Sunday, 27 April 2025
NEWS

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ พักค้างแรมฐานปฏิบัติการ สร้างขวัญกำลังใจกำลังพล สร้างบรรยากาศจากเจาะไอร้อง เป็น เจาะไอรัก 

เมื่อคืนที่ผ่านมา (3 ม.ค. 67) พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภาคในภาค 4 และคณะ เดินทางไปยังค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เพื่อลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม พักค้างแรมระลึก 21 ปี เหตุการณ์ “ปล้นปืนค่ายปิเหล็ง” สร้างขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ จับมือก้าวผ่านคืนวันอันขื่นขม ท่ามกลางความมุ่งมั่นที่จะนำสันติสุขกลับคืนมาในพื้นที่ 

ทั้งนี้ ย้อนไปเหตุการณ์ปล้นปืน เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547  มีผู้ก่อเหตุ 140 -150 คน บุกปล้นปืน 413 กระบอก จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ "ค่ายปิเหล็ง" อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส  โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย  และสร้างความตื่นตกใจ สร้างบาดแผลและความบอบช้ำทางจิตใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ผ่านมา 21 ปี 
พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงและคณะ ได้ลงพื้น เพื่อสร้างขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดย เดินทางไปเยี่ยมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน บ้านตาโง๊ะ หมู่ที่ 2 พร้อมพบปะกับผู้นำชุมชนตลอดจนเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ซึ่งผู้นำชุมชนและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้านนั้น  จากนั้นได้ไปเยี่ยม ชุดปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4812  สอบถามความเป็นอยู่ รวมไปถึงปัญหาข้อขัดข้องต่าง ๆ เพื่อรับทราบถึงปัญหา และให้ข้อเสนอแนะ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และในโอกาสนี้คณะแม่ทัพภาคที่ 4 ยังได้ร่วมวงทำอาหาร และทานข้าวร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำฐานปฏิบัติการอีกด้วย 

ต่อมาได้ เดินทางต่อไปติกตามการปฏิบัติงานของชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ กองร้อยทหารพรานที่ 4812 โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ได้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ต้องมีความพร้อมในทุกสถานการณ์ ทุกภารกิจ และต้องไม่ประมาท หมั่นซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจถึงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ที่พร้อมจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทุกโอกาส ก่อนจะร่วมพักแรมร่วมกับเจ้าที่ชุดปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4812 

โดย กล่าวกับกำลังพลว่า  “ในวันนี้ตั้งใจว่าจะมา ร่วมอยู่ ร่วมกิน ร่วมนอนกันในที่แห่งนี้ เพื่อที่จะเป็นขวัญและกำลังใจให้พวกเราทุกคนได้เห็นว่า ในวงรอบ ในช่วงเวลาที่มันถูกจารึกไว้ จะต้องไม่ให้มันเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมาอีก”
ข่าว.แวะดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

'เผ่าภูมิ' ปลื้ม 'EXIM Bank' ปี 67 สินเชื่อโต หนี้เสียลด กำไรพุ่ง พอร์ตสีเขียวอันดับ 1 ชี้ปี 68 ยกระดับช่วย ปชช.

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) เป็นเครื่องมือรัฐบาลในการสนับสนุนการส่งออก-นำเข้า และขยายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในปี 2567 มีผลการดำเนินการที่น่าประทับใจ ดังนี้

1. สินเชื่อรวมภาระผูกพันอยู่ที่ 189,781 ล้านบาท เติบโตกว่า 6.66% (ในขณะสินเชื่อทั้งระบบติดลบ) บ่งชี้ถึงการเข้าสนับสนุนผู้ประกอบเพื่อการส่งออกและนำเข้าอย่างมีนัยสำคัญ
2. NPL ลดลงจาก 4.65% ในปี 2566 มาอยู่ที่ 3.44% ณ สิ้นปี 2567 บ่งชี้ถึงการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ยอดสินเชื่อเพิ่ม
3. Insurance Turnover สูงถึง 192,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.92%
4. Coverage Ratio ที่แข็งแกร่งถึง 260% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 191%
5. กำไรจากการดำเนินงาน 3,452 ล้านบาท และเป็นกำไรสุทธิกว่า 1,030 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้ากว่า 2 เท่าตัว
6. สัดส่วนสินเชื่ออุตสาหกรรมสีเขียว (Green Portfolio) คิดเป็นสัดส่วน 39.95% คิดเป็นเม็ดเงิน 75,816 ล้านบาท มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และสูงสุดหากเทียบกับทุกสถาบันการเงินในประเทศไทย

โดยสรุป ปล่อยสินเชื่อเพิ่ม ช่วยเหลือประชาชนเพิ่ม ในขณะที่หนี้เสียลด บริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี ตัวบ่งชี้ต่างๆบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของธนาคาร และในปี 2568 ถือเป็นปีที่สถานการณ์การส่งออกและการเข้า การค้าระหว่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูง ฉะนั้น EXIM Bank จะยกระดับ เข้าสนับสนุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก

พระราชทานเพลิง ตชด.พลีชีพ จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด มอบธงไตรรงค์ สดุดีความกล้าหาญและเสียสละเพื่อประเทศชาติ

