Saturday, 12 October 2024
POLITICS NEWS

คปภ. สั่งประกันภัยแพ้วัคซีน มีผลคุ้มครองทุกจุดนอกรพ.

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ คปภ. ได้ออกคำสั่งนายทะเบียน ให้การทำประกันภัยการแพ้วัคซีนโควิด-19 หรือสัญญาเพิ่มเติมกับบริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัย สามารถคุ้มครองผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ฉีดโดยแพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรที่ได้รับการอนุญาต ตามหน่วยให้บริการต่าง ๆ เช่น จุดบริการในห้างสรรพสินค้า หรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งอยู่นอกโรงพยาบาล สถานพยาบาลเวชกรรมได้ด้วย

ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยที่ได้ฉีดวัคซีน บริเวณจุดให้บริการนอกโรงพยาบาล และได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีอาการแพ้หรือผลข้างเคียงจากการฉีด จะได้รับการคุ้มครองตามที่กำหนดไว้เช่นเดียวกับการฉีดในโรงพยาบาล อาทิ ผลประโยชน์การเจ็บป่วยภาวะโคม่า สมองตายและระบบประสาทล้มเหลว การรักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ผลประโยชน์เงินชดเชยรายวัน เป็นต้น ปัจจุบันมียอดการซื้อประกันภัยแพ้วัคซีนโควิด 800,269 ฉบับ เบี้ยประกันภัย 96.9 ล้านบาท และมียอดจ่ายค่าสินไหมทดแทน 105,190 บาท

ครม. ต่ออายุ วิศิษฏ์ 'ปลัดยุติ อีก 1 ปี พร้อม ตั้ง มานะ’ ACT นั่ง กก.คดีพิเศษ

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ได้แก่

1.) นายกิตติศักดิ์ จุลสำรวล ผู้อำนวยการกอง [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (นิติการ) ระดับสูง] กองหลักนิติบัญญัติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำรงตำแหน่ง กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

2.) นางสาวนุชนาถ เกษมพิบูลย์ไชย ผู้อำนวยการกอง [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (นิติการ) ระดับสูง] กองกฎหมายต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำรงตำแหน่ง กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.รับทราบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอการแต่งตั้งโฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (5 มกราคม 2559) ที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่โฆษกกระทรวง/หน่วยงานอย่างเป็นทางการแล้วแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมรายชื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ] โดยได้แต่งตั้ง นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ เป็นโฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เพื่อให้การประชาสัมพันธ์เผยแพร่นโยบายรัฐบาล นโยบายกระทรวงแรงงาน ตลอดจนผลการดำเนินงานของกระทรวงแรงงาน เป็นไปอย่างคล่องตัว ซึ่งกระทรวงแรงงานได้มีคำสั่งกระทรวงแรงงาน ที่ 246/2564 เรื่อง แต่งตั้งโฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) ด้วยแล้ว 

ครม.รับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอการเปลี่ยนแปลงโฆษก สศช. เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการดำรงตำแหน่งระดับสูงภายใน สศช. [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (5 มกราคม 2559) ที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่โฆษกกระทรวง/หน่วยงานอย่างเป็นทางการ แล้วแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมรายชื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ] สรุปได้ ดังนี้

1.) นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็น โฆษก สศช.

2.) นางนภัสชล ทองสมจิตร ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน เป็น รองโฆษก สศช.

ครม.อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นางสาวสุกันยาณี ยะวิญชาญ รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป  

ครม.อนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 5 มิถุนายน 2564 ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2564 ถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2565 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ 

ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน 9 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระ2ปี ดังนี้  

1.) นายศรพล ตุลยะเสถียร (ด้านเศรษฐศาสตร์)

2.) นายสราวุธ เบญจกุล(ด้านการเงินการธนาคาร)

3.) พันตำรวจเอก ญาณพล ยั่งยืน (ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ)

4.) นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส (ด้านกฎหมาย)

5.) นายดำรงศักดิ์ เครือแก้ว (ด้านกฎหมาย)

6.) พลเอก ณรงค์ฤทธิ์ อิศรัตน์ (ด้านความมั่นคงประเทศ)

7.) พลตำรวจเอก ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ (ด้านการสอบสวนคดีอาญา)

8.) พลตำรวจเอก ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล (ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)

9.) นายมานะ นิมิตรมงคล (ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต)

