโดส กรกฎาคม-พฤศจิกายน เดือนละ 10 ล้านโดส และเดือนธันวาคม 5 ล้านโดส และอยู่ระหว่างกำลังจัดหาเพิ่มประมาณ 37 ล้านโดส จากบริษัทจอนสันต์ 10 ล้านโดส ไฟเซอร์ 20 ล้านโดส ชิโนแวค 7 ล้านโดส โดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลิตและส่งมอบวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิต

สำหรับแผนการกระจายวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนเข็มแรกในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน จะถูกกระจายไปยัง พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดก่อน รวม 4 จังหวัด ประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี 

ขณะที่จังหวัดที่มีแผนเปิดการท่องเที่ยวได้แก่ ภูเก็ต จะได้รับการกระจายวัคซีนภายในเดือนมิถุนายนเช่นกัน ส่วนจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านและมีความเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ภายหลังการระบาดก็จะได้รับภายในเดือนกรกฎาคม รวม 17 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย สงขลา สระแก้ว ตาก มุกดาหาร นราธิวาส ระนอง หนองคาย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พังงา กระบี่ จันทบุรี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และสมุทรสาคร จากนั้นก็จะจัดลำดับไปอีก 55 จังหวัดที่เหลือของประเทศไทยเพื่อกระจายวัคซีนอย่างครอบคลุม

นอกจากนี้ที่ประชุม เห็นชอบช่องทางการลงทะเบียนและเข้ารับวัคซีน 3 ช่องทางคือ

1.) จองผ่านหมอพร้อม

2.) นัดหมายผ่านสถานพยาบาลหรืออสม. หรือผ่านองค์กรหรือช่องทางอื่นที่จังหวัดกรุงเทพมหานครจัดเพิ่มเติม และ

3.) ลงทะเบียน ณ จุดบริการ on site พร้อมมอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดการประชาสัมพันธ์เรื่องช่องทางการรับบริการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 และการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายจำเพาะให้ทราบโดยทั่ว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เครื่อง Oxygen High Flow แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ จำนวน 10 เครื่อง เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เครื่อง Oxygen High Flow แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ จำนวน 10 เครื่อง เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่อยู่ในภาวะบกพร่องทางการหายใจ หรือผู้ป่วยหนักอื่น ๆ ที่ต้องเร่งรักษา โดยมีพลเรือโท วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ และคณะผู้บริหารของกรมแพทย์ทหารเรือ ทำพิธีรับพระราชทานหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ห้องประพัฒน์ศรี สโมสรโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ  แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นล้นพ้นที่ทรงมีต่อโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ กองทัพเรือ ตลอดจนประชาชนทั่วไป และบุคลากรของโรงพยาบาล กราบถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคลบาท และขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมเป็นสรรพสิริมงคล และจักมุ่งมั่นดำเนินภารกิจดูแลผู้ป่วย ประชาชนที่ทุกข์ร้อน โดยใช้ประโยชน์สูงสุดจากเครื่อง Oxygen High Flow พระราชทาน ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการในการช่วยเหลือผู้ป่วย เพื่อพัฒนางานบริการทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top