Saturday, 26 April 2025
NEWS

‘หมู วรวุฒิ’ เตือน!! อย่าออกกำลังกายนานเกินไป หลังโหมปั่นจักรยานจนน้ำตาลหมด วูบกะโหลกแตก - ฟันหัก

หมู - วรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้ง ออฟฟิศเมท แชร์ประสบการณ์ออกกำลังกายนานเกินไปจนน้ำตาลหมด ก่อนมีอาการวูบเจ็บหนักทั้งกะโหลกแตก ฟันหัก กรามหัก เย็บเพดานปาก 16 เข็ม ชี้บทเรียนครั้งนี้ทำให้ต้องระมัดระวังให้มาก

เมื่อวันที่ (5 ม.ค. 68) เฟซบุ๊ก “Worawoot Ounjai” ของ นายวรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้งบริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์ออกกำลังกายนานเกินไปจนน้ำตาลหมด จนเกิดอาการวูบเจ็บหนักจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 คืน โดยอาการกะโหลกแตก ฟันหัก กรามหัก เย็บเพดานปาก 16 เข็ม โดยระบุว่า

“เมื่อราว 2 เดือนที่ผ่านมาผมประสบอุบัติเหตุวูบจากการปั่นจักรยานครับ สาเหตุคือออกกำลังกายมากและนานเกินไป ปั่นไปต่อเนื่องร่วม 2 ชั่วโมงเศษ

ระหว่างปั่นก็ดื่มน้ำโดยตลอด ไม่ได้ขาดน้ำครับ แต่คุณหมอสันนิษฐานว่าวูบจากการใช้น้ำตาลจนหมด ไม่พอไปเลี้ยงสมอง..

วูบครั้งนี้ถึงขั้นเจ็บหนักครับ ต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 คืนเพราะกะโหลกหน้าแตก ฟันหักไป 3 ซี่ กรามหัก และต้องเย็บเพดานปากด้านในอีก 16 เข็ม

ต้องกินแต่อาหารเหลวอยู่เดือนครึ่ง ผ่านหลอดดูด เพราะต้องยึดฟันบนกับล่างให้ติดกันด้วยลวดเหล็กจนพูดไม่ถนัดอ้าปากไม่ได้จนถึงวันนี้ ทำให้ต้องงดงานบรรยาย และนัดหมายอื่นๆ ทั้งหมดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งต้นกุมภาฯ นี้น่าจะหายดีครับ

ที่เอามาเล่าให้ฟังนี้ เพราะอยากจะให้เป็นข้อเตือนใจครับ ว่าคนที่อายุมากแล้ว เวลาออกกำลังกายต้องระมัดระวัง อย่าคิดว่าร่างกายเรามันจะเหมือนตอนอายุน้อยๆ แข็งแรงเหมือนก่อน

อย่างเคสผมคือ ใจมันไปเกินสังขาร เพราะตอนออกกำลังกายก็สนุกและคิดว่าร่างกายเราไหว ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้ด้วยครับ คิดแต่ว่าเราไหว และไม่ได้ขาดน้ำ แต่สำหรับคนปั่นจักรยานนานๆ ไกลๆ จะต้องมีน้ำเกลือแร่หรือน้ำหวานคอยจิบเป็นระยะๆ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำตาลหรือเกลือแร่จากการออกกำลังกายเป็นเวลานานๆ

บทเรียนครั้งนี้ ทำให้ต้องระมัดระวังให้มากเมื่อจะกลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง เพราะเจ็บหนักรอบนี้ต้องพักรักษาตัวนานกว่า 2 เดือนเลยทีเดียว และโชคดีที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้

สำหรับท่านที่ติดต่อมาในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ก็ต้องขออภัยด้วยครับที่ไม่สามารถพบปะ และการบรรยายก็ต้องงดไปด้วย 2-3 งาน เพราะอุบัติเหตุครั้งที่ผ่านมานี้

มาตอนนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมากแล้วครับ อาทิตย์หน้าก็คงจะรับประทานอาหารได้เป็นปกติ ไม่ต้องคอยดูด ensure แบบที่ผ่านมา ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน จะได้ระมัดระวังกันไว้ครับ โดยเฉพาะท่านที่อายุมากแล้วในการออกกำลังกายครับ”

'ซิงซิง' ดาราดังจีนหายตัวที่ไทย พบพิกัดสุดท้ายอยู่ 'แม่สอด'

(6 ม.ค. 68) สื่อและโซเชียลจีนร่วมแชร์ข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของ 'ซิงซิง' ดาราหนุ่มชื่อดังชาวจีน หลังเดินทางมาถ่ายงานที่ประเทศไทย โดยพิกัดสุดท้ายถูกระบุอยู่ที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ญาติและแฟนสาวของซิงซิงได้ประสานงานกับสถานทูตจีนในไทยและหน่วยงานความมั่นคงเพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะที่โซเชียลจีนหวั่นว่าเหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับการล่อลวงคล้ายเนื้อหาในภาพยนตร์ดัง "No More Bets"

เพจ DomJeen ซึ่งรายงานเรื่องราวนี้เปิดเผยว่า แฟนสาวของซิงซิง ซึ่งใช้ชื่อว่า เจี่ยเจี่ย (Jiajia) ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือในโซเชียลมีเดีย เธอเล่าว่า ซิงซิงได้รับการติดต่อจากทีมงานผ่าน WeChat ให้เดินทางมาร่วมแคสติ้งและถ่ายทำในประเทศไทย ซิงซิงออกเดินทางจากสนามบินเซี่ยงไฮ้ ผู่ตง เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 และถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเช้าวันเดียวกัน ก่อนขึ้นรถที่ทีมงานจัดเตรียมไว้

เหตุการณ์ก่อนการหายตัว
วันที่ 3 มกราคม 2568 เวลา 03.00 น. ซิงซิงเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิและเดินทางต่อโดยรถยนต์ที่ทีมงานจัดไว้ โดยแจ้งว่าจะไปยังสถานที่ถ่ายทำในจังหวัดตาก ระหว่างการเดินทาง ระบบติดตามตำแหน่งแสดงว่ารถที่ซิงซิงโดยสารได้เดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณอำเภอแม่สอด ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ซิงซิงขาดการติดต่อกับแฟนสาวและทีมงาน ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้ตั้งแต่นั้น การดำเนินการของครอบครัวและแฟนสาว แฟนสาวของซิงซิงได้ติดต่อทั้งสำนักงานความมั่นคงเซี่ยงไฮ้ สถานทูตจีนในกรุงเทพฯ และสถานทูตจีนในเชียงใหม่ เพื่อขอความช่วยเหลือ พร้อมประกาศเดินทางมายังประเทศไทยในวันนี้ (6 มกราคม 2568) เพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ไทย

เธอยังเปิดเผยว่าเคยมีนักแสดงชาวจีนหลายรายที่ประสบเหตุการณ์คล้ายกัน โดยถูกล่อลวงให้มาทำงานในต่างประเทศและต้องเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยง

หลังเรื่องราวถูกเผยแพร่ใน เว่ยป๋อ (Weibo) แพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมในจีน ชาวเน็ตและนักแสดงร่วมวงการต่างแสดงความห่วงใยและร่วมกันแชร์ข้อมูลเพื่อช่วยตามหา ซิงซิง ขณะที่บางส่วนแสดงความกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นการหลอกลวงเพื่อนำไปสู่การทำงานผิดกฎหมาย หรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรรมในพื้นที่