วันที่ (4 ม.ค. 68) เวลา 14.00 น. ที่วัดวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ  สิบตำรวจโท สรวิศ ฉ่ำชื่น ผบ.หมู่ กก.ตชด.44 (ร้อย ตชด.448) ปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ ร้อย ฉก.ตชด.441 ซึ่งพลีชีพจากเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง พร้อมทั้งใช้อาวุธปืน ไม่ทราบชนิดและขนาด ซุ่มยิง ขณะเดินทางโดยใช้รถยนต์บรรทุกหุ้มเกราะ เพื่อไปยังกองร้อย ตชด.441 ( วัดบันนังกระแจะ ) จ.ยะลา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยมี พลตำรวจโท นิตินัย หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) พลตำรวจตรี บรรพต มุ่งขอบกลาง รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (รอง ผบช.ตชด.) ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ทหาร ส่วนราชการในพื้นที่ ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดนและพี่น้องประชาชนร่วมพิธีจำนวนมาก

สำหรับพิธีพระราชทานเพลิงศพในครั้งนี้ จัดขึ้นอย่างสมเกียรติเพื่อไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อครอบครัวของสิบตำรวจโท สรวิศ ฉ่ำชื่น อย่างหาที่สุดมิได้ โอกาสนี้ พลตำรวจโท สำราญ ได้พูดคุยให้กำลังใจแก่ครอบครัว พร้อมมอบธงไตรรงค์ เพื่อแสดงความกล้าหาญและเสียสละต่อประเทศชาติ  และมอบเงินสวัสดิการ เงินบำรุงขวัญและเงินช่วยเหลือให้แก่ทายาท

การเสียชีวิตของสิบตำรวจโท สรวิศ นับว่าเป็นความสูญเสียของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งเป็นการสละชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาเลื่อนขั้นสูงขึ้น เป็น พันตำรวจตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัว และขอสดุดีในคุณงามความดีของ สิบตำรวจโทสรวิศ ฉ่ำชื่นที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญและเสียสละตนเพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชนจวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต 

ตำรวจแห่งชาติประสานเมียนมา บินด่วนรับ 151 คนไทยกลับประเทศ เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่เป็นเหยื่อ และขยายผลเพื่อจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ รวมทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันนี้ (4 ม.ค. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.วีรชน บุญทวี ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท และ พล.ต.ต.ธนรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.รรท รอง ผบช.ภ.5 นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ไปรอรับการปล่อยตัวคนไทยจากทางการเมียนมาจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน และหญิง 77 คน ณ ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งคาดว่าจะเดินทางมาถึงในช่วงค่ำวันนี้

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้มาติดตามและดำเนินการจากกรณีที่ทางการไทยได้มีความร่วมมือกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา กระทรวงมหาดไทย และกองบัญชาการตำรวจเมียนมา ในการปราบปรามและจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ ซึ่งคนไทยกลุ่มนี้ถูกจับกุมใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ข้อหาเรื่องการพนันออนไลน์ และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง แต่ว่าในส่วนของไทยนั้นมีข้อมูลเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็จะมีการขยายผลเรื่องนี้ด้วย ซึ่งผู้ที่ถูกจับกุมจำนวน 154 คน ถูกส่งตัวไปยังสถานีตำรวจท่าขี้เหล็ก และศาลเมียนมาได้ตัดสินจำคุกทั้งหมดเป็นเวลา 2 ปี ได้รับการลดโทษ คงเหลือจำคุก 10 เดือน แต่ในจำนวนนี้มีเยาวชน 2 คนถูกส่งกลับก่อนหน้านี้แล้ว และมีผู้เสียชีวิต 1 คน จึงเหลือ 151 คนดังกล่าว 

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้นำหน่วยงานต่างๆ คือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.เชียงราย , ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.เชียงราย และทีมสหวิชาชีพ เตรียมรับตัวเพื่อคัดกรองตามกลไก NRM ว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์หรือไม่ โดยมีการเปิดศูนย์บูรณาการคัดแยกเอาไว้ที่กองร้อยอาสารักษาดินแดน จ.เชียงราย ที่ 1 , มูลนิธิศูนย์ชีวิตใหม่ และมูลนิธิ Destiny Rescue ใช้เวลาคัดแยกไม่เกิน 15 วัน โดยเมื่อคนไทยทั้ง 151 คนกลับถึงประเทศไทยแล้วจะเข้าสู่กระบวนการคัดแยก จะต้องมีการคัดกรองว่าใครตกเป็นเหยื่อ หลังจากนั้นจะเป็นการสืบสวนขยายผล ซึ่งข้อมูลพยานหลักฐานที่เป็นเครื่องบ่งชี้ต่างๆ จะเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญที่จะใช้ประกอบในการดำเนินคดี โดยหากคัดกรองแล้วพบว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ก็จะให้การช่วยเหลือตามขั้นตอน แต่หากใครที่คัดกรองแล้วเป็นกระทำความผิดใด ๆ ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งได้สั่งการให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบว่าใครที่มีการเดินทางเข้าออกไปประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้ง ซึ่งเบื้องต้นในเรื่องของการข้ามแดน จาการตรวจสอบพบว่ามี 4 คน เดินทางโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เป็นการเข้าออกช่องทางธรรมชาติ ซึ่งทางตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็จะมีการดำเนินคดี 4 คนนี้เมื่อกลับมาถึงไทยด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสคุยกับ พล.ต.ท.วิน ส่อ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเมียนมา ขณะเดินทางไปประชุมที่กรุงเนปิดอร์ เมื่อต้นปี 2567 ได้มีการพูดคุยในเรื่องของคนไทยทั้ง 151 คนที่ถูกจับกุมและควบคุมตัว รวมทั้งการรวบรวมพยานหลักฐาน การช่วยเหลือในเรื่องการส่งกลับ ประกอบกับเนื่องในโอกาสวันชาติของสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา หรือวันประกาศอิสรภาพ ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มกราคม 2568 จนเป็นที่มาในการส่งตัวคนไทยทั้งหมดกลับประเทศไทยในวันนี้ และในส่วนของปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ ได้มีการพูดคุยกันและจะได้มีการร่วมมือกันต่อไป 

