Sunday, 27 April 2025
NEWS

เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีที่ผลงานโดดเด่น

แม้จะถูกสื่อมวลชนสายการเมืองตั้งฉายาว่า “รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ”  แต่หากสแกนดูผลงานโดยรวมของรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลผสมหลายพรรคที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘เลขาขิง’ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) คือหนึ่งในรัฐมนตรีที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง

สำหรับ เลขาขิง นับเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ในรัฐบาลชุดนี้ และอยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีที่อายุน้อย ซึ่งมีอายุเพียง 38 ปีเท่านั้น 

เพียงวันแรกของการเดินทางเข้ากระทรวงอุตสาหกรรมเป็นวันแรก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 เลขาขิง ก็ได้ประกาศทันที่ว่า "ผมจะทำทันที ทำทุกวินาที ไม่ยอมจนกว่าจะทำให้สำเร็จ" 

คำพูดที่กล่าวออกมานั้น ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดเอาเท่เท่านั้น แต่เลขาขิง ได้ดำเนินการทำตามคำพูดอย่างจริงจังตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือน บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 

โดยมีผลงานเด่น ๆ ที่ฝากไว้ในรอบปี 2567 ที่ผ่านมา อาทิ 1) ปลดล็อก "โซลารูฟท็อป" ไม่ต้องขออนุญาตใบอนุญาตโรงงาน 4 ทำให้สามารถติดตั้งได้ง่ายสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น 2) ตรวจสุดซอยโรงงานสีเทา แจ้งมาจับจริง ไม่กลัวอิทธิพล ปราบโรงงานไร้ความรับผิดชอบ กากของเสีย สินค้าไม่ได้มาตรฐาน ได้ดำเนินการไปแล้วถึง 13 จังหวัด 

 3) เซฟยานยนต์ไทย เนื่องจากจากสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ญี่ปุ่น ทางเลขาขิงจึงได้เดินทางโรดโชว์คุยระดับทวิภาคีกับ 6 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำในญี่ปุ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และได้รับสัญญานบวกในการรักษาฐานการผลิตยานยนต์ในไทยและการลงทุนเพิ่ม ต่อยอด ด้วยเม็ดเงินกว่า 1.2 แสนล้าน 
4) จัดสรรเงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ 525 ล้านบาท ดูแลชุมชนรอบเหมือง 5) เติมเงินทุน SME ฮาลาล เติมแรงกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่

ที่ยกตัวอย่างมานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานตลอด 4 เดือนเท่านั้น แน่นอนว่า ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง เชื่อว่า ในปี 2568 คงจะได้เห็นการทำงานของ ‘เลขาขิง’ ที่รวดเร็วฉับไว สไตล์เชิงรุกแบบ ‘สุดซอย’ อีกอย่างแน่นอน

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

ไทยสำเร็จชาติแรกในอาเซียน ดีเดย์ LGBTQ จดทะเบียน 22 ม.ค.นี้

ประเทศไทยก้าวสู่ความเท่าเทียมทางเพศอย่างเป็นทางการ ด้วยการประกาศใช้พระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม พ.ศ. 2567 ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 ถือเป็นชาติแรกในอาเซียนที่ออกกฎหมายรองรับสิทธิการสมรสสำหรับบุคคลทุกเพศ

กฎหมายฉบับนี้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเน้นการปรับถ้อยคำให้เป็นกลางและครอบคลุม เช่น การเปลี่ยนคำจาก 'สามี' และ 'ภริยา' เป็น 'คู่สมรส' และคำว่า 'ชาย' และ 'หญิง' เป็น 'บุคคล' เพื่อให้ทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 6 ประเด็นสำคัญของกฎหมายสมรสเท่าเทียม

อายุขั้นต่ำ: ปรับอายุขั้นต่ำสำหรับการหมั้นและสมรสจาก 17 ปี เป็น 18 ปี ความเท่าเทียมทางเพศ: รองรับการสมรสระหว่างบุคคลทุกเพศด้วยการปรับถ้อยคำในกฎหมายให้เป็นกลาง คำเรียกคู่สมรส: เปลี่ยนจาก 'สามี' และ 'ภริยา' เป็น 'คู่สมรส' เพื่อความเป็นธรรมทางเพศ การสมรสกับชาวต่างชาติ: เปิดโอกาสให้คนไทยสมรสกับชาวต่างชาติภายใต้กฎหมายไทย สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม: คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้เช่นเดียวกับคู่สมรสชายหญิง สิทธิและหน้าที่คู่สมรส: มอบสิทธิเท่าเทียมในด้านมรดก การตัดสินใจทางการแพทย์แทนคู่สมรส และสิทธิในสวัสดิการจากรัฐ เหตุการณ์สำคัญสู่กฎหมายสมรสเท่าเทียม การออกกฎหมายนี้สะท้อนถึงความพยายามยาวนานของกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิความหลากหลายทางเพศในไทย กฎหมายความยาว 21 หน้า 69 มาตรา ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยเพื่อความเท่าเทียม

เมื่อกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ในปีหน้า ทุกคนในสังคมจะสามารถก้าวสู่ชีวิตสมรสได้อย่างเท่าเทียม ไร้การแบ่งแยกด้วยเพศ พร้อมรับสิทธิและความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเต็มที่

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นักการเมืองที่ยึดมั่นประโยชน์ของประชาชน

หากจะเอ่ยถึงนักการเมืองที่มีผลงานโดดเด่นและเป็นรูปธรรมจับต้องได้มากที่สุด หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน อย่างแน่นอน

โดยวัดจากผลสำรวจในแต่ละรอบไม่ว่าจะสำนักโพลใดก็ตาม พีระพันธุ์ จะมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประชาชนให้การยอมรับและเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานของนายพีระพันธุ์ ที่ได้เดินหน้าปฏิรูปพลังงานของประเทศไทยทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม ตามแนว ตามแนวทาง “รื้อ ลด ปลด สร้าง”

โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รองนายกฯ พีระพันธุ์ ได้เสนอให้มีการตรึงราคาพลังงานก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า เพื่อลดค่าครองชีพช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการร่างกฎหมายเพื่อวางกรอบในการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและวางกรอบป้องกันสถานการณ์วิกฤตพลังงานในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ ได้ออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมัน ต้องแจ้งต้นทุนนำเข้าส่งออกราคาน้ำมันให้ภาครัฐ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เพื่อนำไปกำหนดราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นอกจานี้ ยังมีร่างกฎหมายเตรียมเข้าสู่สภาฯ อีกหลายฉบับ อาทิ กฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไม่ใช่การอ้างอิงราคาในต่างประเทศ จะทำให้ราคาพลังงานถูกลง ทั้งน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถปรับเปลี่ยนราคาได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจรายละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและพลังงาน พร้อม ๆ กับกฎหมายปลดล้อกการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์ (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้งานภายในบ้าน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง และจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลกับค่าไฟแพงอีกต่อไป

รวมถึง ร่างกฎหมายจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันแห่งชาติ หรือ Strategic Petroleum Reserve (SPR) ที่จะมาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน รวมไปถึงก๊าซธรรมชาติด้วย โดยต่อไปการกำหนดราคาน้ำมันในประเทศจะเป็นเรื่องของภาครัฐกับผู้ประกอบกิจการค้าน้ำมัน ไม่ต้องผันผวนรายวันตามราคาขึ้นลงของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจพิจารณาและคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2567 นี้เช่นกัน 

แน่นอนว่า ความนิยมในตัวนายพีระพันธุ์ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนถึงการยอมรับในผลงานและความมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างหนัก และที่สำคัญไม่มีความหวั่นเกรงต่อกลุ่มทุนพลังงาน ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยแต่อย่างใด ขอเพียงนโยบายและโครงการที่จะทำนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ รวมถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อความเป็นธรรมและมั่นคงอย่างยั่งยืนเท่านั้น

และถึงแม้ว่า การทำงานที่ตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาต ชนิดไม่เกรงใจนายทุน ได้สร้างความไม่พอใจกับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่ม ถึงขั้นมีกระแสข่าวจะเขี่ยรองนายกฯ พีระพันธุ์ ออกจากตำแหน่ง แต่เจ้าตัวก็ไม่หวั่นเกรง  แต่ยังคงยึดมั่นในปนิธานทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้องต่อไป แม้จะถูกตั้งฉายาจากสื่อมวลชนว่า “พีระพัง” แต่สิ่งที่รองนายกฯ พีระพันธุ์ ทำมาตลอดนั้น คือ พังทุกอุปสรรคและปัญหาด้านพลังงานของประเทศไทยที่หมักหมมมาอย่างยาวนานนั่นเอง

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

กากอันตราย 1.3 หมื่นตัน ที่หายไป พบซุกซ่อนในโกดัง 3 จังหวัด

'กากแคดเมียม' โลหะอันตรายที่เสี่ยงก่ออันตรายแก่สุขภาพประชาชนให้กับประชาชน โดยโลหะอันตราย 1.3 หมื่นตัน ถูกย้ายจากต้นทางจังหวัดตาก ก่อนพบการกระจายซุกซ่อนในโกดัง 6 แห่งใน 3 จังหวัด ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งขนย้ายกลับหลุมฝังกลบต้นทาง โดยดำเนินการเสร็จสิ้นช่วงกรกฎาคม 2567 พร้อมทั้งลงโทษผู้กระทำผิดบางรายแล้ว

ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นจากการร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ระบุว่ามีบริษัทในจังหวัดตากขายกากแร่สังกะสีและแคดเมียมที่ควรฝังกลบไปยังบริษัทอื่นในจังหวัดสมุทรสาคร การสืบสวนพบว่าโลหะอันตรายเหล่านี้ถูกนำไปเก็บในสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงงานหล่อหลอมทองแดง และโกดังเก็บสินค้า  

จุดที่พบกากแคดเมียม 1. สมุทรสาคร:  6,151 ตัน ในตำบลบางน้ำจืด 1,005 ตัน ในโรงงานหล่อหลอมทองแดง 717 ตัน ในพื้นที่เพิ่มเติม 2. ชลบุรี 4,391 ตัน ในอำเภอบ้านบึง 3. กรุงเทพมหานคร: 150 ตัน บรรจุในถุงบิ๊กแบ๊ก ย่านบางซื่อ 4. โกดังอื่น ๆ 534 ตัน ในย่านคลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน  

แคดเมียม (Cadmium - Cd) เป็นโลหะหนักที่สะสมในร่างกายและส่งผลต่อปอด ตับ และไต อาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองทางเดินหายใจ และอันตรายถึงขั้นกระดูกผุ พรุน หรือเป็นโรคอิไต-อิไต  

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในขณะนั้น น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ลงพื้นที่ตรวจสอบและสั่งการขนย้ายกากแคดเมียมกลับสู่หลุมฝังกลบในจังหวัดตากให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2567 พร้อมทั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดตากมาปฏิบัติราชการชั่วคราว  

ผู้กระทำผิดบางรายถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด โดยศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับเป็นเงิน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการจัดการกับอุตสาหกรรมที่ละเมิดกฎหมาย  

เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการควบคุมกากอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด และเฝ้าระวังการลักลอบขนย้ายวัตถุอันตราย เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อายุน้อยที่สุดของไทย

ผลพวงการพ้นจากอำนาจอย่างกะทันหันของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลคนใหม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนสุดท้องของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และหลานอา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ จากตระกูลชินวัตรคนที่ 3 และนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของไทย 

อีกทั้งยังครองตำแหน่งเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยวัยเพียง 37 ปี ในวันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหนงนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 

สำหรับ นางสาวแพทองธาร เริ่มก้าวเท้าเข้ามาแตะวงการการเมืองอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย

ภายหลังรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ก็ได้เดินหน้าลุยงานทันที โดยไปร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ และไอเดียใหม่ ๆ กับกลุ่ม UNISEC และกลุ่ม SpaceZap ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนและผู้ที่มีความสนใจในด้านอวกาศ นอกจากนี้ยังคิดค้นนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์’ ปลดปล่อยศักยภาพคนไทย สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ฯลฯ

