ครม.อนุมัติ บำเหน็จความชอบพิเศษ ให้จนท.ปฎิบัติงานด้านยาเสพติด พร้อมรับทราบ ผลโพล ปชช.ปรับตัว-เข้าถึงดิจิทัล ช่วงโควิด สะท้อนทำงานที่บ้านค่าใช้จ่ายเพิ่ม แนะรัฐลดภาระค่าสาธารณูปโภค พุ่งร้อยละ 67.3 ชี้ โครงการเยียวยา "เราชนะ" มีประโยชน์มากสุดถึงร้อยละ 76.2
ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.อนุมัติให้พิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ 2564 ไม่เกิน 12,041 อัตรา แบ่งเป็น ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน 337,713 อัตรา ปรับเพิ่มไม่เกินร้อยละ 2.5 คิดเป็นจำนวนไม่เกิน 8,443 อัตรา และผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน 239,8861 อัตรา ปรับเพิ่มไม่เกินร้อยละ 1.5 คิดเป็นจำนวน 3,598 อัตรา โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัด เป็นลำดับแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อน เงินเดือน และเงินปรับวุฒิข้าราชการ เป็นลำดับต่อไป โดยประมาณการค่าใช้จ่ายการจัดสรรบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษ ซึ่งงบประมาณให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดครั้งนี้ จำนวน 79,109,370 บาท หรือรายละประมาณ 6,570 บาทต่อปี
นอกจากนี้ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้านการปรับตัวและการเข้าถึงดิจิทัล โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 46,600 คน ระหว่างวันที่ 23 มิ.ย.-6ก.ค. 2564 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 81.5 ไม่ได้ทำงานที่บ้าน เพราะอาชีพไม่เหมาะสมกับการทำงานที่บ้าน ส่วนปัญหาที่ประชาชนประสบในการทำงานที่บ้าน เช่น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย และสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ดี ส่วนการเรียนออนไลน์ พบว่าร้อยละ 42 มีบุตรหลานอยู่ในวัยที่เรียนออนไลน์ ร้อยละ 14.7 มีบุตรหลานอยู่ในวัยเรียน แต่ไม่ได้เรียนออนไลน์ โดยปัญหาที่ประสบจากการเรียนออนไลน์ 5 อันดับแรก ได้แก่ ไม่ค่อยเข้าใจในวิชาที่เรียน ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ไม่มีสมาธิ สัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ดี และอุปกรณ์ไม่ทันสมัย
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับแผนการปรับตัวเพื่อรับมือกับโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรกคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิต เช่น ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้านทุกครั้งและหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านหากไม่จำเป็นร้อยละ 95.4 นำเงินออมออกมาใช้จ่ายร้อยละ 32.6 โดยพบในกลุ่มอาชีพค้าขาย ธุรกิจส่วนตัวในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น และ กู้ยืมเงินหรือจำนำ ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ร้อยละ 22.8 โดยพบในกลุ่มอาชีพรับจ้างทั่วไป ขับรถรับจ้าง กรรมกร ในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น สำหรับเรื่องที่รัฐบาลควรสนับสนุนให้ประชาชนปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ จัดหาสัญญาณไวไฟ ฟรีให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ร้อยละ 66.7จัดหาอินเตอร์เน็ตให้ประชาชนในราคาถูก ร้อยละ 60 จัดหาอินเตอร์เน็ตให้นักเรียน นักศึกษาฟรี ร้อยละ 47.6 จัดหาอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ ให้ประชาชนในราคาถูก ร้อยละ 42.2 และ จัดให้มีสถานที่กลางในการเรียนออนไลน์สำหรับเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนร้อยละ 33
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ใน 3 อันดับแรก ได้แก่ ลดภาระค่าสาธารณูปโภคร้อยละ 67.3 จ่ายเงินชดเชย เยียวยาร้อยละ 60.7 และช่วยเหลือด้านค่าครองชีพร้อยละ 58.7 ขณะที่โครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผล
กระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มีประโยชน์มากที่สุด ได้แก่ โครงการเราชนะ ร้อยละ 76.2 โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐร้อยละ 66.7 มาตรการลดค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้าร้อยละ 65.4 โครงการคนละครึ่งร้อยละ 61.2 และโครงการม.33 เรารักกัน ร้อยละ 43.3
