“นายกฯ” ตั้งเป้า ปี65 ยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด 1 หมื่นล้านบาท ตัดวงจรเงินเครือข่ายยาเสพติด พร้อมทุ่ม 3 หมื่นล้านบาท ให้ ธกส. สานฝันยกระดับรายได้เกษตรกรพุ่งเป้าขจัดความยากจนภาคเกษตร

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มุ่งมั่นอยากให้ยาเสพติดลดน้อยหมดไปจากประเทศ ผลักดันกระทรวงยุติธรรมแก้ปัญหายาเสพติดเชิงรุก บูรณาการการทำงาน มุ่งตัดวงจรการลักลอบค้ายาเสพติด โดยมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับปรุงกฎหมายยาเสพติดรวม 24 ฉบับ ให้เป็นฉบับเดียว  มุ่งเน้นการจับและขยายผลไปสู่การยึดทรัพย์และดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการสมคบ กฎหมายฟอกเงิน และกฎหมายรัษฎากร เป็นหลักแทนแนวทางเดิมที่เน้นการปราบปรามและการจับกุมเพียงอย่างเดียว  โดยเชื่อว่า จะนำไปสู่การป้องกัน ปราบปรามยาเสพติดอย่างเป็นระบบ มุ่งทำลายโครงสร้างเครือข่ายการค้ายาเสพติด รวมถึงการวางกรอบลงโทษผู้กระทำความผิดที่เหมาะสมและยุติธรรม 

นายธนกร กล่าวว่า การปรับปรุงประมวลยาเสพติดฉบับใหม่ เป็นการปรับกรอบแนวคิดและสร้างการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม อาทิ การริบทรัพย์สินไม่ผูกพันกับผลของคดีอาญา การริบทรัพย์สินตามมูลค่า การให้เครื่องมือทางกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินในกรณีเร่งด่วน ก่อนมีคำสั่งตรวจสอบทรัพย์สิน ซึ่งประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่นี้  ทำให้การดำเนินการริบทรัพย์สินทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมและสามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังป้องกันกันยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน 

ในปีงบประมาณ 2565 รัฐบาล โดยกระทรวงยุติธรรมคาดการณ์เป้าหมายทรัพย์จากเครือข่ายค้ายาเสพติดที่จะถูกยึดมูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยจะนำมาเป็นเงินสินบนต่อผู้แจ้งเบาะแส 5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 500 ล้านบาท สำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติติงานจะได้รับเงินรางวัล 25 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย 

“นายกฯ เน้นย้ำและมีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหายาเสพติด เน้นบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด  ขณะเดียวกันก็เร่งทำงานคู่ขนาน ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ ทั้งผู้ปฏิบัติงานและประชาชนทั่วไปด้วย ในดำเนินมาตรการภายใต้กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่นั้น    โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์สูงสุด คือ การแก้ปัญหายาเสพติดที่มีมายาวนานและเรื้อรังในประเทศไทย 

นอกจากนี้นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นห่วงเกษตรกรโดยเฉพาะที่ประสบปัญหาทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง และวิกฤตโควิด-19 โดยอนุมัติวงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดำเนินโครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร เพื่อสนับสนุนเงินกู้เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้กับเกษตรกร เป็นส่วนหนึ่งส่งเสริมการประกอบอาชีพด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรหรือประชาชนที่มีความสนใจประกอบอาชีพ เน้นอาชีพที่มีตลาดรองรับ มีการประกันราคารับซื้อผลผลิต ให้สามารถสร้างรายได้ในระยะสั้น 4 - 6 เดือน ซึ่งจะมีผลตอบแทนเบื้องต้นเพียงพอต่อการดำรงชีพ และสามารถต่อยอดเป็นอาชีพที่มั่นคงต่อไปได้ในอนาคต

นายธนกร กล่าวว่า โครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นโครงการที่จะทำให้เกษตรกรที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และวิกฤตโควิด – 19 รวมทั้งที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วมีช่วงว่างงาน สามารถเข้าถึง
เเหล่งเงินทุนได้รายละไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อนำเงินทุนนี้ไปสร้างอาชีพตามที่ตลาดต้องการได้ โดยปล่อยกู้เป็นรายบุคคล ใช้บุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันได้โดยไม่ต้องเขียนโครงการ แต่ต้องแจ้งว่าจะนำเงินทุนไปทำอะไร ขายให้ใคร และราคาเท่าไหร่  ทั้งนี้สามารถยื่นสมัครร้วมโครงการได้ที่   ธ.ก.ส.ทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มจ่ายเงินตั้งแต่ 1 ก.ค. 2564 -ถึงวันที่ 31 มี 2567 ซึ่งระยะ1-3 ปีแรก อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 และปีที่ 4 - 5 ดอกเบี้ยตามปกติของธนาคาร

“นายกฯ เน้นย้ำให้ความสำคัญและติดตามการเร่งแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรมาโดยตลอด เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยโครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร นี้ถือเป็นความตั้งใจของนายกรัฐมนตรี ที่เน้นช่วยเหลือเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเกษตรกรได้รับผลกระทบจากภัยเเล้ง น้ำท่วมและประสบปัญหาโควิด -19 ดังนั้นอาชีพเป็นสิ่งสำคัญที่เสริมรายได้ให้กับชาวเกษตรกร โครงการนี้จะสามารถให้เข้าถึงเเหล่งเงินทุนเพื่อนำไปต่อยอดสร้างอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ต่อไป  ถือเป็นโครงการเพื่อขจัดความยากจนตามนโยบาลของรัฐบาล” นายธนกร กล่าว