ผบ.ตร. สั่งทุกหน่วยและจเรตำรวจ ตรวจสอบการแสวงหาความร่วมมือภาคประชาชน ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย กำชับต้องไม่มีผลประโยชน์อื่นใดแอบแฝง และห้ามมิให้มีลักษณะช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก เอื้อประโยชน์ในทางที่มิชอบให้กับผู้ใดโดยเด็ดขาด

 

วันนี้ (4 ม.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ปรากฏข้อมูลในสื่อโซเชียลต่าง ๆ ว่ามีการจัดฝึกการอบรมหรือการแต่งตั้งที่ปรึกษา โดยอาจมีลักษณะที่เอื้อประโยชน์ หรือไม่เป็นไปตามกฎหมายนั้น ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และจเรตำรวจ ตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ความเป็นมาของโครงการ การดำเนินการ ผู้มีอำนาจในการดำเนินการ และมีลักษณะที่แอบแฝงใดหรือไม่ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ทั้งนี้ หากพบว่ามีมูลที่เข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพันในทางที่น่าจะมิชอบด้วยกฎหมาย ในเบื้องต้นให้ใช้มาตรการทางปกครองโดยทันที และพิจารณาตามข้อกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสในการทำงาน แล้วรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบทันที

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติย้ำชัดว่า แม้ว่าการแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ได้กำหนดไว้เป็นแนวทางตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และในระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่นและองค์กรมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ.2551 โดยกำหนดรูปแบบ ลักษณะความร่วมมือด้านต่าง ๆ และการติดตามและประเมินผลในระดับสถานีตำรวจ ประกอบกับกรณีคนต่างด้าว ต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ข้อห้าม และการปฏิบัติตนสำหรับคนต่างด้าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งให้ทุกหน่วยตรวจสอบการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ไม่มีผลประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใด เป็นการแอบแฝง และกำชับการใช้เครื่องหมายราชการ ตราสัญลักษณ์ต่าง ๆ จะต้องเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย หากพบบุคคลใดแสดงตน แอบอ้างการเป็นเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเครื่องแบบหรือเครื่องหมายราชการไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ทุกหน่วยตรวจสอบและดำเนินคดีทุกราย ทั้งนี้ ให้ผู้บังคับการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ทุกหน่วย ลงพื้นที่ตรวจสอบหน่วยในสังกัด หากพบว่าหน่วยใดปล่อยปละละเลย จะพิจารณาข้อบกพร่องทั้งทางวินัย อาญา และทางปกครองโดยทันที

ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนอย่าให้ผู้อื่นยืมรถไปขับ โดยเฉพาะผู้ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เจ้าของรถมีความผิดตามกฎหมาย

วันนี้ (4 ม.ค. 68) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ในเรื่องการเกิดอุบัติเหตุอันจะทำให้สูญเสียชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินได้ อีกประการหนึ่งคือการให้ผู้อื่นยืมรถไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ทุกประเภท ผู้ขับขี่ที่ยืมรถไปใช้ต้องมีใบอนุญาตขับรถประเภทนั้นๆด้วย ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบ เจ้าของรถจะมีความผิดด้วย

ตัวอย่างจากกรณีเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2567 เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกัน 2 คัน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บริเวณถนนหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี จากการตรวจสอบทราบว่าหนึ่งในผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตขับรถ ได้ยืมรถจักรยานยนต์จากเพื่อนสนิทมาขับขี่ แล้วเป็นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ ในทางคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ได้ดำเนินการติดตามตัวเจ้าของรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมาดำเนินคดี ในความผิด พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522

ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 56 ภายใต้บังคับมาตรา 43 และมาตรา 57 ห้ามมิให้เจ้าของรถหรือคนขับรถยินยอมให้ผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับรถ หรือมีใบอนุญาตขับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้ เข้าขับรถของตนหรือรถที่ตนเป็นคนขับ ผู้ใดฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 2,000 บาท และผู้ใดฝึกหัดขับรถยนต์ ต้องมีผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ควบคุมอยู่ด้วย 

กรณีที่ผู้ขับรถเป็นคนต่างด้าว ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ผู้ขับรถซึ่งเป็นคนต่างด้าวนั้นจะใช้ใบอนุญาตขับรถ ตามมาตรา 42 ทวิ ขับรถในราชอาณาจักรได้ และจะต้องมีใบอนุญาตขับยืรถดังกล่าวพร้อมแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนว่าความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ฯ นี้ ไม่สามารถยอมความได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นเจ้าของรถจึงไม่ควรให้ผู้อื่นที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ยืมรถไปขับ รวมทั้งผู้ปกครองไม่ควรปล่อยปละบุตรหลานซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ให้นำรถไปแข่งรถในทางด้วย เพราะถือว่ามีความผิดในกฎหมายหลายข้อหา รวมทั้ง พ.ร.บ.รถยนต์ฯ ที่เจ้าของรถจะต้องรับโทษตามกฎหมายด้วย

‘สมภพ’ ตีแผ่ระบบการศึกษา ‘ฟินแลนด์’ ที่ได้ชื่อว่าดีสุดในโลก สุดท้ายคุณภาพนักเรียนตกต่ำ แถมคนเก่งเผ่นหนีหาความเจริญ

(3 ม.ค.68) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ หัวข้อ ฟินแลนด์ – หายนะทางการศึกษา โดยระบุข้อความว่า

พวกเราคงได้ยินว่า การศึกษาของฟินแลนด์ดีที่สุดในโลก นักเรียนฟินแลนด์เป็นนักเรียนที่มีความสุขที่สุดในโลก กันบ่อย ๆ แล้ว

