Friday, 9 May 2025
POLITICS NEWS

ราเมศ แจง แก้ รธน. ยึดหลักการดี บัตร 2 ใบ ปชช. ได้ประโยชน์ พรรคการเมืองควรดีใจ ยกเว้นยึดประโยชน์ตน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีพรรคการเมืองบางพรรคได้ออกมาโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า

เรื่องนี้ทุกคนต้องตั้งหลักให้ดี ทุกขั้นตอนเป็นการดำเนินการผ่านกระบวนการของรัฐสภา พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไป 6 ฉบับ พรรคการเมืองอื่นๆ ที่เสนอด้วยรวม 13 ฉบับ แต่มีเพียงร่างของพรรคเพียงฉบับเดียวที่ได้รับความเห็นชอบในวาระที่หนึ่ง ตามกลไกของระบบรัฐสภา มีสมาชิกรัฐสภาให้ความเห็นชอบ โดยเฉพาะ ส.ว. เห็นชอบถึง 210 เสียง จนกระทั่งในวาระที่สอง สมาชิกรัฐสภาก็ให้ความเห็นชอบในทุกมาตรา จนกระบวนการก็เข้าสู่การพิจารณาในวาระที่สาม จะเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามหลักการ เพราะการลงมติของสมาชิกรัฐสภานั้นเป็นความเห็นพ้องต้องกันในการกำหนดให้มี ส.ส. เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งเป็นหลักการที่เป็นไปประโยชน์กับประชาชนเพราะทำให้มีสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นในการใช้สิทธิเลือกตั้ง ส่วนกระบวนการหลักเกณฑ์อื่นๆ ก็จะมีการยกร่างแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งอีกครั้ง หากติดตามจะทราบดีว่าทั้งหมดเป็นไปตามหลักการกระบวนการผ่านกลไกรัฐสภา

นายราเมศกล่าวถึงการที่มีสมาชิกพรรคการเมืองบางพรรคกล่าวหา นายจุรินทร์กำลังจะยกอำนาจใส่พานให้ทักษิณนั้น ตนคิดว่าเป็นการบิดเบือนกล่าวหาซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อยู่บนหลักการความเป็นจริง  ด้วยหลักการที่กล่าวมาจะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ มีสิทธิในการเลือก ส.ส. ที่รัก และมีเสรีภาพเลือกพรรคที่ชอบ ซึ่งสิทธิและเสรีภาพที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่ใส่พานให้ประชาชน ถ้าหลักการที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ดีก็ไม่ควรนำปัจจัยอื่นมาทำลาย

“นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ คิดและทำเพื่อส่วนรวม เพื่อประชาชน การแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ใส่พานให้กับใคร แต่เป็นไปตามหลักการที่ต้องการเพิ่มสิทธิเสรีภาพให้ประชาชน ให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น เชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาที่ได้ลงมติเห็นชอบมาแล้วในวาระหนึ่งและวาระสอง จะได้ลงมติเห็นชอบด้วยในวาระที่สามอย่างแน่นอน” นายราเมศกล่าวในที่สุด

‘หมอวรงค์’ ซัด ‘ไพบูลย์’ ความจำสั้น ทำไมงง ‘ระบอบทักษิณ’ เป็นอย่างไร ทั้งที่เคยขึ้นเวที กปปส. ไล่มาด้วยกัน

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ในหัวข้อ #ความจำสั้น โดยระบุว่า

ผมไปออกรายการ Topnews Talk คืนวันที่ 8 กันยายน 64 ไม่เห็นด้วย เรื่องบัตร 2 ใบ ผมกังวลว่าระบอบทักษิณจะกลับมา เพราะเขาถนัดเกมนี้

อ.ไพบูลย์งงว่า ระบอบทักษิณเป็นอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เคยขึ้นเวทีกปปส.ไล่มาด้วยกัน

แสดงว่าบัตรสองใบ นอกจากนายทุน และโจรจะครองเมืองแล้ว ยังทำให้คนความจำสั้นด้วย


ที่มา : https://www.facebook.com/therealwarong/posts/2997063637231334

‘บิ๊กป้อม’ ยืนยัน ให้สิทธิ์สมาชิกพรรคโหวตแก้รธน. ปัดตอบดีล ‘เพื่อไทย’ เกรงถูกเขียนไปในอย่างอื่น

เมื่อเวลา 09.45 น. วันที่ 9 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ของพรรคพปชร. ว่า แล้วแต่สมาชิกพรรค เพราะเป็นสิทธิของเขา

ผู้สื่อข่าวถามว่ามุมมองส่วนตัวอยากให้เป็นไปในทิศทางใด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ส่วนตัว เดี๋ยวจะไปถามกันอีก เมื่อถามถึงความกังวลในส่วนของพรรคเล็กในการโหวตหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่กังวลแล้วแต่ เมื่อถามต่อว่าในส่วนของส.ว.กังวลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี เป็นสิทธิของเขา

เมื่อถามย้ำว่ามีกระแสข่าวตั้งข้อสังเกตพล.อ.ประวิตรเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่าน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ตอบแล้วเดี๋ยวจะเขียนไปกันอย่างอื่น