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป 

"อนุชา" ท้า ยกเงินเดือน 5 เดือน ตามหาคนใส่ไฟ ยัน ทีมงานไม่เคยกร่างใส่ใคร ชี้ มีผู้ไม่หวังดีเล่นเกมการเมืองหวังเลื่อยขาเก้าอี้ เชื่อ สื่อฯรู้ตัวคนปล่อยข่าว

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รมต.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวกรณีที่มีรายงานข่าวระบุว่า ผู้ติดตามของรัฐมนตรีบางคน ทำตัวไม่เหมาะสมโดยเบ่งใส่แพทย์และพยาบาลระหว่างการฉีดวัคซีนที่รัฐสภาว่า ได้พูดคุยกับผู้ติดตามทุกคนแล้วทุกคนไม่ทราบเรื่อง และในวันที่ 23 พ.ค. ที่ระบุตามกระแสข่าว ไม่มีทีมงานของตนอยู่ที่รัฐสภา 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ 
  
"หากทีมงานของผมเป็นแบบนั้นจะตัดปากทิ้ง และให้ไปกราบเท้าขอโทษและจะไปอยู่ที่ไหนก็เชิญ ผมไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ยืนยันว่าไม่มีทีมงานของตนอยู่ที่นั่นแน่นอน หากใครไปคุยกับคุณหมอ และพบว่าเป็นทีมงานของผม ผมจะให้เงินเดือนของตัวเอง 5 เดือนเป็นรางวัลไปเลย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามรายงานระบุชัดเจนว่าเป็นทีมงานของนายอนุชา โดยนายอนุชากล่าวว่าตนไม่ทราบใครให้ข่าว ถ้าเราบอกว่าใครอย่างไร ตนก็บอกว่าไม่ใช่ แต่ถ้าใช่เป็นรางวัลให้ ทีมงานเรามีแต่ช่วยเหลือ และให้กำลังใจแพทย์ เพราะตนทำงานร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ และ ทีมงานตนได้นำภาพการทำงานของแพทย์ที่ทำงานในสถานการณ์โควิดออกมาสู่สังคมเพื่อให้รับรู้ว่าบุคคลกรทางแพทย์มีความเสียสละอย่างยิ่ง และต้องตรากตรำทำงานห้ามรุ่งห้ามค่ำเพื่อประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้พูดคุยกับทีมงานของที่มาของข่าวนี้หรือไม่ นายอนุชากล่าวว่า ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร เพราะปัจจุบันมีผู้ไม่หวังดีกับตนพอสมควร ใครที่ควรจะมีวิสัยอย่างนั้นก็อ่านเอาเอง เมื่อถามย้ำว่าคนไม่หวังดีที่ระบุนั้นเป็นคนใกล้ตัวหรือไกลตัว นายอนุชากล่าวว่า ไม่ทราบ ยังไม่ทราบ แต่เชื่อว่าพวกเรารู้อยู่ในใจ   

เมื่อถามว่าเหตุใดจึงเฉพาะเจาะจงมาที่เลขาธิการพรรคพปชร. นายอนุชากล่าวว่า ไม่ทราบ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะตามหาคนปล่อยข้อมูลนี้ออกมา และพวกเราช่วยกันตาม จะได้ทราบข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์เป็นเช่นใด ยืนยันว่าทีมงานของตนไม่มีทางที่จะไปก้าวล่วงบุคคลากรทางการแพทย์แน่นอน

เมื่อถามว่าส่วนตัวมองว่าการปล่อยข่าวเป็นการดิสเครดิตหรือไม่ นายอนุชากล่าวว่า ก็น่าจะ แล้วนำชื่อตนไปกล่าวถึงได้อย่างไร ใครเป็นคนเอาชื่อตนไป ถ้าเอาไปจะต้องมีมูล และใครที่ให้ข่าวจะต้องออกมาชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคม ไม่ใช่ปล่อยมาเป็นข่าวลอยแบบนี้  และตนก็คิดว่าสื่อมวลชนเข้าใจ 

เมื่อถามว่ามองว่าเป็นการพยายามเลื่อยขาเก้าอี้เลขาธิการพปชร. นายอนุชา หัวเราะโดยปฎิเสธตอบคำถาม เมื่อถามว่าจะต้องชี้แจงกับนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่านายชวนหมายถึงใครด้วยซ้ำ เพราะตนได้สอบถามทีมงานของนายชวน ซึ่งก็บอกว่านายชวนพูดค่อนข้างทีเล่นทีจริงในที่ประชุมไม่ได้ซีเรียส หรือจริงจัง และนายชวนไม่ได้ระบุชื่อตนและทีมงานในที่ประชุมให้ไปดูที่ประชุมวิป3 ฝ่ายคนที่นำมาเป็นประเด็นมีอะไรแอบแฝงมากกว่า เหมือนในอดีต เมื่อถามว่าจะตามหาตัวผู้ที่ปล่อยข่าวนี้หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า สื่อช่วยตามหาให้ตนหน่อยได้ไหม