และเมื่อประเทศไทยใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็จัดเคมเปญ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ ให้ว่าที่ผู้สมัคร สส. ของพรรค ได้มีส่วนร่วมในการ ‘หาสมาชิก’ เป็นฐานในการ ‘คัดคน’ ลงสมัครเลือกตั้ง ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ จึงได้สวมหมวก ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ อีกหนึ่งใบ โดยเปิดตัวที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง

จากนั้น ในเวลาต่อมา พรรคเพื่อไทยได้เปิดรายชื่อ 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีชื่อนางสาวแพทองธาร ปรากฏเคียงคู่กับอีก 2 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ คือ เศรษฐา ทวีสิน และ ชัยเกษม นิติสิริ 

และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทย ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี ครั้งที่ 1/2566 มีวาระสำคัญคือการเลือกกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่ โดยในที่ประชุมมีมติโหวตให้นางสาวแพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อีกหนึ่งตำแหน่ง ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเวลาต่อมา

กว่า 4 เดือนของการทำหน้าที่ ผู้นำรัฐบาล แม้จะถูกตั้งคำถามเรื่องภาวะผู้นำ และการปฏิบัติหน้าที่อยู่เนือง ๆ แต่นางสาวแพทองธาร ยังคงได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลการสำรวจของโพลต่าง ๆ รวมถึงนักการเมืองในฟากฝั่งรัฐบาลที่พร้อมให้การสนับสนุนและเชื่อมั่นว่า จะแสดงความสามารถในบทบาทผู้นำได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน 

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

จับ 'ศรีสุวรรณ จรรยา' พร้อมพวก 6 คน ขู่เรียกรับเงิน 3 ล้านจากเจ้าหน้าที่รัฐ

'ศรีสุวรรณ จรรยา' ถูกจับพร้อมผู้ร่วมขบวนการ 6 คน ฐานข่มขู่เรียกเงินเจ้าหน้าที่รัฐ 3 ล้านบาท หลังจากมีการรวบรวมหลักฐานกว่า 4 เดือน ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของอัยการ  

ช่วงปลายเดือนมกราคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจสนธิกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 แห่ง และจับกุมตัว ศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเรียนชื่อดัง หลังถูกกล่าวหาว่าร่วมขบวนการข่มขู่เรียกรับเงินจากเจ้าหน้าที่รัฐ

เหตุเริ่มต้นจาก นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เข้าร้องเรียนกับตำรวจว่าถูกข่มขู่ให้จ่ายเงิน 3 ล้านบาทเพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนเรื่องทุจริต ก่อนที่จะมีการต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า มีผู้เกี่ยวข้อง 3 คนที่มีพฤติกรรมเรียกรับเงิน

ในการจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่วางแผนให้ผู้เสียหายนำเงิน 500,000 บาทไปแขวนไว้หน้าบ้าน เมื่อตรวจพบว่ามีการนำเงินเข้าไปในบ้านของนายศรีสุวรรณ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุม นักร้องเรียนชื่อดังพยายามวิ่งนำเงินไปโยนทิ้ง แต่เจ้าหน้าที่สามารถไล่จับตัวได้ทันและควบคุมตัวไว้

คดีนี้เป็นการเปิดโปงเครือข่ายการเรียกรับผลประโยชน์ในวงการนักร้องเรียน และกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้รายงานข้างต้นเป็นไปตามข้อมูลข่าว ยังต้องรอผลการพิจารณาคดีในชั้นศาลเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อกล่าวหา ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และยังสามารถชี้แจง รวมถึงใช้สิทธิ์ต่อสู้ในชั้นศาลได้

‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซียที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลก

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน วัย 72 ปี คือผู้นำรัสเซียที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ 200 ปีของรัสเซีย ภายหลังจากชนะการเลือกตั้ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา นั่นจะทำให้ปูตินดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 5 และจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก 6 ปี 

ปูติน ชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ด้วยคะแนนมากเป็นประวัติการณ์ถึง 87% สูงกว่าชัยชนะครั้งก่อน ซึ่งได้คะแนนเสียง76.7% โดยได้ประกาศในสุนทรพจน์ว่า ชัยชนะของเขาจะทำให้รัสเซียรุ่งโรจน์ “แข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพ” มากขึ้น

และแน่นอนว่า ชัยชนะของปูติน ที่จะทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งยาวนานต่อไปอีกอย่างน้อย 6 ปีนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงที่สุดในบรรดาผู้นำของโลกในปัจจุบัน และสามารถกุมอำนาจการบริหารประเทศไว้อย่างเบ็ดเสร็จ 

ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำรัสเซียเท่านั้น แต่ปูติน ยังเป็นหนึ่งในผู้นำที่ร่วมก่อตั้งกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นอักษรย่อใช้เรียกกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) ซึ่งกำลังท้าทายมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีผู้นำอย่างสหรัฐ อเมริกา โดยตรง 

สำหรับ วลาดิเมียร์ ปูติน มีชื่อเต็ม ๆ ว่า วลาดิเมียร์ วลาดิมีโรวิช ปูติน (Vladimir Vladimirovich Putin) เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1952 ปัจจุบันอายุ 72 ปี ปูติน เกิดในเลนินกราด (Leningrad) สมัยยังเป็นสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ก่อนที่จะแตกในปี 1991 ออกเป็นทั้งหมด 15 ประเทศ โดยปูติน ได้ขึ้นเป็นผู้นำรัสเซียครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 ภายหลังจาก บอริส เยลต์ซิน ได้ลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี 

นั่นคือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่และทรงอำนาจของปูติน ที่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน และยังคงยืนหยัดท้าทายมหาอำนาจอย่างสหรัฐ อเมริกา และกลุ่มชาติพันธมิตร อย่างทระนง

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

ผบ.ตร.สั่งกำชับตำรวจคุมเข้มอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่ รถตู้ รถกระบะบรรทุก ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ตรวจความพร้อมก่อนออกเดินทาง และบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลักจริงจัง พร้อมฝากถึงผู้มีหน้าที่ในการขับรถให้มีจิตสำนึกร่วมกันป้องกันอุบัติเหตุ 