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการย้ายที่ทำการพรรคพปชร. พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่คิดจะย้าย ยังไม่คิด เมื่อถามถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นของพรรคพปชร.พร้อมหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พร้อมอยู่แล้ว ส่วนอบต.จะส่งทั่วประเทศหรือส่งเฉพาะบางพื้นที่ต้องขอดูก่อน

“ดอน” แจงกต.แค่ติดต่อเจรจา ตปท.หาวัคซีนเข้าไทย “โยน” สธ.ชี้ขาดรับของหรือไม่  ยัน 2 กระทรวงไร้ปัญหา 

ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลกำลังเจรจาสั่งซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากสหภาพยุโรป (อียู) เพิ่มอีก ว่า  กระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบหมายเป็นเพียงฝ่ายติดต่อ โดยเราถือเป็นจุดเริ่มต้นในการไปหาว่าประเทศไหนมีวัคซีนอะไร และประเทศไหนพร้อมจะขาย โดยเราจะให้ทูตไปติดต่อประสานงาน  ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะซื้อวัคซีนนั้นๆหรือไม่  และเมื่อเราติดต่อได้แล้ว กระทรวงสาธารณสุขก็ต้องมาพิจารณาว่าเข้าแผนที่ได้วางไว้หรือไม่  อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีระบบการจัดสรรวัคซีน 3 ระบบ คือ 1.การรับบริจาค 2.การแลกเปลี่ยน และ3.การซื้อ  ทั้งนี้ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ถ้าประเทศไหนบอกว่าไม่ต้องการเงิน และพร้อมจะให้เรา  เราก็ยินดีรับ  หรือบางประเทศที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ แต่เขาต้องการขายเพื่อเอาเงิน เราก็ซื้อ ขณะที่การแลกเปลี่ยนนั้น ถ้าประเทศใดมีวัคซีน เขาให้เราก่อน แล้วถ้าเรามีวัคซีนเหลือ เราก็เอาไปใช้คืนเขา 
 
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่ากระทรวงการต่างประเทศกับกระทรวงสาธารณสุขไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่  นายดอน กล่าวว่า  คนพูดกันไปเอง ขอยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องช่วยกัน กระทรวงการต่างประเทศมีทูตอยู่ทั่วโลก เรามอบหมายให้ทูตไปติดต่อแล้วมาแจ้งกระทรวงสาธารณสุข  ซึ่งเขาจะไปวางแผนเรื่องการใช้วัคซีน

 “เป็นเรื่องแปลกที่มีคนพยายามพูดโยงอย่างนั้นอย่างนี้ให้มีปัญหากัน ทั้งที่ไม่มีปัญหา  ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะเห็นมีปัญหาอยู่อย่างเดียวที่พยายามทำให้เกิดปัญหา คือการเมืองในบ้านเรานั่นเอง หลายประเทศบอกว่าเขาไม่มาหรอก ให้พวกคุณไปทะเลาะกันให้เรียบร้อยก่อน” นายดอน กล่าว

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีได้กำชับอะไรในเรื่องการประสานกับต่างประเทศหรือไม่  นายดอน กล่าวว่า  ไม่มี เพราะที่ผ่านมา เราติดต่อทำความตกลงเองมา 7 ปีอยู่แล้ว ซึ่งราบรื่นมาตลอด และเรารายงานนายกรัฐมนตรีให้รับทราบตลอดเช่นกัน  นายกรัฐมนตรีจึงไม่ต้องห่วง เพราะอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ถือว่าการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศในการติดต่อกับประเทศต่างๆ มีความเสถียรและรู้ว่าจะต้องทำอะไร จังหวะไหน อย่างไร เพื่ออะไร  แต่ตนอยากให้สื่อมวลชนช่วยทำความเข้าใจกับคนในประเทศเราด้วย อย่าให้มีปัญหา มิฉะนั้นจะทำให้เรื่องที่ควรจะเดินต่อ ไม่สามารถเดินหน้าได้  จึงต้องช่วยกันออกข่าวเตือนประชาชนบ้าง เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ  เพราะถ้าเราทำให้มีปัญหาอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต  

“โฆษกรัฐบาล” ป้อง “นายกฯ” ซื่อสัตย์สุจริต ลั่น ไม่จำเป็นต้องแจกเงิน ส.ส.แลกโหวตไว้วางใจ จ่อให้ฝ่ายกฎหมาย เอาผิดคนพูดเท็จทำเสียหาย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ระบุว่า 6 พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมรวมหลักฐานยื่นให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการกรณีมีคนจ่ายเงินให้ส.ส.ที่ชั้น 3 อาคารรัฐสภา เพื่อจูงใจให้ส.ส.ลงคะแนนก่อนลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยพบหลักฐานมีภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพถ่าย และพยานบุคคลที่จะเอาผิดได้ แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะไม่ได้จ่ายเอง แต่สามารถเชื่อมโยงไปถึงได้ เพราะมีบุคคลเป็นตัวกลางจ่ายแทน ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี และการลงมติเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา พรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดจนทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นและสมบูรณ์ ข้อมูลต่างๆทั้งจากการอภิปรายและการชี้แจงเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และรัฐบาลพร้อมที่จะนำข้อเสนอแนะไปปรับใช้ หลายเรื่องเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ขณะที่หลายเรื่องน่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาลให้ดียิ่งขึ้นได้ เพราะรัฐบาลไม่ได้มองแค่ว่าต้องเป็นแนวความคิดของรัฐบาลเท่านั้น หากแนวคิดของฝ่ายค้านเกิดประโยชน์ต่อประชาชน รัฐบาลก็พร้อมพิจารณา
 
