Sunday, 11 May 2025
NEWS

รองนายกฯ ‘ดอน ปรมัตถ์วินัย’ ซัด มอ. หากเชิญ ‘ปวิน’ สอนออนไลน์จริง สั่งกระทรวง อว. สอบเป็นกรณีพิเศษ ชี้ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง เท่ากับถ่ายทอดปัญหาให้เด็กไทย

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ที่ปรึกษาของนายโจไบเดน คุยกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โทรศัพท์พูดคุยกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย โดยแสดงความเป็นห่วง กรณีการจับกลุ่มผู้ชุมนุม ม.112 ในประเทศไทย ว่า เรื่องดังกล่าวอาจมีความเข้าใจผิด เนื่องจากเท่าที่ตนทราบ ระหว่างการพูดคุย ไม่มีการยก ความกังวลเรื่องม.112 ขึ้นมา แต่ในระดับเจ้าหน้าที่ที่ออกสเตทเม้นต์มีการพูดคุย

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มผู้มีการพูดคุยหารือถึงความกังวล กรณีการจับกุมผู้ชุมนุมม.112 ในไทยด้วยหรือไม่ นายดอน กล่าวว่า ไม่ เขาพูดคุยกันในสถานการณ์ทั่วไปก็หวังว่าจะไม่มีอะไรที่วุ่นวาย รุนแรง บานปลาย ซึ่งถือเป็นท่าทีปกติ และที่ผ่านมาสหรัฐฯ ก็เห็นการชุมนุมในประเทศไทย เป็นการชุมนุมที่มีการรับมือ ควบคุมสถานการณ์ ได้เป็นปกติ ไม่มีความรุนแรงเหมือนประเทศอื่น ๆ อย่างมากก็มีการฉีดน้ำ ซึ่งในหลักสากลแล้วถือว่าไม่รุนแรง

ส่วนกรณีที่นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโตในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง โพสต์ทวิตเตอร์ถึงการสอนหนังสือออนไลน์ มายังคณะเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ วิทยาเขตสงขลา (มอ.) นายดอน กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะการโพสต์ทวิตเตอร์โดยปกติแล้วมักมีสีสันเข้ามาด้วย

เมื่อถามว่าการที่ทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองสอนหนังสือออนไลน์มาอย่างนี้เหมาะสมหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อันดับแรกต้องไปถามมหาวิทยาลัย ว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร ตนในฐานะกำกับดูแลงานกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ก็ยังไม่ได้คุยสอบถามจากรัฐมนตรี

แต่คิดว่าหากมีข้อเท็จจริงเขาคงปรึกษามาแล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ ส่วนจะส่งผลกระทบ ต่อการศึกษาไทยหรือไม่นั้น ต้องหาข้อเท็จจริงมาก่อน เนื่องจากสิ่งที่พูดออกไปหรือแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานาคุมไม่ได้อยู่แล้ว และไม่สามารถรับรู้ได้ว่าจะออกมาในแนวใด

"กรณีนี้เป็นเรื่องที่ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นแสดงว่าเป็นปัญหาของมหาวิทยาลัย โดยส่วนตัวมองว่าคนที่มีปัญหาอยู่แล้ว และถูกเชิญให้มาสอน แสดงว่าผู้เชิญเป็นคนมีปัญหา และหากมาสอนจริง มีการถ่ายทอดสิ่งที่เป็นปัญหาสารพัดให้กับเด็กโยงกันไปหมด

ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควร เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้เชิญต้องมีปัญหาโดยจะสั่งการให้ กระทรวงอว.ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นกรณีเป็นพิเศษ เพราะเอาคนที่มีปัญหา กับชาติ กับสถาบัน และความมั่นคง มาถ่ายทอดปัญหาสู่เยาวชน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องกับกระบวนการศึกษาของไทย" นายดอนกล่าว

องค์การเภสัชกรรม ร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องวิจัยวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 เดือน มี.ค.นี้ โดยใช้โรงงานสระบุรี จากผลิตวัคซีนหวัดใหญ่เป็นวัคซีนโควิดแทน คาดผลิตได้ 25 - 30 ล้านโดส

ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมผู้บริหารสธ. แถลงข่าวศึกษาวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเชื้อตายวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 ว่า รัฐบาลได้ทำสัญญาหรือออกใบสั่งซื้อวัคซีนโควิ-19 ทั้งหมด 63 ล้านโดสแล้ว แบ่งเป็น…

- 61 ล้านโดสจากความร่วมมือของแอสตราซิเนกาและสยามไบโอไซเอนซ์

- ส่วนอีก 2 ล้านโดสจากจีนคือ ซิโนแวค

โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการจัดส่งตามระยะเวลากำหนด ซึ่งในส่วนของซิโนแวคจำนวน 2 ล้านโดส ล็อตแรก 2 แสนโดสในเดือนก.พ นี้ และมี.ค. 8 แสนโดส จากนั้น เม.ย. 1 ล้านโดส ส่วนภายใน พ.ค. - มิ.ย. จะเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะผลิตล็อตแรก 26 ล้านโดส

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เราไม่ได้แทงม้าตัวเดียว โดยในไทยก็มีผลิตเอง จากความร่วมมือขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และสถาบันวิจัยวัคซีนของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ อีก อย่างล่าสุดองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัจจุบันที่ใช้ผลิตวัคซีนหลายชนิด รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