ชาวเน็ตจีนจำนวนมากภาวนาให้ซิงซิงปลอดภัยและกลับมาโดยเร็วที่สุด พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือในกรณีนี้

เพจ สนง.พลังงานลำปาง โพสต์ถล่ม ‘พีระพันธุ์’ ซัด รู้แต่กฎหมายไม่รู้เรื่องพลังงาน - ใช้นโยบายคร่ำครึ

(6 ม.ค. 68) พลังงานจังหวัดลำปาง น้อมรับทัวร์ลง..หลังแอดมินเพจ สนง.โพสต์ภาพ-ข้อความ ถล่ม “พีระพันธุ์” รู้แต่กฎหมายไม่รู้เรื่องพลังงาน - ใช้นโยบายคร่ำครึ เผยไม่ได้เขียนเอง-เป็นลิ้งค์ส่วนกลางส่งให้ทุกสำนักงาน/ทุกจังหวัดลงเผยแพร่ ก่อนรู้ว่าผิดลิ้งค์สั่งลบกันทันที

จากกรณีเย็นวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา หน้าเฟซบุ๊กเพจสำนักงานพลังงานจังหวัดลำปาง ได้มีการโพสต์รูปนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมข้อความประกอบลักษณะโจมตีและต่อว่านโยบาย รื้อ ลด ปลด สร้าง แบบดุเดือด แต่โพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ได้ไม่ถึง 20 นาที ก็ถูกลบออก

จากนั้นมีการขึ้นโพสต์ใหม่ โดยมีข้อความว่า..“พีระพันธุ์” โชว์ผลงาน 67 ตรึงค่าไฟ-ผุดกฎหมายพลังงาน ลั่นปี 68 เดินหน้าลดราคาน้ำมัน-หนุนโซลาร์รูฟ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน โพสต์สรุปผลงานปี 2567 เผยสามารถตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และ 3.99 บาทสำหรับกลุ่มเปราะบาง

พร้อมผลักดันกฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎหมายกำกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง และกฎหมายส่งเสริมโซลาร์รูฟ สำหรับแผนงานปี 2568 จะร่างกฎหมายสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง (SPR) กำหนดให้สำรองน้ำมันขั้นต่ำ 90 วัน คาดช่วยลดราคาน้ำมัน 2.50-4 บาทต่อลิตร พร้อมผลักดันการผลิตอินเวอร์เตอร์ราคาถูกสำหรับโซลาร์รูฟ รมว.พลังงาน ยังตอบโต้กระแสข่าวขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล ยืนยันได้รับการสนับสนุนจากทั้งนายกฯ แพทองธารและอดีตนายกฯ เศรษฐา ในการทำงานตามนโยบายรัฐบาล”

อย่างไร็ตาม แม้ว่าโพสต์โจมตี รมว.พลังงาน ดังกล่าวทางสำนักงานจะลบไปแล้ว แต่ปรากฏว่ามีการแคปข้อความไว้ทันจนกลายเป็นกระแสข่าวผ่านสื่อและมีผู้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นเชิงลบกับสำนักงานพลังงานจังหวัดลำปางกันจำนวนมาก และต่อเนื่อง

ล่าสุด วันนี้ (6 ม.ค.)นางสายธาร ประสงค์ความดี พลังงานจังหวัดลำปาง ได้เปิดเผยถึงที่มาที่ไปของโพสต์ดังกล่าวว่า ปกติหน้าเพจของสำนักงานฯจะมีแอดมินดูแล-โพสต์กิจกรรมและภารกิจของสำนักงานอยู่แล้ว รวมถึงนำเสนอข่าวที่โดยทีมงานประชาสัมพันธ์ส่วนกลางส่งให้ทุกจังหวัดซึ่งก็จะมีทั้งสองด้าน

ส่วนโพสต์ที่กำลังเป็นข่าว ทางสำนักงานฯก็ไม่ได้เขียนเอง แต่ทางส่วนกลางส่งลิงค์มาให้ทุกจังหวัดนำลงประชาสัมพันธ์เพราะเห็นว่าเป็นช่องทางการเผยแพร่ที่เร็วที่สุด ซึ่งแอดมินก็ดำเนินการโพสต์ทันที แต่หลังจากนั้นทราบว่าเป็นการส่งลิงค์ข่าวผิด จึงได้แก้ไขและสั่งให้ทุกจังหวัดลบโพสต์ออกและลงโพสต์ใหม่ในเวลาต่อมา ซึ่งก็เป็นสาเหตุว่าทำไมลงได้ไม่นานแล้วลบออก

“ประชาชนที่เห็นโพสต์หรือข่าวก็อาจจะเข้าใจผิดว่าทางสำนักงานเขียนเองลบเอง ซึ่งจริงๆไม่ใช่ เพราะสำนักงานไม่มีเจตนาที่จะลงข้อความใดๆเพื่อทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆขึ้น ตนในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาพร้อมทำตามนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายรื้อลดปลดสร้าง ก็เป็นนโยบายหลักที่กำลังทำอยู่ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด”

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ลิงค์ข่าวดังกล่าวเป็นสกู๊ปข่าวของสำนักข่าว THE ROO44 ซึ่งได้ลงข่าวในหน้าเว็บไซต์เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 โดยมีหัวข้อข่าวว่า รู้กฎหมาย ไม่รู้เรื่อง “พลังงาน” นโยบายย้อนยุคของ “พีระพันธุ์”

‘มาดามแป้ง’ ขอบคุณสโมสรไทยลีก นักกีฬา ทีมงานผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ทีมทุกคน ที่ร่วมลุยศึกอาเซียน คัพ 2024 แม้จะจบแค่รองแชมป์

(5 ม.ค.68) นางนวลพรรณ ล่ำซำ หรือ มาดามแป้ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Madam Pang - มาดามแป้ง - นวลพรรณ ล่ำซำ’ หลังจากทัพช้างศึก พลาดท่าพ่ายให้กับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ทีมชาติเวียดนาม 2-3 (สกอร์รวมสองนัด 3-5) จบด้วยการเป็นรองแชมป์อาเซียน คัพ 2024 โดยระบุว่า

“Thank You สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ขอขอบคุณสโมสรไทยลีก นักกีฬา ทีมงานผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ทีมทุกคน ที่พยายามและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทำหน้าที่ในนามทีมชาติไทยได้อย่างสมศักดิ์ศรี ในศึกฟุตบอล Asean Mitsubishi Electric Cup 2024

ขอน้อมรับทุกคำติชมจากแฟนบอลผู้ปรารถนาดีทุกท่านจากหัวใจ และขอบคุณทุกกำลังใจผ่านทุกข้อความ ทุกช่องทาง”

เชียงใหม่-แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าฯ ตั้งเป้าเมษายนปีนี้อากาศจะต้องดี

(6 ม.ค. 68) แม่ทัพภาคที่ 3 มอบนโยบายให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ พร้อม เปิดกิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี 2568 และตรวจความพร้อมของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอากาศยาน ในการป้องกันและแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ในพื้นที่ 17 ภาคเหนือ ย้ำ กองทัพภาคที่ 3 พร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มขีดความสามารถ

กิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี 2568 ซึ่งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ได้ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จัดขึ้น โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 จัดตั้งขึ้นตามคำสั่ง กองทัพภาคที่ 3 ,ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ,กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ,ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3  ที่ 421/2567 / ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567  มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