วันนี้ (31 ธ.ค 67) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้ตำรวจพื้นที่ดูแลอำนวยความสะดวก ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ กรณีอุบัติเหตุรถทัวร์นักท่องเที่ยวปรับอากาศ ชนท้ายรถบรรทุกพ่วง จนเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวต่างชาติบาดเจ็บ 17 คน เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา บริเวณถนนสายเอเชีย 41 กม.ที่ 31 ขาล่องใต้ หมู่ 3 ต.สวี อ.สวี จ.ชุมพร 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถโดยสารขนาดใหญ่ รถตู้โดยสาร และรถกระบะบรรทุก ได้สั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยบูรณาการหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องการตรวจรถโดยสารขนาดใหญ่ รถตู้โดยสาร และรถกระบะบรรทุก กำชับตำรวจต้นทางต้องตรวจสอบการได้รับอนุญาต ตรวจสอบสภาพรถ ตรวจสอบใบอนุญาตผู้ขับรถ และให้ประสานกรมการขนส่งทางบกร่วมดำเนินการด้วย และให้มีภาพการปฏิบัติปรากฏพร้อมรายงานก่อนที่รถจะออกเดินทางด้วย รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นใน 10 ข้อหาหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่มีพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ ในการบังคับใช้กฎหมายให้ดำเนินการด้วยความสุภาพ สื่อสารให้ผู้ประกอบการและคนขับรถรับทราบถึงความห่วงใยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการป้องกันอุบัติเหตุ 
    
นอกจากนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำและกำชับตำรวจให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและเข้มข้น ให้เห็นผลปฏิบัติเป็นรูปธรรม ทำให้ตัวเลขอุบัติเหตุลดลงให้ได้ พร้อมฝากถึงผู้มีหน้าที่ในการขับรถยนต์สาธารณะทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ต้องมีจิตสำนึกในการระมัดระวัง ทั้งการตรวจสอบยานพาหนะ สภาพร่างกาย ความพร้อมในเรื่องเส้นทางต่างๆ เพื่อร่วมกันป้องกันอุบัติเหตุ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนคนเดินทางและนักท่องเที่ยว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติส่งสารอวยพรปีใหม่ 2568 ส่งความปรารถนาดีถึงข้าราชการตำรวจและพี่น้องประชาชน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่งสารอวยพรข้าราชการตำรวจและครอบครัว รวมถึงพี่น้องประชาชน เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2568 ระบุว่า

“ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ผมขอส่งความสุขและความปรารถนาดีมายังเพื่อนข้าราชการตำรวจและครอบครัว รวมถึงพี่น้องประชาชนด้วยความจริงใจ 

ห้วงปีที่ผ่านมา รูปแบบของอาชญากรรมต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการกระทำความผิด ประชาชนได้รับผลกระทบมากขึ้น การทำงานของตำรวจจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด ปรับรูปแบบการทำงาน ตลอดจนเข้าถึงประชาชนและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน ให้เหมาะสมกับสภาวะการณ์

ในปีใหม่ 2568 นี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ปกป้อง เทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและงานสถานีตำรวจ ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำหน้าที่ของตน ร่วมกันวางรากฐานที่มั่นคงให้แก่องค์กร ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และร่วมกันสร้างรอยยิ้มแห่งความสุขให้แก่เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และประชาชนในสังคมไทย

ในวาระศุภมงคลนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล อีกทั้งเดชะพระบารมีพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้ข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และพี่น้องประชาชน จงประสบแต่ความสุขความเจริญ อุดมด้วยจตุรพิธพรชัย มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ สัมฤทธิผลในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะนำ “5 ไม่ ปีใหม่“ ส่งท้ายปีเก่า จะได้ไม่เศร้า ในช่วงสิ้นปี

(31 ธ.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยต่อประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายครอบครัวออกเดินทางท่องเที่ยวและเฉลิมฉลอง 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอแนะนำ “5 ไม่ ปีใหม่” ส่งท้ายปีเก่า เพื่อให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังการกระทำที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับบุคคลอื่น และอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมาย รวมไปถึงระวังภัยจากมิจฉาชีพที่อาจฉวยโอกาสก่อเหตุในช่วงเทศกาล ดังนี้

1. “ไม่เมาแล้วขับ” ไม่ขับรถขณะเมาสุรา รวมไปถึงการดื่มสุรามากจนเกินไปจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือนำไปสู่การทะเลาะวิวาท

2. ”ไม่ยิง“ ไม่ยิงปืนขึ้นฟ้า เพราะอาจทำให้กระสุนปืนตกลงถูกผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต

3. “ไม่ลอย” ไม่ลอยโคมในพื้นที่หวงห้าม หรือใกล้กับสนามบิน โดยให้ลอยโคมในจุดที่กำหนดเท่านั้น

4. “ไม่เชื่อ” ไม่หลงเชื่อมิจฉาชีพ ที่หลอกลวงด้วยการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หลอกให้โอนเงินมาตรวจสอบ หลอกขายสินค้าราคาถูก หลอกให้กดลิงก์ด้วยวิธีการต่างๆ หรือการชักชวนเล่นพนันออนไลน์ 

5. “ไม่ลืม” ไม่ลืมล็อคบ้าน ล็อครถ และระมัดระวังทรัพย์สินมีค่าของตนขณะท่องเที่ยวช่วงเทศกาล

หากท่านตกอยู่ในอันตราย หรือพบเห็นเหตุด่วนเหตุร้าย สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือ โทรแจ้งตำรวจที่สายด่วน 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘พล.ต.ท.ยิ่งยศ’ รับไม่ได้! สั่งเช็กบิลคนทำคอนเทนต์ขยะ ลั่น! หากผิดจริงไม่ละเว้น หลังพบ 12 คลิปละเมิด ‘แบงค์ เลสเตอร์’

ตำรวจภาค 2 สรุป 4 ประเด็น ขยายผลเคส ‘แบงค์ เลสเตอร์’ เช็ก 12 คลิป พฤติการณ์เหล่าอินฟลูกลั่นแกล้ง ส่อผิดกฎหมายหลายข้อ “ผบช.ภ.2” ลั่นรับไม่ได้สร้างคอนเทนต์ย่ำยีความเป็นมนุษย์ หากผิดจริง ไม่ละเว้น!