องค์การฯ เริ่มดำเนินการโครงการนี้มาตั้งแต่กลางปี 2563 ขณะนี้ได้ทำการทดสอบในสัตว์ทดลองแล้ว พบว่าวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ผลดีและปลอดภัย เตรียมทำการศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ระยะที่ 1 ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าศูนย์วัคซีน เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ในเดือนมีนาคมนี้

เมื่อศึกษาวิจัยครบทั้ง 3 ระยะ และผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันซึ่งป้องกันการเกิดโรคโควิด-19 ได้ จะยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และจะทำการผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่โรงงานผลิต(วัคซีน) ชีววัตถุ ขององค์การฯ ที่ จ.สระบุรี ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีเทคโนโลยีไข่ไก่ฟักที่ใช้ผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว พร้อมปรับมาใช้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ทันที

“หากเป็นไปตามที่คาดหวัง ปี พ.ศ. 2565 องค์การฯ จะสามารถเริ่มการยื่นขอรับทะเบียนตำรับ (Rolling Submissions) คู่ขนานกับการศึกษาวิจัยในระยะที่ 3 และจะสามารถผลิตวัคซีนเพื่อใช้ในประเทศได้ภายหลังการได้รับทะเบียนตำรับ โดยจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ ประมาณ 25-30 ล้านโดสต่อปี” นายอนุทิน กล่าว

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) กล่าวว่า การวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นี้ ถือเป็นตัวแรกของไทยที่เข้าสู่การวิจัยในมนุษย์ โดยเป็นความร่วมมือกับสถาบัน PATH ประเทศ ซึ่ง PATH ได้ส่งหัวเชื้อไวรัสตั้งต้นที่พัฒนาโดยโรงเรียนแพทย์ที่ Mount Sinai ในนิวยอร์ค และมหาวิทยาลัยเท็กซัส มาให้องค์การเภสัชกรรม เพื่อใช้ในการผลิตวัคซีน

หัวเชื้อไวรัสตั้งต้นดังกล่าวเกิดจากการตัดแต่งพันธุกรรมไวรัสนิวคาสเซิล ให้มีโปรตีนส่วนหนาม (Spike protein) ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 อยู่ที่ผิว ซึ่งไวรัสที่ตัดแต่งพันธุกรรมนี้ไม่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 และสามารถเพิ่มจำนวนได้ในไข่ไก่ฟักเหมือนกันกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ อีกทั้งสามารถใช้กระบวนการผลิตคล้ายกับการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ การที่องค์การฯ มีโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตในไข่ไก่ฟักพร้อมอยู่แล้ว จึงมีศักยภาพในการรับไวรัสตั้งต้นดังกล่าวมาผลิตในระดับอุตสาหกรรมต่อไปได้

ขณะที่ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า เทคโนโลยีของโรงงานวัคซีนที่สระบุรีนั้นเดิมผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กำลังจะขยายเป็น 4 สายพันธุ์เร็วๆ นี้ การที่เราจะใช้เพื่อการผลิตวัคซีนโควิด-19 ด้วยนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาอะไรเพิ่มเติม เพราะใช้เทคนิคเดียวกันกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่คือเป็นวัคซีนเชื้อตาย เพาะเลี้ยงในไข่ไก่

แต่วัคซีนโควิดฯ จะทำได้เร็วกว่าด้วยเพราะผลิต 1 สายพันธุ์ และการเพาะเลี้ยงในไข่ไก่ก็จะทำให้ได้ปริมาณมากกว่าด้วย ปัจจุบันโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 25-30 ล้านโดสต่อปี ขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และงบขององค์การฯ รวมประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อติดตั้งไลน์การบรรจุวัคซีนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 60 ล้านโดสต่อปี และถ้าวัคซีนโควิดฯ สำเร็จ แล้ว

โรงงานดังกล่าวไม่จำเป็นต้องแบ่งสัดส่วนการผลิตวัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้ สามารถผลิตได้ตามความต้องการใช้ เพราะช่วงเวลาที่ต้องการใช้วัคซีนเหลื่อมกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จะผลิตวัคซีนโควิดฯ ต้นแบบเพื่อการวิจัยในคนระยะที่ 1 และ 2 ราวๆ 1 พันโดส แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ 1 ไมโครกรัม 3 ไมโครกรัมและ 10 ไมโครกรัม

พญ.พรรณี กล่าวว่า "สำหรับการทดลองในคนนั้นจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะ ที่ 1 โดยเปิดรับอาสาสมัครจำนวน 210 คน ที่มีสุขภาพดี อายุ 20 ปี ขึ้นไป ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน ดังนั้นจะต้องมีการตรวจหาภูมิคุ้มกันโรค IgG โดยจะเริ่มให้วัคซีนในเดือนมี.ค.นี้ แบ่งเป็นกลุ่มๆ คือ กลุ่มที่ได้วัคซีนจริงในปริมาณที่แตกต่างกัน กลุ่มที่ได้วัคซีนหลอก และกลุ่มที่ได้รับสารเสริมฤทธิ์เพิ่มเติม"

