Sunday, 27 April 2025
NEWS

‘โฆษก ก.ต่างประเทศ’ แถลงไม่ทิ้ง!! ลูกเรือประมงไทย ย้ำ!! เดินหน้าประสาน ทางการเมียนมา เพื่อขอให้ปล่อยตัว

(5 ม.ค. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงการ เกี่ยวกับ ‘ลูกเรือประมงไทย’ โดยมีใจความว่า ...

ตามที่เกิดเหตุการณ์ลูกเรือประมงไทย 4 คนถูกจับโดยกองทัพเรือเมียนมา และถูกตัดสินคดีต้องโทษจำคุกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันผลักดันกับทางการเมียนมาเพื่อขอให้มีการปล่อยตัวลูกเรือทั้ง 4 คนโดยเร็ว นั้น

จากการประกาศของทางการเมียนมาในเรื่องการปล่อยตัวผู้ต้องขัง และนักโทษต่างชาติเมื่อวานนี้ (4 มค. 68) รวมนักโทษชาวไทยจำนวน 152 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้มีการดำเนินการก่อนหน้านี้ ในการนี้ กระทรวงกระทรวงการต่างประเทศขอขอบคุณฝ่ายเมียนมา อย่างไรก็ดี ขอเรียนว่า ในการประกาศครั้งนี้ ยังไม่พบรายชื่อลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ที่ถูกจับกุมล่าสุด รวมอยู่ด้วย จึงเป็นที่ผิดหวังที่กระบวนการปล่อยตัวกลุ่มดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จในครั้งนี้ โดยฝ่ายเมียนมายังอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง

ในทางการทูต กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่มาโดยตลอดและจะดำเนินการต่อไป ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พยายามผลักดันให้มีการปล่อยตัวโดยเร็ว บนพื้นฐานของการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยเรื่องดังกล่าวมีคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น หรือ TBC ที่จะต้องหารือข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งรวมถึงแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกในอนาคต

ทั้งนี้ ในห้วงที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ผลักดันและติดตามกับทางการเมียนมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งขอการเข้าถึงทางกงสุล (consular access) ในหลายช่องทาง ทั้งการโทรศัพท์พูดคุยกับลูกเรือทั้ง 4 คน เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและให้กำลังใจ และล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มค. 2568 เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับอนุญาตให้นำผู้แทนญาติของลูกเรือไทยเข้าเยี่ยมลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ที่จังหวัดเกาะสอง ภาคตะนาวศรี  ซึ่งพบว่าลูกเรือไทยทั้ง 4 คน มีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจดี ได้รับการดูแลตามความเหมาะสม  และได้รับอาหารครบ 3 มื้อ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้นำสิ่งของจำเป็นไปมอบให้แก่ลูกเรือทั้ง 4 คนด้วย รวมทั้งได้แจ้งกับลูกเรือเกี่ยวกับสถานะการดำเนินการล่าสุดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในการผลักดันกับฝ่ายเมียนมาเพื่อนำไปสู่การปล่อยตัวโดยเร็ว

สุดท้ายนี้ ขอเรียนว่า กรณีนี้ มีความละเอียดอ่อนทั้งในแง่เรื่องการปล่อยตัวลูกเรือชาวไทย ประเด็นปัญหาการทำประมงของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งความสัมพันธ์ในภาพรวมของสองประเทศ ดังนั้น จึงต้องอาศัยความอดทนและช่องทางการเจรจาอย่างแนบเนียน โดยดำเนินการ ดังนี้ 

(1.) เร่งช่วยเหลือให้ลูกเรือได้รับการปล่อยตัว ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับกระบวนการภายในต่างๆ ของเมียนมาด้วย โดยกระทรวงการต่างประเทศจะผลักดันทางการทูตต่อไป 

(2.) แก้ไขปัญหาผ่านกลไก TBC ร่วมกันกับฝ่ายเมียนมาต่อไป 

ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะติดตามและดำเนินการทุกอย่างในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ ผ่านทุกช่องทางอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้คนไทยทั้ง 4 คนได้รับการปล่อยตัวต่อไป

รัฐบาล เน้นย้ำ!! เดินหน้า เสริมสร้างความมั่นคง ให้ประเทศ เตรียมพร้อม!! รับมือภัยคุกคาม ให้ครอบคลุมทุกมิติ

(5 ม.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รายงานการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยปี 2568 นี้ กอ.รมน. มุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และปรับบทบาท ให้สอดคล้องกับปัญหา ความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อสร้างโอกาส เพิ่มศักยภาพ เสริมความมั่นคงให้ประเทศยิ่งขึ้นไป

การขับเคลื่อนงานความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เดินหน้าเสริมสร้างความมั่นคงภายใต้แผนงาน ‘ตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’ ร่วมกับส่วนราชการกำหนด 1,154 ตำบลตามเป้าหมาย เพื่อมุ่งแก้ไขภัยคุกคามและพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ มีการดำเนินการจัดตั้งหมู่บ้านอาสาพัฒนาตนเอง จำนวน 55 หมู่บ้าน ใน 55 จังหวัด เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของหมู่บ้านให้มีความเข้มแข็งรักในถิ่นฐาน พร้อมเป็นส่วนร่วมในการพัฒนาและป้องกันตนเองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ 

การแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ  ได้มีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดน (นบ.ยส.) ในพื้นที่ภาคเหนือ (นบ.ยส.35) รับผิดชอบพื้นที่ 18 อำเภอ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) รับผิดชอบพื้นที่ 25 อำเภอ ของจังหวัดนครพนม เลย หนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมถึงในปี 68 จะมีการจัดตั้งหน่วย นบ.ยส.17 เพิ่มเติม เพื่อป้องกันและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคตะวันตกใน 5 อำเภอของจังหวัดกาญจนบุรี

ทั้งนี้ กอ.รมน. ได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนนโยบาย ได้แก่ 

1) การจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง ซึ่ง กอ.รมน. ร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และส่วนที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขและช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง เตรียมจัดตั้งบ้านอิ่มใจรองรับและดูแลคนไร้ที่พึ่งได้ 200 คน และจะร่วมกันดูแลด้านสวัสดิการ สังคม สุขอนามัย และการฝึกอาชีพต่อไป 

2) การบริหารจัดการที่ดินของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์ กอ.รมน. บูรณาการร่วมกับ กระทรวงกลาโหม (กห.) และเหล่าทัพ มอบพื้นที่ให้กับกรมธนารักษ์ไปดำเนินการจัดสรรให้ประชาชนเช่าใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ทั้งในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ปัจจุบันมีประชาชนได้รับสิทธิในที่ดินทำกินและอยู่อาศัย เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 55,180 ไร่เศษ 

3) การดำเนินการเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบทหารกองประจำการแบบสมัครใจ กอ.รมน ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าสร้างแรงจูงใจ การส่งเสริมการศึกษาอาชีพ โดยจะดำเนินการศึกษาแนวทางการขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทน สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ตลอดจนสิทธิ์ในการเข้ารับราชการใน กห. เหล่าทัพ และกระทรวงต่าง ๆ ต่อไป 

4) การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้บูรณาการร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 และ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการวางแผน อำนวยการและบูรณาการ การป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ในพื้นที่รับผิดชอบและพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดให้ครอบคลุม ซึ่งพบว่าจุดความร้อนสะสม พื้นที่เผาไหม้สะสม และค่าฝุ่นละอองลดลงเมื่อเทียบกับห้วงปีที่ผ่านมา 

5) นโยบาย ‘ไม่ท่วม ไม่แล้ง’ กอ.รมน. บูรณาการร่วมกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย สำรวจความเดือดร้อนของประชาชน ในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัด (ตราด จันทบุรี อุทัยธานี อุดรธานี น่าน เชียงใหม่ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) โดยจะเสนอโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเร่งด่วน 71 โครงการ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ 17,215 ครัวเรือน (49,105 ราย) 

นอกจากนี้ กอ.รมน. ได้บูรณาการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ร่องน้ำทะเลสาบสงขลาที่มีการใช้เครื่องมือประมงประเภทโพงพาง ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของสัตว์น้ำและทำให้เกิดอุบัติเหตุในการสัญจรทางเรือหลายครั้ง ปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อนเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน กอ.รมน.ภาค 4 จึงได้บูรณาการแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา และจะเชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมต่อไป รวมถึงแนวทางการเพิ่มบทบาทข้าราชการพลเรือน ปัจจุบัน กอ.รมน. กำหนดแนวทางเพื่อเพิ่มบทบาทข้าราชการพลเรือน ลดสัดส่วนของทหาร รวมถึงการกำหนดอัตรากำลังใน กอ.รมน. ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจในปัจจุบันและอนาคตของประเทศ 

“สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน. ได้นำเสนอเรื่องแนวทางการดำเนินการ โดยให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบและมีมติให้ ผอ.รมน.ภาค 4 เป็นผู้รับมอบอำนาจจาก ผอ.รมน. ดำเนินการ ประกอบด้วย การปรับโครงสร้าง อัตรากำลัง และแผนเสริมสร้างสันติสุข ของ จชต. เนื่องจากปัจจุบัน สถานการณ์ใน จชต. ในภาพรวมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สถิติความเสียหายต่อทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่การยกเลิกพื้นที่ประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นรายอำเภอ จึงมีการปรับลดอัตรากำลังพล จำนวน 178 อัตรา คงเหลือ 49,735 อัตรา ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมการถ่ายโอนภารกิจให้แก่ อส.จชต. ในปี 2570 พร้อมพิจารณาถึงแนวทางแผนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2568 ซึ่งปรับให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น มีประชาชนเป็นจุดสมดุล โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพแผนงานหลักในการวางแผน เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหา จชต. เป็นไปอย่างประสานสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

‘ดร.เสรี’ ฟันธงชี้!! หลังปีใหม่นี้ มีหนาวต่อแน่ กทม. อาจจะลงไปถึง!! 15℃ วันที่ 6 มกรา นี้

(5 ม.ค. 68)  รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการ ‘ศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต’ โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า …

#สวัสดีหลังปีใหม่สภาพอากาศหนาวเย็นช่วงแรก 5-6-7 มกราคมนี้

มาแล้วครับหนาวจริงหนาวจังหนาวแรกปีใหม่ระหว่าง 5-7 มกราคม โดยจะหนาวสุดในวันที่ 6 มกราคมนี้ครับ อุณหภูมิจะลดลงไปอีก 2-3℃ อุณหภูมิต่ำสุด กทม. และปริมณฑลอาจจะลงไปถึง 15℃ส่วนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 12℃ความหนาวเย็นจะอยู่กับเราจนถึงประมาณวันที่ 20 มกราคม จะเริ่มอุ่นขึ้น

ส่วนเรื่องของฝนก็ยังคงไม่มีอะไรน่ากังวลน่ะครับช่วงนี้ แม้ว่ามีโหราจารย์หลายสำนัก ฟันธงปีนี้จะเป็นปีดุ น้ำท่วมหนัก แต่การคาดการณ์ทางวิทยาศาตร์บ่งชี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกปี 2568 จะต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่ยังคงเป็นปีที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1.41℃ (ปีที่แล้ว > 1.5℃) จากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังนั้นสภาวะโลกร้อน และ Climate Change ยังคงส่งผลกระทบกับโลกต่อไป ประกอบกับเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว เช่นกรณี Rain bomb ไม่สามารถคาดการณ์ระยะยาวได้ จึงควรตระหนัก และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทครับ

“ เจริญชัย – ERDI-CMU ” เสริมแกร่งอนุรักษ์พลังงานสะอาด มอบ Platform AI บริหารจัดการพลังงาน Solar กับ Energy Storage ด้วยหม้อแปลง IoT (Low Carbon) ประโยชน์สูงสุดและเสถียรภาพ

