Wednesday, 2 July 2025
NEWS

หลังจากที่เราสังเกตการรัฐประหารตั้งแต่ Day 1 จนถึงวันนี้นั้น ฉันว่าการต่อสู้ในเมียนมามีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอยู่และทำให้เหตุการณ์ไม่สงบยืดเยื้อ ซึ่งนั่นเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Fake News ที่มากมายในเมียนมา

ขณะนี้ หลาย ๆ ข่าวหลายเรื่องราวที่ปรากฎออกมาบนเฟซบุ๊กก็ดี หรือข่าวออกสื่อหลักในไทยหรือพม่าก็ดี บางข่าวเป็นข่าวที่พูดออกมาจากคนโดยปราศจากหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งฉันขอเรียกสิ่งที่นำเสนอออกมาว่ามันคือ Fake News ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า โฆษณาชวนเชื่อ หรือ Propaganda นั่นเอง

ในเมียนมานับจากที่ทางทหารทำการรัฐประหารสิ่งที่ฉันเห็นมา คือ ข่าวทั้งจากฝั่งไทยก็ดี ฝั่งพม่าก็ดี ฝั่งชนกลุ่มน้อยก็ดี หลายข่าวหากไม่สืบหาข้อมูลดี ๆ ย่อมคล้อยตามได้ง่าย

แรก ๆ โฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาเป็นการปลุกระดมให้ประชาชนออกมาต่อต้าน พอได้จำนวนคนมาก็เริ่มดำเนินการหรือจะเรียกได้ว่า ม็อบสูตรประเทศไทย คือ การพยายามสร้างภาพว่าม็อบที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางอองซานซูจีนั้นเป็นสิ่งสวยงาม

ตามต่อมาด้วยภาพที่ทำให้เราต้องคิดว่า เฮ้ย…ผู้กำกับเดียวกันนี่หว่า…

แต่หลังจากทางกองทัพไม่ได้ให้ราคากับคนพวกนี้ ก็มีกลุ่มที่พยายามจะบิดเบือนด้วยประกาศปลอม แต่สุดท้ายก็มีคนจับโป๊ะได้ว่าประกาศนั้นเป็นประกาศปลอม

หลังจากที่มีคนชุมนุมมากพอจนทำให้ฝ่ายตำรวจต้องจับอาวุธมาสลายผู้ชุมนุม จนทำให้มะแจซินถึงแก่ความตาย แต่ความตายของมะแจซินเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ไม่ว่าจะเป็นรูปที่โพสต์ไว้มากมายก่อนตายทั้งภาพและคลิปในเหตุการณ์ที่มะแจซินเป็นทั้งผู้บริจาคให้ผู้ชุมนุมและมะแจซินเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ชุมนุมก็ดี

หลายคนที่พยายามมองทั้งสองด้านคงมองแบบผมว่า มะแจซิน คือ ศพที่ถูกสั่งให้ตายด้วยมือที่สาม เพราะเห็นได้ว่าหลังจากการตายของมะแจซิน มีฝ่ายหนึ่งการนำการตายของมะแจซินออกมาโหนอย่างชัดเจน จนฝั่งทหารพม่าต้องเข้ามาตรวจสอบหัวกระสุนที่ยิงใส่มะแจซิน

แม้ทางฝ่ายทหารจะแถลงมาว่ากระสุนสังหารของมะแจซินไม่ใช่กระสุนสไนเปอร์เพราะลักษณะของแผลเป็นกระสุน .22 แต่อย่างไรก็ดีก็อย่างที่ทราบกันในประเทศที่ไม่มีมุมมองเป็นกลาง ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าการตายของมะแจซินเกิดจากมือที่สาม

ต่อมาแม้จะมีเฟคนิวส์มากมาย แต่ทางทหารก็ไม่ได้ตอบโต้อันใดทางโซเชียล แม้บางเฟคนิวส์ที่ฉันทราบจะทำให้ฉันขำจนถึงขั้นตกเก้าอี้อย่างเช่น การที่ทหารนำศพผู้เสียชีวิตที่ถูกสังหารไปผ่าพิสูจน์แล้วมีคนบอกว่าทหารนำเครื่องในคนตายไปขาย คือ เอิ่ม…เครื่องในคนนะ เอาไปต่อชีวิตนะ ไม่ใช่เอาไปต้มตือฮวน มันมีเวลาในการเก็บอวัยวะ ไม่ใช่ตายกันมาครึ่งวันหรือรอข้ามวันแล้วมาเอาเครื่องในตอนผ่าพิสูจน์