"ทั้งนี้ ใช้เวลาทดลอง 1 - 2 เดือน เพื่อดูความปลอดภัย และขนาดที่เหมาะสม ก่อนจะนำไปสู่การทดลองในคนระยะที่ 2 คาดว่าจะเริ่มในเดือน เม.ย. หรือพ.ค. นี้ ซึ่งจะใช้อาสาสมัครจำนวน 250 คน โดยเลือกสูตรที่เหมาะสม และเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับอะไรเลย จากนั้นจึงวิเคราะห์ข้อมูลและนำสู่การทดลองในระยะ 3 ต่อไป อย่างไรก็ตามระยะที่ 1 และ 2 สามารถทำในประเทศไทยได้ แต่ระยะที่ 3 ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยด้วย หากไทยมีผู้ป่วยน้อยอาจจะต้องนำไปทดสอบในต่างประเทศ"


ที่มา: https://www.hfocus.org/content/2021/02/21033

กองทัพเรือ ปฏิบัติการเชิงรุก เปิดแฟนเพจเฟซบุ๊ก 'เรือดำน้ำไทย Thai Submarines' พร้อมตั้งทีมงาน 'ป้อนข้อมูล' ที่ถูกต้อง หวังสร้างความเข้าใจกับประชาชน ลดกระแสต่อต้าน

เมื่อวันที่ 12 ก.พ.จากกระแสข่าวจัดทำงบประมาณ 2565 ของกองทัพเรือ ที่ไม่ได้บรรจุรายการ จัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 หลังถูกชะลอไปในปีงบประมาณ 2564 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโวิด 19

ล่าสุด กองทัพเรือ โดย พล.ร.ท.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ ได้จัดตั้ง facebook fanpage “เรือดำน้ำไทย Thai Submarines” มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องเรือดำน้ำแก่สาธารณชนผู้สนใจ โดยการจัดตั้งสื่อกลางในรูปแบบ Social Media เนื่องจากกองทัพเรือไม่เคยจัดตั้งสื่อกลางใน Social Media เพื่อการค้นคว้าหาความรู้เรื่องเรือดำน้ำขึ้นมาโดยเฉพาะมาก่อน

ทั้งนี้ กองทัพเรือเข้าใจดีว่า ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร เกี่ยวกับเรือดำน้ำนั้น มีองค์ประกอบหลายด้านที่มากกว่าการเป็น “ยุทโธปกรณ์” และมีเนื้อหาสาระ ความรู้ ที่สาธารณชนผู้สนใจทั่วไปสามารถรับรู้ร่วมกันได้ ประกอบกับหนึ่งในบทบาทสำคัญของกองทัพเรือ คือเป็นหน่วยงานที่มีส่วนในการสร้างสรรค์สังคมแห่งการเรียนรู้

สำหรับหัวข้อที่จะนำเสนอใน Facebook Fanpage “เรือดำน้ำไทย Thai Submarines” ที่สำคัญได้แก่ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเรือดำน้ำ, ประวัติศาสตร์เรือดำน้ำ ทั้งของสากลและของไทย, สารคดีเกี่ยวกับเรือดำน้ำ, ข่าวสารทั่วไปเกี่ยวกับเรือดำน้ำทั้งในและต่างประเทศ, บทความทั่วไป บทวิเคราะห์ บทความทางวิชาการ,ข้อถามตอบ/แลกเปลี่ยนความคิดเห็น, นำเสนอกิจกรรมที่เกิดขึ้น, link ต่าง ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรือดำน้ำ, การแถลงข่าวของกองทัพเรือ

สำหรับแนวทางการดำเนินงาน กองทัพเรือจัดตั้งทีมงานขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อเป็นผู้รวบรวมประสานงาน นำเสนอข้อมูลเสนอใน Facebook Fanpage “เรือดำน้ำไทย Thai Submarines” อย่างต่อเนื่อง พร้อมมีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในภายนอกกองทัพเรือร่วมสนับสนุนข้อมูล ทั้งยังเปิดกว้างยังสาธารณในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ร่วมกัน

ทั้งนี้ กองทัพเรือ มีความตั้งใจและปรารถนาดีที่จะได้นำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ดังที่กล่าวข้างต้นเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ด้วยความตระหนักถึงพี่น้องประชาชน และด้วยกองทัพเรือ คือหนึ่งในเครื่องมือความมั่นคงของชาติ ที่เราจะได้เรียนรู้ถึงบทบาทของกองทัพเรือร่วมกัน

'โฟกัส' แนะลดงบประมาณกองทัพ เจียดเงินช่วยประชาชน พร้อมวางแผนเยียวยาแบบยั่งยืน ดีกว่าช่วงแบบแจกเงินส่ง ๆ

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 โฟกัส จีระกุล ดารานักแสดง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณ โดยระบุว่า...

เพียงลด ‘งบประมาณ’ ที่ ‘ไม่จำเป็น’ นำมาพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ นำมาทำแผนเยียวยาแบบยั่งยืน ที่ไม่ใช่การแจกเงินส่ง ๆ สอนให้คนรู้จักทำงาน หาช่องทางทำงานให้เค้า เยียวยาธุรกิจเล็ก ๆ ช่วยเหลือคนตกงาน

ลองเริ่มจากลดงบ ‘กองทัพ’ ดูค่ะ งบที่มากมายขนาดนั้น เงินมากมายที่ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด เจียดเงินมาช่วยเหลือประชาชนบ้างเถอะค่ะประชาชนจะได้ไม่อดตาย

ผศ.ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ เป็นนักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก 'ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์' เกี่ยวกับความเด็ดขาดในประเทศรัสเซีย ที่ผู้นำจัดการกลุ่มต่อต้าน

โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานเป็นหุ่นเชิดให้ต่างชาติมาคอยแทรกแซงประเทศว่า...