พร้อมทำ Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response และประหยัดค่าไฟฟ้า     (ผลิตภัณฑ์ส่งเสริมนวัตกรรมแห่งชาติ NIA)

นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด  ส่งมอบ Platform AI บริหารจัดการพลังงาน Solar กับ Energy Storage ด้วยหม้อแปลง IoT (Low Carbon) ประโยชน์สูงสุดและเสถียรภาพ พร้อมทำ Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response และประหยัดค่าไฟฟ้า ให้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2567 สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด จัดพิธีส่งมอบ Platform AI บริหารจัดการพลังงาน Solar กับ Energy Storage ด้วยหม้อแปลง IoT (Low Carbon) ประโยชน์สูงสุดและเสถียรภาพ พร้อมทำ Net Zero,  Near Zero, Peak Demand, Demand Response และประหยัดค่าไฟฟ้า โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยคุณประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด คุณมนัสพงษ์ มั่งไคร้ ผู้จัดการส่งเสริมนวัตกรรมฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม และผู้มีเกียรติร่วมงาน ณ ห้องประชุมประเสริฐฤกษ์เกรียงไกร ชั้น 4 อาคารสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์

ดร.สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าว ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัย ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response”  ซึ่งผลที่ได้รับจากงานวิจัยในครั้งนี้ ในด้านการอนุรักษ์พลังงาน จากผลการทดสอบหม้อแปลง Low Carbon โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จะเห็นได้ว่าสามารถลดค่ากำลังไฟฟ้าได้ประมาณ 5-15% ดังนั้นผลการประหยัดพลังงานไฟฟ้า จากการติดตั้งหม้อแปลง Low Carbon ขนาด 630 kVA มีผลการประหยัดเท่ากับ 9.01%

นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด  กล่าว ขอขอบคุณ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ที่ส่งเสริมการวิจัยร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มอบ Platform AI บริหารจัดการพลังงาน Solar กับ Energy Storage ด้วยหม้อแปลง IoT (Low Carbon) ประโยชน์สูงสุดและเสถียรภาพ พร้อมทำ Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response และประหยัดค่าไฟฟ้า พร้อมทั้งขอขอบคุณสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการวิจัยในครั้งนี้ โดยหม้อแปลง IoT (Low Carbon) Platform AI บริหารจัดการพลังงาน Solar กับ Energy Storage ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานในกลุ่มเป้าหมาย ภาคอุตสาหกรรม, โรงพยาบาล, มหาวิทยาลัย, ห้างสรรพสินค้า, โรงเรียน และบ้านเรือน เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคงและเสถียรภาพ อีกทั้งยังลดความสูญเสียพลังงานและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานและราคาพลังงานในตลาด

“อลงกรณ์”หนุน”พีระพันธุ์”ขจัดผูกขาดพลังงาน โพสต์วาทะดัง”คุณไม่ได้เดินเดียวดายคนเดียว-You will never walk alone”

หลังจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานโพสต์ข้อความว่ามีขบวนการปั้นข่าวรุมถล่ม โดยระบุกลุ่มทุนพลังงานไม่พอใจการทำงานของนายพีระพันธุ์ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวานนี้

ปรากฎว่า วันนี้(5 ม.ค.)นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ปัจจุบันเป็นประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII Thailand)
และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ได้โพสต์ในเฟสบุ้คส่วนตัวถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคโดยมีข้อความดังต่อไปนี้

“….ถึง คุณพีระพันธุ์
“You will never walk alone”

ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เดินเดียวดายคนเดียว
แต่มีผมและพวกเราอีกไม่น้อยที่พร้อมสนับสนุนและเป็นกำลังใจ ไม่ใช่เพียงเพราะความเป็นเพื่อนหรือคนที่เคยทำงานใต้ชายคาเดียวกันคือพรรคประชาธิปัตย์มาเกือบ30ปีแต่เพราะตรงกันในจุดยืนขจัดการผูกขาด(Anti-Monopoly)โดยเฉพาะการผูกขาดด้านพลังงาน ประเทศของเรายังมีการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ต้องช่วยกันทลายให้หมดไปเพราะเป็นสาเหตุของปัญหาความเหลื่อมล้ำและการคอรัปชั่นที่ทำให้ประเทศล้าหลังและประชาชนยากจนมาอย่างยาวนาน ขอให้การผูกขาดจบในรุ่นของเราด้วยเจตจำนงทางการเมือง(Political will)ร่วมกันที่แน่วแน่เพื่อส่งต่อประเทศไทยที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของเรา

ทำดีไม่มีพังครับ

อลงกรณ์ พลบุตร
5 มกราคม 2568..”

‘ปวิน’ แซะ ‘ลิซ่า’ คบ ‘เฟรเดริก’ เพราะรวย เลยดูดีไปหมด ชี้!! หน้าตา ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่หล่อ!! เพราะเป็นทายาทหลุยส์

(4 ม.ค. 68) นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ หนึ่งในผู้ลี้ภัยการเมืองที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการโพสต์ข้อความถึง ‘เฟรเดริก อาร์โนลต์’ ซีอีโอทายาทอาณาจักรแบรนด์หรู LVMH แฟนหนุ่มของนักร้องหญิงไทย ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล โดยระบุว่ามีหน้าตาที่ธรรมดา ๆ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

แต่ที่ทำให้เจ้าตัวดูดีก็เพราะความรวย นอกจากนี้เจ้าตัวยังแซะ ‘ลิซ่า’ ทำนองว่าคบหาอีกฝ่ายก็เพราะเป็นทายาทหลุยส์ฯ นั่นเอง

โดยข้อความที่เจ้าตัวโพสต์นั้นระบุว่า … 

"ทายาท Louis Vuitton ถ้าไม่ใช่ทายาท ก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง หน้าตา below average แต่พอรวย เลยดูดีไปหมด ดูดีคู่ควรนักร้องสาว เหมาะสมกันดี และดิชั้นก็เชื่อว่า นักร้องสาวรักเค้าไม่ใช่เพราะเค้าเป็นทายาทหลุยส์แต่เป็นเพราะเค้าเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น..."