“ยืนยันว่านายกฯ ไม่ใช่คนแบบนั้น ขอย้ำว่านายกฯ มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ไม่ทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด และนายกฯได้ชี้แจงแล้วว่า มี ส.ส.มาเข้าพบเพื่อให้กำลังใจ ไม่ได้มีการแจกเงินทั้งสิ้น ในห้องของนายกฯ มีแต่กระเป๋าเอกสาร ซึ่งเปิดให้สื่อมวลชนดูแล้ว หากมีความพยายามทำเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นการเมือง พูดเท็จจนทำให้นายกฯ เสียหาย นายกฯ ก็จำเป็นต้องมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป"นายธนกร กล่าว

'โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ' ออกชี้แจง ปม ‘ทอม เครือโสภณ’ กล่าวหา ‘ดอน’ ปฏิเสธรับบริจาควัคซีนเพื่อนบ้าน

จากกรณีที่ นายทอม เครือโสภณ ได้ออกคลิปกล่าวหาว่ากระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธความร่วมมือด้านวัคซีนโควิด-19 จากมิตรประเทศนั้น เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564

ล่าสุด นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาชี้แจงดังนี้

1.) ข้อกล่าวหานี้ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด !!! กระทรวงการต่างประเทศทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนไทยและคนต่างชาติที่อาศัยในไทย เข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด ทั้งการอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อ การแลกเปลี่ยนวัคซีน (vaccine swap) หรือรับมอบความช่วยเหลือจากมิตรประเทศ 

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังได้ติดตามพัฒนาการของวัคซีนโควิด-19 จากทั่วโลก เจรจากับรัฐบาลและหน่วยงานของต่างประเทศเพื่อผลักดันความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่จะให้ไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนและแหล่งกระจายวัคซีนในภูมิภาค 

โดยได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวร และสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกดำเนินการในเชิงรุกผ่านช่องทางทางการทูตทุกระดับทุกช่องทาง

2.) ไทยไม่เคยปฏิเสธความร่วมมือด้านวัคซีนของมิตรประเทศ !!! กรณีความร่วมมือกับสิงคโปร์นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ แจ้งว่า สิงคโปร์รู้สึกขอบคุณไทยที่ได้บริจาคอุปกรณ์ตรวจเชื้อโควิด-19 แบบ RT-PCR ให้ในช่วงต้นของการระบาดรุนแรงในสิงคโปร์ 

ดังนั้น โดยที่สิงคโปร์มีวัคซีนมากพอสำหรับการใช้ในประเทศแล้ว จึงประสงค์จะส่งวัคซีนแอสตราเซเนกามาให้ประเทศไทยจำนวน 120,000 โดส ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงความขอบคุณและขอรับความช่วยเหลือนี้ในรูปแบบการยืม (swap) โดยจะส่งวัคซีนคืนให้สิงคโปร์เมื่อไทยมีวัคซีนเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ

เช่นเดียวกับความตกลงที่ไทยได้ทำกับภูฏาน โดยเรามองว่า เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ได้คิดว่าใครจะเล็ก หรือใหญ่ หรือเป็นการเสียหน้าใครแต่อย่างใด

3.) กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าผู้แทนของบริษัท Moderna ไม่สามารถเข้าถึงตัวแทนทางการทูตของไทยได้นั้น ขอชี้แจงว่าทั้งกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทยที่กรุงวอชิงตัน ได้รับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จากผู้แทนบริษัทจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์แห่งหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการในการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด-19 ของ Moderna ในประเทศไทย 

โดยมีข้อความแจ้งว่า โรงงานผู้ผลิตหลักของ Moderna ในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งผลิตวัคซีนให้ประเทศนอกสหรัฐฯ ติดขัดบางประการ จึงทำให้เกิดความขาดแคลนและความล่าช้าในการส่งมอบวัคซีนให้แก่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย 

จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตฯ เจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เลื่อนการรับมอบวัคซีน Moderna 10 ล้านโดส ที่จะได้รับในไตรมาส 3 ของปีนี้ออกไปก่อน เพื่อให้ Moderna สามารถส่งมอบวัคซีนให้แก่ไทยได้ เนื่องจากสหรัฐฯ มีวัคซีนส่วนเกินจำนวนมาก 

ทั้งนี้ ผู้แทนบริษัทฯ ดังกล่าว ไม่ได้แสดงเอกสารใด ๆ แม้แต่สัญญาการสั่งซื้อวัคซีนของหน่วยราชการไทยที่อ้างถึง รวมถึงรายละเอียดความต้องการวัคซีน Moderna ของภาคเอกชนไทย จำนวนวัคซีน และกรอบเวลาการส่งมอบ ตลอดจนข้อมูลท่าทีและการดำเนินการของบริษัทฯ ในการผลักดันประเด็นที่ขอให้ไทยเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงช่องทางการติดต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ของบริษัทฯ รวมถึงไม่เคยมีหนังสือแจ้งความจำนงกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการ 

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ได้หยิบยกกับผู้แทนระดับสูงของฝ่ายสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยและความต้องการวัคซีนอย่างเร่งด่วน และมีหนังสือขอรับการสนับสนุนจากทางการสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อขอเร่งการส่งมอบวัคซีนที่ไทยสั่งซื้อ 