"รัสเซียมีข้อมูลว่า 'อะเล็กเซย์ นาวัลนี' (Alexei Navalny) และบริวารเป็นหุ่นเชิดของชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกที่พยายามทำลายความเชื่อถือของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย >> เป็น 'หุ่นเชิด' ที่ทำงานให้ต่างชาติ

โดยเขาไม่ใช่ฝ่ายค้านเหมือนฝ่ายค้านของรัฐบาลทั่ว ๆ ไป จึงถูกรัฐบาลวลาดิเมียร์ จัดการเสียอยู่หมัด ต้องเข้าคุกไม่น้อยกว่า 3 ปีครึ่ง ป่านนี้ คงเข้าใจหลักอนิจจัง ทุกขังและอนัตตามากขึ้นแล้วครับ"

สำหรับ นาวัลนี ถูกมองว่าเป็นหอกข้างแคร่ของเครมลินมานานกว่า 10 ปี โดยพยายามเปิดโปงสิ่งที่เขาอ้างว่าเป็นการทุจริตฉ้อฉลขนานใหญ่ และยังระดมมวลชนคนหนุ่มสาวให้ออกมาต่อต้านรัฐบาลอยู่เนือง ๆ

อย่างไรก็ตาม ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) ต่างประณามการตัดสินดังกล่าวของรัสเซีย และเรียกร้องให้ปล่อยตัว นาวัลนี ทันที ขณะที่รัฐบาลรัสเซียก็สวนกลับอย่างไวว่า "นี่เป็นการแทรกแซงกิจการภายใน"


ที่มา:

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3590418241006110&id=626734224041208

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2025776

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สานความสัมพันธ์ 46 ปี ‘ไทย - จีน’ จัดเทศกาลตรุษจีนในรูปแบบ New Normal ตอกย้ำมิตรภาพแน่นแฟ้นยาวนานของทั้ง 2 ประเทศ

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 18.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีเปิดไฟประดับตกแต่งในโอกาสเทศกาลตรุษจีน ร่วมด้วย นายหยาง ซิน อุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ดร.นาที รัชกิจประการ ประธานคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. นางสาวอาทิตยา โชคกิจมนัสชัย ผู้อำนวยการเขตสัมพันธวงศ์ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย และนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟ จำกัด (มหาชน) ณ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร

โดย ททท. ได้จัดการตกแต่งประดับไฟฟ้า เส้นทางตั้งแต่มูลนิธิเทียนฟ้าถึงแยกเฉลิมบุรี ระยะทาง 200 เมตร เพื่อสร้างบรรยากาศ แต่งเติมสีสันแห่งการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนในย่านเยาวราช ซึ่งถือเป็นย่านชุมชนวัฒนธรรมไทย - จีน อันสำคัญ ที่ได้รับผลกระทบด้านการค้าและการท่องเที่ยวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

สำหรับการประดับไฟเนื่องในเทศกาลตรุษจีนปี 2564 ตกแต่งภายใต้แนวคิด “เฉลิมฉลองวันตรุษจีน ต้อนรับปีวัวทอง กับถนนสายมังกรเยาวราช” สร้างสรรค์เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลในเทศกาลตรุษจีน อาทิ มังกร นางฟ้า ดอกเหมย

ทั้งนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานโคมไฟขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 67 นิ้ว (เท่ากับพระชนมายุ 67 พรรษา) จำนวน 4 ลูก ให้แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อประดับตกแต่งบริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษาด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมการตกแต่งประดับไฟในเทศกาลตรุษจีนได้ตั้งแต่วันที่ 11-28 กุมภาพันธ์ 2564 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 24.00 น.

เปิดสถิติธุรกรรมการเงินยุคโควิด พบคนไทยใช้โมบายแบงกิ้งอันดับหนึ่งของโลก ส่วนเรื่องช็อปไม่แพ้ใคร ซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซ ผ่านสมาร์ทโฟนเป็นอันดับ 2 ของโลก

นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยถึงไลฟ์สไตล์คนไทยยุคโควิด โดยอ้างอิงมูลจาก We Are Social และ Hootsuite พบว่าในปี 2563 คนไทยทำธุรกรรมผ่านโมบายแบงกิ้งเป็นอันดับ 1 ของโลก คิดเป็น 68.1% ต่อเดือน ส่วนการซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซผ่านสมาร์ทโฟน สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก คิดเป็น 74% และมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก เฉลี่ย 5 ชั่วโมง 7 นาทีต่อวัน

ส่วน K PLUS ซึ่งเป็นแอปพลิเคชัน โมบายแบงกิ้ง ของธนาคารกสิกรไทย ยังได้กลายเป็นช่องทางสำคัญที่ลูกค้าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตอบรับกับไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันที่ลดการเดินทางออกนอกบ้าน เลี่ยงจับเงินสด และใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น

โดยในปี 2563 มีลูกค้าใช้งาน K PLUS มากถึง 5 ล้านรายต่อวัน มีจำนวนธุรกรรมรวมทุกประเภท 14,500 ล้านรายการ เติบโต 71% และมีผู้ใช้งานรวม 14.4 ล้านราย

นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเป้าหมายมีผู้ใช้งาน K PLUS รวม 17.5 ล้านราย และมีจำนวนธุรกรรมทั้งหมดผ่าน K PLUS มากกว่า 24,600 ล้านรายการ ภายในปี 2564

มาไหว้เจ้าออนไลน์กันเต๊อะ ฉลองตรุษจีนแบบ New Normal ใครว่ายาก? | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

มาไหว้เจ้าออนไลน์กันเต๊อะ!! ฉลองตรุษจีนแบบ New Normal ใครว่ายาก?