1. วางแผน อำนวยการและบูรณาการ การป้องกันแก้ปัญหาไฟป่า รวมทั้งการควบคุมและดับไฟที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบและในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดระหว่าง โดยบูรณการด้านงบประมาณอัตรากำลัง เจ้าหน้าที่ เครือข่ายอาสาสมัคร ยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ เครื่องมือ ยานพาหนะ และอากาศยาน ฯลฯ
2. ปฏิบัติการเฝ้าระวัง ติดตาม ประเมินสถานการณ์ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และดับไฟป่า รวมทั้งบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ ฝุ่นละออง ระดับจังหวัด และรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
3. สนับสนุนการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบของไฟป่าและหมอกควัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน 
4. แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติแก้ไขปัญหาและหมอกควันในพื้นที่ 14 กลุ่มป่าแปลงใหญ่รอยต่อไฟป่า เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ ฝุ่นละอองระดับภาค
5. ปฏิบัติงานอื่นตามที่คณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศมอบหมาย
 
โดยได้จัดตั้ง ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ที่ อาคารยอดทัพ กองพลทหารราบที่ 7  อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 30 เมษายน 2568 หรือ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งจัดให้มีการประชุมประสานงาน กับศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองระดับจังหวัด และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน 17 จังหวัด รวมทั้งชุดขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม 17 จังหวัดภาคเหนือ 

เพื่อบูรณาการสรรพกำลังทั้งมวลของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้มีส่วนร่วมในการป้องกัน แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ตามนโยบายของ รัฐบาลให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมบูรณาการแผนงานป้องกันการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และแผนเผชิญเหตุในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสาธารณภัยให้มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสาร เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองในปี 2568  จะพิจารณาจากสถิติจุดความร้อน  และพื้นที่เผาไหม้ของปีที่ผ่านมา  

กำหนดเป้าหมายสำคัญ 7 ดอย , 19 รอยต่อ , และ 12 ป่าแปลงใหญ่ พร้อมทั้งผลลัพธ์ที่ต้องการ คือ จุดความร้อนลดลง พื้นที่เผาไหม้ลดลง และฝุ่นละอองขนาดเล็กลดระดับความรุนแรงลง จนไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ตามที่รัฐบาลกำหนด 

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 ได้มอบนโยบายแผนการปฏิบัติงานและแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประจำปี 2568 ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ , หัวหน้าส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้อง และรับฟังการบรรยายลักษณะสภาพอากาศ อัตราการระบายอากาศ ความกดอากาศ จาก ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ , การสนับสนุนอากาศยานยุทโธปกรณ์ตรวจหาจุดความร้อน จากกองทัพอากาศ , กระบวนการสร้างความชุ่มชื้นในอากาศ และการทำฝนหลวง  จาก ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนบน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร , มาตราการ/แนวทางการ ควบคุมไฟป่า 14 cluster พื้นที่ไหม้ซ้ำซาก พื้นที่รอยต่อ จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ และ แนวทางการบังคับใช้กฎหมาย ตำรวจภูธรภาค 5  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี งบประมาณ 2568 ตั้งเป้าหมายเดือนเมษายนปีนี้อากาศเชียงใหม่จะต้องดี

นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองจาก 10 หน่วยงาน และตรวจความพร้อมและให้กำลังใจชุดปฏิบัติการดับไฟป่า อากาศยานและอุปกรณ์ดับไฟป่า จาก กองทัพภาคที่ 3 , กรมป่าไม้ , กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช , กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย , องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และมวลชนจิตอาสา กว่า 500 นาย ณ ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 กองพลทหารราบที่ 7 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 
 
ทั้งนี้ กองทัพบก และ กองทัพภาคที่ 3 โดย ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาไฟป่า-หมอกควันและการเผาป่าในพื้นที่ภาคเหนือเป็นอย่างมาก ด้วยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนภารกิจพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือประชาชน และการบรรเทาสาธารณภัยอย่างเต็มขีดความสามารถ รวมทั้ง การบูรณาการและประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพสูงสุด

นภาพร/เชียงใหม่

“ผบช.สตม.ลงพื้นที่ ประชุมร่วมหน่วยความมั่นคงวางมาตรการเข้ม สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชายแดน ไทย-ปอยเปต”

(6 ม.ค. 68) ผบช.สตม. ลงตรวจพื้นที่สระแก้ว ประชุมหน่วยความมั่นคง วางมาตรการเข้มคัดกรองนายทุนเดินทางเข้าออกไทยฝั่งปอยเปต สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หนุนนโยบายรัฐบาล ประสานความร่วมมือทหาร ปกครอง เสริมกำลังเจ้าหน้าที่จุดเสี่ยง ช่องทางธรรมชาติ ป้องกันการเข้าออกเมืองผิดกฎหมาย พร้อมทำฐานข้อมูลคนไทยลักลอบไปทำงานกัมพูชา เพื่อตัดเส้นทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบครบวงจร พบส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุ 20-30 ปี 

วันนี้(6 ม.ค.68) เวลา 10.00 น. ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ประชุมร่วมกับ Mr.kim suvanna กงสุลใหญ่กัมพูชาประจำประเทศไทย, พล.ท.วันนา เป๊ก  หน.ประสานงานชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมด้วย พล.ต.ต.ออมสิณ  บุญญานุสนธิ์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว พ.อ.ชัยณรงค์  กาสี ผบ.กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ นายสุเทพ ชัยวัฒน์ ปลัดจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วย พม.จว., รอง ผอ.รมน.จว. และจัดหางาน จว.สระแก้ว หารือมาตรการป้องกันแรงงานไทยที่ลักลอบไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งนายทุนต่างชาติที่เดินทางเข้าออกไทย โดยอาศัยวีซ่านักท่องเที่ยว พร้อมลงพื้นที่สำรวจจุดเสี่ยง ช่องทางธรรมชาติ ที่เป็นเส้นทางหลบเลี่ยง และที่กบดานของแรงงานไทยเพื่อไปทำงานในประเทศกัมพูชา 
พล.ต.ท.ภาณุมาศ ฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม.เข้มงวดกวดขันคนต่างชาติที่เดินทางเข้าออกไทยมากผิดปกติ ซึ่งเชื่อว่าอาจไปทำธุรกิจผิดกฎหมาย และอาศัยประเทศไทยเป็นเส้นทางหลอก หรือเป็นแหล่งที่พำนักเพื่อไปทำงานที่กัมพูชา ทั้งนี้ สตม.ได้เพิ่มมาตรการตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยบ่อยครั้ง แต่ไม่มีปัจจัยยังชีพ เช่น แผนการท่องเที่ยว หรือ ไม่มีเงินสดติดตัว หรือคนที่เข้ามาหลายครั้งในรอบปี แต่ไม่มีหลักฐานการท่องเที่ยว ก็จะปฏิเสธการเข้าเมือง และบันทึกประวัติไว้ทันที 

นอกจากนี้แล้วยังดำเนินคดีคนไทยที่ถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับกุม ข้อหาหลบหนีเข้าเมือง แล้วถูกผลักดันกลับมาไทย ซึ่งจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ฐานเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี หรือท้องที่ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลไว้แล้วส่งต่อให้หน่วยงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป จากสถิติ ปี 2567 มีคนไทยที่ถูกส่งกลับนับตั้งแต่ ม.ค.-ธ.ค.67 รวมทั้งสิ้น 210 คน เป็นผู้ชาย 125 คน ผู้หญิง 86 คน ส่วนใหญ่อายุประมาณ 20-30 ปี ส่วนรายใดมีหมายจับก็จะส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีต่อไป 