ทั้งนี้โพสต์ดังกล่าวได้มีคนเข้ามาแสดงความเห็นมากมายและส่วนใหญ่ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าตัวโพสต์แต่อย่างใด

‘ดร.สุวินัย’ โพสต์ข้อความ แลกเปลี่ยนกับ ‘สมภพ พอดี’ เรื่อง!! ‘วิกฤตการศึกษาของเด็กไทย และคนไทย’

(4 ม.ค. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

แลกเปลี่ยนกับคุณสมภพ พอดี เรื่องวิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทย

ผมเขียน : 
ในยุค post-post modern และเป็นยุค dataism อย่างในยุคปัจจุบัน การศึกษาสายสังคมศาสตร์ในมหาลัยกำลังถูกดิสรัป และเผชิญวิกฤตของการดำรงอยู่ ... มาทำความเข้าใจตรงกันในประเด็นนี้ก่อนดีมั้ยเอ่ย 

ขอให้กำลังใจคุณสมภพ พอดีที่เปิดประเด็นเรื่องวิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทยครับ

คุณสมภพ พอดี ตอบ :
ถ้าผมตรงเกินไป ขออภัยด้วยนะครับ
การศึกษาสายสังคมปัจจุบันเป็นความสิ้นเปลือง เป็นภาระของสังคมมากครับ
เด็กนักเรียนใช้เวลาที่ดีที่สุดของชีวิต 4 ปี ใช้เงินทอง เรียนในสิ่งที่เอาไปใช้ทำอะไรในโลกปัจจุบันและอนาคตแทบจะไม่ได้ ใช้ทำธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใดๆไม่ได้ ใช้ทำมาหากินสร้างตัว สร้างชีวิต ไม่ได้ แถมไม่สอน ไม่ฝึกฝนให้คนเรียนรู้จักคิดด้วยตรรกะ วิเคราะห์ด้วยเหตุผล

วันนึงในอนาคต หากมนุษยชาติยังคงอยู่ เขาจะตั้งคำถามว่า ทำไมคนในอดีตจำนวนมากมายถึงเสียเวลากับเรื่องพวกนี้

ผมตอบ : 
ผมเข้าใจประเด็นของคุณสมภพดีครับ อย่างไรก็ตามไม่ว่ายุคสมัยไหน สังคมย่อมต้องการ ‘นักปราชญ์’ มาพัฒนา ‘ความคิด’ อยู่ดี เพื่อตอบปัญหา ‘ความหมายของชีวิต’ (ikigai) ... เพราะในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ มันต้องการองค์ความรู้ที่กว้างกว่าและลึกกว่าวิชาทำมาหากิน 

สั้น ๆ คนเราต้องการเสพทั้ง 'ความจริง ความดี และความงาม' เพื่อบรรลุความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง (ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สังกัดอยู่ใน 'ความจริง', ความรู้ทางศาสนาสังกัดอยู่ใน 'ความดี' และความรู้ทางศิลปะ-วัฒนธรรมสังกัดอยู่ใน 'ความงาม')

‘นักปราชญ์’ หรือ ผู้นำความคิด/ ผู้ผลิตความคิดที่เป็น ‘ความจริง ความดี ความงาม’ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในทุกยุคทุกสมัย เพื่อวิวัฒน์อารยธรรมของมนุษยชาติให้รุดหน้า

แต่ในความเป็นจริงก็คือ ยุคสมัยไม่ได้ต้องการ 'นักปราชญ์หรือผู้นำความคิด' จำนวนมากมายเลย แต่มันต้องมีและต้อง 'ผลิตซ้ำ' ออกมาอย่างต่อเนื่องในระดับหัวกะทิ เพราะคนพวกนี้เปรียบเหมือน นักกีฬาโอลิมปิคในวงการความคิด

ปัญหาของสังคม Mass Society ที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับระบบ Mass Production ของเศรษฐกิจระบบทุนนิยม คือ มันสร้างระบบมหาลัย และคณะสังคมศาสตร์ ที่ผลิตนักศึกษาสายสังคมศาสตร์ออกมาในระดับ mass เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความสิ้นเปลืองของสังคมจริง ๆ เพราะ 99.9% ของนักศึกษาเหล่านี้ ไม่สามารถแสดงบทบาทหน้าที่ของ ‘นักปราชญ์’ หรือ ‘ผู้นำความคิด’ ที่สังคมต้องการได้

‘ไรเดอร์’ รถล้ม!! ยังเป็นห่วงลูกค้าที่สั่งอาหาร กลัวรอ ‘ออเดอร์’ ‘กู้ภัยใจดี’ ต้องอาสาไปส่งต่อให้เอง ทำชาวเน็ต ซึ้งในน้ำใจ

(4 ม.ค. 68) คุณต้นกล้า อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู จุดเมืองใหม่24 ได้เปิดใจเกี่ยวกับ กรณีที่ได้ช่วยเหลือ ‘ไรเดอร์’ โดยได้ระบุว่า ...