.

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการฟ้องร้องคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ (หญิงหลุยส์) อดีตภรรยาว่า...

สัญญาในใบหย่า ได้มอบทรัพย์สินให้คุณหญิงพันธุ์เครือ มีเจตนาเพื่อให้เเบ่งสรรปันส่วนให้ลูกหลาน แต่กลับนำไปขายเเละจำนองโดยไม่ทราบว่านำเงินไปทำอะไร จึงมีการฟ้องร้องเรื่องทรัพย์สินและศาลนัดพิจารณาในวันที่ 25 ก.พ.นี้

ทั้งนี้การที่ไม่ยอมเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนเองถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะหย่าขาดจากกันแล้ว อีกทั้งตนไม่พอใจที่นำบ้านที่จังหวัดนครพนมไปมอบให้กับผู้อื่น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวพันธุ์กันทางสายเลือด เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการหย่า

ความจริงตนไม่ต้องการหย่า เเต่คุณหญิงพันธุ์เครือชวนไปหย่า และคุณหญิงพันธุ์เครือเป็นคนเเรกที่เซ็นใบหย่า

ทั้งนี้ตนเป็นชายชาติทหารต้องเคารพสตรี โดยเฉพาะภรรยา แต่การนำบ้านที่ตนให้ไปขายมอบให้คนอื่นคือปัญหาสำคัญสำหรับคนที่รักในศักดิ์ศรีตระกูล ตนมีแต่ความรู้สึกที่ดีที่มอบให้ แต่คุณหญิงพันธุ์เครือไม่ดูแลตน แม้แต่ตอนหกล้มเมื่อปี 59

 

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาความเชื่อมโยงของความสามารถทาง ‘ปัญญา’ กับ ‘อคติ’ ที่มีต่อ ‘กลุ่มคนรักร่วมเพศ’ โดยพบว่า 'คนที่เกลียดกลัวการรักร่วมเพศ' มักจะมีสติปัญญาที่ต่ำกว่าคนในกลุ่มอื่น

ทีมวิจัยได้ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างชาวออสเตรเลียจำนวน 11,564 คน ด้วยแบบสอบถามสำหรับการวิเคราะห์ในเรื่องของระดับสติปัญญา ซึ่งในแบบสอบถามดังกล่าวจะมีคำถามบางส่วนสอดแทรกไปในลักษณะที่ว่า เห็นด้วยหรือไม่กับประโยคที่ว่า

ในแบบสอบถามดังกล่าว จะมีคำถามบางส่วนสอดแทรกไปในลักษณะที่ว่า เห็นด้วยหรือไม่กับประโยคที่ว่า “กลุ่มคนรักร่วมเพศ (ชาย-ชาย / หญิง-หญิง) ควรมีสิทธิเท่าเทียมกับกลุ่มคนรักต่างเพศ (ชาย-หญิง)” โดยจะให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกว่าเห็นด้วยกับประโยคดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน ตั้งแต่ 1 (ไม่เห็นด้วยเลย) ไปถึง 7 (เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง)

ทั้งนี้ทางทีมวิจัยได้นำแบบสอบถามทั้งหมดมาวิเคราะห์ และพบว่า ยิ่งไม่เห็นด้วยกับประโยคในลักษณะนี้มากเท่าไหร่ สติปัญญาของคนเหล่านั้นก็จะยิ่งต่ำกว่าคนอื่นตามไปด้วย ก็ยิ่งแสดงถึงความเชื่อมโยงกันของทั้งสองสิ่งนี้

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบด้วยว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จะส่งผลรุนแรงอย่างมากในส่วนของทักษะการใช้คำพูด หรือก็คือ คนที่มีอคติกับกลุ่มรักร่วมเพศ มักจะเป็นคนที่ขาดการใช้สติปัญญาในการแสดงออกทางวาจานั่นเอง

งานวิจัยดังกล่าว ถือว่าช่วยสนับสนุนผลงานวิจัยอื่นๆ ก่อนหน้านี้ในสหรัฐอเมริกา ที่เคยมีการพบว่าผู้ที่มีอคติต่อกลุ่มรักร่วมเพศหรือกลุ่ม LGBTQ นั้น จะมีระดับสติปัญญาต่ำเช่นเดียวกัน


ที่มา

https://www.catdumb.tv/homophobia-research-339/?fbclid=IwAR0f76JLJyj1HjXnJvbEPObSdCGUZPafDq2K7Rc2SGtuIRKTEb6Ds5mKLQA

https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0160289617303628

https://www.unilad.co.uk/science/homophobia-and-low-intelligence-are-linked-study-finds/