ด้าน พ.อ.ชัยณรงค์ ฯ ผบ.กรมทหารราบที่ 12 รอ. กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการจับกุมคนต่างชาติ ที่ลักลอบเข้าประเทศ และยังให้ข้อมูลอีกว่า ณ ตอนนี้การลักลอบออกนอกประเทศนั้นมักจะออกโดยผ่านพื้นที่ส่วนบุคคล โดยเฉพาะพื้นที่เฝ้าระวังบริเวณรับฝากรถยนต์ จำนวน 7 แห่ง ตามแนวชายแดน

ในขณะที่ นายสุเทพ ฯ ปลัดจังหวัดสระแก้ว กล่าวด้วยว่าชายแดนไทยกัมพูชาเป็นแผ่นดินติดแผ่นดินมีระยะทางกว่า 165 กิโลเมตร ซึ่งทางฝ่ายปกครองก็ได้มีการขอความร่วมมือผู้ใหญ่บ้านคอยสอดส่องและส่งข้อมูลให้ทางจังหวัด

นางกนกวรรณฯ พม.จว.สระแก้ว ได้กล่าวว่าภารกิจของ พม.นั้นเป็นกระบวนการส่งต่อระดับชาติฯ(NRM) อันได้แก่ คัดกรอง คัดแยก คุ้มครอง ซึ่งในปี2567 ที่ผ่านมามีผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์3ราย จากทั้งหมด 210 ราย

นายปรีชา ดุจจานุทัศน์ จัดหางานจังหวัดสระแก้ว ได้ชี้แจงว่าการที่คนไทยต้องไปทำงานในต่างประเทศนั้นต้องมีเอกสารดังนี้

-เอกสารนายจ้างในต่างประเทศ
-มีหนังสือจ้างงานจากกงสุลไทยในต่างประเทศ
-มีpassport และ วีซ่าทำงาน ที่ถูกต้อง
จึงจะทำงานในต่างประเทศได้ ทั้งนี้จัดหางานจังหวัดสระแก้ว ได้ร่วมกับ ตม.จว.สระแก้วในการคัดกรองคนไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วย

ซึ่งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่กัมพูชา โดยนายเลียม  โซดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียนเมียนเจย กล่าวอีกว่า ทางกัมพูชา รับทราบข้อมูลของทางฝั่งไทยแล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางฝั่งไทยในการสะกัดกั้นคนข้ามแดนผิดกฎหมาย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทุ่มงบกว่า 15.8 ล้านบาท ส่งความสุข มอบของขวัญให้แก่เยาวชนทั่วประเทศ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568

( 6 ม.ค. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ  นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ และ คณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบชุดของขวัญวันเด็ก  ประกอบด้วย สมุด ดินสอ ไม้บรรทัด และ กล่องดินสอ เป็นของขวัญให้กับนักเรียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีผู้แทนโรงเรียนเป็นผู้รับมอบ  ณ ลานสำนักงานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ รวมทั้งยังจัดให้มีการส่งชุดของขวัญวันเด็กของมูลนิธิฯ เพื่อมอบให้กับเยาวชนในส่วนภูมิภาค ผ่านหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ รวมจำนวนของขวัญวันเด็กที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมอบให้กับเยาวชน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ทั้งสิ้น 900,000 ชุด คิดเป็นมูลค่ากว่า 15.8 ล้านบาท 

และในวันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2568 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดเข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เพื่อมอบของขวัญวันเด็ก สำหรับนำไปแจกจ่ายแก่เด็กและเยาวชน เพื่อเป็นขวัญ และกำลังใจ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ณ ห้องสีม่วง  ตึกไทยคู่ฟ้า  ทำเนียบรัฐบาล

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า การให้ของขวัญวันเด็ก เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักที่มูลนิธิฯ ได้จัดทำต่อเนื่องมาเป็นเวลา 66 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ด้วย การมอบของขวัญให้เด็กๆ ในโอกาส “วันเด็กแห่งชาติ” แบ่งปันความรัก ความสุขและเสริมการเรียนรู้ สร้างเด็กดีในวันนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าของสังคมและประเทศชาติในอนาคต โดยมูลนิธิฯ ขอส่งความรัก ความปรารถนาดีให้เด็กๆ ทุกคนเป็นเด็กดี มีคุณธรรม กตัญญู รู้คุณ พ่อแม่ ครูอาจารย์ รู้จักประหยัด มัธยัสถ์ ห่างไกลยาเสพติด ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หมั่นเรียนรู้ทุกโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของตนเอง และประเทศชาติ ดังคำขวัญวันเด็กของท่านนายกรัฐมนตรี ประจำปี พ.ศ.2568 ที่มอบให้ คือ “ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง”

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการส่งเสริมด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung 

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

‘พิชัย’ จับมือปากีสถาน ฟื้นเวทีประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า JTC ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ตลาดใหญ่เอเชียใต้ประชากร 240 ล้านคน

(6 ม.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการพบหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย (นางรุคซานา อัฟซอล) ณ กระทรวงพาณิชย์ ว่าทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบที่จะกลับมาประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถาน (ระดับรัฐมนตรี) หลังจากห่างหายไปกว่า 10 ปี เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกันภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและบริบทการค้าปัจจุบัน อาทิ การกลับเข้าสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ไทย-ปากีสถาน การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และการพัฒนาความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ได้แก่ อาหาร สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ ประมง และการท่องเที่ยว อันจะช่วยส่งเสริมโอกาสทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน รวมทั้งเพิ่มพูนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในระยะยาว โดยไทยยินดีเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ 4 ในปี 2568

นายพิชัย กล่าวว่า ปากีสถานเป็นตลาดใหญ่ มีประชากรกว่า 240 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของโลก มีประชากรวัยทำงานที่มีกำลังซื้อมากถึง 80 ล้านคน ทั้งนี้ การค้าระหว่างกันมีความเกื้อกูลกันและมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากเนื่องจากสินค้าหลายรายการเป็นสินค้าขั้นกลางจากไทยที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของปากีสถานเพื่อรองรับตลาดภายในและส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ใยสังเคราะห์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและ ส่วนประกอบ และชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่ปากีสถานมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สามารถเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมการผลิตของไทยได้ เช่น สัตว์น้ำ อัญมณี ถ่านหิน และแร่เหล็ก ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างกัน โดยไทยได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการปากีสถานเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ My Karachi ระหว่างวันที่ 1-3สิงหาคม 2568 ณ เมืองการาจี ขณะที่ปากีสถานได้เชิญผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน Pakistan ASEAN Trade Development Conference ระหว่างวันที่ 6-9 สิงหาคม 2568 ณ กรุงจาการ์ตา 

นายพิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยและปากีสถานยังยืนยันความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน โดยปากีสถานได้มีการจัดตั้งสภาอำนวยความสะดวกการลงทุนพิเศษ(Special Investment Facilitation Council) เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติใน 5 สาขาหลัก ได้แก่ เกษตรและอาหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานหมุนเวียน การทำเหมืองแร่ และท่องเที่ยว ในขณะที่ไทยได้เชิญชวนให้ปากีสถานเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทย โดยไทยมีความพร้อมด้านระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีรองรับการลงทุนอย่างเต็มที่ อาทิ ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะไฟฟ้าและน้ำ

ปากีสถานเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) การค้าระหว่างไทยกับปากีสถานมีมูลค่า 1,031.76.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไปปากีสถานมูลค่า 781.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เส้นใยประดิษฐ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และยางพารา และการนำเข้าของไทยจากปากีสถานมูลค่า 250.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ  สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป น้ำมันดิบ กระดาษ และผลิตภัณฑ์กระดาษ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 530.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สมุทรปราการ-แน่นปึก!! “อรัญญา สุวรรณบุตร แชมป์เก่า ยื่นใบสมัครเลือกตั้งนายกท้องถิ่น ประชาชนจำนวนมากส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าของวันนี้ เวลา 8.30 น. ประชาชนจำนวนมากต่างเดินทางมาคอยให้กำลังใจ พร้อมทั้งมอบดอกกุหลาบและส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา 

ที่เดินทางมายื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ณ ห้องประชุม ชั้น 5 สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ ซึ่งในวันนี้ได้มีการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งนายกท้องถิ่นของทางเทศบาลตำบลแพรกษาเป็นวันแรก โดย นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ในฐานะแชมป์เก่าได้เดินทางมายื่นใบสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา

โดยมี นายวันชัย โชควิเศชัยสิทธิ์ ผอ.กกต.จว.สมุทรปราการ พร้อมด้วย นายธนาเดช พันธุ์พิน
รอง ผอ.สนง.กกต.สมุทรปราการ มีว่าที่ ร.ต.ลมบล บุญมานะ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลแพรกษา นายวรรณวุฒิ มาสุข ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลแพรกษา นางสาว พัชรพร ศรีสัมฤทธิ์ และ  นางสาวศศิวิมล อั๋งสกุล คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลแพรกษา

ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งการลงสมัครรับเลือกตั้งในวันนี้นั้น ด้านนางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้หมายเลข 1 และในส่วนทางด้าน  นางสาวจริยา หลงน้อย ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ได้ยื่นเอกสารกับทางเจ้าหน้าที่ไม่ครบถ้วนตามกฎระเบียบการเลือกตั้ง ฉะนั้นทางผู้อำนวยการการเลือกตั้งจึงได้นำเอกสารการสมัครทั้งหมดส่งคืนนางสาวจริยา หลงน้อย ผู้ลงสมัครนายกเทศมนตรี ในนามพรรคประชาชนก่อนที่ทั้งหมดจะพากันออกจากห้องประชุมไป โดยอ้างว่าจะนำเอกสารกับมายื่นใบสมัครใหม่อีกครั้งนึง

อย่างไรก็ตาม โดยในวันนี้ทางด้าน นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และในฐานะแชมป์เก่า มีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม โดยมี ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 พร้อมด้วย นายเมธากุล สุวรรณบุตร อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และคณะสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแพรกษามาร่วมให้กำลังใจ

และคาดว่าหลังจากนี้ นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา จะเตรียมตัวลงพื้นที่หาเสียงไปพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนตามชุมชนต่างๆในเขตพื้นที่ เพื่อขอคะแนนเสียงเเละป้องกันแชมป์เพื่อที่จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาตำบลแพรกษารวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษาต่อไป ซึ่งการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ระหว่างวันที่ 6–10 มกราคม 2568 เวลา 8.30-16.30 น. 

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

กองทัพอากาศ จัดพิธีทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2568

(6 ม.ค. 68) พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ คุณมนทิรา  พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ เป็นประธานในพิธีพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2568 ณ ลานอเนกประสงค์ สโมสรทหารอากาศชั้นประทวน เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลในปี 2568 โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ นักเรียนทหาร และครอบครัว เข้าร่วมพิธี

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อกำลังพล พร้อมทั้งอวยพรปีใหม่ โดยเน้นถึงความสามัคคีและความเสียสละของบุคลากรทุกระดับในกองทัพอากาศ ที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของภารกิจต่าง ๆ ความว่า “ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้พร้อมใจกันมาร่วมทำบุญตักบาตรในวันนี้ และอำนวยพรให้ผมและครอบครัว ผมรู้สึกอบอุ่นใจและขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีที่ทุกท่านมอบให้ พร้อมทั้งขอฝากความระลึกถึงและความปรารถนาดีไปยังพี่น้องข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ นักเรียนทหาร และทหารกองประจำการที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ทุกท่านทราบว่า ผู้บังคับบัญชามีความห่วงใย และพร้อมดูแลช่วยเหลือด้านสวัสดิการ เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ผมยืนยันเจตนารมณ์ที่จะอุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับทุกท่านด้วยความเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต และนำพาความเจริญก้าวหน้ามาสู่กองทัพอากาศและประเทศชาติสืบไป”

พร้อมกันนี้ ได้มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 45 รูป จากวัดชูจิตธรรมาราม และพิธีเจริญพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์ จำนวน 9 รูป จากวัดดอนเมือง (พระอารามหลวง) เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสุข ความสงบ และความเป็นสิริมงคล รวมทั้งเพื่อสืบสานประเพณีอันดีงามของประชาชนชาวไทย

#กองทัพอากาศ

“มาดามแป้ง” ขอบคุณสโมสรสนับสนุนทีมชาติไทย แม้ไม่ใช่ฟีฟ่า เดย์-เสียดายชวดแชมป์ แต่ดีใจเห็นแฟนบอลเกือบ 47,000 คน

(6 ม.ค. 68) "มาดามแป้ง" นางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวขอบคุณสโมสรที่เสียสละ และ สนับสนุน ทีมชาติไทย หลังปล่อยผู้เล่น มาลุยศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 แม้ไม่ใช่ ฟีฟ่า เดย์ รับเสียดายชวดแชมป์ แต่ยังดีใจเห็นพลังแฟนบอลเกือบ 47,000 คน ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

สำหรับ ทีมชาติไทย พ่ายต่อเวียดนาม 2-3 สกอร์รวม 3-5 จบด้วยการเป็นรองแชมป์ในการแข่งขันฟุตบอลอาเซียน คัพ 2024

"ต้องกราบขอโทษแฟนบอลชาวไทย ที่เชียร์ช้างศึกในวันนี้ เราพลาดไม่ได้แชมป์อาเซียน ทั้งที่เราเป็นแชมป์อาเซียนเยอะที่สุดแล้วก็เป็นสองสมัยมาติดต่อกัน และวันนี้เราเล่นในบ้านเราด้วย ก็มองได้หลายมุม สิ่งแรกที่แป้งประทับใจ คือยอดผู้ชมที่เข้าสนาม คือเกือบ 47,000 คน ก็ถือว่าประชาชนคนไทย มีศรัทธาในฟุตบอลไทย" 