และล่าสุดที่ฉันทราบข่าวคือ การจับตัวหลวงพ่อ บะมอสะยาดอว์ก็ดี หรือ การที่ทหารไปลอกทองชเวดากองก็ดี คือเฮ้ย...พวกคุณรู้ไหม 'มิน อ่อง ลาย' เขาทำบุญเยอะมากนะ ถ้ามีใครตามข่าว 'มิน อ่อง ลาย' ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร เหมือนรู้ว่าตัวเองทำบาป เลยพยายามทำบุญเยอะมากเพื่อลบล้างบาป

สุดท้ายที่ฉันเจอคือข่าวหญิงสาวตกตึกตายก็ดี หรือ ข่าวตำรวจแบกกล้วยก็ดี ก็มีการตีข่าวว่า ตำรวจผลักคนตกตึก ตำรวจ ทหาร ปล้นกล้วยเพราะไม่มีอะไรจะกิน นี่คือเฮ้ยแค่รูปเดียวรู้ดีกันขนาดนี้เลยเหรอ ฉันว่าภาพๆเดียวมันสื่ออะไรไม่ได้มั้ง

สุดท้ายเราแค่อยากจะสื่อว่าในสถานการณ์ที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน การเสพข่าวอะไรก็ตามไม่ควรจะอินตามกระแส แต่ควรหาข้อมูลมาสนับสนุนหรือหักล้างว่าสิ่งที่เราได้ทราบมานั้นจริงหรือไม่จริง เหมือนกับการมองภาพๆ หนึ่ง สื่อบางรายอาจจะเลือกมุมที่จะนำเสนอ แต่หากคุณเป็นคนที่มีเหตุมีผล คุณควรจะมองภาพทั้งภาพไม่ใช่ภาพในมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น


ที่มา: AYA IRRAWADEE

สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และหลายประเทศในสหภาพยุโรปผนึกกำลังลงดาบร่วมคว่ำบาตรจีน ในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ ในมณฑลซินเจียงของจีน โดยจะเล็งเป้าที่นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน

โดยจะเล็งเป้าที่นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ที่รับผิดชอบในเขตซินเจียง เบื้องต้น มีการเปิดเผยรายชื่อบัญชีดำบางส่วนแล้วดังนี้

1.) นาย เฉิน หมิงกัว ผู้อำนวยการสำนักงานตำรวจในท้องที่เขตซินเจียง

2.) นาย หวัง หมิงชาน หนึ่งในคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตซินเจียง ที่แหล่งข่าวสายตะวันตกระบุว่า เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบโครงการค่ายกักกันชาวอุยกูร์โดยเฉพาะ

3.) นายหวัง จุนเจิ้ง เลขาธิการ บริษัทซินเจียง โปรดักชั่น แอนด์ คอนสตรั๊กชั่น หรือ XPCC

4.) นาย จู ไห่หลุน อดีตรองหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์สาขาซินเจียง ที่ถูกระบุว่าเป็นคีย์แมนคนสำคัญในนโยบายการสร้างค่ายกักกันชาวอุยกูร์

5.) บริษัท บริษัทซินเจียง โปรดักชั่น แอนด์ คอนสตรั๊กชั่น (XPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล กึ่งกองทัพ ที่รัฐบาลจีนบอกว่าเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมวิชาชีพ และพัฒนาพื้นที่การเกษตรในเขตชนบท แต่ถูกฝ่ายตะวันตกระบุว่า เป็นหน่วยงานสำคัญที่ผลักดันให้เกิดนโยบาย "ปรับทัศนคติ" ชาวมุสลิม ซินเจียง-อุยกูร์

ซึ่งการคว่ำบาตรนี้ จะรวมถึงการแบนทั้ง หน่วยงาน และบุคคลที่ระบุในบัญชีดำไม่ให้เข้าประเทศ เพิกถอนวีซ่า และยังระงับการเข้าถึงบัญชีทรัพย์สินที่ฝากไว้ในประเทศกลุ่มพันธมิตรชาติตะวันตก ที่ร่วมกันคว่ำบาตรจีนในครั้งนี้ด้วย

แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ย้ำชัด กลางที่ประชุมทวิภาคี สหรัฐ - จีน ในอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า จีนได้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์ และจะกดดันให้จีนหยุดการกระทำดังกล่าว

ประเด็นเรื่องค่ายกักกันชาวอุยกูร์ ถูกหยิบยกขึ้นโจมตีจีนอย่างหนักในช่วงนี้ ซึ่งจีนถูกกล่าวหาว่าได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง กับชาวอุย กูร์ ในเขตซินเจียงนับล้านคน ที่ถูกต้อนเข้าแคมป์ ที่จีนอ้างว่าเป็นค่ายฝึกอบรมวิชาชีพ และค่านิยมแบบจีน

แต่กลับมีรายงานข่าวการกักกัน คุมขัง ทำร้ายร่างกาย ข่มขืนทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ที่บังคับให้ชาวอุยกูร์ละศาสนาอิสลาม บังคับให้บริโภคเนื้อหมู ใช้แรงงานหนัก และบังคับให้คุมกำเนิด จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก ที่จีนพยายามที่จะปฏิเสธว่า เป็นเรื่องที่กล่าวเกินจริง และบิดเบือน

แต่ก็ถูกชาติตะวันตกกดดันในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง อาทิ รัฐสภาแคนาดาประกาศว่าการกระทำของรัฐบาลจีนต่อชาวอุยกูร์ เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประเทศในสหภาพยุโรปหลายชาติลงชื่อคว่ำบาตรจีน ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ก็เห็นด้วยกับมาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน และน่าจะร่วมขบวนด้วยในเร็วๆนี้

ทางด้านจีน ก็ประกาศว่าพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทุกชาติตะวันตก ที่ร่วมกับสหรัฐคว่ำบาตรจีนในครั้งนี้

นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน กล่าวว่า นี่คือการแทรกแซงกิจการภายในจีนแบบเหมารวม บิดเบือนข้อเท็จจริง และเผยแพร่ข่าวเท็จ ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และได้ประกาศรายชื่อบุคคล ที่จะถูกขึ้นบัญชีดำของจีนถึง 10 คน ที่เป็นสมาชิกสภา EU เป็นนักสิทธิมนุษยชนแห่งสหภาพยุโรป นักวิชาการเยอรมันที่เผยแพร่ข้อมูลการกดขี่ชนกลุ่มน้อยในทิเบตและซินเจียง รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลชาติตะวันตก เช่น Germany Mercator Institute for China Studies และ Danish Democracy Organization เป็นต้น

คว่ำกันระเน ระนาด ล้มโต๊ะกันหนักมากจริงๆ และนี่แค่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น จากแนวทางการต่อสู้ระหว่าง จีน และสหรัฐ ในยกใหม่ ที่เชื่อว่าน่าจะต้องคว่ำกันอีกหลายบาตรทีเดียว

แหล่งข้อมูล

https://www.bbc.com/news/world-europe-56487162

https://www.dw.com/.../china-sanctions-eu.../a-56948924

https://www.theguardian.com/.../china-responds-to-eu-uk...

https://www.aljazeera.com/.../eu-rolls-out-sanctions-on...


ที่มา : เพจ หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/HunsaraByJeansAroonrat/photos/a.104144281210799/267660561525836/

บุ๋ม - ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ดารานักแสดงชื่อดัง ในฐานะประธานองค์กรทำความดี โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านไอจี เกี่ยวกับเรื่องราวของเยาวชน ชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้นป.5 ถึง 9 รายซึ่งเกิดเหตุมานานเกือบ 10 ปี แต่ผู้กระทำความผิดยังไม่มีใครทำอะไรได้

โดย บุ๋ม ปนัดดา ระบุว่า ...