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า ตำรวจชุดสืบสวน ได้ร่วมกับชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบังคับการปราบปราม นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายสมชาย จุติกิติ์เดช หรือ ‘หลงจู๊’ ผู้ถูกกล่าวหาเจ้าของบ่อนพนันหลายแห่งใน ภาคตะวันออก

สำหรับ ‘หลงจู๊สมชาย’ เป็นนักธุรกิจสีเทาระดับประเทศ เป็นเจ้าพ่อบ่อนการพนันหลายแห่ง ทั้งในจังหวัดระยองและรวมถึงภาคตะวันออก และอีสานบางส่วน เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์ จนโด่งดังในยุทธจักรบ่อนพนัน และโด่งดังยิ่งขึ้นเมื่อกลายเป็นต้นเหตุการระบาดของโควิด-19 ล่าสุด

หลงจู๊สมชาย ถูกกล่าวขานมาเป็นเวลานานในฐานะนักพนัน ตั้งแต่เริ่มต้นจากศูนย์ คนในวงการมักเปรียบว่ามาจาก ‘ผี’ เพราะไม่มีอะไร แต่ด้วยความเป็นนักพนันใจถึง มีผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัดระยองสนับสนุน จึงค่อยๆ เติบโตจากคนเดินโพยหวย ขยับมาเป็นเจ้ามือหวย เป็นเจ้าของสถานบริการในเมืองระยอง ทั้งนวดแผนโบราณ คาราโอเกะ ต่อมาเข้าไปพัวพันกับแก๊ง ‘ล็อกหวย’ ที่มีด้วยกัน 3 คน คือ ‘กลม บางกรวย - ชัย โคกสำโรง’ และตัวเขาเองที่ได้เจ้าของฉายา ‘ชาย ระยอง’ หรือ ‘ชาย บ้านค่าย’

ช่วงแรกแก๊งหวยล็อกจะเดินสายกระจายแทงเจ้ามือใหญ่ในหัวเมืองต่างๆ และไปสะดุดตอที่เจ้าพ่ออีสาน โดย ‘เป๊กตั๊ก’ เจ้าพ่อหวยเมืองสุรินทร์ เห็นว่าถูกลูกค้านิรนามกินติดต่อกันหลายงวด และสงสัยกลุ่ม ‘ชาย ระยอง’ หรือ ‘หลงจู๊สมชาย’ ในปัจจุบัน จะเป็นตัวการ จึงเข้าแจ้งต่อกองปราบปราม และเป็นที่มาของการเปิดโปงขบวนการ ‘หวยล็อก’ ต่อมามีการดำเนินคดี...แต่ ‘หลงจู๊ สมชาย’ รอดมาได้

หลังข่าวคราวหวยล็อกเงียบไป ชื่อเสียงของ ‘หลงจู๊สมชาย’ ก็โด่งดังในยุทธจักรบ่อนพนัน และกิจการตู้ม้า ตู้สลอต โดยว่ากันว่าเขาได้รับการสนับสนุนจาก ‘นักการเมืองคนดัง’ ของจังหวัดนครราชสีมา และนายตำรวจระดับ พล.ต.ต.คนหนึ่งแถวภาคอีสาน ให้สัมปทานบ่อน ตู้ม้า ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภาค 3 ทั้ง จ.นครราชสีมา จ.อุบลราชธานี และอื่นๆ อีกหลายแห่ง

เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ จ.อุบลราชธานี เงินจำนวน 1 ล้านบาท ของ ‘หลงจู๊สมชาย’ ก็ถูกนำไปสร้างบารมี สร้างฐานสีเทาให้แก่ตัวเอง โดยมีลูกน้องคนสนิทซึ่งแท้จริงเป็นคนโปรโมตบ่อน สวมบทเป็นผู้ใจบุญบริจาค

ด้วยความใจถึง อีกทั้งระยะหลังมักมีข่าวว่า ‘หลงจู๊สมชาย’ มีอาการเพี้ยน เนื่องจากผลข้างเคียงของการใช้ยาบางอย่าง และอาจเป็นคนใจถึงอยู่แล้ว อีกทั้งมีแรงหนุนจาก ‘นักการเมืองคนดังภาคอีสาน’ ที่ทำงานติดตัวเบอร์ต้น ๆ ของขั้วอำนาจในรัฐบาล ‘หลงจู๊สมชาย’ จึงบ่ายหน้าเข้าสู่วงการบู๊ลิ้มเมืองหลวง

ระยะแรกสร้างความปั่นป่วนไม่น้อย เพราะการปล่อยสมุนมือขวาออกป่วน แต่ในที่สุดไปไม่รอด ต้องกลับไปดูแลฐานเดิมคือ ภาคตะวันออกในหลายพื้นที่ของภาค 2 ภาค 3 จนช่วงหนึ่งถูกระดมปราบปรามจากชุดเฉพาะกิจกรมการปกครองอย่างหนักหน่วง จากปฏิบัติการทะลายบ่อน RJ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งทราบกันดีว่าบ่อนแห่งนี้เป็นของ ‘หลงจู๊สมชาย’ ปรากฏเป็นข่าวครึกโครม