"แรมโบ้" ย้อน "อ๋อย" สนุกมากนักหรือโพสเฟซบุ๊กให้ข้อมูล ปชช.สับสนข้อมูล-เกลียดชังรบ.ถ้าคิดได้แค่นี้คงหวังเป็นนักการเมืองน้ำดีไม่ได้

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการวัคซีน ที่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนแต่บางโรงพยาบาลไม่มีวัคซีน โดยเรื่องนี้ได้มีการชี้แจงจากนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขว่าจากสถานการณ์ การระบาดที่กระจายวงกว้างมากขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับแผนกระจายวัคซีน เพื่อให้สามารถฉีดแก่ประชาชนได้มากขึ้น และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 

นายเสกสกล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังให้ความมั่นใจแล้วว่าบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จะส่งวัคซีนตามข้อกำหนด โดยสัญญาระบุว่าหากวัคซีนที่ผลิตในไทยยังจัดส่งไม่ได้ก็ต้องจัดหามาจากแหล่งผลิตอื่นส่งให้ไทย และยืนยันมีวัคซีนฉีดให้กับประชาชนตามกำหนดแน่นอน ขณะเดียวกันประเทศไทยยังจะมีวัคซีนเข้ามาอีกหลายยี่ห้อเพื่อให้ประชาชนได้มีทางเลือกได้ฉีดให้มากที่สุด 

นายเสกสกล กล่าวว่า แม้การฉีดวัคซีนอาจจะติดขัดอยู่บ้าง แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจในการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล ว่าจะทำให้ดีที่สุดและให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนทุกคน ซึ่งตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปก็จะมีวัคซีนทยอยเข้ามาฉีดให้กับประชาชนเป็นจำนวนมากแล้ว พร้อมขอนายจาตุรนต์ อย่านำมาเป็นประเด็นทางการเมืองมาโจมตี พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐบาล เอาเวลามาทำงานเพื่อบ้านเมืองจะดีกว่า ถามจริงนายจาตุรนต์ สนุกมากนักหรือกับการโพสต์ในเฟสบุ๊กให้ประชาชนสับสนข้อมูลและเกลียดชังรัฐบาล

"รัฐบาลมีการปรับแผนให้เกิดความเหมาะสม พอมีช่องว่างการปรับแผนอะไรขึ้นมาหน่อยนายจาตุรนต์จะเสียบทันที เอามาเป็นประเด็นโจมตี ตนเชื่อแล้วแหละว่าช่วงนี้นายจาตุรนต์คงว่างงาน สมองก็เลยว่างไปด้วย คงจะถือสาหาความอะไรไม่ได้ จากคนที่เคยเป็นถึงอดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีมาแล้ว ถ้าคิดได้เพียงแค่นี้ ก็คงต้องให้อภัยกัน ถือเสียว่าภาพความเป็นนักการเมืองที่ประชาชนคาดหวังจะเป็นนักการเมืองน้ำดีมีคุณภาพ คงหวังไม่ได้เสียแล้ว น่าเสียดายที่สุด" นายเสกสกล กล่าว

"ชินวรณ์" เผย พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านเข้าสภาหลังเสร็จ พ.ร.บ.งบ 65 ย้ำ สภามีมาตรเข้มป้องโควิด

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่รัฐสภา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทว่า ที่ประชุมวิปรัฐบาลเมื่อวานนี้ ได้หารือกันว่าเมื่อรัฐบาลให้ดำเนินการพ.ร.ก.เงินกู้เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทแล้ว เมื่อรัฐบาลมีความพร้อมก็ต้องส่งมาที่สภา และสภาก็ต้องบรรจุวาระแรกอีกครั้ง แต่เนื่องจากสภาได้กำหนดระเบียบวาระไว้ก่อนแล้ว ในเรื่องพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันที่ 27-28 พ.ค. ส่วนวันที่ 31 พ.ค. ถึงวันที่ 2 มิถุนายน เป็นระเบียบวาระเรื่องร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ฉะนั้นรัฐบาลจะเสนอพ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านได้ก็ต้องผ่านพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ไปก่อน ซึ่งเมื่อรัฐบาลได้เสนอพ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านเข้ามาแล้ว โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติไว้ชัดเจนว่าประธานสภาจะต้องนำเข้าบรรจุต่อไป 