เคสนี้ล่าสุด! แล้วคุณจะตกใจเหมือนบุ๋มถ้าคุณรู้ว่า

1.) เด็กน้อย 9 คนนี้ โดนกระทำโดยผู้ชายคนๆเดียวกัน

2.) เด็ก2คนในนี้แจ้งความแล้ว ขึ้นศาล แต่ศาลให้ประกันตัว

3.) เมียที่เป็นสมาชิก อบต. ให้ความช่วยเหลือผัว จนเด็กๆคนอื่นไม่กล้าแจ้งความ

4.) เรื่องที่เกิดขึ้น มันเกิดมานานเกือบ 10 ปี แต่ไม่มีใครทำอะไรมันได้เลย จนมันย่ามใจทำเด็กมากมายขนาดนี้

5.) มีเด็กผู้ชายอีก 3 คนมาร้องเรียนกับบุ๋ม ถูกละเมิดและลวนลามจากคนนี้เช่นกัน

ทีนี้คุณเข้าใจรึยังว่าทำไมบุ๋มยอมชื่อเสียงของตัวเองเข้าแลกในแต่ละคดีเพราะเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในแต่ละท้องที่เป็น 10 ปี แต่ไม่มีใครเคยรับฟังพวกเค้าเลย คุณต้องเห็นน้ำตาของพ่อแม่เด็ก แล้วเด็กบางคนไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ถ้าคุณได้เห็นเหมือนอย่างที่บุ๋มเจอ คุณจะลุยและสู้กับคนเลวๆเหมือนบุ๋ม #บุ๋มเชื่อแบบนั้น #องค์กรทำดี

เกิดเหตุกราดยิงอีกแล้วในสหรัฐอเมริกา คราวนี้ยิงสนั่นกลางซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อช่วงบ่าย 2 โมงของวันจันทร์ที่ 22 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ ล่าสุดยืนยันผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุมากถึง 10 ราย

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานว่า เกิดเหตุกราดยิงที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต คิง ซูปเปอร์ส ที่อยู่ในย่านชุมชน ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยโคโรลาโดมากนัก จึงรีบส่งทีมจู่โจม และ เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ เข้าประจำการในพื้นที่ทันที

พยานผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า เขาได้ยินเสียงปืนหลายครั้ง และเห็นคนล้มลง 3 คนที่ลานจอดรถ และ ประตูทางเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่แน่ใจว่าเสียชีวิตหรือไม่ เพราะทุกคนต่างหาที่หลบซ่อนตัว

นอกจากนี้ยังมีภาพจากกล้องวงจรปิด ที่พบคนร้ายบุกเข้าไปยิงผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ต และเจ้าหน้าที่ แอริค แทลลี่ เป็นตำรวจท้องที่กลุ่มแรกที่เข้าพื้นที่ไปปะทะกับคนร้าย จนถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เจ้าหน้าที่ แครี่ ยามางุจิ ผู้บังคับบัญชาตำรวจท้องถิ่นรายงานว่า จับกุมคนร้ายได้แล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ชื่อ และเหตุจูงใจของการก่อนเหตุในครั้งนี้

นับเป็นเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญในสหรัฐ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังจากที่เกิดเหตุกราดยิงในร้านสปา 3 แห่ง ของชาวเอเชียในเมืองแอตแลนต้า จนมีผู้เสียชิวิต 8 ราย เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่เกิดเหตุกราดยิงบ่อยครั้ง จากข้อมูลทางสถิติพบว่า ในสหรัฐจะเกิดเหตุ กราดยิงเฉลี่ย 1 คดีในรอบ 64 วัน ซึ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับค่าสถิติเมื่อ 10 ปีก่อนที่พบคดีกราดยิง 1 ครั้งในรอบ 200 วัน

เหตุกราดยิงที่สะเทือนขวัญที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2017 ในงานเทศกาลดนตรีที่เมืองลาส เวกัส ที่มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุถึง 59 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 400 คน

จึงมีชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากเรียกร้องให้สภา คองเกรซพิจารณาร่างกฏหมายการควบคุมการถือครองอาวุธปืนให้มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ แต่ยังไม่เป็นผล เพราะผู้แทนในบางรัฐยังคงมองว่าการครอบครองอาวุธปืนเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลในการการป้องป้องคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของตนเอง

แต่ด้วยคดีความรุนแรงที่เกิดจากอาวุธปืนที่เพิ่มสูงขึ้น ชาวอเมริกันที่เรียกร้องให้จำกัดสิทธิ์การถือครองอาวุธปืน จึงได้แต่หวังว่าจะสามารถนำเป็นกรณีตัวอย่างในการผลักดันให้เปลี่ยนกฏหมายได้สักวันหนึ่ง