ส่วนกรณีวัคซีนส่วนเกินของมลรัฐต่าง ๆ และสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้รับแจ้งว่า ยังไม่มีมาตรการส่งวัคซีนส่วนเกินบริจาคหรือขายต่อให้ประเทศอื่น ๆ 

อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ดำเนินการอย่างเต็มความสามารถในการประสานกับผู้แทนของฝ่ายสหรัฐฯ รวมถึงการพูดคุยกับสมาชิกวุฒิสภา Tammy Duckworth เพื่อขอรับการสนับสนุนการส่งมอบวัคซีนที่หน่วยราชการไทยได้สั่งซื้อโดยเร็ว และผลักดันการเข้าถึงวัคซีนที่สหรัฐฯ ไม่ได้ใช้ต่อไป

4.) ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเกี่ยวกับการแสวงหาความร่วมมือด้านวัคซีนป้องกันโควิด-19 และความร่วมมืออื่น ๆ แล้ว ดังนี

(4.1) จีน - รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือกับมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนในหลายโอกาส โดยไทยได้รับบริจาควัคซีน Sinovac จำนวน 1 ล้านโดส 

นอกจากนี้จีนยังอำนวยความสะดวกและติดตามการจัดหาวัคซีนของบริษัท Sinovac และบริษัท Sinopharm เพื่อประสานงานให้การจัดซื้อและส่งมอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

(4.2) สหรัฐฯ - กระทรวงการต่างประเทศผลักดันความร่วมมือเพื่อเข้าถึงวัคซีนของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนของสหรัฐฯ ได้แก่ Pfizer Moderna Johnson & Johnson และ Novavax อย่างต่อเนื่องในทุกระดับ ทั้งในรูปแบบของการจัดซื้อ การขอรับความช่วยเหลือ และการเจรจาข้อตกลงการแลกเปลี่ยนวัคซีนล่วงหน้า (vaccine swap) 

โดยไทยได้รับบริจาควัคซีน Pfizer จำนวนกว่า 1 ล้าน 5 แสนโดส เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 และฝ่ายสหรัฐฯ มีแผนที่จะมอบเพิ่มเติมอีก 1 ล้านโดส

(4.3) ญี่ปุ่น - กระทรวงการต่างประเทศทาบทามการแลกเปลี่ยนวัคซีน (vaccine swap) กับญี่ปุ่น และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งมอบวัคซีน AstraZeneca จำนวนกว่า 1,050,000 โดสให้แก่ไทยแล้ว และบริจาคเพิ่มให้อีก 300,000 โดสโดยส่งมอบในวันที่ 8 กันยายน นี้ 

นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือด้านการเฝ้าระวังตรวจหาเชื้อและส่งเสริมการวิจัยยารักษาโรค รวมถึงอุปกรณ์อีกกว่า 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีแผนส่งมอบเครื่องผลิตออกซิเจนให้ไทย 775 เครื่องมูลค่า 1.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกด้วย

(4.4) สหราชอาณาจักร - ไทยได้ขอรับการสนับสนุนวัคซีน AstraZeneca ซึ่งสหราชอาณาจักรได้ส่งมอบวัคซีนให้จำนวน 415,000 โดสให้แก่ไทยด้วยแล้ว

(4.5) ภูฏาน - รัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทยได้เห็นชอบการแลกเปลี่ยนวัคซีนล่วงหน้า (vaccine swap) จำนวน 150,000 โดส บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ไทยและภูฏานมีร่วมกันอย่างใกล้ชิด

(4.6) เยอรมนี - กระทรวงการต่างประเทศกำลังประสานการรับมอบ Monoclonal antibody (Casirivimab/Imdevimab) ซึ่งเป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนัก จากกระทรวงสาธารณสุขประเทศเยอรมนีของบริษัท Regeneron จำนวน 2,000 ยูนิตโดยเร็วที่สุด เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19

(4.7) สวิตเซอร์แลนด์ - กระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่อง และชุดตรวจ Rapid Antigen 1.1 ล้านชุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังอยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือเพื่อการสรรหาวัคซีนจากอินเดีย เกาหลีใต้และออสเตรเลียเพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขของไทยอย่างต่อเนื่อง

5.) หากกระทรวงการต่างประเทศ “กลัวเสียหน้า” ที่จะรับความช่วยเหลือจากมิตรประเทศต่าง ๆ ตามที่ได้แจกแจงข้างต้น ความร่วมมือกับมิตรประเทศต่าง ๆ ที่เทมาให้ไทย คงไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ 

ตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่ทุกระดับของกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อพยายามทุกวิถีทางให้คนทุกกลุ่มในไทยเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์การระบาดในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง 

ซึ่งหากคิดด้วยเหตุผล ก็จะเข้าใจได้เองว่า หากประเทศไทยไม่อยู่ในสายตาของมิตรประเทศเหล่านี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะทุ่มเทให้ความช่วยเหลือเราอย่างทันควัน !!!!