"แป้งต้องกราบขอบพระคุณ และยังได้เกียรติจากท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และชาวต่างชาติหลายคนก็มาชมเกมนี้ ซึ่งถือเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรี เพราะอย่าลืมว่า สองครั้งหลังสุด เราได้แชมป์ และสู้กับเวียดนามมาทั้งสองครั้ง รวมถึงวันนี้ที่สู้กับเขาอีก เราเสียเปรียบตั้งแต่เกมที่เราไปเยือนที่ พูโถ ที่แพ้มา 1-2 ทำให้เรากลับมาต้องชนะ 2-0 ต้องยอมรับว่าลูกแรกเราเสียเร็วไปหน่อย พอได้คืนกลับมา กำลังจะดี เตอร์ (วีระเทพ ป้อมพันธู์) ที่เป็นน้องรักก็มาโดนสองใบเหลืองเป็นใบแดง น้องก็เสียใจมาก ก็เป็นบทเรียน แป้งต้องกราบขอบพระคุณ เนื่องจากไม่ใช่ฟีฟ่า เดย์ ต้องขอบพระคุณสโมสรที่เมตตา ส่งนักเตะมาให้ ก็มีหลายสโมสรต้องขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นทีม อุทัยธานี เอฟซี, แบงค็อก ยูไนเต็ด , ระยอง เอฟซี, การท่าเรือ เอฟซี, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ลำพูน วอริเออร์ และราชบุรี เอฟซี รวมถึงอีกหลายทีม วันนี้จะเห็นได้ว่ามันต่างจากวันที่แป้งเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย เรามีนักเตะฟูลทีม วันนี้ในมุมของการไม่ได้แชมป์ เราก็ยังได้เห็นเด็กที่จะเกิดใหม่ ไม่งั้นวันนี้เราก็คงไม่เห็น เบนจามิน เดวิส, อัครพงศ์ พุ่มวิเศษ, พาตริก กุสตาฟส์สัน และน้องอีกหลายคน อย่าง เสกสรรค์ ราตรี หลายคนก็ดีใจที่ได้มาติดทีมชาติชุดใหญ่ชุดนี้" 

"แป้งเชื่อว่า เป็นบทเรียนของสมาคมฯเช่นกัน ในการที่แป้งดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ การแข่งขันในทุกทัวร์นาเมนต์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไทยและทุกคนคาดหวัง ในผลของการชนะ สมาคมฯ จึงมีหน้าที่ เราได้คุยกันในสภากรรมการเมื่อสักครู่ว่าเราต้องดูตารางการแข่งขัน ให้กระทบกับทีมชาติน้อยลง" 

"วันนี้ต้องขอบคุณนักเตะทุกคนที่สู้กันมาตลอด 1 เดือน สตาฟโค้ช และผู้สื่อข่าว ที่ทำข่าวกับทีมชาติไทยมาโดยตลอด ขอบคุณสุดหัวใจ สำหรับผู้เล่นคนที่ 12 แฟนบอล ชาวไทย ซึ่งให้กระแสตอบรับดีมากๆ จากทุกกลุ่ม แป้งต้องกราบขอโทษแทนผลงานที่ไม่ได้แชมป์ ก็เสียใจ แต่ก็ดีใจที่เห็นคนไทยรักประเทศไทย ทีมชาติไทยชุดใหญ่ก็ยังมีตารางจะเล่นในเอเชียน คัพ ซึ่งเป็นศึกใหญ่ และ ฟีฟ่า เดย์ ขณะเดียวกันก็ต้องให้กำลังใจทีมชาติไทย U17 ซึ่งจะต้องไปฟุตบอลโลก เป็นภารกิจที่เราจะต้องทำให้ได้ และเราจะไปเล่นรอบสุดท้ายที่ซาอุดีอาระเบีย"

"น้องก็มาขอโทษแป้งทุกคน โดยเฉพาะน้องโย่ง (พรรษา เหมวิบูลย์) รวมถึง น้องเช็ค (สุภโชค สารชาติ) ที่ได้ร่วมงานกับแป้งมาอย่างยาวนาน ทุกคนก็เสียดาย เตอร์ (วีระเทพ ป้อมพันธุ์) เองก็ร้องไห้ ซึ่งแป้งเป็นกำลังใจให้เตอร์ เพราะเตอร์ เป็นผู้เล่นตัวหลักสำคัญสำหรับทีมชาติไทย มาโดยตลอด และก็ทำเต็มที่" 

สำหรับรายการต่อไปของ ทีมชาติไทย คือการเตรียมทีมลุยศึก เอเชียน คัพ 2027 รอบคัดเลือก นัดแรก พบกับ ศรีลังกา ในวันที่ 25 มีนาคม 2568

#FAThailand #ฟุตบอลทีมชาติไทย #ช้างศึก #บอลไทย #AFFChampionship #ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน2024 #ASEANMitsubishiElectricCup2024 #mitsubishielectriccup2024

‘รองนายกประเสริฐ’ สั่งการ ‘สคส.’  ติดตามกรณี ‘สถานบันเทิงย่านบางใหญ่’ ส่อละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลประชาชน หากพบพฤติกรรมขายข้อมูลลูกค้าโยงกลุ่มธุรกิจสีเทา ให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที 

วันที่  (6 ม.ค. 68) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เปิดเผยว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สั่งการให้ สคส. ติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด กรณีที่ปรากฎข้อมูลพนักงานสถานบันเทิงย่านบางใหญ่อาจมีการถ่ายภาพบัตรประชาชนของลูกค้าที่มาใช้บริการแล้วเกิดความกังวลในการนำข้อมูลดังกล่าวไปขายให้กับกลุ่มธุรกิจสีเทานั้นผับดังบางใหญ่ดังกล่าว โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าารกระทรวงดีอี กำชับให้เร่งรัดช่วยเหลือประชาชนที่อาจถูกละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรืออาจได้รับความเสียหายโดยเร็ว จึงได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล สคส. เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางใหญ่ พบมีประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายเข้าแจ้งความเป็นหลักฐานไว้กับ สภ.บางใหญ่ จำนวน 65 ราย จึงได้บูรณาการบังคับใช้กฎหมายร่วมกันเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิประชาชนเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายกำหนดดังนี้ 

1.แจ้งให้เจ้าของสถานบริการเร่งตรวจสอบ แก้ไข ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที และรายงานชี้แจงให้สคส.ทราบโดยเร็วภายใน 72 ชั่วโมง และ 2.ร่วมกับ สภ.บางใหญ่ ประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลผู้ได้รับความเสียหายทราบสิทธิในการร้องเรียนต่อ PDPC เพื่อเข้าสู่กระบวนการจัดการเรื่องร้องเรียนเพื่อแก้ไขเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนตลอดจนพิจารณาถึงโทษทางปกครองต่อไป นอกจากนี้ในส่วนของผู้เสียหายที่ได้แจ้งความ สภ.บางใหญ่ไว้แล้ว 65 รายนั้น ทาง สภ.บางใหญ่จะได้ดำเนินการอำนวยความสะดวกนำเข้าสู่ระบบการรับเรื่องร้องเรียน PDPC ตามความประสงค์ของผู้เสียหายต่อไป และ 3.ร่วมบูรณาการตรวจสอบขยายผลหากพบว่ามีการขายข้อมูลโดยมิชอบหรือมีการกระทำผิดอาญาอื่นๆจะได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป

ทั้งนี้ในส่วนของกรณีห้างดังที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ารูปแบบของข้อมูลที่ผู้อ้างตัวว่าเป็นแฮกเกอร์ เผยแพร่ นั้น ไม่ตรงกับข้อมูลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของห้างดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากมีประชาชนเจ้าของข้อมูลได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวสามารถใช้สิทธิร้องเรียนมายัง PDPC ผ่านทางเว็บไซต์ pdpc.or th ได้ทุกช่องทาง 

เปิดภารกิจ!! ส่งต่อหัวใจดวงที่ 109 จากอุดรธานี ถึงกรุงเทพ ส่งด่วนที่สุด!! จากดอนเมือง ไปศิริราช เพื่อให้ทันปลูกถ่าย

(5 ม.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ฝูงบิน 604 หรือ Sunny604 หน่วยฝึกการบินพลเรือน กองทัพอากาศ โพสต์ภาพพร้อมคลิปวิดีโอ การปฏิบัติภารกิจ ส่งต่อหัวใจ ดวงที่ 109 จากจังหวัดอุดรธานี ถึงดอนเมือง และจากดอนเมือง ถึงรพ.ศิริราช เพื่อปลูกถ่ายหัวใจให้กับผู้ป่วย ในเวลาเพียง 50 นาที