“พ.ร.ก.เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้วสามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้เลย ซึ่งพ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านนั้นยังไม่ได้ส่งมาที่สภา มีผลตามที่คาดกันว่านำไปมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาโควิด 3 หมื่นล้านที่เหลืออีก 2 หมื่น 7 พันล้านนำไปฟื้นฟูเยียวยาด้านเศรษฐกิจ ส่วนที่เหลือจะนำไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโควิดที่จะเกิดขึ้นต่อไป” นายชินวรณ์ กล่าว 

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ว่าจะเกิดคลัสเตอร์ใหม่ เพราะมีคนงานติดเชื้อมาทำงานที่รัฐสภา แต่รัฐสภายังคงเดินหน้าประชุมต่อ นายชินวรณ์ กล่าวว่า มีการป้องกันโควิด-19 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทางเลขาธิการสภาฯ ได้ยืนยันว่ามีมาตรการเคร่งครัด ทั้งในส่วนของส.ส. คนใดที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน เลขาธิการสภาก็จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้ฉีดวัคซีนให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาในการประชุมเรื่องพ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งต้องพูดในที่นั่งของตนเองได้ แต่ในการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณฯ จะจัดโพเดียมสำหรับพูดอภิปรายฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างละ 1 ที่ ในส่วนของข้าราชการ สื่อมวลชน ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการของศบค. 

'ทิพานัน' ยัน 'บิ๊กตู่' กู้มาแก้ปัญหาตรงจุด ครอบคลุมทุกมิติ ย้อนแสบทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย ไม่ละอายแก่ใจ สมัย 'ยิ่งลักษณ์' ไร้วิกฤตใด ๆ ยังสร้างหนี้ล้น ทั้ง 'จำนำข้าว-เอื้ออาทร' เสียหายเกินล้านล้านบาท ทิ้งภาระให้ลูกหลานตามใช้หนี้อีก 12 ปี

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศ 7 ปี ดีแต่กู้ หากไม่เปลี่ยนผู้นำประเทศลงเหวว่า...

การแสดงความเห็นของ น.ส.ตรีชฎา สะท้อนมาตรฐานของทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยที่ค่อนข้างตกต่ำ ด้วยเป็นการวิจารณ์โดยไม่มีฐานข้อมูลรองรับที่ถูกต้องนั่งเทียนด้วยอคติ ด้วยในความเป็นจริงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกประสบปัญหาเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยกลับยังรักษาอันดับความน่าเชื่อถือไว้ได้

โดยจากการจัดอันดับเครดิตขององค์กรชั้นนำระดับโลก ทั้ง S&P Moody's และ Fitch ได้มีเกณฑ์ในการพิจารณาจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงเสถียรภาพทางการคลังและวินัยทางการคลัง

ส่วนเหตุผลที่ต้องกู้เงินนั้น ก็เพื่อใช้เป็นงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข มาตรการช่วยเหลือเยียวยาต่าง ๆ จากผลกระทบโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง, เราชนะ, ม.33เรารักกัน, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, เกษตรกร เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนฐานราก ผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการรายย่อย

มาตรการพักหนี้ที่ออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจรายย่อย เพิ่มช่องทางให้ประชาชนที่ไม่มีสินทรัพย์และรายได้ที่มั่นคงต้องการเข้าถึงเงินกู้ ลดการกู้หนี้นอกระบบ และแก้ปัญหาภาระดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระ การจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน

นอกจากนี้ ยังลดค่าน้ำ-ค่าไฟด้วย รวมทั้งยังใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนการส่งออก การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าใช้จ่ายเงินกู้นั้นตรงจุดและครอบคลุมปัญหาในทุกมิติ ไม่ได้ไร้ทิศทางอย่างที่ น.ส.ตรีชฎา พยายามบิดเบือนให้ร้าย

น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า เมื่อต้องเผชิญการแพร่ระบาดในระลอกที่ 3 รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เพิ่มเติมอีก 7 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าเพดานที่ภาคเอกชนเรียกร้องให้กู้ถึง 1 ล้านล้านบาท โดยนำมาใช้แก้ปัญหาการระบาดระลอกใหม่ให้กับสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้กับประชาชน และผู้ประกอบการ รวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจ

แต่สิ่งที่ น.ส.ตรีชฎา หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงก็คือ ความแตกต่างกันระหว่างการกู้เพื่อแก้วิกฤตกับการกู้เพื่อโครงการทุจริต ภาระหนี้ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทิ้งเอาไว้จากการขาดทุนโครงการจำนำข้าวที่ทำให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ต้องมีภาระชดใช้หนี้ให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากว่า 7 แสนล้านบาท และยังต้องตั้งบประมาณชดใช้ไปอีก 12 ปี รวมแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ไม่รวมกับภาระหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทรกว่า 2 หมื่นล้านบาท ไม่รวมหนี้เน่าและความเสียหายจากโครงการที่สร้างแล้วขายไม่ได้หลายหมื่นยูนิต รวมถึงภาระค่าบำรุงรักษาซ่อมแซมซึ่งก็กลายมาเป็นภาระของรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น ทั้งที่เป็นการบริหารในสถานการณ์ที่ปกติ ไม่ได้เผชิญกับสถานการณ์วิกฤตไวรัสโควิด-19 หรือวิกฤตใด ๆ

“ไม่รู้ว่า น.ส.ตรีชฎากล้ายกเอาการบริหารในยุคของน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาบลัฟ พล.อ.ประยุทธ์ได้อย่างไร โดยไม่ละอายแก่ใจ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์บริหารประเทศในสถานการณ์ปกติ ไม่มีวิกฤตใด ๆ แต่กลับสร้างหนี้ไว้มากมายตกเป็นภาระคนไทยทั้งชาติตามใช้หนี้เกือบ 20 ปี ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนรู้ดีโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยว่านโยบายต่าง ๆ นั้น อยู่ภายใต้สโลแกน ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ ดังนั้นที่ น.ส.ตรีชฎาแนะนำให้เอาวิธีคิดของนายทักษิณมาเป็นแนวทางให้รัฐบาลปฏิบัตินั้น เมื่อดูตัวอย่างผลงานสร้างหนี้ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว ก็คงไม่มีใครเดินตาม เพราะไม่น่าจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ” น.ส.ทิพานัน กล่าว


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ก้าวไกล ซัด 'ดีอี' ดีแต่ฟ้องคนปล่อยเฟกนิวส์

นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา โฆษกพรรคก้าวไกลกล่าวถึงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่กำลังไล่ฟ้องประชาชนอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งเป็นงานรักงานหลักที่รอคอยมานาน ท่านเร่งดำเนินคดีกับประชาชน รวมถึงไปถึงสื่อมวลชน ทั้ง ๆ ที่หน้าที่ของท่านคือ การให้ความรู้ความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีการดำเนินคดีกับประชาชนหลายราย เช่น ดำเนินคดีผู้ที่โพสต์ว่า “พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่วัดสังฆทาน จำนวน 300 ราย ดำเนินคดีผู้ที่โพสต์ว่า “ศบค. ประกาศเคอร์ฟิว เวลา 23.00-04.00 น. พื้นที่สีแดง 18 จังหวัด” ดำเนินคดีผู้ที่โพสต์ว่า “เคอร์ฟิวทั่วประเทศ ห้ามออกจากบ้าน ตั้งแต่ 4 ทุ่ม-ตี 4 เริ่มวันที่ 23 เม.ย.64 นี้” เป็นต้น

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่กำลังจะถูกดำเนินคดี ซึ่งหากย้อนดูดี ๆ หน่วยงานรัฐก็เคยแจ้งข้อมูลที่คาดเคลื่อนเช่นกัน

อย่างกรณีล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พ.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบอกว่า “วอล์คอินฉีดซีนได้ โดยจนท.จะฉีดให้สำหรับผู้มีรายชื่อเท่านั้น”

16 พ.ค. ผู้ว่ากทม. บอกว่า “วัคซีนไม่พอ วอล์คอินไม่ได้ ต้องรอเดือนมิถุนายน”

18 พ.ค. ตอนเช้า อนุทินบอก “วอล์คอินได้ถ้าวัคซีนพอ ตกบ่าย นายกฯบอก “ให้ระงับการฉีดวัคซีน”