นั่นก็เพราะการดำเนินการทางการทูตของไทยทำให้ไทยได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้ต่างชาติเห็นว่าไทยเป็นมิตร จึงเป็นห่วงเป็นใยกันและประสงค์จะช่วยเหลือเราเพราะเราเองก็มีประโยชน์ต่อเขาเฉกเช่นเดียวกัน 

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศดำเนินนโยบายการต่างประเทศโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ ประชาชนชาวไทย และความโอบอ้อมเกื้อกูลต่อมิตรประเทศโดยสมดุลและมีประสิทธิภาพ 

จึงทำให้มิตรประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของไทยในฐานะหุ้นส่วนที่มีศักยภาพและมีความห่วงใยต่อประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระทรวงการต่างประเทศประสบความสำเร็จในการแสวงหาความร่วมมือด้านวัคซีนกับประเทศต่าง ๆ ทำให้มีวัคซีนให้แก่ชาวไทยรวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยเพิ่มขึ้นโดยรวมอย่างน้อยกว่าสามล้านโดสจากการดำเนินการดังกล่าว

6.) ขออย่าด้อยค่าการทำงานของคนบัวแก้วที่ทุ่มเททำงานตลอด 24 ชั่วโมงอยู่ทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือคนไทยและช่วยประเทศเราแก้ปัญหาเร่งด่วนอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ !!!!

การกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังเป็นการให้ข้อมูลเท็จแก่ประชาชน และสร้างความเสียหายต่อทั้งข้าราชการและประชาชนให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1483595168663922&id=100010403598013

'ก้าวไกล' ยืนยันดันร่างพ.ร.บ.อุ้มหายฯ ให้ทันสมัยประชุมนี้ พร้อมร่วมรับข้อเสนอ เครือข่ายญาติผู้เสียหายจากการซ้อมทรมานและอุ้มหาย

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ พรรคก้าวไกล ร่วมรับหนังสือจากเครือข่ายญาติผู้เสียหายจากการซ้อมทรมานและอุ้มหาย ที่จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎร เร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามบุคคลสูญหาย ที่รัฐสภา โดยมี นายธนัท ธนกิจอำนวย (ลูกนัท) พร้อมด้วย สิตานันท์ สัตยศักดิ์สิทธิ์ พี่สาว นายวันเฉลิม สัตยศักดิ์สิทธิ์ บุคคลที่ถูกทำให้สูญหาย ณ ประเทศกัมพูชา ร่วมเรียกร้องต่อประเด็นดังกล่าว

รังสิมันต์ โรม กล่าวว่า ตนเองก็มีกลุ่มเพื่อนที่ได้รับผลกระทบจากการถูกกระทำให้สูญหาย ซึ่งตนเคยรับประทานอาหารร่วมกับนายวันเฉลิม สัตยศักดิ์สิทธิ์ บุคคลที่ถูกทำให้สูญหาย ณ ประเทศกัมพูชาในสมัยที่ตนเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตนรู้สึกสะเทือนใจทุกครั้ง ที่วันหนึ่งคนที่มีความตั้งใจอยากจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสังคมที่ดีงาม ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศนี้ได้ และสุดท้ายต้องถูกบังคับสูญหาย ถือเป็นความเจ็บปวดทุกครั้ง ที่เราไม่รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขายังมีลมหายใจหรือเปล่า เราได้แต่รอ เราได้เเต่ฝัน เราได้แต่พยายามคิดในแง่บวกว่าเขาอาจจะอยู่ในที่ที่ดีกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ตนคิดว่ามันเป็นความเจ็บปวดเเละความทุกข์ทรมานของครอบครัว ของเพื่อนที่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายเเละป่าเถื่อนของสังคมที่เรากำลังอยู่ ที่คนต้องการเห็นสังคมเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถมีชีวิตได้อย่างปกติ

“ผมคิดว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป เเละการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมีการเรียกร้องให้มีร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองต่อการอุ้มหายเเละซ้อมทรมาน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเเปลงให้สังคมนี้เป็นประชาธิปไตยขึ้น เพื่อไม่ให้ใครต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เเละเป็นสิ่งที่จะต้องทำ"

รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามบุคคลสูญหายและซ้อมทรมาน ถูกมองว่าไม่ใช่กฎหมายที่ทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์ เป็นเรื่องไกลตัว แต่เราต้องไม่ลืมว่ากฎหมายนี้ เป็นการสร้างหลักประกันให้สังคมของเราไม่เป็นสังคมที่ป่าเถื่อนอีกต่อไป เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ในสังคมนี้ได้โดยปราศจากความหวาดกลัว หรือถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาได้รับผลกระทบ เราจะมั่นใจได้ว่า จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามหาความจริง เป็นเพื่อนที่เคียงข้างให้กับครอบครัวที่สูญเสีย ตนขอเเสดงความนับถือกับครอบครัวผู้สูญเสียที่พยายามไม่อยู่เฉย ตนยังจำได้ในวันแรก ๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ สังคมของเราหวาดกลัวขนาดไหน เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะเป็นรายต่อไปเมื่อไหร่ ซึ่งตนคิดว่าการรวมกลุ่มเเละการไม่อยู่เฉย การพยายามพูดออกมา ไม่ใช่แค่การทำให้บุคคลที่ถูกอุ้มหายเเละซ้อมทรมานได้มีตัวตนเท่านั้น เเต่มันคือการประจานความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา เเต่การผลักดันที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ การให้มีร่างกฎหมายที่จะคุ้มครองเรื่องนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระยะยาวต่อไปในอนาคต

รังสิมันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอเเจ้งข่าวดีต่อครอบครัวผู้สูญหาย เเละผู้เรียกร้องต่อกรณีนี้ว่า เมื่อวาน ( 7 ก.ย. 64) ทางวิปฝ่ายค้านได้หารือว่าจะเลื่อนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา ต่อจากร่างพรบ.ปฏิรูปการศึกษา ซึ่งที่ประชุมฝ่ายค้านเห็นด้วย โดยในช่วงเช้าตนได้หารือกับทางวิปรัฐบาลให้เลื่อนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา โดยทางวิปรัฐบาลก็ได้ระบุว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งหมายความว่า โอกาสที่รัฐสภาจะได้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ ผ่านวาระที่ 1 ในสมัยประชุมนี้ ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น 

ในปัจจุบันเรามีร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน 3-4 ฉบับ ของคณะรัฐมนตรี 1 ฉบับ ของสภาผู้เเทนราษฎร 3 ฉบับ ซึ่ง 1 ใน 3 ฉบับ คือ ฉบับที่คณะกรรมาธิการการฎหมาย การยุติธรรม เเละสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมพัฒนากับพี่น้องประชาชนยื่นเข้ามา ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนจากส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน เเละพรรคร่วมรัฐบาล ตนค่อนข้างมีความมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรที่ทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ตกไปได้

“สิ่งที่ครอบครัวผู้สูญหาย พยายามพูดมาโดยตลอด วันนี้ไม่ได้ทำให้บุคคลที่ถูกทำให้สูญหายเเละซ้อมทรมานได้มีตัวตนต่อในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่วันนี้กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว และมันกำลังเกิดขึ้น กงล้อของการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้กำลังเกิดขึ้น กำลังหมุนไปเเล้ว ทุกคนอย่าเพิ่งท้อถอย ในที่สุดเเล้วเราจะสามารถคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวผู้สูญเสียทุกคนได้ ผมขอเป็นกำลังใจให้ครับ อย่าหยุดพูด การไม่หยุดตรงนี้ วันหนึ่งเราจะได้ความเป็นธรรมกลับคืนมา ยังอยากให้ทุกคนมีหวังต่อไปในการที่สังคมจะเปลี่ยนเเปลงไปในทางที่ดีขึ้น" รังสิมันต์ กล่าว

ขณะที่ มานพ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (7 ก.ย. 64 ) พรรคก้าวไกล ในที่ประชุมส.ส.ของพรรคได้มีการหารือถึงประเด็นดังกล่าว โดยพรรคก้าวไกลมีมติที่จะเสนอต่อรัฐสภาให้เลื่อนญัตติในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามบุคคลสูญหาย ฉบับที่ พ.ศ…. ขึ้นมาพิจารณาให้ทันในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ฝ่ายการเมือง เเละฝ่ายนิติบัญญัติควรให้ความสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน คือ การประชุมเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชน ณ นครเจนีวา สหพันธรัฐสวิส 

ดังนั้นร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศไทยทำตามข้อตกลงที่ลงนามกับนานาอารยประเทศหรือไม่ ส่วนในประเทศไทย ตนเห็นในหลายกรณี อย่างล่าสุด กรณี พ.ต.ท.ธิติสรรค์ อุทธนผล (ผู้กำกับโจ้) ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนถึงแก่ความตาย ซึ่งเกิดขึ้นจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำต่อประชาชน

นอกจากนี้ ตนในฐานะตัวแทนของกลุ่มชนชาติพันธุ์ ขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชัยภูมิ ป่าแส ที่โดนเจ้าหน้าที่ทหารกระทำจนถึงแก่ชีวิต เเละพอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) ที่โดนกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการตรวจสอบความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรมจะต้องเกิดขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับการคุ้มครองอย่างยุติธรรมเเละเท่าเทียม

“บิ๊กตู่”ห่วงสุขภาพประชาชนรับมือกับโควิด -19 หน้าฝน แนะสำรองหน้ากากผ้า-หน้ากากอนามัย และติดตามพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงนี้เป็นฤดูฝนและมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เนื่องจากฤดูฝนจะทำให้เกิดอุณหภูมิที่ลดลงอาจทำให้เชื้อโรคและเชื้อไวรัสอยู่ในสภาวะแวดล้อมได้นานขึ้นและอาจทำให้เกิดโรคที่มีอาการใกล้เคียงกับโควิด-19 เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดธรรมดา และไข้เลือดออก  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ฝากความห่วงใยถึงการปฎิบัติตนของประชาชนเพื่อป้องกันโควิด-19 ในช่วงหน้าฝนนี้ ให้ขอยึดหลักการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19  แบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) อย่างเคร่งครัด ทั้งการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย อยู่เสมอ ออกจากบ้านเมื่อจำเป็น เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮลล์ หลีกเลี่ยงการนำมือมาจับหน้า ตา จมูกและปาก รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัดและไม่มีอากาศถ่ายเท  และในช่วงหน้าฝนนี้ ต้องทำความสะอาดหน้ากากผ้าทุกวันก่อนนำมาใช้  อย่าใช้หน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยที่เปียกและชื้น และควรมีหน้ากากสำรองไว้เพื่อเปลี่ยนอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