แต่ด้วยเส้นสาย และ ‘นักการเมืองดังอีสานคนใกล้ตัวขั้วอำนาจ’ ทำให้ในที่สุด ‘หลงจู๊สมชาย’ รอดตัวเช่นเคย แต่ฝ่ายมั่นคงก็เตรียมเชือดต่อ โดยส่งชุดปฏิบัติการของดีเอสไอ เพื่อตั้งเป้าขยายผลเกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งหลายคนเชื่อว่านี่คือปฏิบัติการเชือดไก่เพื่อปิดตำนานความยิ่งใหญ่ของ ‘เจ้าพ่อธุรกิจสีเทา’ อย่างแน่นอน

แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ความไม่ชอบมาพากลก็เกิดขึ้น โดยคอลัมนิสต์สื่อหลักเริ่มเขียนแขวะปฏิบัติการนี้ และให้เหตุผลว่าบ่อนพนันเป็นหน้าที่ของตำรวจก็พอแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ถึงมือ ‘กรมสอบสวนคดีพิเศษ’ เพราะควรไปใช้กับคดีต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม หปฏิบัติการสยบเจ้าพ่อตะวันออกก็กลายเป็นหมัน ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ‘หลงจู๊สมชาย’ ต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดฝีแตก จากกรณีบ่อนระยอง ที่กลายเป็นแหล่งแพร่โควิด-19 ในครั้งนี้ จึงถึงจุดจบของ ‘หลงจู๊สมชาย’ ในที่สุด!!

สมบัติ ทองย้อย หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบายความอึดอัดในใจ เกี่ยวกับกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายรักในประชาธิปไตย โดยมีเนื้อหาระบุว่า...

ช่วงหลัง ๆ มานี้ยอมรับเลยสลิ่มในเฟสเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้อะไรมากเขาเข้ามาด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่ไม่ว่ากัน แต่เชื่อไหมบรรดาสลิ่มเหล่านั้นเวลามาเม้นท์ผม น้อยคนมากที่จะด่าด้วยคำด่าที่หยาบคาย บางคนจากเกลียดกลายเป็นมาพูดดีกับผมเรียกลุงเรียกน้าเรียกพี่

ผมไม่รู้ว่าเขาหวังอะไรจากผม เพราะจริง ๆ ผมก็ไม่มีอะไรจะให้เขา แต่ผมสิกลับโดนพวกเดียวกันเองด่าแบบสาดเสียเทเสียไม่ให้เกียรติกัน ไม่เคารพกัน ไม่นับถือกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้โกรธ หรือโทษใครนอกจากตัวผมเองที่ผมทำตัวผมเอง

แต่แค่งงใจว่าพวกเดียวกันเองทำไมต้องด่ากันจนถึงขนาดนั้น เพียงเพราะคิดต่างกับพวกคุณ บางทีคนเสื้อแดงเพลงคนฝั่งประชาธิปไตยก็ไม่ได้น่ารักอย่างที่คิดเสียทุกคน หรือบางคนอาจจะเผด็จการทางความคิดเสียด้วยซ้ำ


ที่มา:

https://www.facebook.com/336295587309275/posts/758955375043292/

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=406579140643344&id=100038737831788

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

หญิงสาวรายหนึ่งในจีนที่ไม่อาจก้าวพ้นช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวด ตัดสินใจแสดงความโกรธแค้นที่มีต่ออดีตคนรัก ด้วยการจ้าง ‘คนส่งอาหาร’ (ฟู้ดไรเดอร์) พร้อมกับคำสั่งพิเศษถึงผู้รับ และดูเหมือนว่าฟู้ดไรเดอร์จะทำหน้าที่ของเขาได้อย่างซื่อตรงสุด ๆ

ตามรายงานของ ออเรียนทัล เดลี สื่อมวลชนท้องถิ่น ระบุเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่มณฑลซานตง ประเทศจีน โดยฟู้ดไรเดอร์รายหนึ่งได้รับคำขอเพิ่มเติมจากคำสั่งซื้อเดิมของลูกค้า ซึ่งเป็นคำขอที่ต่างจากออเดอร์ธรรมดา ๆ ทั่วไป

คำสั่งพิเศษดังกล่าวของหญิงสาวรายนี้ก็คือ ขอให้ฟู้ดไรเดอร์นำชาไปส่งให้แฟนเก่าของเธอ แล้วสาดมันใส่หน้าของเขา

"ไม่จำเป็นต้องทำดีกับไอ้สารเลวคนนี้ แค่สาดชาเข้าใส่หน้าเขาก็พอ" ลูกค้าหญิงเขียน

วิดีโอของเหตุการณ์ พบเห็นฟู้ดไรเดอร์รายดังกล่าวทำตามคำขอของลูกค้าอย่างซื่อตรง และหลังจากสาดชาใส่แฟนเก่าของลูกค้าแล้ว ฟู้ดไรเดอร์ก็ได้ยื่นใบสั่งซื้อให้ชายคนดังกล่าวดู เพื่อยืนยันว่ามันเป็นคำสั่งของแฟนเก่าของเขา พร้อมกับกล่าวขอโทษ

"ขอโทษครับ ผมแค่ทำตามคำสั่งของลูกค้า" จากนั้นก็ยื่นกระดาษชำระให้และขอโทษซ้ำอีกรอบ