นี่คือตัวอย่างการให้ข้อมูลที่คาดเคลื่อนของรัฐ ซึ่งก็คล้ายกับประชาชนหลายรายที่กำลังจะถูกดำเนินคดี ถ้าหากจะฟ้องประชาชนที่โพสต์ข้อความให้เกิดความสับสน ก็เห็นควรว่าจะต้องฟ้องหน่วยงานรัฐด้วย เพราะเจ้าหน้ารัฐก็ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนเช่นกัน อยากให้ใช้มาตรฐานเดียวกันด้วย

นอกจากนี้ นางสาวสุทธวรรณ ยังตั้งคำถามต่อนายชัยวุฒิว่า มีความสามารถพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องราวของเทคโนโลยีบ้างไหม มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ อยากให้แสดงเป็นที่ประจักษ์บ้าง ดูอย่างประเทศอื่น เช่น ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีดิจิทัลของไต้หวัน เขาเน้นส่งเสริมให้คนใช้เสรีภาพบนโลกออนไลน์ ช่วยกันพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสังคม มีการร่วมมือกับกลุ่มนักพัฒนาซอฟท์แวร์และระบบไอทีเพื่อสังคม พัฒนาแอปพลิเคชันบอกพิกัดร้านที่มีสต็อกหน้ากากอนามัยพร้อมแจกจ่าย แสดงความโปร่งใสและเป็นธรรมของรัฐในการกระจายอุปกรณ์ป้องกันโรค

นาวสาวสุทธวรรณ กล่าวต่ออีกว่า "อยากจะเรียนถามกับรัฐมนตรีกระทรวงดีอีว่า ภารกิจหลักที่ท่านตั้งใจเข้ามาทำคืออะไรกันแน่ ในสถานการณ์โควิดเช่นนี้ ท่านทำอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง เห็นมีแต่การขู่ฟ้องประชาชนและสื่อมวลชนเป็นหลัก ไล่ฟ้องแบบมอญซ่อนผ้าโยนนู่นยัดคดีนี่เพื่อเอาใจนายไปวัน ๆ เท่านั้นหรือ ทั้งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จนไปถึงมาตรา112 ท่านทำได้เท่านี้จริง ๆ หรือ?

"หากท่านและทีมงานมีเวลาว่างมากพอ โปรดช่วยกันระดมสมองมาปรับปรุงแอปพลิเคชันหมอพร้อมหรือพัฒนาแอปฯ ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายจะดีกว่า" นางสาวสุทธวรรณ กล่าวทิ้งท้าย


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

'ธัญวัจน์’ ตั้งคำถาม เงินกู้ 7 แสนลบ. จะเยียวยาถึงคนกลางคืนหรือไม่?

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อสูงเป็นรายวัน แม้ที่ผ่านมาจะมีการควบคุมมาตรการต่าง ๆ ในสถานประกอบการ แต่จากต้นเดือนเมษายนจนปลายพฤษภาคมการแพร่ระบาดขณะนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งผลในสถานประกอบการที่ยังต้องมีการรักษาระยะห่าง และจำกัดจำนวนลูกค้าในการเข้าใช้บริการ ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่ากิจการธุรกิจกลางคืน ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะไม่ว่าระลอกไหน ก็ถูกปิดก่อนและเปิดหลังเสมอ

แต่ในขณะเดียวกันประชาชนเข้าใจและพร้อมให้ความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ อย่างเต็มที่

ตนจึงอยากเรียกร้องอยากให้รัฐบาลได้เข้าใจธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน ที่มี นักร้อง นักดนตรี นักเต้น นางโชว์ ที่พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยไม่มีมีเงินเก็บและต้องเลี้ยงครอบครัวไม่ต่างกับอาชีพอื่น ๆ

หวังว่า พ.ร.ก. เงินกู้ 7 แสนล้านครั้งนี้คงไม่ลืมกลุ่มคนเหล่านี้ ที่เขาไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานทั่วไป รับเงินเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และที่สำคัญกระทบยาวนานที่สุดกว่างานประเภทอื่น การเยียวยาเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ ซึ่งรัฐต้องคำนึงถึงระยะเวลาในการกระทบเป็นสำคัญ เพราะคนเราต้องกินต้องใช้ทุกวัน รวมถึงข้อเสนอในการสร้างงานชุมชน เพราะ “งาน” ในขณะนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด รัฐควรมองการสร้างงานในชุมชนเพราะนี่คือหนึ่งวิธีสำคัญที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจและผ่านวิกฤติไปได้ ด้วยแนวคิด Healthy Ecosystem Vital Economy Social Well - Being ระบบนิเวศที่ดีต่อสุขภาพเศรษฐกิจที่สำคัญต่อความผาสุกทางสังคม ซึ่งแน่นอนแนวคิดดังกล่าวคือการสร้างงานในชุมชน ที่อาจเกี่ยวข้องกับ ผู้คน สังคม และวัฒนธรรม เป็นสำคัญในขณะนี้