ตอนแรกตนไปส่งแฟนมา จากนั้นมาเจอเหตุกับอาสาร่วมกตัญญูบูรณะพอดี เห็นไรเดอร์เจ็บ และดูท่าทีเป็นห่วงออเดอร์ลูกค้าที่ยังไม่ไปส่ง ตรงซอยสุขสวัสดิ์ 9/1 ตนเองเลยบอกไปว่า “งั้นพี่ไปโรงพยาบาลเลย กับทางอาสาร่วมกตัญญูบูรณะนะ เดี๋ยวผมไปส่งข้าวให้ก็ได้” ซึ่งตอนนั้น ไรเดอร์ก็มีสีหน้าตกใจมาก แต่ก็ยินยอมให้ตนเอาออเดอร์ไปส่งให้ลูกค้า

โดยตนได้ขอเบอร์ลูกค้ามา แล้วบอกจะไปส่งออเดอร์ ในตอนแรกลูกค้าตกใจที่ไรเดอร์ประสบอุบัติเหตุ จึงขอออกมารับคนละครึ่งทาง แต่ตนบอกว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปส่งของเอง ลูกค้าจะได้ไม่ต้องออกมา”

จากนั้นก็ขับรถไปส่งข้าวให้กับลูกค้าแทนไรเดอร์ ก่อนจะโทรหาลูกค้า ซึ่งปกติก่อนหน้านี้ตนเองเคยรับจ๊อบเป็นไรเดอร์อยู่แล้วด้วย ก็เลยไปส่งให้ลูกค้าในระยะทาง 3 กิโลเมตร ลูกค้าเองก็ใจดีออกมารอหน้าปากซอย ไม่ให้เข้าไปหา พอส่งเสร็จลูกค้าขอบคุณ และให้ค่าน้ำมา 100 บาท ตอนแรกตนปฏิเสธแต่ทางลูกค้าก็ไม่ยอม

เหตุผลที่ตัดสินใจส่งและช่วยเหลือ เพราะว่าตนเองเป็นจิตอาสา ตั้งใจที่จะทำให้ช่วยเหลือสังคม ขณะที่ทางไรเดอร์เองก็ขอบคุณ เขาเองก็เป็นห่วงออเดอร์และก็เจ็บตัวด้วย สภาพร่างกายตอนนั้น มีแผลถลอกตามร่างกาย เนื่องจากล้ม คาดว่าน่าจะโดดฝาท่อ แต่ไม่มีคู่กรณี

ทั้งนี้ ตนได้เห็นคอมเมนต์ ก็รู้สึกดีใจมาก ที่มีคนชื่นชม เพราะปกติเห็นแต่ข่าวอาสาตีกัน จึงอยากให้คนเห็นอีกมุมมองหนึ่งของจิตอาสาอย่างพวกตนบ้าง เพราะมุมมองดี ๆ ยังมีอีกเยอะ

'ช้างศึก' กลับถึงบ้านเกิด พร้อมความมั่นใจเกินร้อย!! 'ปฏิวัติ' ลั่น!! พร้อมสู้เพื่อแชมป์ ต่อหน้าแฟนบอลชาวไทย

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค. 68) เวลา 18.30 น. ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ฟุตบอลชายทีมชาติไทย เดินทางกลับถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังเสร็จภารกิจการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024 หรือ ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก กับทีมชาติเวียดนาม

โดย ทีมชาติไทย เพิ่งบุกไปพ่ายเวียดนาม ในนัดแรก ที่ เวียด จี๋ สเตเดียม ด้วยสกอร์ 1-2 ซึ่งหลังจากนี้จะกลับมาฟื้นฟูร่างกายและฝึกซ้อมต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเกมนัดที่สอง

หลังเดินทางถึง ‘ปฏิวัติ คำไหม’ ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย กล่าวว่า “มันยังมีอีกเกมให้เราแก้ตัว พี่นิว (พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี) พยายามปลุกใจ ให้นักเตะทุกคนมั่นใจว่าเราสามารถกลับมาได้ เราต้องทำเต็มที่ ต้องสู้ต่อในเกมสุดท้าย”

“ไม่ว่าจะเจอใครเราต้องรัดกุมอยู่แล้ว แต่ต้องเน้นให้มันมากขึ้น เพราะมันเป็นเกมสุดท้ายของเรา เกมที่จะส่งผลว่าเราจะได้แชมป์หรือไม่ได้แชมป์ หลังจบเกมโค้ชอิชิอิ บอกว่าเราต้องสู้ ผ่านมาเจ็ดเกมแล้ว เหลืออีกแค่นัดเดียว ไม่มีทางอื่น ต้องก้มหน้าก้มตาสู้อย่างเดียว”

“ผมมั่นใจครับ เพราะถ้วยมาที่ไทยแล้ว มั่นใจว่าเราจะได้ ขอบคุณแฟนบอลทุกคนที่คอยซัพพอร์ตพวกเรา เกือบ 50,000 คนที่จะมาในสนาม ขอบคุณมากครับ พวกเราจะสู้ให้เต็มที่ที่สุด มันเป็นเกมนัดสุดท้ายของพวกเราด้วย เราอยากได้แชมป์ เราจะสู้เต็มที่ต่อหน้าแฟนบอลชาวไทย”

โปรแกรมนัดต่อไป ทีมชาติไทย จะทำศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 รอบชิงชนะเลิศ เลกสอง พบกับ ทีมชาติ เวียดนาม ที่ สนาม ราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 5 มกราคม 2568 เวลา 20.00 น. 

ถ่ายทอดสดทาง ไทยรัฐทีวี ช่อง 32, AIS PLAY, True sport2 ช่อง 667

มาร่วมกันเชียร์บอลไทยไปด้วยกัน

‘จักรภพ’ พาคนรัก!! เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ขอคำปรึกษาทักษิณ เตรียมจดทะเบียนสมรส

(4 ม.ค. 68) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก และ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (3 ม.ค. 68) ตนพร้อมด้วย นายสุไพรพล ช่วยชู หรือ ป๊อบ คู่ชีวิต  เดินทางเข้าพบ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อเรียนเชิญเป็นสักขีพยานในการจดทะเบียนสมรส รับกฎหมาย พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ประเทศไทยจะประกาศใช้ ในวันที่ 22 มกราคม 2568 