วันนี้ (30 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ประชุมสั่งการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ให้สืบสวนสอบสวนขยายผลกรณีการเสียชีวิตของ แบงค์ เลสเตอร์ หรือ นายธนาคาร คันธี อินฟลูเอนเซอร์ติ๊กตอก รวมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่ปรากฏคลิป และภาพการกลั่นแกล้ง ทำร้าย ร่างกาย และจิตใจ แบงค์ เลสเตอร์ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ประสานกับกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) อย่างใกล้ชิด

ผบช.ภ.2 เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุด คดีของ “แบงค์ เลสเตอร์” ในคดีอาญาที่ 337/2567 ของ สภ.ทุ่งเบญจา ภ.จว.จันทบุรี ตำรวจภูธรภาค 2 ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน และขยายผลไป สรุปเป็น 4 ประเด็น ดังนี้

1. พนักงานสอบสวน สภ.ทุ่งเบญจา แจ้งข้อกล่าวหา นายเอกชาติ หรือเอ็ม ฐาน “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นำตัวฝากขังศาลจังหวัดจันทบุรี ศาลจังหวัดจันทบุรีมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหา และไม่อนุญาตให้ประกันตัว ขณะนี้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำจังหวัดจันทบุรี

2. บช.สอท. จับกุม นายธีระวัฒน์ หรือเบิร์ด วันว่าง ๆ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 6437/2567 ลง 27 ธ.ค.2567 กรณีนำภาพของ แบงค์ เลสเตอร์ ถอดเสื้อผ้า ออกมาเผยแพร่ ในความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้

3. ภ.จว.จันทบุรี ร่วมกับ บช.สอท. ตรวจค้นบ้านของนายเอกชาติ หรือเอ็ม ตรวจยึดเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเว็บพนันออนไลน์ อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน พฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐาน ชักชวนเล่นการพนันออนไลน์ ด้วยหรือไม่ และจากการตรวจค้นในคราวเดียวกัน ภ.จว.จันทบุรี ได้ดำเนินคดีกับบุคคลในบ้านที่พบยาเสพติดยาอี จำนวน 1 เม็ด

4. ภ.จว.จันทบุรี ร่วมกับ บช.สอท. และ ปคม. ตรวจสอบคอนเทนต์ คลิปเก่าที่ถูกเผยแพร่ในสื่อทั่วไป จำนวน 12 คลิป ว่ามีกลุ่มบุคคลมีพฤติการณ์กระทำต่อ แบงค์ เลสเตอร์ ในลักษณะต่าง ๆ อาทิ ถีบหน้า ไฟเผาหัว ให้กินสิ่งต่าง ๆ เพื่อเป็นการรวบรวมพยานหลักฐาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคลิปที่เผยแพร่ว่า ทำที่ใด เมื่อใด มีใครเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ หรือบุคคลทั่วไป พิจารณาอย่างเป็นธรรม รอบด้านว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายข้อใดหรือไม่

“ผมได้รายงานความคืบหน้าให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. รับทราบ ซึ่ง ผบ.ตร. กำชับให้ดำเนินการอย่างละเอียด รอบคอบ ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย โดยตำรวจทราบดีว่าขณะนี้กระแสสังคมตั้งคำถามถึงพฤติกรรมของผู้ที่ปรากฏเกี่ยวข้องทั้งในเหตุการณ์ล่าสุดที่นายธนาคาร เสียชีวิต รวมถึงเหตุการณ์ในอดีต และอยากให้ลงโทษกลุ่มคนเหล่านั้นตามกฎหมาย แต่การทำงานของตำรวจเราต้องสืบสวนสอบสวนโดยข้อเท็จจริง พิจารณาตามข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ ทั้งนี้จากการดูเบื้องต้นพฤติกรรมที่กลั่นแกล้ง รังแก คล้ายเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สร้างคอนเทนต์จากความเจ็บปวดอ่อนด้อยของคนอื่น เป็นสิ่งไม่รับไม่ได้ หากเข้าข่ายผิดกฎหมายข้อใดต้องดำเนินคดีอย่างไม่ละเว้น จะไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล ทุกขั้นตอนการสืบสวนจะดำเนินการอย่างโปร่งใสและเด็ดขาด เพื่อให้ความยุติธรรมปรากฏอย่างชัดเจน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม ” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติสรุปผลงานประจำปี 2567 จับกุมคดีอาญาได้เกือบ 5 แสนคดี คดียาเสพติดกว่า 2 แสนคดี คดีออนไลน์อีกว่า 3 หมื่นคดี พร้อมเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท เพื่อความผาสุกแก่ประชาชน

(30 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ตำรวจทุกหน่วยดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกมิติ ตามนโยบายรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเคร่งครัด จริงจัง และต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมามีผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ โดยผลงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติประจำปี 2567 ในส่วนของการดำเนินคดีความผิดอาญา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2567 รวมทั้งหมดกว่า 500,000 คดี จับกุมได้ 479,516 คดี คิดเป็นร้อยละ 93 แบ่งเป็น 

1. คดีอาญา 5 กลุ่ม ทั้งหมด 218,421 คดี จับกุมได้ 196,148 คดี ผู้ต้องหา 237,223 คน 
1.1 ประเภทความคดีผิดอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ 2,280 คดี จับกุมได้ 2,158 คดี ผู้ต้องหา 3,003 คน คิดเป็นร้อยละ 95 
1.2 ประเภทคดีความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเพศ 16,618 คดี จับกุมได้ 15,790 คดี ผู้ต้องหา 21,273 คน คิดเป็นร้อยละ 95 
1.3 ประเภทคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 42,330 คดี จับกุมได้ 39,308 คดี ผู้ต้องหา 47,297 คน คิดเป็นร้อยละ 93 
1.4 ประเภทคดีที่น่าสนใจ 32,582 คดี จับกุมได้ 17,514 คดี ผู้ต้องหา 21,238 คน คิดเป็นร้อยละ 54 
1.5 ประเภทคดีที่รัฐเป็นผู้เสียหาย 124,611 คดี จับกุมได้ 121,378 คดี , ผู้ต้องหา 144,412 คน คิดเป็นร้อยละ  97 

2. การปราบปรามยาเสพติดนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล : สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งศูนย์อำนวยการปราบปรามยาเสพติด ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมด 249,029 คดี จับกุมได้ 241,607 คดี ผู้ต้องหา 250,878 คน ในจำนวนนี้เป็นการจับกุมข้อหาความผิดร้ายแรง 34,959 คดี ยึดทรัพย์ 118,836 รายการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท ออกหมายจับ 1,362 หมาย ดำเนินคดีฟอกเงิน 208 ราย ยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า 1,026 ล้านเม็ด , ไอซ์ 33,136 กิโลกรัม , เฮโรอีน 1,955 กิโลกรัม , ยาอี 203,692 เม็ด , เคตามีน 5,000 กิโลกรัม และอื่นๆ

3. คดีความผิดเฉพาะทาง เช่น ความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก , ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ เป็นต้น จับกุมได้ 8,050 คดี ผู้ต้องหา 9,422 คน

4. การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การพนันออนไลน์ : ถือเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนดำเนินการอย่างจริงจังในทุกมิติ รับแจ้งความออนไลน์รวม 305,762 เรื่อง ความเสียหาย 35,416 ล้านบาท ขออายัดบัญชี 336,943 บัญชี อายัดได้ 7,326 ล้านบาท สถิติประเภทคดีที่เกิดสูงสุด ได้แก่ หลอกซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) , หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ , หลอกให้กู้เงิน , หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ , ข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call
Center) โดยระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 จับกุมได้ 33,280 คดี ผู้ต้องหา 33,635 ราย ออกหมายจับ 871 หมาย แยกเป็น 
4.1 การหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน 2,901 คดี ผู้ต้องหา 2,896 ราย 
4.2 การหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย 4,858 คดี ผู้ต้องหา 4,973 ราย   
4.3 การเผยแพร่ข่าวปลอมและความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 6,117 คดี ผู้ต้องหา 5,857 ราย 
4.4 การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก สตรีทางอินเตอร์เน็ตและค้ามนุษย์ 340 คดี ผู้ต้องหา 445 ราย 
4.5 การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ 15,395 คดี ผู้ต้องหา 15,885 ราย
4.6 ความผิดประเภทซิมผี บัญชีม้า 3,669 คดี ผู้ต้องหา 3579 ราย

5. คดีอื่นๆ จับกุมได้ 431 คดี ผู้ต้องหา 826 คน

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมและคดีที่ประชาชนให้ความสนใจที่สำคัญ ได้แก่  
1 คดีฉ้อโกง บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด : มีผู้เสียหายแจ้ง 10,352 ราย ยอดความเสียหายเกือบ 3,000 ล้านบาท ได้ออกหมายจับและจับกุมตัวผู้ต้องหา 18 ราย พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินหลายรายการ 

2. คดีฉ้อโกงทอง บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จ จำกัด (คดีทองแม่ตั๊ก) : รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับและจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ 2 ราย ยึดอายัดรถยนต์หรู 6 คัน และเงิน 20 ล้านบาท รวมทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 70 ล้านบาท พบเป็นผู้เสียหาย 3,827 ราย ความเสียหาย 130 ล้านบาท 

3. คดีฉ้อโกงประชาชนจับกุมยูทูบเบอร์นัตตี้ : ออกหมายจับผู้ต้องหา 2 ราย รวม 15 หมายจับ มีผู้เสียหาย 6,000 คน มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท ประสานขอความร่วมมือตำรวจต่างประเทศ และตำรวจสากล นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายกลับมาดำเนินคดีในประเทศได้สำเร็จ  
 
4. คดีไฟไหม้รถบัสนักเรียน : แจ้งข้อกล่าวหากลุ่มผู้ต้องหา 3 ราย ได้แก่ คนขับรถเจ้าของรถและผู้ประกอบการ ในความผิดเกี่ยวกับกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส และไม่หยุดแสดงตัวต่อเจ้าพนักงาน และสืบสวนขยายผลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรายอื่น เช่น ผู้ดัดแปลง ติดตั้งถังแก๊ส ผู้ตรวจสภาพ

5. เปิดยุทธการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและจัดตั้งศูนย์ปราบปราบผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ร้ายรายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) : ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมแก๊งอาชญากรรม, เงินกู้นอกระบบ , ผู้มีอิทธิพล , ฮั้วประมูล, บุกรุกที่สาธารณะ 2 ยุทธการ ได้แก่ ยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ตรวจค้น 183 จุด 200 เป้าหมาย จับกุมผู้ต้องหา 87 ราย พร้อมอาวุธปืน 880 กระบอก , อาวุธสงคราม , เครื่องกระสุน 6,946 นัด , ยาบ้า 7,726,626 เม็ด และอื่นๆ จำนวนมาก โดยเป็นคดีที่สำคัญ เช่น แก๊งฮั้วประมูลกำนันนก , แก๊งยาเสพติด จิ๊บไผ่เขียว อยุธยา เป็นต้น และยุทธการ “CIB ขยี้อิทธิพล” ตรวจค้น 118 จุด จำนวน 121 จับกุมผู้ต้องหา 102 ราย  พร้อมอาวุธปืน เครื่องกระสุน ยาเสพติด และของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ โดยเป็นคดีที่สำคัญ เช่น กลุ่มขบวนการโจรกรรมรถทั่วประเทศ, ลักลอบค้าสัตว์ป่า จ.ราชบุรี, ตลาดที่มีคนต่างด้าว พื้นที่เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร , ยุทธการปราบปรามผู้มีอิทธิพลพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดอื่น ๆ เป็นต้น

พร้อมกันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดสวัสดิการ แก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจ : โดยได้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินโดยเร่งรัดแก้ไขปัญหาในกลุ่มสีแดง (ถูกฟ้อง) และกลุ่มอื่นๆ ในภาพรวม รวมทั้งปลูกฝังความรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องเกี่ยวกับการบริหารการเงินและวินัยทางการเงิน รวมทั้งความรู้ในเรื่องการลงทุนและการออมให้แก่ตำรวจตั้งแต่เป็นนักเรียนตำรวจ และบรรจุลงในหลักสูตรต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีข้าราชการตำรวจ ลูกจ้าง สมัครเข้าร่วมโครงการ 11,810 ราย แก้ไขหนี้สินสำเร็จ 7,835 ราย เป็นเงิน 10,804 ล้านบาท 