ด้วยเหตุผลสำคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพและไม่สามารถตีค่าวัดเป็นเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นทุนทางปัญญา ทุนทางเครือข่ายสังคม หรือแม้แต่อารมณ์ก็เป็นทุน หากรัฐมองประชาชนเป็น “ทุนมนุษย์” ก็จะสร้างความยั่งยืนให้กับประชาชนและเศรษฐกิจได้ ขณะนี้ประชาชนต้องการงาน การจ่ายเงินให้กับคน ต้องคิดว่าคือการลงทุนไม่เช่นนั้นประเทศไทยก้าวไม่พ้นวิกฤติแน่นอน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“กอ.รมน.ภาค 4 สน.” แจง ปืน 28 กระบอก ไม่ได้หายล็อตเดียว เป็นการทยอยหายในห้วงหลายปีผ่านมา วอน ปชช. อย่าตกใจ หลังผู้ไม่หวังดีเชื่อมโยงเตรียมก่อความไม่สงบ ทำให้ตื่นกลัว

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 พ.อ.วัชรกร อ้นเงิน รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวถึงกรณี อาวุธปืน AK102 จำนวน 28 กระบอก ของกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) อำเภอเมืองนราธิวาสที่ 2 หาย ไปเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 64 ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า นายอำเภอจังหวัดนราธิวาส ได้ตรวจสอบสถานภาพของอาวุธปืนเมื่อ พ.ย. 63 ที่ผ่านมา และพบว่าหายไป 1 กระบอก จึงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อรวบรวมอาวุธปืนที่สูญหายทั้งหมดในห้วงที่ผ่านมาว่าหายจากสาเหตุอะไรบ้าง

โดยล่าสุด คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ดำเนินการแล้วเสร็จและตรวจพบว่ามีอาวุธปืน หายไปในห้วงที่ผ่านมา จำนวน 28 กระบอก ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุก่อความไม่สงบ บางส่วนก็ไม่ใช่ แค่เป็นการทยอยหายในหลาย ๆ ปี และมาสรุปยอดรวม จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และมีเพจหนึ่งนำไปเสนอข่าว แต่ลงรายละเอียดไม่ครบถ้วน 

"ปืนทั้ง 28 กระบอกไม่ใช่เพิ่งหายและไม่ได้หายไปในล็อตเดียวกัน แต่เป็นการทยอยหาย หรือ อาวุธปืนหายสะสมในภาพรวมในห้วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง นายอำเภอ จ.นราธิวาส ได้สำรวจสถานภาพของอาวุธปืนใหม่ว่า มีอยู่จำนวนเท่าไร หายไปอีกกี่กระบอก" โฆษกกอ.รมน.ภาค4 สน. กล่าว

เมื่อถามว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรตื่นตนกกับข่าวที่เกิดขึ้นหรือไม่ พ.อ.วัชรกร กล่าวว่า ขณะนี้มีบางเพจนำเสนอข่าวเพื่อสร้างความตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้วลงรายละเอียดไม่ครบถ้วน เพราะตามข้อเท็จจริงเป็นเพียงการตรวจสอบสถานภาพของคลังอาวุธปืนที่หายในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะหายในหลาย ๆ สาเหตุ ไม่อยากให้ตื่นตนกกันไป 

เมื่อถามว่า ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวโยงกับการเตรียมก่อเหตุ หรือการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ใช่หรือไม่ พ.อ.วัชรกร กล่าวว่า มีความพยายามเชื่อมโยง ตามที่มีการนำเสนอข่าวนี้ออกไปให้เป็นประเด็น เพื่อหวังสร้างความตื่นกลัว