วันนี้ผมเอาข้อเท็จจริง ที่ตรงข้ามกับการยกย่อง สรรเสริญ เยินยอ มาฝาก 

ฟินแลนด์เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการศึกษาของตนครั้งใหญ่ในยุค 70s โดยเลิกชั้นประถมและมัธยม ปรับเปลี่ยนหลักสูตรจากที่เคยเรียนวิชาพื้นฐานเป็นระดับจากง่ายไปยาก เป็นเรียนตามหัวข้อ เรียนเป็นโปรเจกต์ หลังจากนั้นมีการ ยกระดับการศึกษาอาชีวะและวิชาชีพให้มีความสำคัญเท่าเทียมกับการศึกษาเพื่อเตรียมเรียนต่อในมหาวิทยาลัย นำเอาระบบที่ใช้เด็กเป็นศูนย์กลาง เลิกการให้การบ้าน เลิกการสอบประจำปี จนเหลือแต่การสอบเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่เรียกว่า Matriculation ที่เป็นการสอบระดับชาติ 

โรงเรียนและการศึกษาของฟินแลนด์ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว ก่อนที่เด็กนักเรียนไม่ต้องทำการบ้าน ไม่ต้องสอบ

หลังจากนั้นก็เสื่อมถอยตกตํ่าลงไปเรื่อยไปจนปัจจุบันไม่อาจกล่าวได้ว่ามีอะไรน่าชื่นชม นอกจากเรียนง่าย ๆ สบาย ๆ ซึ่งถูกจริตในหมู่คนที่ต้องการบั่นทอนบ่อนทำลายชาติ หรือโง่เง่า หรือขี้เกียจสันหลังยาวในบ้านเรา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีกีบ ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกที่ไหน ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกครึ่งหรือควบครึ่งลูก

ภาพด้านซ้ายมือ คือ ผลการสอบ ด้านวิชาการ (PISA) ของนักเรียนมัธยมปลายของประเทศต่าง ๆ

คะแนนสอบการอ่านของนักเรียนฟินแลนด์ในปี 2022 ลดลงจากปี 2000 มากถึง 56 คะแนน

ส่วนคะแนนสอบคณิตศาสตร์ของนักเรียนฟินแลนด์ในปี 2022 ลดลงจากปี 2003 มากถึง 79 คะแนน

การศึกษาที่ห่วยลงย่อมส่งผลต่อคุณภาพนักเรียนที่เรียนจบ ฟินแลนด์มีปัญหาเศรษฐกิจชะงักงัน ปีนี้จีดีพีติดลบ 1% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งติดลบกว่า 3% เมื่อเทียบกับ 2022 และตั้งแต่ 2008 แทบจะไม่มีการเติบโตของเศรษฐกิจเลย ซึ่งเป็นผลให้ประเทศยากจนลง มีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามกราฟในภาพกลาง และคุณภาพชีวิตของคนฟินแลนด์ลดลง

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลฟินแลนด์โดยนักเลือกตั้งที่ผ่านการศึกษาฟินแลนด์เปิดรับผู้อพยพนับหมื่น ๆ คนต่อปี โดยคิดไม่ได้หรือไม่ได้คิดว่าจะมีผลอย่างไรบ้าง ทำให้เกิดปัญหาสังคมและเศรษฐกิจตามมาเพิ่มเติมด้วย

ผลลัพธ์คือ คนหนุ่มสาวชาวฟินแลนด์อายุระหว่าง 20 ถึง 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ จำนวนมากขึ้นๆอพยพออกจากฟินแลนด์ เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า ตามภาพขวาสุด

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการจัดเก็บภาษีในรัฐสวัสดิการแห่งนี้อย่างรุนแรงต่อไป

ทั้งหมดนี้ เป็นวงจรอุบาทว์ที่เริ่มจากการทำลายการศึกษา ทำลายโรงเรียน ด้วยความหวังดีโง่ ๆ ที่อยากให้เด็ก ๆ ได้เรียนสบาย ๆ 

และหากในอนาคต มีใครเห่าหอนอวยว่าโรงเรียนและการศึกษาของฟินแลนด์ดีงามแค่ไหน เราสามารถแน่ใจได้ว่า ไอ้หรืออีนั่น ไม่รู้ห่านอะไรเลยแม้แต่น้อย

กฟผ. น้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ กรมสมเด็จพระเทพฯ เตรียมจัด '70 พรรษา 7 โครงการเฉลิมพระเกียรติ'

(3 ม.ค.68) กฟผ. น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดทำโครงการ '70 พรรษา 7 โครงการเฉลิมพระเกียรติ' มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ในปี 2568 ถือเป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2568 กฟผ. จึงจัดทำโครงการ '70 พรรษา 7 โครงการเฉลิมพระเกียรติ' เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ดังนี้

1) โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยจัดหาและปลูกรักษาพืชหายากสมุนไพรท้องถิ่น รวมถึงเพาะขยายพันธุ์แจกจ่ายกล้าไม้และเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่น เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพรอบเขื่อนและโรงไฟฟ้าของ กฟผ. 17 แห่ง 

2) โครงการแว่นแก้วเฉลิมพระเกียรติ ออกหน่วยให้บริการตรวจวัดสายตา ประกอบแว่นตารวม 35,000 อัน 

3) โครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เบอร์ 5 กำลังผลิตรวม 70 กิโลวัตต์ ให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ในพื้นที่ห่างไกล 

4) โครงการเพิ่มคุณภาพอากาศในโรงพยาบาล โดยติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ (City Tree) ภายในโรงพยาบาล 7 แห่ง เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย 

5) โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงาน โดย กฟผ. จะดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานใน 3 ระบบ ได้แก่ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ และระบบทำความร้อนของมูลนิธิสายใจไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และโรงพยาบาลภายใต้มูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล รวม 3 แห่ง 

6) โครงการสนับสนุนชุดนักเรียนเบอร์ 5 ให้แก่โรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ โรงเรียน ตชด. และโรงเรียนในโครงการด้วยรักและห่วงใย จำนวนทั้งสิ้น 7,000 ชุด 

7) กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ณ เขื่อนสิรินธร ระหว่างวันที่ 28 – 30 มีนาคม 2568 

โครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้ง 7 โครงการ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ส่งเสริมการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสนองพระราชปณิธานและถวายความจงรักภักดี 'เจ้าฟ้านักพัฒนา' ของปวงชนชาวไทย

‘รองนายกฯประเสริฐ’ เตรียมใช้เวที ‘ADGMIN’ ผลักดัน ‘อาเซียน’ จับมือปราม ‘ภัยออนไลน์’ ย้ำความพร้อม ‘ไทย’ เจ้าภาพประชุมใหญ่ ‘รัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล’ ครั้งที่ 5 ระหว่าง 13-17 ม.ค.นี้ 

(3 ม.ค.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 13-17 มกราคม 2568 ประเทศไทย โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 5 (The 5th ASEAN Digital Ministers’ Meeting: The 5th ADGMIN) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ และโรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพมหานคร

สำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGMIN) กำหนดจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะจัดต่อเนื่องกับการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGSOM) เพื่อเป็นเวทีสำหรับรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านดิจิทัลของอาเซียน ได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นที่สำคัญ เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาด้านดิจิทัลในอาเซียน และส่งเสริมความร่วมมือกับคู่เจรจาอาเซียน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) รวมถึงการรับรองและรับทราบเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานในกรอบอาเซียนด้านดิจิทัลในปีถัดไป

ทั้งนี้ การประชุม ADGMIN ในครั้งนี้ มีหัวข้อหลักคือ ‘Secure, Innovative, Inclusive: Shaping ASEAN's Digital Future’ หมายถึง การมุ่งเน้นการส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่มั่นคงปลอดภัย ตอบสนองและรับมือต่อภัยคุกคามและอาชญากรรมไซเบอร์ การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุบัติใหม่ และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทั่วถึงและเท่าเทียม ผ่านแกนหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ความมั่นคง นวัตกรรม และความครอบคลุม ที่จะเป็นเสาหลักที่จะพัฒนาอนาคตด้านดิจิทัลและนำอาเซียนไปสู่ความก้าวหน้าและเจริญรุ่งเรือง ซึ่งจะมีผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เลขาธิการอาเซียน คู่เจรจาของอาเซียน ผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากประเทศติมอร์ - เลสเต เข้าร่วมการประชุมฯ

โดยการประชุมครั้งนี้มีวาระการพิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่ การหารือระดับรัฐมนตรีด้านดิจิทัล เพื่อแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าและการพัฒนาด้านดิจิทัล โดยเฉพาะพัฒนาการที่สอดคล้องกับหัวข้อหลักของการประชุม , การรายงานผลสำเร็จของโครงการปี 2567 ภายใต้การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (ADGSOM) และหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาม (ATRC) , การติดตามผลการดำเนินการตามแผนแม่บท ASEAN Digital Masterplan (ADM) 2025 , การอนุมัติงบประมาณจากกองทุน ASEAN ICT Fund สำหรับดำเนินการในปี 2568 , การรับรองเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมฯ อาทิ ร่างปฏิญญาดิจิทัลกรุงเทพ (Bangkok Digital Declaration) ร่างแถลงข่าวร่วมสำหรับการประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (Joint Media Statement) ร่างเอกสารสำคัญที่เป็นแนวทางการดำเนินงานด้านต่างๆ ของอาเซียน อาทิ ความร่วมมือในการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ แผนปฏิบัติการสำหรับความเป็นส่วนตัวข้ามพรมแดนระดับสากล การพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล แนวปฏิบัติธรรมาภิบาลและจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) เป็นต้น 

“ประเทศไทยพร้อมแล้ว สำหรับการจัดประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 โดยรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสนี้กระทรวงดีอี จะเสนอและผลักดันประเด็นสำคัญ คือ การดำเนินการของคณะทำงานอาเซียนด้านการป้องกันปัญหาการหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ (WG – AS) ซึ่งไทยทำหน้าที่ประธาน พร้อมผลักดันรายงานและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาแนวทางเพื่อประสานงานและรับมือกับภัยออนไลน์ระหว่างอาเซียน โดยจะมีการรับรองเอกสารข้อแนะนำของอาเซียนในการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ (ASEAN Recommendations on Anti – Online Scam) เพื่อจัดการกับปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ผ่านช่องทางดิจิทัลและโทรคมนาคม ซึ่งจะถูกบรรจุอยู่ในร่างปฏิญญาดิจิทัลกรุงเทพ (Bangkok Digital Declaration) โดยจะมีการรับรองในระหว่างการประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 นี้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

สมุทรปราการ- 'พระครูแจ้' ทำบุญปีใหม่!! มอบเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ รพ.บางพลี กว่า 500,000 บาท

ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง มอบของขวัญต้อนรับปีใหม่ มอบเงินกว่า 500,000 บาท ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบาพลี เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และคณะเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลทุกคนในโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2568