นายจักรภพ กล่าวว่า การเข้าพบครั้งนี้ เพื่อขอคำปรึกษา ดร.ทักษิณ เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสและการฉลองแต่งงานของเรา ในฐานะที่ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ที่บทบาทสำคัญในการผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ในนามพรรคเพื่อไทย จนนำไปสู่ประกาศใช้ในวันที่ 22 มกราคมนี้ นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก เพราะว่าคนเพศเดียวกันหรือที่เรียกว่า LGBTQ+ ก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้ เหมือนกับมนุษย์คนอื่นในโลกนี้ เพื่ออยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเดียวกัน 

“ท่านเมตตาให้คำปรึกษาอย่างผู้ใหญ่ในครอบครัวทั้งในเรื่องวัน เวลา รูปแบบ แม้แต่ฤกษ์พานาที โดยท่านย้ำว่า ต้องยึดหลักโบราณเพื่อหาวันที่เหมาะสม” นายจักรภพ กล่าว นายจักรภพ กล่าวถึงเส้นทางความรักของตัวเองว่า คบหาดูใจกับ คุณป๊อบมายาวนานถึงกว่า 23 ปี พอ ๆ กับ การผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เมื่อปี 2544 ที่รัฐบาล นำโดยนายกรัฐมนตรี ทักษิณ  เริ่มเสนอแนวคิดให้คนรักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย แต่ต้องยุติลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระแสสังคมต่อต้าน รัฐบาลจึงมองเห็นว่าสังคมไม่พร้อม เรื่องนี้จึงตกไป ต่อมา ปี 2555 มีการเรียกร้องจากกลุ่ม LGBTQ+ ต้องการจดทะเบียนสมรส แต่ถูกปฏิเสธ จึงได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง 

ต่อมาในปี 2556 สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีผลักดันให้มีกฎหมายรองรับของกลุ่ม LGBTQ+ อีกครั้ง โดยได้ยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตเพื่อให้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สำเร็จ และยุติลงในปี 2557  หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนและพรรคการเมือง และกระแสโลก ที่เรียกร้องสมรสเท่าเทียม และมีการเดินหน้าอย่างจริงจัง จนนำไปสู่ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ในสมัยรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และจะประกาศใช้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ ในรัฐบาลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นับเป็นการผลักดันต่อสู้อย่างยาวนานของพรรคเพื่อไทย ในการสร้างประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกจนประสบความสำเร็จในที่สุด

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผย!! วันนี้ โลกใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในรอบปี ชี้!! หลายคนสับสน เข้าใจผิด คิดว่า ‘ฤดูหนาว’ เพราะโลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์

(4 ม.ค. 68) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า โลกใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบปี ระยะห่างประมาณ 147 ล้านกิโลเมตร โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีและดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ตรงศูนย์กลางวงรีพอดี ดังนั้นมี 2 ตำแหน่งที่โลกจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดและไกลดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบ 1 ปี จุดที่ใกล้ที่สุด เรียกว่า Perihelion และจุดที่ไกลที่สุด เรียกว่า Aphelion

ในวันนี้ ดวงอาทิตย์จะขึ้นตอนเวลา 06:42 น. และตกเวลา 18:03 น. ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว จุดนี้หลายคนในเมืองไทยมักสับสนและเข้าใจผิดว่าฤดูหนาวเป็นเพราะโลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์ แต่ที่จริงแล้วตรงกันข้าม ฤดูหนาวของประเทศไทยโลกจะอยู่ในจุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่มากสุด ดังนั้น ฤดูหนาวไม่ได้เกิดเพราะโลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุด และฤดูร้อนไม่ได้เกิดเพราะโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด

เนื่องจากแกนหมุนของโลกเอียงทำมุม 23.5 องศา กับระนาบตั้งฉากวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกจึงได้รับแสงอาทิตย์ในปริมาณต่างกัน ทำให้มีอุณหภูมิต่างกัน รวมถึงมีระยะเวลากลางวันและกลางคืนที่ต่างกันด้วย เป็นเหตุให้เกิดฤดูกาลขึ้นบนโลก

‘ฮุนได’ เดินหน้าจัดโครงการ ‘Future Mobility School’ ปีที่ 2 เพื่อสร้างทักษะ หนุนเยาวชน!! ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุดประกายการเดินทางที่ยั่งยืน

(4 ม.ค. 68) ‘ฮุนได’ ประกาศความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน เปิดตัวโครงการ Future Mobility School ปีที่ 2 เพื่อเตรียมความพร้อมของเยาวชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการเป็นผู้นำด้านการเดินทางซึ่งกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วผ่านหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริง โครงการนี้จัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะและองค์ความรู้ให้กับนักเรียนจำนวน 1,150 คน ใน 12 โรงเรียนจาก 4 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขับเคลื่อนการเดินทางที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ‘ความก้าวหน้าเพื่อมวลมนุษยชาติ’ (Progress for Humanity) ของฮุนได

โครงการ Future Mobility School สะท้อนถึงภารกิจของฮุนไดในการส่งเสริมโซลูชันการเดินทางให้เป็นพลังเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ผ่านการปลูกฝังให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโซลูชันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและสอดรับกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม หลักสูตรในปีนี้นำทีมโดยครูผู้ทุ่มเทจำนวน 19 คน พร้อมต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาผ่านการยกระดับการมีส่วนร่วมและส่งเสริมการคิดเชิงนวัตกรรมของเด็กนักเรียน ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้และการมีส่วนร่วมที่เข้มข้นด้วยตนเอง

“ฮุนไดมุ่งมั่นพัฒนาการเดินทางให้เป็นพลังเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีและอนาคตที่ยั่งยืน” มร.ซันนี่ คิม ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก สำนักงานใหญ่ กล่าว “โครงการ Future Mobility School มุ่งส่งเสริมทักษะแก่เยาวชนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการมอบทักษะและองค์ความรู้เพื่อให้พวกเขาเป็นผู้นำด้านการเดินทางที่ยั่งยืน และด้วยแนวทางการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการคิดค้นนวัตกรรมนี้ เรากำลังเตรียมคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโซลูชันการเดินทางแห่งอนาคตที่เปี่ยมความหมายร่วมกัน กิจกรรมนี้ยังแสดงให้เห็นถึงโครงการระดับโลกของเราในการพัฒนาผู้ที่มีความสามารถของแต่ละท้องถิ่น และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชุมชนต่าง ๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