“ไทยไม่ทน” บุกทำเนียบ จี้ “ประยุทธ์” ลาออก ยก “พล.อ.เปรม” จี้ใจบิ๊กตู่ บอกคนเราต้องรู้จักพอในอำนาจ ขณะ “แรมโบ้” เบี้ยวรับหนังสือ ก่อน “จตุพร” ตอกกลับขอให้รัก “ประยุทธ์” นาน ๆ เหมือนรัก “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานข้าราชการพลเรือน (กพ.) กลุ่มสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย (กลุ่มไทยไม่ทน) นำโดย นาย จตุพรพรหมพันธุ์, นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์, นายวีระ สมความคิด, นายเมธา มาสขาว, นายไทกร พลสุวรรณ, นางพะเยาว์ อัคฮาด, ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี และนายนันทพงษ์ ปานมาศ เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แบะรมว.กลาโหม ขอให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการบริหารงานมา 7 ปี ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้เลย ทั้งเรื่องการปฏิรูปประเทศที่ล้มเหลว เป็นเพียงการต้มกลุ่ม กปปส. เพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติที่ไม่เข้ากับยุคสมัย การสร้างความปรองดองที่ไม่ได้ผล เพราะปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองยังมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นก็มีพัฒนาการที่เสื่อมถอย มีปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำมาตลอด 7 ปี รัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดิน 20.8 ล้านล้านบาท แต่ตัวเลขคนจนยังพุ่งสูงขึ้น 100%

นอกจากนี้การละเมิดสถาบันยังเป็นปัญหาที่แบ่งแยกประชาชน โดยเฉพาะบุคคลในอำนาจรัฐและเครือข่ายกลับแอบอ้างเพื่อแสวงหาประโยชน์เข้าตัวเองและพวกพ้อง นอกจากนายกรัฐมนตรีจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้กลับทำให้แย่ไปกว่าเดิม เนื่องจากหลักคิดยังติดกับลักษณะรัฐราชการเพียงลำพัง ขณะที่รัฐธรรมนูญถูกมองว่า ร่างขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ ระบบเลือกตั้งทำให้เกิด ความสับสน องค์กรอิสระถูกแทรกแซง ระบบยุติธรรมถูกทำลาย การแก้ปัญหา โควิด-19 ก็ล้มเหลว การฟื้นฟูเยียวยาประเทศเวลานี้จำเป็นที่จะต้องระดมพลังแผ่นดินทุกภาคส่วน ทั้งราชการ เอกชน พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นักวิชาการทุกวงการ โดยที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดโอกาสให้มีคนใหม่เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาบูรณาการพลังแห่งแผ่นดินทุกภาคส่วนพาประเทศให้พ้นวิกฤต

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าอยู่เพื่อปกป้องสถาบัน แต่ความจริงแล้วไม่เคยออกมาปกป้อง ยกตัวอย่างได้จากการเกิดข่าวลือต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังนิ่งเฉยปล่อยประละเลยไม่ออกมาชี้แจง และยังใช้มาตรา 112 มุ่งทำลายบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง ทั้งที่มาตรา 112 ไม่สามารถที่จะใช้แบล็กเมล์หรือปกป้องรัฐบาลได้ พล.อ.ประยุทธ์อ้างอีกว่าวันนี้อยู่เพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 มีการประกาศยึดอำนาจจากคณะรัฐมนตรีถึง 3 ครั้งเพื่อรวมอำนาจไว้ที่นายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาโควิด-19 ได้ และยังไม่ยอมรับผิดชอบ ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์อยู่ โควิดก็คงยังอยู่ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นแต่ความจริงแล้ว การทุจริตไม่ได้หมดไปและยังคงเกิดขึ้น อย่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท ก็เป็นจุดหนึ่งที่เสี่ยงจะเกิดการทุจริตได้

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ทุกสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเป็นวาระแห่งชาติไม่เคยสำเร็จ แต่ก็ไม่เคยคิดจะออกจากตำแหน่ง แล้ววันนี้ไม่ต้องกังวลว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ออกแล้วใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน ให้คิดเสียว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นได้ ใครก็เป็นได้

ทั้งนี้ นายจตุพร ยังยก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้มาเป็นตัวอย่างให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะ พล.อ.เปรมเป็นบุคคลที่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ทั้งหมด แต่พล.อ.เปรมรู้จักพอ หลังจากดำรงตำแหน่งมา 8 ปี ก็ปฏิเสธการเข้ารับตำแหน่งจากการเสนอชื่อของนักการเมือง ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนที่ต้องรู้จักพอ

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่านายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีกำหนดการจะมาเป็นผู้รับหนังสือเอง แต่ไม่ออกมารับหนังสือเองแต่กลับส่งตัวแทนมารับ ทำให้นายจตุพร กล่าวถึงนายเสกสกลสั้น ๆ ว่า ขอให้รัก พล.อ.ประยุทธ์นานๆเหมือนกับที่รักนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top