วันที่ (2 ม.ค.68) ที่ผ่านมา เวลา 15.00 น. ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมด้วย ข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี พร้อมทั้งสื่อมวลชน ลงพื้นที่ภายในชุมชนคลองบางพลีเยี่ยมคุณยายแดง คุณยายอายุ 100 ปี พร้อมทั้งมอบกระเช้าและเงินจำนวน 5,000 บาท ให้กับคุณยายแดงและผู้ป่วยติดเตียงที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ อีกรายละ 3,000 บาท 

นอกจากนี้ ท่านพระครูแจ้ ยังได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลบางพลี ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี สมุทรปราการ เยี่ยมผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาล พร้อมทั้งถือโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2568 มอบแบรนด์รังนกและเงินสดอีกคนละ 200 บาท แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้สร้างความปราบปรื้มให้แก่ผู้ป่วยและคณะแพทย์พยาบาลเป็นอย่างมาก

อีกทั้ง ท่านพระครูแจ้ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้เมตตามอบเงินเป็นของขวัญปีใหม่แก่บุคคลากรทางการแพท์และคณะเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลโรงพยาบาลบางพลีทุกคน กว่า 700 คน อีกคนละ 300 บาท เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ให้กับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลบางพลีในช่วงเทศกาลปีใหม่ 

โดยมี นายแพทย์ประพัฒน์ ธรรมศร ผอ.โรงพยาบาลบางพลี และทีมแพทย์พยาบาลตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

‘มาดามแป้ง’ ปลื้มแฟนช้างศึกแห่ซื้อตั๋ว 47,000 ใบ หมดเกลี้ยงภายใน 2 ชม. นัดดวลเวียดนามรอบชิงฯ AFF นัดสอง

‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ขอบคุณแรงสนับสนุนจากแฟนบอลชาวไทย หลังบัตรเข้าชมการแข่งขันถูกจำหน่ายหมดเป็นที่เรียบร้อย ในเกมเปิดบ้านพบกับ เวียดนาม ในศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดสอง ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ยกเป็นพลังใจสำคัญให้ทัพช้างศึก ทั้งก่อนลงเล่นเกมเยือนวันนี้ และ วันที่ 5 มกราคม 2568

บัตรเข้าชมการแข่งขัน เปิดจำหน่ายวันนี้ ในเวลา 10.00 น. ก่อนใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง บัตร Sold Out เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้ความจุเกือบ 47,000 ที่นั่ง ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน

'มาดามแป้ง' กล่าวว่า “แป้ง พูดอยู่เสมอว่า ผู้เล่นคนที่ 12 สำคัญกับทีมชาติไทย มากที่สุด และ เป็นอีกหนึ่งวันที่ แป้ง ปลาบปลื้มใจ ดีใจ ที่เห็นแรงสนับสนุนที่มีต่อทีมชาติไทย เพราะขณะนี้ บัตรเข้าชม เกือบ 47,000 ที่นั่ง ถูกจำหน่ายหมดภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แสดงให้เห็นถึงกระแส และ ความศรัทธาที่มีต่อ ทีมชาติไทย ในฐานะ นายกสมาคมฯ แป้ง อยากขอบคุณทุกคนจากใจจริง และ เชื่อว่าจะเป็นพลังใจสำคัญให้ทัพช้างศึก ก่อนลงเล่นเกมเยือนที่เวียดนาม ในวันนี้ แน่นอนว่าเป็นสถานการณ์ที่ยาก แต่เชื่อมั่นในสปิริตทีมชุดนี้ และ เชื่อมั่นว่าเราจะได้ผลการแข่งขันที่ดีกลับมา“

สำหรับ รอบชิงชนะเลิศ ชิงแชมป์อาเซียน 2024 ระหว่าง ทีมชาติไทย พบกับ ทีมชาติเวียดนาม จะแข่งขัน 2 นัด เหย้า-เยือน เริ่มจากทัพช้างศึก ไปเยือนก่อน ในวันที่ 2 มกราคม 2568 และ กลับมาเล่นในบ้าน วันที่ 5 มกราคม 2568

เชียงใหม่-สภ.เมืองเชียงใหม่ ร่วมตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ ตำรวจ ตม.เชียงใหม่ บูรณาการกำลัง ติดตามนักท่องเที่ยวเหตุปล่อยโคมลอยลานท่าแพ 

ตามข่าวที่ปรากฎตามสื่อโซเชี่ยล เหตุนักท่องเที่ยวต่างชาติได้พยายามปล่อยโคมลอยในพื้นที่บริเวณลานประตูท่าแพ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ห้ามปล่อยโคมลอยเนื่องจากอาจจะเกิดเพลิงไหม้ บ้านเรือนประชาชนซึ่งพักอาศัยอยู่จำนวนมาก ในเขตพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่

ซึ่งหลังจากเป็นเหตุเกิดขึ้น จนท.ตำรวจ ได้ติดตามนักท่องเที่ยวคนดังกล่าว จนทราบตัวว่าเป็นใคร จึงได้ประสานติดต่อและเชิญตัวมายัง สภ.เมืองเชียงใหม่ 

ทราบชื่อว่า นายฮิราโนะ อายุ 31 ปี สัญชาติญี่ปุ่น จากการสอบสวน นายโทโมะ ได้เดินทางมาเที่ยวกับครอบครัวเพื่อร่วมงาน Count down 2025 ณ ลานท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ โดยเข้ามาเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 68