“นายกรัฐมนตรีอยากเห็นประชาชนรักษาสุขภาพที่ดี หมั่นสังเกตอาการตนเอง ทั้งโรคไวรัสโควิด-19 และกลุ่มเสี่ยงโรคทางเดินหายใจ รวมทั้งยังฝากความห่วงใยไปยังพื้นที่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในขณะนี้  และขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามการพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิดด้วย หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้แจ้งเตือนอิทธิพลจากพายุโกนเซิน (COUSON (2113) จะทำให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนมากขึ้นจนถึงสัปดาห์หน้าด้วย" นายธนกรฯ กล่าว

‘ชาดา’ ซัดหนัก ‘บิ๊กตู่’ ไม่ออกไปเยี่ยมปชช. เพื่อรับรู้ปัญหาด้วยตาตัวเอง ขาดจิตวิทยามวลชน

นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุค ส่วนตัว Chada Thaised ระบุว่า

"การแก้ปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมอยากจะบอกพี่น้องประชาชนและใครก็ได้บอกท่านนายกฯ ด้วย โรคโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ทุกรัฐบาลในโลกไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่มีทฤษฎี ไม่มีสูตรในการแก้ปัญหา หมอที่อยู่ข้างกายนายกฯ ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำก็ไม่เคยผ่านมาทั้งนั้น ระบบสาธารณสุขของไทยถูกออกแบบมา คนป่วย ไอซียู 1 คน 1 เตียง อยู่ได้ 5 วัน แต่ผู้ป่วยโควิดนั้นอยู่ 15 วันถึง 30 วัน ในบางรายก็มากกว่านั้น ทำให้เกิดปัญหาไม่มีเตียงรองรับ ก็มะงุมมะงาหรากันทุกรัฐบาลทั่วโลก มีสภาพคล้าย ๆ กัน

แต่สิ่งที่ท่านนายกฯ ประยุทธ์ ต้องรู้คือท่านขาดจิตวิทยามวลชน ท่านไม่ออกมาเยี่ยมพี่น้องประชาชนในกทม. ตามชุมชนต่าง ๆ และท่านก็ไม่เคยออกมารับรู้ปัญหาด้วยตาด้วยตัวของท่าน ท่าน work from home ผมจะบ้าตาย ทีมที่ปรึกษาคนในแนะนำให้ไปโดดน้ำ ผู้นำไม่ใช่อยู่กับบ้าน ไม่สมกับเป็นชายชาติทหาร ต้องออกดูปัญหาออกมารับรู้เพื่อเห็นสภาพความเป็นจริง นายกฯ ต้องรู้ว่าระบบราชการไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไข้ปัญหาขนาดใหญ่ อุทกภัย วาตภัย และโรคระบาด

ผมขอยกตัวอย่างสมัยท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ น้ำท่วมใหญ่ปี 54 คุณสรยุทธเป็นพระเอก ประชาชนมาบริจาคเป็นร้อยล้าน แต่ไม่บริจาคให้รัฐบาล สมัยท่านนายกฯ ประยุทธ์ น้ำท่วมภาคอีสานเมื่อไม่นานมานี้ คุณบิณฑ์ เป็นพระเอก โรคระบาดครั้งนี้ มูลนิธิเส้นดายเป็นพระเอก ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกก็ว่าได้ที่ประชาชนออกมาช่วยประชาชน หน่วยงานของรัฐทุกระบบที่ไม่ใช่บุคลากรทางสาธารณสุข บางหน่วยบางคน ไม่ร่วมแรงร่วมใจ แต่ก็มีจำนวนมากที่เหน็ดเหนื่อย แต่ระดับอธิบดีแทบทุกหน่วยทำตัวเป็นปกติ นี่คือปัญหาของระบบราชการไทยที่ไม่รู้จักคำว่าลงแขกช่วยเหลือกัน รู้แต่ว่าหน้าที่กูหน้าที่มึง เหมือนกับร่างกายมนุษย์ที่ใช้งานแค่สองนิ้วสามนิ้ว เมื่อไม่ได้ช่วยกันทั้งหมด งานย่อมมีปัญหาแน่นอน

ในวัคซีนซิโนแวค มีประเทศจีนให้ความสำคัญกับเรา ช่วยเหลือเรา ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ประเทศตะวันตก ใครบ้างมาดูแลเราในสภาพตอนนั้น บางคนโจมตีรัฐบาลจีน แต่ตัวเองฉีดวัคซีนเข็มแรกของจีนก่อนใครใครทั้งหมด รอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็มีเยอะ ยังไปด่าเขา เนรคุณรึป่าว? และที่สำคัญในกรุงเทพมหานครไม่มีสาธารณสุขจังหวัด และไม่มีสาธารณสุขอำเภอ กทม.รับมือไม่ไหวหรอก มหาดไทยก็นิ่งเฉย ปล่อยกรุงเทพฯ เหมือนเมืองซอมบี้ ศักยภาพ กทม.เลยทำงานเหมือนคนโดดเดี่ยว