และล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบของขวัญปีใหม่ประชาชน จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ 
1. โครงการ Cyber Check : ช่วยคัดกรองมิจฉาชีพจากเบอร์โทรปริศนา รวมทั้งใช้ตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารก่อนจะโอนเงิน 
2. โครงการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน นักท่องเที่ยว ผ่านแอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police แนะนำข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยว     
3. โครงการบูรณาการระบบบริหารรับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว 1155 และศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ 
4. โครงการส่วนลดพิเศษสำหรับที่พัก The Cop Hotel and Villa Pattaya สำหรับข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าพักได้ ในราคาพิเศษ 
5. โครงการห้องพักทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง 205 แห่ง ทั่วประเทศ (20 ธันวาคม 2567 ถึง 10 มกราคม 2568) รวมทั้งมีจุดกางเต็นท์สำหรับสายแคมป์ปิ้ง โดยบริการฟรีทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล และปรับวิธีคิดเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างจริงจัง ต่อเนื่องโดยเฉพาะคดียาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ฉ้อโกงประชาชน ผู้มีอิทธิพล ฯลฯ เน้นการปฏิบัติหน้าที่ตามยุทธวิธีตำรวจ หลักกฎหมาย สุจริต โปร่งใส เพื่อให้ความผาสุกเกิดแก่ประชาชนต่อไป

“พล.ต.อ.ประจวบฯ” ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี กำชับกวดขันมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม อำนวยความสะดวกการจราจร ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลปีใหม่

(30 ธ.ค. 67) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นประธานการประชุมกำชับและติดตามการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย การบังคับใช้กฎหมาย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยมี พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) , พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง รอง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.ตชด. , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ,พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3 , และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้กำชับให้ทุกหน่วยปฏิบัติตามมาตรการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด ตลอดจน
ข้อกำชับสั่งการและข้อห่วงใยของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย ยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตลอดจนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และอำนวยความสะดวกการจราจรให้แก่ประชาชน ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบฯ ขับเคลื่อนการปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ

จากนั้น พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ร่วมกับฝ่ายปกครองอำเภอเมืองพัทยา กรมเจ้าท่า หน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ พัทยา กต.ตร.สภ.เมืองพัทยา อส.ตร.สภ.เมืองพัทยา และภาคเอกชนในพื้นที่ ประชาสัมพันธ์สร้างการตระหนักรู้ในมาตรการป้องกันปราบปรามและระมัดระวังตนเองจากอาชญากรรม ตลอดจนข้อห่วงใยแนะนำประชาชนและนักท่องเที่ยว สร้างการมีส่วนร่วมของภาครัฐและเอกชน ในการบริหารจัดการยกระดับความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่
อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ย่านถนนคนเดินพัทยา (Pattaya Walking Street) 

สำหรับพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมพร้อมการปฏิบัติในช่วง 10 วันควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 อย่างมีประสิทธิภาพ มีการตั้งจุดตรวจป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 126 จุด พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 888 นาย , จุดสกัด 99 จุด พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 456 นาย , ชุดเคลื่อนที่เร็ว 142 ชุด พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 598 นาย รวมกำลังพลทั้งสิ้น 1,942 นาย พบการปฏิบัติตามมาตรการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำหรับการจัดงาน PATTAYA COUNTDOWN 2025 ซึ่งจะมีพื้นที่การจัดงาน บนชายหาดพัทยา จากหน้าโรงแรมฮาร์ดร็อก - แยกนิภาลอดจ์ เนื้อที่ 18,000 ตารางเมตร คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 23,000 คน ได้เตรียมพร้อมกำลังพลหน่วยร่วมปฏิบัติ ประกอบด้วย สภ.เมืองพัทยา , ภ.จว.ชลบุรี , ตำรวจท่องเที่ยว, อำเภอบางละมุง , ฝ่ายเทศกิจ , ฝ่ายรักษาความปลอดภัย และหน่วยงานอื่น ๆ รวม 611 นาย จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว ภ.จว.ชลบุรี (ไดนามิก) ,หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.ชลบุรี และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภ.2 รวม 42 นาย จัดชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบ 15 นาย ประจำจุดสูงข่ม 4 นาย และประกอบแผนจุดก้าวสกัดจับ 40 นาย เจ้าหน้าที่ EOD 4 นาย เพื่อตรวจพื้นที่จัดงานก่อนเริ่มงาน และประจำกองอำนวยการร่วม จนกว่างานจะเสร็จสิ้น มีการใช้กล้อง CCTV ในพื้นที่จัดงาน 16 ตัว รถโมบาย 1 คัน กล้องชายหาด 48 ตัว รวมกล้อง CCTV ทั้งหมดในพื้นที่ 5,061 ตัว พร้อมด้วยชุด Anti Drone บินโดรนตรวจปริมาณนักท่องเที่ยว การจราจร ตรวจจับโดรนไม่ได้รับอนุญาต และลักลอบจำหน่ายพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิง 10 นาย , เรือตรวจการรักษาความปลอดภัยทางน้ำ 8 ลำ พร้อมกำลัง 31 นาย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการปฏิบัติรองรับเหตุวัตถุต้องสงสัย เหตุระเบิด เหตุอาวุธปืน เพลิงไหม้หรือวางเพลิง บุคคลก่อกวน อากาศยานไร้คนขับ (Drone) ต้องสงสัย ตลอดจนเหตุไฟฟ้าช็อต หม้อแปลงระเบิด และบุคคลวิกลจริต เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายพร้อมปฏิบัติ

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพร้อมในการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ต่างทุ่มเท เสียสละ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ พร้อมระดมสรรพกำลังช่วยเหลือประชาชน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบเรียบร้อย ลดอุบัติเหตุทางถนนและอำนวยการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความสุข ยกระดับความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นของขวัญมอบให้กับประชาชนและสังคมในช่วงเทศกาลปีใหม่