ในรายงานของออเรียนทัล เดลี ระบุว่า ทางบริษัทต้นสังกัดของฟู้ดไรเดอร์รายดังกล่าวจะทำการสืบสวนในประเด็นนี้ พร้อมชี้แจงว่าฟู้ดไรเดอร์สามารถปฏิเสธคำสั่งได้ หากคิดว่าคำสั่งเหล่านั้นไม่มีเหตุผล

อย่างไรก็ตามบรรดาผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์เขียนแซวกันอย่างสนุกสนานว่า ฟู้ดไรเดอร์รายนี้ควรได้คะแนน 5 ดาว เนื่องจากเขาอาจหาญกล้าทำตามคำสั่งยากๆ ของลูกค้า


ที่มา: https://www.facebook.com/119425428118611/posts/3886568724737577/

https://worldofbuzz.com/food-delivery-rider-in-china-fulfils-customers-request-to-splash-milk-tea-on-ex-boyfriend/

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดีโจ โบเดน กำลังตั้งตาคอยพินิจพิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงรายงานของคณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (9 ก.พ.)

ซึ่งระบุว่าไวรัสโควิด-19 ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากห้องปฏิบัติการวิจัยในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จากการเปิดเผยของ เจน ซากี เลขานุการฝ่ายสื่อมวลชนของทำเนียบขาว

คณะผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบที่มาที่ไปของโควิด-19 ซึ่งนำโดยองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ค้างคาวยังคงเป็นแหล่งต้นตอที่มีความเป็นไปได้ และมีความเป็นไปได้ที่ไวรัสแพร่กระจายเชื้อผ่านอาหารแช่แข็ง พร้อมปฏิเสธสมมติฐานที่ว่ามันหลุดจากห้องปฏิบัติการวิจัยหนึ่ง

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเชื่อว่าโรคโควิด-19 ที่ล่าสุดทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 106 ล้านคน และเสียชีวิตกว่า 2.3 ล้านคนนั้น มีต้นกำเนิดมาจากค้างคาว และอาจมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกชนิดหนึ่งเป็นพาหะถ่ายทอดจากค้างคาวต่อมายังมนุษย์

เหลียง วานเหนียน ผู้เชี่ยวชาญจากคณะกรรมาธิการสาธารณสุขของจีน หัวหน้าคณะสอบสวนของจีนที่ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก แถลงเมื่อวันอังคาร (9 ก.พ.) ว่า แม้แนวคิดดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นไปได้ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุโฮสต์กักตุน (reservoir host) สัตว์ที่เป็นแหล่งกักตุนเชื้อโรคตามธรรมชาติและสามารถแพร่เชื้อโรคไปยังสัตว์อื่นๆ และคนได้

เขาเสริมด้วยว่า ในอีกด้านหนึ่งผลศึกษาหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า ไวรัสสามารถแพร่เชื้อไปไกลผ่านสินค้าที่ควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งเท่ากับมีความเป็นไปได้ว่าไวรัสโคโรนาอาจมาจากประเทศอื่น ทั้งนี้ ทฤษฎีดังกล่าวเป็นที่แพร่หลายอย่างมากในจีนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ขณะที่ด้าน ซากี บอกกับผู้สื่อข่าวระหว่างแถลงสรุปในวันอังคาร (9 ก.พ.) ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องในการวางแผนหรือการดำเนินการสืบสวน และต้องการตรวจประเมินอิสระต่อสิ่งที่ค้นพบและข้อมูลแฝงต่างๆ โดยเธอกล่าวต่อว่า แม้รัฐบาลกลับเข้าร่วมองค์การอนามัยโลกแล้ว แต่มัน "เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องมีคณะผู้เชี่ยวชาญของเราเองที่ภาคสนามในจีน"

ด้าน ปีเตอร์ เบน เอ็มบาเรค หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ลงพื้นที่เมืองอู่ฮั่นมานานเกือบ 1 เดือน ดินแดนที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกที่ตลาดอาหารทะเลแห่งหนึ่งในช่วงปลายปี 2019 บอกว่าการทำงานของคณะผู้เชี่ยวชาญนั้นครอบคลุมข้อมูลใหม่ ๆ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายใด ๆ ในมุมมองของพวกเขาที่มีต่อโรคระบาดใหญ่

เอ็มบาเรค บอกว่า การระบุเส้นทางที่ไวรัสนี้ผ่านจากสัตว์มาสู่มนุษย์นั้น ยังอยู่ในขั้นตอนการทำงาน ความเห็นที่สนับสนุนคำกล่าวของเหลียง และยังปฏิเสธทฤษฎีที่ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการทดลอง "ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง" และบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำการศึกษาเพิ่มเติม

เมื่อถูกสอบถามถึงผลการค้นพบขององค์การอนามัยโลก เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า เขาไม่อาจสรุปได้ว่าคณะผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากจีน

"ผมคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป มันชัดเจนว่าอย่างน้อยๆ ก่อนหน้านี้จีนไม่ได้มอบความโปร่งใสที่จำเป็นตามที่เราต้องการ" ไพรซ์กล่าว พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ จะทำการสรุปบนพื้นฐานของข้อมูลองค์การอนามัยโลกและข่าวกรองของตนเอง


ที่มา: https://sondhitalk.com/detail/9640000013262?fbclid=IwAR2O8QxSRxhkPhtnpzqEJsld-_1OjUGD_1Utfzt0kbkCtjsbyzm8_JVcnF4


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top