โครงการ Future Mobility School สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของฮุนไดที่เน้นย้ำว่า ความก้าวหน้าจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม ซึ่งเอื้อให้คนรุ่นหลังสามารถใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยสันติภาพและความสะดวกสบาย โดยฮุนไดยังคงมุ่งมั่นต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนเยาวชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการมอบองค์ความรู้ด้านการเดินทางที่ยั่งยืนและการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ศูนย์การศึกษาเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศแห่งเอเชียแปซิฟิก (APCEIU) ภายใต้องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  (UNESCO) ตระหนักถึงการสนับสนุนของฮุนได โดย มร.ลิม วอนจิน หัวหน้าสำนักงานครูแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ กล่าวว่า “เด็ก ๆ ในวันนี้ก็คือผู้นำในอนาคต ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องสนับสนุนให้พวกเขาร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โครงการ Future Mobility School ของฮุนไดเป็นการต่อยอดความพยายามเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นตัวอย่างของการสร้างแรงบันดาลใจด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและความร่วมมือในระดับโลก”

เสียงตอบรับจากโครงการ Future Mobility School
แนวทางการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติและมีประสบการณ์จริงของหลักสูตรช่วยบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์และวิธีการแก้ปัญหาของนักเรียนเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับประเด็นต่าง ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น การเดินทางที่ยั่งยืน การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรม โดยเหล่านักศึกษาและนักเรียนได้มาร่วมแบ่งปันถึงผลลัพธ์ของโครงการนี้

ชาริฟาห์ นูร์ ฟาซิลาห์ ครูจากโรงเรียน SK Seri Budiman ในมาเลเซีย แสดงความคิดเกี่ยวกับหลักสูตรการสอนว่า “โครงการ Future Mobility School ช่วยกระตุ้นกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ และการตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของเด็ก ๆ โดยนักเรียนได้รับการสอนให้รู้จักรีไซเคิลสิ่งของต่าง ๆ ในระหว่างการเรียนหลักสูตรนี้”

ชาห์ซาดา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนประถม Muhammadiyah Sapen ในยอกยาการ์ตา อินโดนีเซีย กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “รู้สึกตื่นเต้นมากในตอนแรก แต่เมื่อผมเริ่มทำ มันก็สนุกมาก ผมได้ทำกระเป๋าเงินรีไซเคิลจากเบาะนั่งรถยนต์เก่าที่มีข้อความ รักษ์โลก อยู่ด้านหลังด้วย” ประสบการณ์ของเขาเน้นย้ำถึงความสำเร็จของหลักสูตรในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในหมู่เด็กนักเรียน 

ในขณะที่ พจน์ วิเศษหอมดี อายุ 15 ปี นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมในประเทศไทย กล่าวแสดงความเห็นด้วยว่า “โปรแกรมนี้มอบประสบการณ์องค์ความรู้ใหม่ให้กับเรา ผมอยากให้โรงเรียนอื่น ๆ ได้มาร่วมโครงการนี้ด้วย”

โครงการ Future Mobility School ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำเสนอหลักสูตรที่เน้นย้ำสาระสำคัญเดียวให้กับเด็กนักเรียนทุกคน นั่นคือการรักษ์โลกโดยให้ความสำคัญกับการเดินทางที่ยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้ทำให้ฮุนไดวางแผนสานต่อและขยายโครงการนี้ไปสู่ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมพันธกิจระยะยาวในการพัฒนาผู้นำแห่งอนาคตและสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมในแต่ละท้องถิ่น โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงถึงวิสัยทัศน์ด้านการเดินทางที่อย่างยั่งยืน และความมุ่งมั่นสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนของฮุนได

ขอนแก่น - "เหล่ากาชาด" มอบผ้าห่มกันหนาวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว

(4 ม.ค. 67) เหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น มีกำหนดมอบผ้าห่มกันหนาวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภัยหนาวในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่น รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,000 ผืน

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า  ที่สำนักงานเทศบาลตำบลพระ ลับ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น นายชินกร แก่นคง นายอำเภอเมืองขอนแก่น  ร่วมมอบผ้าห่มกันหนาวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว โดยมี นางกรรณิกา กองฉลาด  นายกเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น มอบผ้าห่มกันหนาวแก่ประชาชนผู้ประสบภัยหนาว ในพื้นที่ตำบลพระลับ จำนวน 211 คน ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง ที่มีฐานะยากจน โดยเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น  มีกำหนดมอบผ้าห่มกันหนาวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภัยหนาวในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่น รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,000 ผืน

ด้าน นางกรรณิกา กองฉลาด นายกเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่าที่ผ่านมา เหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น ได้จัดกิจกรรมของเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น ภายในงานเทศกาลไหมนานาชาติ ประเพณีผูกเสี่ยว งานกาชาดจังหวัดขอนแก่น และงานขอนแก่นซอฟต์พาวเวอร์ ประจำปี 2567 เพื่อเชิญชวนประชาชนจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง เข้าร่วมกิจกรรมมหากุศล เพื่อเป็นการระดมเงินทุนให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น เพื่อจะได้นำเงินเหล่านั้นไปช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบสาธารณภัย ผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ การรับบริจาคโลหิต การส่งเสริมคุณภาพชีวิต และกิจกรรมสาธารณกุศลต่างๆ ของเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น

‘มนพร‘ สั่งจัดการทันทีหลังโซเชียลมีการแชร์ถูกลวนลามบนรถประจำทาง พร้อมสั่งการรถทุกคันหากมีเหตุลักษณะดังกล่าวอีกให้ขับรถส่งตร.ทันที