พิชัย ยกทีมพาณิชย์ พบปะ สภาอุตฯ ให้คำมั่น สนับสนุนเต็มที่-ทำงานใกล้ชิด ตั้งเป้าเดินหน้า FTA สร้างแต้มต่อภาคอุตสาหกรรมไทยทำรายได้จากการส่งออกยั่งยืน

วันที่ (30 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย นายวุฒิไกร ลีวีระพันธ์ุ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีทุกกรมในสังกัด ร่วมหารือกับนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคณะผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่า ท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับภาคเอกชนที่จะเป็นกลไปสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน และให้ภาครัฐทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด การได้หารือเพื่อวางแผนการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงช่วยให้เห็นภาพตรงกัน เห็นเป้าหมายที่จะร่วมกันผลักดันนโยบายเศรษฐกิจให้ตอบโจทย์การเติบโตของประเทศเพื่อคนไทยทุกคนไปพร้อมกัน 

นายพิชัย ระบุว่า ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ตนได้ปรับบทบาทการทำงานในยุคใหม่ มุ่งเน้นการบริหารงานในสัดส่วน 80:20 ซึ่ง 80% จะเน้นการทำงานส่งเสริมและทำงานร่วมกับภาคเอกชนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป 

เน้นให้ความสำคัญกับการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) โดยเฉพาะความสำเร็จของ FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ เอฟตา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกด้วย 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์และ ลิกเตนสไตน์ ที่จะมีการลงนามในเร็ววันนี้  ถือเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับยุโรป โดยตั้งเป้าจะเร่งเจรจา FTA อื่นๆ ต่อไป เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ช่วยสร้างรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งภาคเอกชนขานรับเป็นอย่างดี และเสนอให้เจรจา FTA กับประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง สร้างแต้มต่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยทำรายได้จากการส่งออกเติบโตอย่างยั่งยืน

กระทรวงพาณิชย์ยินดีสนับสนุนการจัดงานใหญ่ประจำปี “FTI EXPO 2025” โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภายใต้แนวคิด “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE” งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน บ่มเพาะผู้ประกอบการและส่งผลกับเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจอย่างการส่งออกที่ยังคงเป็นพระเอกช่วยกระตุ้น GDP ของประเทศ

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในปี 2568 การส่งออกจะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้น GDP ของประเทศ ที่ผ่านมาในปีนี้ 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) การส่งออกเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 5.1% มีมูลค่า 275,763.6 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 9,695,455 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 ยอดส่งออกจะทะลุ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และตั้งเป้าการส่งออกเติบโตในปีหน้าที่ 2-3% แม้จะมีความเสี่ยงรอบด้าน แต่ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน อย่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ขอยืนยันถึงความพร้อมในการสนับสนุนภาคธุรกิจและภาคเอกชน และในภารกิจสำคัญ เช่น การสร้างสมดุลราคาสินค้า การดูแลราคาสินค้าเกษตร การควบคุมสินค้านำเข้าให้ได้มาตรฐาน นอมินี การเพิ่มมูลค่าให้สินค้าด้วยนวัตกรรม การเจรจาลดภาษีผ่าน FTA และการผลักดันการส่งออกสินค้าและบริการของไทย

ซึ่งทางนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชื่นชมการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ ขอบคุณการทำงานที่เข้าใจปัญหาและสามารถผลักดันนโยบายได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะยินดีต่อความสำเร็จในการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-เอฟตาซึ่งตลอดการเจรจา สภาอุตฯ ได้ให้ข้อมูลประกอบการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำไปสู่การเจรจาที่สัมฤทธิผล ก่อให้เกิดแต้มต่อที่เป็นประโยชน์ในทางการค้า การลงทุน และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสภาอุตฯ พร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนั้น ประธานสภาอุตฯ ยังชื่นชมโครงการสำคัญของกระทรวงฯ เช่น SMEs Pro-active และ GI รวมถึงความพยายามของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในการเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัล 100% ด้วย

‘น้าแอ๊ด คาราบาว’ ฝากบทเพลง สุดท้าย!! อาลัยต่อการจากไป ‘แบงค์ เลสเตอร์’

(29 ธ.ค. 67) จากกรณีการเสียชีวิตของ ‘แบงค์ เลสเตอร์’ หนุ่มขายพวงมาลัยสู้ชีวิต หาเงินเลี้ยงคุณยาย เสียชีวิตหลังถูกจ้างให้กินเหล้าแลกเงิน 30,000 บาท ขณะไปร่วมงานเปิดแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี โดยผลชันสูตรเบื้องต้นแพทย์ระบุว่า หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด น้าแอ๊ด คาราบาว ได้บรรเลงบทเพลงสุดท้ายถึงแบงค์ เลสเตอร์ เพื่อเป็นการไว้อาลัย พร้อมระบุเนื้อเพลง ไว้ว่า …

ฉันเป็นชายอกสามศอก แต่หมอบอกว่าฉันเกิดมาเป็นเด็กพิเศษ เด็กพิเศษ เด็กพิเศษ ฉันมียายคอยเลี้ยงดูอยู่ เท่าที่รู้คือยายรักฉันเหมือนลูก โอ้ ยายจ๋า ฉันรักยาย ฉันรักยาย แบกตะกร้าขายพวงมาลัย ร้องแรปไปให้คนสนใจ บ้างก็ซื้อ บ้างไม่ซื้อ ไม่เป็นไร ฉันมีความหวังตั้งใจ อยากปลูกบ้านให้ยายอยู่

ในสังคมโซเชียลมีเดีย คนพิเรนทร์จิตใจพิการ มีอยู่เพื่อยอดวิว สร้างยอดวิว เพิ่มยอดวิว ฉันคือคนที่ตกเป็นเหยื่ออันธพาล หัวใจคะนอง ไร้เมตตา วาสนา ปลูกบ้านให้ยาย จึงไม่สำเร็จ วอนสังคมขอความเป็นธรรม ออกกฎหมายกันคนใจดำ ทำระยำตำบอน ต่อผู้พิการ เด็กพิเศษ เด็กพิเศษ แบงค์ เลสเตอร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top