ซึ่งตนตั้งใจเดินทาง มางานดังกล่าวกับครอบครัว หลังงานเค้าดาวน์ เสร็จ เวลาประมาณ 00.30 น. ตนจึงได้นำโคมลอยมาจุด บริเวณด้านข้างลานท่าแพเพราะเข้าใจว่า เขตห้ามปล่อยคือบนลานเท่านั้นแต่ขณะกำลังจะปล่อย ได้มี หมวดทวีศักดิ์ฯ มาตรวจพบและห้ามปราม แต่ตนติดว่าจุดนี้ปล่อยได้ จึงได้เกิดอารมณ์โมโหและแสดงกริยาที่ไม่ดีออกไป ตามที่เป็นข่าว หลังจากนั้นได้มีล่ามเข้ามาอธิบายให้ฟัง ตนจึงเข้าใจว่าเป็นเขตพื้นที่ห้ามปล่อยโคม จึงได้กล่าวขอโทษ ผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ และได้แยกย้ายจากจุดเกิดเหตุในคืนดังกล่าว

ต่อมา จนท.ตำรวจ ได้ติดต่อตนเข้ามาและนายฮิราโนะ รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงอยากเข้าพบและขอโทษ หมวดทวีศักดิ์ฯ ด้วยตนเองอีกครั้ง จึงได้ติดต่อเดินทางเข้ามา พบ พ.ต.อ.ปรัชญา ทิศลา ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อขอพบผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ ในเวลาประมาณ 19.30 น. ของวันเดียวกันนี้ 

โดย ผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ ได้ยอมมาพบและรับคำขอโทษ และไม่ได้ติดใจเอาความ นายฮิราโนะ แต่อย่างใด 

แต่ความผิดอาญา อีกส่วนหนึ่ง จนท.ตำรวจ พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของนายฮิราโนะฯ มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติตามหน้าที่ 

จนท.ตำรวจ จึงได้อธิบายให้นายฮิราโนะฯ ทราบถึงข้อหาความผิดดังกล่าว ซึ่งนายฮิราโนะฯ เข้าใจและให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวน จึงทำการเปรียบเทียบปรับเป็นเงินจำนวน 3,000 บาท 

นายฮิราโนะฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าตนขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น และยอมรับผิดตามกฏหมาย และหากมีโอกาสจะกลับมาเที่ยวประเทศไทย อีกแน่นอน เพราะชอบแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย และรับปากว่าไม่แสดงพฤติกรรมแบบนี้อีกเด็ดขาด

‘โปรเมียว-โปรเปียโน’ นำทัพนักกอล์ฟบางจากฯ ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน

(2 ม.ค. 68) นายดาว์ปกรณ์ รัตนสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร ‘บริษัท เดอะ เจ็นซ์ จำกัด’ จับมือโปรกอล์ฟของ ‘บางจากฯ’ จัดกิจกรรม Inspirational Talk With Pro ถ่ายทอดประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน นำทีมโดย ‘โปรเมียว’ ปาจรีย์ อนันต์นฤการ, ‘โปรเปียโน’ อาภิชญา ยุบล นักกอล์ฟไทยที่จบอันดับดีที่สุด ท็อป 5 ในยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น รายการเมเจอร์ของแอลพีจีเอ ทัวร์ และ ‘โปรเพชร’ พชร คงวัดใหม่ ผู้เล่นในลิฟ กอล์ฟ ลีก, ‘โปรแจน’ วิชาณี มีชัย, ‘โปรมิ้ม’ วรรษวัลย์ สังขพงษ์ และ ‘แพงกี้’ แอลล่า แกลิทสกีย์ มาร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์ทั้งในและนอกสนามแข่งขัน ส่งต่อพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้นักกอล์ฟเยาวชนไทยมุ่งสู่ความสำเร็จ ที่ Golfing Ground Performance Center สาขาบางนา 

‘โปรเมียว’ ปาจรีย์ อนันต์นฤการ นักกอล์ฟสาววัย 25 ปีเจ้าของแชมป์แอลพีจีเอ 2 รายการ ที่สำคัญนับตั้งแต่เทิร์นโปรเมื่อปี 2017 ก่อนเข้ามาเล่นในแอลพีจีเอ ทัวร์เมื่อปี 2019 นั้น เธอลงเล่นมา 6 ฤดูกาลโดยไม่เสียทัวร์การ์ดแม้แต่ปีเดียว ซึ่ง ปาจรีย์ เผยเคล็ดลับว่า “ต้องบอกว่าเมียวเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง พยายามแก้ไขและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านค่ะ ถึงตอนนี้ชนะไป 2 รายการแต่ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากพัฒนาให้ดีขึ้น เมียวมีเป้าหมายให้ตัวเองตลอดค่ะ...เมียวเชื่อว่าตราบใดที่เราไม่ท้อและไม่หยุด ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเราก็มีความสุขที่ได้ทำค่ะ”

ทางด้าน ‘โปรเปียโน’ อาภิชญา ยุบล ประสบการณ์ 2 ปีในแอลพีจีเอทัวร์ เล่าถึงรายการยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น ที่เธอบอกว่าเป็นรายการเปลี่ยนชีวิต “หลังจากจบท็อป 100 รักษาทัวร์การ์ดในปีแรกได้ เข้าปีสองรู้สึกเล่นได้ดีแต่ไม่สามารถผ่านการตัดตัว ซึ่งโนไม่เคยตกรอบเยอะขนาดนี้ในชีวิต ตอนนั้นเครียดมากตามด้วยความคิดไม่ดีเลย กระทั่งมาชนะควอลิฟายเข้าไปเล่นในยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น ซึ่งเป็นแมทช์เปลี่ยนชีวิตเพราะเป็นเมเจอร์แรกที่ผ่านตัดตัวและจบท็อป 5 เป็นเงินรางวัลมากที่สุดในชีวิต เรื่องเครียดทั้งหมดหายไปเลย หลัก ๆ คือเรื่องเงิน จากนั้นผลงานดีขึ้นเลย ๆ จนได้มาเล่นซีเอ็มอี กรุ๊ป”