(4 ม.ค.68) นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ทันทีที่ดิฉันทราบข่าวจากช่องทาง X ซึ่งผู้ใช้บัญชี @idcfuc ระบุว่าถูก ลวนลามผู้โดยสารบนรถโดยสารประจำทาง เมื่อวานนี้ (3 มกราคม) ดิฉันได้ประสานไปยังกรมการขนส่งทางบกทันที เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบกรณีดังกล่าว ซึ่งกรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการตรวจสอบพบว่า เป็นชายใส่เสื้อสีแดง ลวนลามผู้โดยสารที่มีที่นั่งติดกัน  ทำให้ผู้ร้องตกใจ จึงได้แจ้งพนักงานบริการบนรถให้จัดการกับบุคคลดังกล่าว ซึ่งพนักงานบริการบนรถได้ให้คนที่ถูกลวนลามย้ายที่นั่ง แต่ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆกับบุคคลที่ก่อเหตุ และแนะนำให้ไปแจ้งความ

นางมนพร ระบุอีกว่า ตนยังได้สั่งการโดยให้กรมการขนส่งทางบก และบริษัทขนส่งประสานเจ้าทุกข์เพื่อแจ้งความดำเนินคดี นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ รถร่วม บขส.ทุกคัน ดำเนินการตามแผนรับมือเหตุการณ์การคุกคามทางเพศ ตามมาตรการที่ บขส. กำหนด คือ ให้ ดำเนินการตั้งแต่ เมื่อเผชิญเหตุต้องช่วยเหลือผู้โดนคุกคาม และต้องขับรถไปสถานีตำรวจที่เกิดเหตุทันที เพื่อดำเนินคดี รวมถึงการดำเนินการต่างๆเพื่อลงโทษผู้คุกคามทางเพศตามกฎหมาย 

เชียงใหม่-ช่างฟ้อนกว่า 500 คน ฟ้อนเล็บ“อัตลักษณ์แบบคุ้มเจ้าหลวงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี”ถ่ายทำ VTR

การถ่ายทำ VTR ฟ้อนเล็บ“แบบคุ้มเจ้าหลวงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ” ในครั้งนี้มี แม่ครู ผู้นำหน่วยงาน ช่างฟ้อน และประชาชนเข้าร่วมการถ่ายทำกว่า 500 คน เพื่อประชาสัมพันธ์งานเฉลิมฉลอง สมโภชเชียงใหม่ อายุ 729 ปี 

วันเสาร์ที่ (4 ม.ค. 68) สมาคมสตรีนครเชียงใหม่ โดยคุณวรัญญา เลิศวรกิจพิพัฒน์ นายกสมาคมสตรีนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยดร.พิทักษ์ กาวีวน รองศึกษาธิการ จ.เชียงใหม่ เจ้าวันเพ็ญ ณ เชียงใหม่ ตัวแทนสภาวัฒนธรรม จ.เชียงใหม่ นายภูธาดล ธีรอธิยุต รองผู้อำนวยการอุทยานหลวงราชพฤกษ์ แถลงข่าว ภายหลังเสร็จสิ้นการถ่ายทำ VTR งานฟ้อนเล็บอัตลักษณ์ สมโภช 729 ปี เชียงใหม่ โครงการ สมโภชเชียงใหม่ 729 ปี “นครเชียงใหม่เมืองแห่งความสุขด้วยวิถีวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน” ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ เชียงใหม่

คุณวรัญญา เลิศวรกิจพิพัฒน์ นายกสมาคมสตรีนครเชียงใหม่  กล่าวว่า สมาคมสตรีนครเชียงใหม่ ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ ,องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ,วัฒนธรรม ,สภาวัฒนธรรม,ศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ ,องค์กรเครือข่ายวัฒนธรรมอำเภอทุกอำเภอจังหวัดเชียงใหม่ และ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ได้ถ่ายทำวิดีทัศน์ประชาสัมพันธ์  ฟ้อนเล็บอัตลักษณ์แบบคุ้มเจ้าหลวงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี โดยในครั้งนี้มีแม่ครู ผู้นำหน่วยงาน ช่างฟ้อน และประชาชน เข้าร่วมการถ่ายทำกว่า 500 คน เพื่อประชาสัมพันธ์งานเฉลิมฉลอง สมโภชเชียงใหม่ อายุ 729 ปี ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ 

การถ่ายทำวิดีทัศน์ประชาสัมพันธ์ เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานสมโภชเชียงใหม่ 729 ปี"นครเชียงใหม่เมืองแห่งความสุขด้วยวิถีวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน" ที่จะจัดขึ้น ในวันที่ 18-20 เมษายน 2568 ณ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ และบริเวณรอบคูเมืองด้านใน ได้แก่ ประตูช้างเผือก ประตูท่าแพ ประตูเชียงใหม่ ประตูสวนปรุง ประตูสวนดอก 

นอกจากนี้ ในวันที่ 19 เมษายน 2568 ยังมีการจัดพิธีมหามงคลบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายบูรพกษัตริย์ และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ร่วมทำบุญตักบาตร พระภิกษุสงฆ์สามเณร 729 รูป พิธีบวงสรวงถวายบูรพกษัตริย์ และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ตามแบบประเพณีล้านนา พิธีถวายสักการะโดยจัดขบวนแห่เครื่องราชสักการะตามแบบประเพณีล้านนา รวมถึงขบวนฟ้อนเล็บอัตลักษณ์ แบบคุ้มเจ้าหลวงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เพื่อถวายและเฉลิมฉลองเมืองเชียงใหม่ เป้าหมาย ผู้เข้าร่วมฟ้อนเล็บอัตลักษณ์เชียงใหม่ จำนวน 19,901 คน จากประตูเมืองทั้ง 4 ทิศ สู่บริเวณพิธี

นอกจากนี้ยังได้มีการจัดนิทรรศการ และการแสดงเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ล้านนาระหว่าง วันที่ 18-20 เมษายน 2568

นภาพร/เชียงใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top