ผมเขียนมาวันนี้ไม่ได้คิดโจมตีใคร นายกฯ ต้องมองคนที่ให้คำแนะนำผิด ๆ บ้าง อย่างที่เช่นการรวบอำนาจตามกฎหมาย 30 กว่าฉบับมาไว้ที่ ศบค. แล้วก็กลายเป็นทำงานคนเดียว ชุดเดียว กลุ่มเดียว กระทรวง กรมต่าง ๆ นิ่งเฉย อยู่ดี ๆ ตัวใหญ่ขึ้น แต่คนช่วยทำงานไม่มีเลย เอาปลัดกระทรวงมานั่ง แต่ไม่ได้เอาหัวเอาหางมา มีกำลังพลมากมายในประเทศกลับไม่มีค่า ขาดความร่วมมือ ส่วนอื่น ๆ ก็ถือว่าไม่ใช่หน้าที่

บารมีท่านเป็นนายกฯ มา 7-8 ปี ไม่ต้องเอาอำนาจตามกฎหมายมาถือไว้ ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกัน ถ้านายกฯ ไม่ไปดึงอำนาจมา แต่บริหารจัดให้กระทรวงนี้ไปรับผิดชอบเรื่องศูนย์พักคอย กระทรวงนี้ไปรับผิดชอบโรงพยาบาลสนาม อีกกระทรวงไปรับผิดชอบการขนส่งผู้ป่วย เป็นต้น นายกฯ ก็คงไม่ต้องโดนด่ามากมาย กระผมอาจจะคิดผิดก็ได้

แต่ท่านนายกฯ ครับ วันนี้อุทัยธานี เตียงสนาม ศูนย์พักคอย คนป่วยเริ่มน้อย กำลังจะปิดบางส่วน ถ้าท่านนายกฯ รู้ข้อมูลอาจจะให้อุทัยธานีช่วยเหลือคนป่วยจากที่อื่นอีกสัก 400-500 คน ที่อาการไม่หนัก นี่คือตัวอย่างครับท่าน ผมไม่ได้เก่งกาจ หรืออาจจะผิดก็ได้ แต่ผมคือคนที่อยู่ในระบบราชการมาพอสมควร จึงเขียนมาเป็นอีกหนึ่งความคิด

อย่าได้โกรธกันครับผม คนเราต้องทบทวนบ้างว่าอะไรมิตรแท้ ไม่ใช่ใครออกมาเสนอแนะอะไรก็โดนสวนกลับทั้งที่พูดด้วยความจริงใจ ที่ผมพูดมาก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าใครก็ตาม อย่าได้โกรธเกลียดกันเลยครับ (ถ้าเอ่ยถึงชื่อผู้ใด หรือตำแหน่งต่าง ๆ อาจจะไม่ถูกต้อง ก็ต้องกราบขอโทษด้วย พิมพ์เองครับ อาจจะผิดถูกบ้างไม่สละสลวย ก็ต้องขอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)”


ที่มา : https://www.facebook.com/chadathaised

"ณัฐชา" ดักคอ อย่ายื้อเลือกตั้ง กทม.-พัทยา เบี่ยงกระแสหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้ ควรเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับให้เร็วที่สุดแก้ปัญหาโรคระบาด พร้อมปลดล็อกระเบียบข้อบังคับส่วนกลาง ให้เกียรติผู้แทนปชช.

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบเฉพาะการจัดเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในส่วนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขณะที่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกเทศมนตรีเมืองพัทยาที่ประชุมยังไม่พิจารณาโดยคาดว่าจะมีขึ้นในปีหน้า ว่า สถานการณ์ประเทศไทยในขณะนี้ควรมีการจัดการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นอย่างเร่งด่วน เพราะปัญหาการจัดการโรคระบาดหลายพื้นที่มีความจำเป็นต้องใช้อำนาจท้องถิ่นในการจัดการ หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาของประชาชนจริง เร่งจัดการเลือกตั้งอบต.ให้เร็วที่สุดเพราะมีความจำเป็นอย่างมาก และหากรัฐบาลต้องการแสดงความจริงใจไม่เบี่ยงประเด็นความบอบช้ำหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องเดินหน้ากำหนดวันเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในขณะนี้ 

"โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ กทม. ที่อยู่ภายในการบริหารงานของผู้ว่าฯ และสมาชิกกรุงเทพฯ ที่แต่งตั้งมานานกว่า 7 ปี อยู่ในตำแหน่งโดยกินเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน แต่ประชาชนแทบไม่รู้ว่าทำอะไรไปเพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้นการเดินหน้าประกาศให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดคือทางออกวิกฤตในขณะนี้" นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องตระหนักคือการมีตัวแทนประชาชนที่ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการซ้ำเติมปัญหา จึงควรเดินหน้าให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ เพราะมีความใกล้ชิด รู้และเข้าใจปัญหาให้พื้นที่ตัวเองดี ระเบียบข้อบังคับหรืออะไรต่างๆ ที่ล็อกไว้จากส่วนกลางก็ต้องคลายล็อก เป็นการทำงานอย่างให้เกียรติและไว้ใจตัวแทนของประชาชน ไม่ใช่แค่หาประเด็นเบี่ยงกระแสหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สื่อมีเรื่องใหม่ไปตีข่าวแล้วก็ยื้อต่อไปในปีหน้า แต่ที่ต้องทำเช่นนี้คงเพราะรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายแม้จะรอดทั้งคณะ แต่เชื่อว่าในใจท่านรู้ดีว่ามือที่ยกให้นั่นไม่ใช่ความไว้ใจของประชาชนอย่างแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top