ส่วน ‘โปรเพชร’ พชร คงวัดใหม่ ดีกรีแชมป์เอเชียนทัวร์ 1 รายการและชนะรายการอย่างไม่เป็นทางการของยูโรเปียน ทัวร์อีก 1 รายการกล่าวถึงประสบการณ์การเข้าไปเล่นกับมือระดับเวิลด์คลาสในลิฟ กอล์ฟ ลีก ว่า “ประสบการณ์เขาผ่านมาเยอะกว่าเรามาก ๆ ครับ ทำให้เขารู้ว่าช็อตนั้น ๆ ต้องเล่นแบบไหน ส่วนผู้เล่นเก่ง ๆ ที่เคยเล่นด้วยผมชอบ อับราฮัม อันเซอร์ ผู้เล่นตัวเล็กและสามารถเล่นได้ทุกช็อตจริง ๆ ผมสัมผัสด้วยตัวเองแล้วต้องบอกว่า เรายังต้องพัฒนาอีกเยอะ เขาเก่งกว่ามากจริง ๆ”

‘อ.อุ๋ย’ เห็นต่าง ปมตบรางวัลตำรวจปล่อย นทท. กระชากคอเสื้อ ชี้! เป็นดาบสองคม ทำกฎหมายไทยไร้ความศักดิ์สิทธิ์

(2 ม.ค. 68) อาจารย์อุ๋ย ปชป. ชี้!  มอบรางวัลตำรวจไม่ตอบโต้นักท่องเที่ยวกระชากคอเสื้อ เป็นดาบสองคม สร้างบรรทัดฐานที่บิดเบี้ยว ทำกฎหมายไทยไม่ศักดิ์สิทธิ์ ตำรวจไทยปฏิบัติหน้าที่ยากขึ้น ย้ำ! การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยต่างหาก คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยว 

เมื่อวันที่ (1 ม.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “จากกรณีที่ มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการปล่อยโคมลอยสีแดง บริเวณถนนคชสาร ซอย 3 ใกล้กับประตูท่าแพ โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากห้อมล้อม และเชียร์กันอย่างสนุกสนาน จนเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปห้ามปราม จนมีการกระชากคอเสื้อของตำรวจ นั้น

แม้สุดท้ายเหตุการณ์จะจบลงด้วยดี จนมีการมอบรางวัลให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่มีความอดทนอดกลั้น ซึ่งผมก็เคารพในการตัดสินใจของตำรวจผู้ปฏิบัติงานและผู้มอบรางวัล อย่างไรก็ดี ผมมีข้อกังวลว่าการมอบรางวัลให้กับการปฏิบัติหน้าที่ลักษณะนี้ คือการไม่ตอบโต้กับผู้ที่พยายามใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ และไม่ดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการปล่อยโคมลอย จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานว่า การไม่ใช้อำนาจจับกุมผู้กระทำผิด กับการไม่บังคับใช้กฎหมายในเวลาที่ต้องใช้ คือการปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าหน้าตำรวจทุกนายควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง งั้นหรือ ? แบบนี้ต่อไปใครจะกระชากคอเสื้อตำรวจก็ได้ สุดท้ายขอโทษแล้วจบ งั้นหรือ ? 

ซึ่งผมเชื่อว่าหากเหตุการณในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและยึดถือสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่นเอง หากมีผู้ที่ทำผิดกฎหมาย และพยายามกระชากคอเสื้อเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ จะมีเจ้าหน้าที่อย่างน้อยสามถึงห้าคนเข้ามารุมล้อมและจับใส่กุญแจมือและส่งเข้ารถคุมขังทันที ซึ่งหากทำอย่างถูกต้องตามหลักการการจับกุม ผู้ถูกจับกุมจะไม่เกิดการบาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด และจะต้องถูกดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพราะถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยว เพราะทำให้เกิดความวุ่นวายไม่สงบเรียบร้อย 

นักท่องเที่ยวปกติ (ขอเรียกว่านักท่องเที่ยว “สีขาว”) เขาจะนิยมเที่ยวประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเขาและครอบครัวสามารถท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้อกังวลกับโจรผู้ร้าย ในขณะที่นักท่องเที่ยวสีเทาหรือสีดำ จะชอบไปท่องเที่ยวประเทศที่การบังคับใช้อ่อนแอ หละหลวม สามารถใช้เงินและอิทธิพลเหนือกฎหมายได้ ผมจึงขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณา ว่าอยากได้นักท่องเที่ยวแบบไหน และขอย้ำว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยต่างหาก คือการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยความปรารถนาดี” 

เชียงใหม่-มอบเงินรางวัลจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ วงศ์ใจ ตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” 

วันที่ 1 มกราคม 2568 เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 และ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ปรัชญา ทิศลา ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เป็นตัวแทนมอบเงินรางวัลจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ วงศ์ใจ ตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทนและเสียสละ และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือให้แก่องค์กรตำรวจ

จากกรณีเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 เวลา 00.30 น. ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ วงศ์ใจ รอง สว.(ป.) สภ.เมืองเชียงใหม่ พบกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่กำลังจะปล่อยโคมลอยบริเวณประตูท่าแพ จึงเข้าประชาสัมพันธ์ข้อห้าม แต่เกิดความเข้าใจผิดจนมีการโต้เถียงกัน

ภายหลังประสานล่ามช่วยสื่อสาร นักท่องเที่ยวเข้าใจและแสดงความเสียใจที่ไม่ทราบข้อห้ามมาก่อน เจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่มีเจตนาละเมิดกฎหมาย จึงไม่ดำเนินคดี และเหตุการณ์จบลงด้วยความเข้าใจ ไม่มีผู้บาดเจ็บ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top