โดยทาง เพจได้ลงข้อความว่า วันที่ 3 มกราคม 2568 ผู้บังคับการกองบิน 6 ผู้บังคับฝูง 604

เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจจราจร และตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ รวมถึง คุณเกียรติชัย มนต์เสรีนุสรณ์ และ คุณชนาธิป สีต์วรานนท์ เจ้าของเครื่องบินที่ได้ให้การสนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้ ที่ได้ร่วมกันอำนวยความสะดวกในการนำส่ง อวัยวะหัวใจดวงที่ 109 และอวัยวะอื่น ๆ เพื่อการปลูกถ่ายอวัยวะ ณ โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 3 มกราคม 2568

การดำเนินการครั้งนี้มีความรวดเร็วและปลอดภัย ระยะทาง 30 กิโลเมตรใช้เวลาเพียง 16 นาที ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ได้แก่ 1.การประสานงานจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย 2.การจัดทีมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ 3.การสนับสนุนด้านการเดินทางทางอากาศและภาคพื้นดิน ความเสียสละและความทุ่มเทของทุกฝ่ายในครั้งนี้ เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาชีวิตผู้ป่วย ขอแสดงความขอบพระคุณอย่างสูงและยกย่องในความเสียสละนี้เป็นอย่างยิ่งครับ

ขณะที่ เฟซบุ๊กของทาง พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ รอง ผบก.จร. ซึ่งร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปว่า 3ม.ค.68 หัวใจดวงที่ 109 ดวงแรกของปี 2568 ดวงแรกมันต้องตื่นเต้นหน่อยๆ เครื่องบินมาจากอุดรธานี แต่ด้วยสภาพอากาศทำให้ล่าช้ากว่าปกติคำนวณคร่าวๆจะเหลือเวลาแค่ 50 นาทีเท่านั้น (รวมเวลาเดินทางและผ่าตัดปลูกถ่าย ซึ่งคุณหมอทีมผ่าตัดก็หลังไมค์ว่าขอเร็วที่สุดนะครับ)

ทีนี้ก็วุ่นสิ ผมถามคนขับรถพยาบาลว่าวิ่งความเร็วสูงสุดได้เท่าไหร่ เอาให้สุด เราประสานเส้นทางตั้งแต่บนฟ้า ขอบินตัดตรงแบบไม่ต้องอ้อม (อันนี้ต้องขอขอบคุณท่านผู้บังคับการ กองบิน 6 และผู้ฝูงบิน 604 ประสานขอหอบังคับการบิน) พื้นราบก็ประสานเส้นทางผ่านทั้งหมด เพื่อความคล่องตัว

ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ผมยอมรับว่าเสี่ยงมาก เราบิดที่ความเร็ว 160-170 ตั้งแต่ขึ้นโทลเวย์ ผมมีปัญหาที่แว่น เนื่องจากใช้ความเร็วมาก ลมเข้าตาชนิดหรี่ตาขี่!!! คิดแล้วแบบนี้ อันตรายแน่ๆ ผมตัดสินใจออกจากขบวนให้คนอื่นขึ้นแทน ลดความเร็ว ขี่ตามแล้วค่อยไปทันที่ด่านดินแดง และในที่สุด เราทำเวลา 16 นาทีจากฝูงบิน 604 ดอนเมือง ถึง โรงพยาบาลศิริราช

ต้องขอบคุณทุกท่านทุกฝ่ายทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง พี่เกียรติชัย นักบินเจ้าของเครื่อง HS-GOD เสียสละใช้เครื่องส่วนตัวมาทำภารกิจให้ ผู้การกองบิน6 ผู้ฝูง 604 sunny 604 ประสาน อำนวยความสะดวกในพื้นที่ ทอ . (ต้องบอกว่านักบินก็เป็นซันนี่ผมและน้องรองฟลุ๊ค ก็เป็นศิษย์การบินซันนี่ once sunny always sunny เราประสานงานได้ดี) ขอบคุณหอบังคับการบินที่ช่วยอำนวยความสะดวก ขอบคุณพี่น้องประชาชนเพื่อนร่วมทางที่เปิดทางให้ กราบขอบพระคุณทุกท่านครับ เป็นอีกภารกิจหนึ่งที่น่าจดจำ

แรงงานไทย 250 ชีวิต ฝันสลาย!! หวังได้บินไปทำงาน หารายได้ ที่ต่างประเทศ สุดท้ายรอเก้อ!! ไม่มีตั๋วเครื่องบิน ถูกหลอก สูญเงินรวมกันกว่า 12 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (4 ม.ค. 68) เวลา 21.00 น. ที่ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนหน้า ในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีทางด้านกลุ่มแรงงานไทยทั้งชายหญิงเกือบ 50 ชีวิต หอบกระเป๋าเดินทาง รวมตัวกันมาขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนของ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังจากที่ผู้เสียหายทั้งหมด ได้ทำการโอนเงินให้กับหญิงสาวรายหนึ่ง เพื่อจะได้ไปทำงานการเกษตรและอุตสาหกรรมในประเทศปลายทางคือ อิสราเอล โดยมีการนัดกำหนดเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิในช่วงสี่ทุ่มของคืนนี้ แต่พอใกล้เวลาผู้เสียหายทั้งหมดไปเช็กตั๋วเดินทางกลับไม่พบข้อมูลการจองตั๋วเที่ยวบินเพื่อเดินทางแต่อย่างใด จึงพากันมาแจ้งความในครั้งนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คอยอำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำ

นางสลิลทิพย์ หนึ่งในผู้เสียหาย ซึ่งเป็นชาว จ.บุรีรัมย์ เล่าว่า บุตรชายตนได้รับการติดต่อจากคนรู้จักกันบอกปากต่อปากกันมาชักชวนให้ไปทำงานด้านการเกษตร มีรายได้ดี จึงตอบตกลงและโอนเงินจำนวน 60,000 บาท ให้กับ น.ส.ออย ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนในการจัดหาคนงานไปทำงาน โดยนัดบินในค่ำคืนนี้จึงพากันเดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่พอมาถึงไม่พบว่ามีการจองตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด พอถาม น.ส.ออย กลับได้รับคำตอบว่าติดต่อคนที่รับงานและรับเงินไปไม่ได้ ซึ่งมีผู้เสียหายประมาณ 250 คน

เช่นเดียวกับ นายธนายุทธ อายุ 36 ปี ชาว จ.สกลนคร ได้โอนเงินไป 120,000 บาท และเหมารถเดินทางมาจากสกลนคร ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า ได้รับการชักชวนติดต่อจาก น.ส.ออย และได้มีการโอนเงิน เพื่อหวังได้ไปทำงาน เนื่องจากมีการระบุเชิญชวนว่าหากไปทำงานจะได้รับเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 70,000 บาทโดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายรวมเงินกว่าสองแสนบาท แต่จะต้องจ่ายก่อน 120,000 บาท ที่เหลือหักจากเงินเดือน ที่ตนเองหลงเชื่อใจเพราะมีการบอกกันปากต่อปากว่าสามารถพาไปทำงานได้จริง มีคนเคยไปแล้วหลายคน จึงหลงเชื่อโอนเงิน จนมีการนัดหมายให้มาเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิในคืนนี้เพื่อเดินทาง ซึ่งตนเองก็มารอตั้งแต่เช้าจนใกล้ถึงเวลากลับไม่มีไฟลต์หรือตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด

ขณะที่ น.ส.ออย อายุ 28 ปี หญิงสาวนายหน้าที่จัดหาและชักชวนกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมดว่าจะพาไปทำงานในออสเตรีย และเป็นบุคคลที่ผู้เสียหายทั้งหมดโอนเงินผ่านบัญชี ซึ่งเจ้าตัวก็เดินทางมาขอลงบันทึกประจำวันเอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยอ้างว่าเธอก็ตกเป็นผู้เสียหาย พร้อมกล่าวว่า ตนเองไปรู้จักกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อว่า ฟ้า ได้มาชักชวนว่าสามารถพาคนไทยไปทำงานที่ประเทศออสเตรียได้ หากตนสามารถหาคนไปทำงานที่ออสเตรียได้ จะได้ค่าตอบแทนหัวละ 2,000 บาท ส่วนใครที่จะไปทำงานจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตั้งแต่ 30,000–60,000 บาท หรือบางคนหนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท แล้วแต่ระยะเวลาที่จะอยู่ทำงานที่นั่น

น.ส.ออย กล่าวต่อว่า น.ส.ฟ้า ได้อ้างบอกตนว่า ทำงานในสถานทูตออสเตรียประจำประเทศไทย โดยทุกครั้งที่มีเงินของผู้เสียหายเข้ามาผ่านบัญชีของตนแล้ว ตนก็จะเบิกเงินฝากเป็นเช็คให้กับ น.ส.ฟ้าโดยนัดมอบกันที่หน้าสถานทูตออสเตรีย ซึ่งรวมผู้เสียหายแล้วประมาณ 250 คน รวมเป็นเงินที่นำฝากผ่านเช็คให้กับ น.ส.ฟ้า ไปรวมกว่า 12 ล้านบาท หลังจากที่ส่งมอบเงินและเอกสารของผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว ทาง น.ส.ฟ้า บอกว่าจะจัดการการเดินทางทั้งหมดให้ ซึ่งมีกำหนดการเดินทางในค่ำคืนนี้ โดยให้ผู้เสียนำพาสปอร์ตมาแสดงที่เคาน์เตอร์ของสายการบินเท่านั้น จึงนัดผู้เสียหายทั้งหมดมาเจอกันที่สนามบิน จนใกล้เวลาไปเช็กบอร์ดดิ้งการ์ดหรือตั๋วเครื่องบินกลับไม่พบข้อมูลการเดินทางไม่มีรายชื่อแต่อย่างใด พอโทรฯ กลับไปหา น.ส.ฟ้า กลับติดต่อไม่ได้ จึงพาผู้เสียหายทั้งหมดมาพบตำรวจ

ขณะที่ ร.ต.อ.ชนธัญ พรหมรักษา รอง สว.(สอบสวน) สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ออกมาแนะนำกลุ่มผู้เสียหาย เบื้องต้นผู้เสียหายจะต้องแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่มีการโอนเงิน แต่เนื่องด้วยผู้เสียหายมีจำนวนมากและมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก จึงมีการแนะนำให้กลุ่มผู้เสียหายรวมตัวกันไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อสะดวกกับการทำสำนวนคดี

โดยผู้เสียหายทั้งหมดนัดรวมตัวเตรียมเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนที่กองปราบปรามใน วันจันทร์ที่ 6 ม.ค. 68 ในเวลา 10.00 น.

‘โฆษก ก.ต่างประเทศ’ แถลงไม่ทิ้ง!! ลูกเรือประมงไทย ย้ำ!! เดินหน้าประสาน ทางการเมียนมา เพื่อขอให้ปล่อยตัว

(5 ม.ค. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงการ เกี่ยวกับ ‘ลูกเรือประมงไทย’ โดยมีใจความว่า ...

ตามที่เกิดเหตุการณ์ลูกเรือประมงไทย 4 คนถูกจับโดยกองทัพเรือเมียนมา และถูกตัดสินคดีต้องโทษจำคุกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันผลักดันกับทางการเมียนมาเพื่อขอให้มีการปล่อยตัวลูกเรือทั้ง 4 คนโดยเร็ว นั้น

จากการประกาศของทางการเมียนมาในเรื่องการปล่อยตัวผู้ต้องขัง และนักโทษต่างชาติเมื่อวานนี้ (4 มค. 68) รวมนักโทษชาวไทยจำนวน 152 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้มีการดำเนินการก่อนหน้านี้ ในการนี้ กระทรวงกระทรวงการต่างประเทศขอขอบคุณฝ่ายเมียนมา อย่างไรก็ดี ขอเรียนว่า ในการประกาศครั้งนี้ ยังไม่พบรายชื่อลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ที่ถูกจับกุมล่าสุด รวมอยู่ด้วย จึงเป็นที่ผิดหวังที่กระบวนการปล่อยตัวกลุ่มดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จในครั้งนี้ โดยฝ่ายเมียนมายังอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง

ในทางการทูต กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่มาโดยตลอดและจะดำเนินการต่อไป ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พยายามผลักดันให้มีการปล่อยตัวโดยเร็ว บนพื้นฐานของการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยเรื่องดังกล่าวมีคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น หรือ TBC ที่จะต้องหารือข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งรวมถึงแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกในอนาคต

ทั้งนี้ ในห้วงที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ผลักดันและติดตามกับทางการเมียนมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งขอการเข้าถึงทางกงสุล (consular access) ในหลายช่องทาง ทั้งการโทรศัพท์พูดคุยกับลูกเรือทั้ง 4 คน เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและให้กำลังใจ และล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มค. 2568 เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับอนุญาตให้นำผู้แทนญาติของลูกเรือไทยเข้าเยี่ยมลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ที่จังหวัดเกาะสอง ภาคตะนาวศรี  ซึ่งพบว่าลูกเรือไทยทั้ง 4 คน มีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจดี ได้รับการดูแลตามความเหมาะสม  และได้รับอาหารครบ 3 มื้อ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้นำสิ่งของจำเป็นไปมอบให้แก่ลูกเรือทั้ง 4 คนด้วย รวมทั้งได้แจ้งกับลูกเรือเกี่ยวกับสถานะการดำเนินการล่าสุดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในการผลักดันกับฝ่ายเมียนมาเพื่อนำไปสู่การปล่อยตัวโดยเร็ว

สุดท้ายนี้ ขอเรียนว่า กรณีนี้ มีความละเอียดอ่อนทั้งในแง่เรื่องการปล่อยตัวลูกเรือชาวไทย ประเด็นปัญหาการทำประมงของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งความสัมพันธ์ในภาพรวมของสองประเทศ ดังนั้น จึงต้องอาศัยความอดทนและช่องทางการเจรจาอย่างแนบเนียน โดยดำเนินการ ดังนี้ 

(1.) เร่งช่วยเหลือให้ลูกเรือได้รับการปล่อยตัว ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับกระบวนการภายในต่างๆ ของเมียนมาด้วย โดยกระทรวงการต่างประเทศจะผลักดันทางการทูตต่อไป 

(2.) แก้ไขปัญหาผ่านกลไก TBC ร่วมกันกับฝ่ายเมียนมาต่อไป 

ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะติดตามและดำเนินการทุกอย่างในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ ผ่านทุกช่องทางอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้คนไทยทั้ง 4 คนได้รับการปล่อยตัวต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top