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/us-news/2021/mar/22/boulder-colorado-active-shooter-supermarket

https://www.usatoday.com/story/news/nation/2021/03/22/boulder-shooting-police-report-active-shooter-colorado-grocery-store/6956943002/

https://edition.cnn.com/us/live-news/colorado-king-soopers-shooting/index.html

'จาง จิง' ล่ามฉับพลันในการเจรจาระดับสูงระหว่างระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีน ที่ อลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นคนดังทั่วโลกออนไลน์

หลังคลิปแปลถ่ายทอดคำแถลงของ หยาง เจี๋ยฉือ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ความยาว 15 นาที ซึ่งมีภาพนิ่งของเธอเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 มี.ค.) มีผู้เข้าชมออนไลน์หลายล้านครั้ง

จางจิง ได้ขโมยซีน การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งจีนและสหรัฐฯ ในการประชุมสองวัน ก่อนได้ข้อสรุปเมื่อวันศุกร์ (19 มี.ค.) โดยรายงานของสื่อจีนเรียกเธอว่า คือ “ ล่ามที่สวยที่สุดในปฐพี” ชื่อของเธอกลายเป็นหนึ่งในการค้นหาอันดับต้น ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Weibo วิดีโอที่มีรูปถ่ายของเธอได้รับการดูหลายสิบล้านครั้งทางออนไลน์

จางจิง กลายเป็นไอดอลความนิยมของล่ามภาษาจีน ซึ่งเป็นอาชีพที่อยู่ระดับแนวหน้าของผู้มีศักยภาพในจีน ด้วยต้องใช้ทักษะและไหวพริบประกอบกับความรู้ระดับสูง ซึ่งปกติจะเป็นการทำงานในเบื้องหลังเสมือนไม่ปรากฏตนเจ้าหน้าที่แลกเปลี่ยนวิพากษ์วิจารณ์อย่างตึงเครียด ก่อนจบลงด้วยข้อตกลงที่จะร่วมมือกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งสองประเทศยังคง “ ขัดแย้งกันโดยพื้นฐาน” ในประเด็นต่าง ๆ เช่น ซินเจียง ฮ่องกง ทิเบต ไต้หวันและไซเบอร์สเปซ

ด้านนายหยาง เจี๋ยฉือ โน้มน้าวที่ประชุมให้เห็นความสำเร็จของจีนในการแก้ไขปัญหาความยากจนและการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ในขณะที่สหรัฐฯยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคนี้

นอกจากนี้เขายังกล่าวหาว่า วอชิงตันใช้อำนาจทางการเงินและการทหารเพื่อบีบประเทศอื่น ๆ และว่านโยบายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐที่ไม่เหมาะสมได้คุกคามอนาคตของการค้าโลก

หยาง ปฏิเสธการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของปักกิ่งในซินเจียง ฮ่องกงและไต้หวัน โดยกล่าวว่าดินแดนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอธิปไตยหนึ่งเดียวของจีน และเป็นกิจการภายในที่ไม่ควรยกมาคุยในที่ประชุม

เขายังเรียกสหรัฐฯว่าเป็น "แชมป์" ของการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตและวิพากษ์วิจารณ์นโยบายภายในประเทศของตน“คนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกามีความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อยต่อประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา” หยาง กล่าวโดยอ้างถึงการสังหารชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาและประชาชนผิวดำ

หยางกล่าวในท้ายคำเปิดการเจรจา หลังจากที่ทั้ง บลิงเคน และเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวนำในเชิงกล่าวหาจีนมาก่อน ว่า “เพราะท่าน (บลิงเคน) และ คุณซัลลิแวนได้กล่าวเปิดงานที่แตกต่างกันออกไป ผมก็เลยต้องกล่าวฯ เช่นกัน”

ผู้เข้าร่วมการประชุมท่านหนึ่ง กล่าวว่าคำกล่าวของ หยาง ที่ยาวต่อเนื่องนับสิบนาที ราว 2,000 คำ นับเป็น "บททดสอบสำหรับล่าม" ด้านบลิงเคน ก็เลยกล่าวว่า “ เราจะต้องขึ้นเงินเดือนให้นักแปลแล้ว” สร้างเสียงหัวเราะผ่อนคลายในสถานการณ์ตึงเครียด

ตามรายงานของสื่อจีน จาง เริ่มทำงานเป็นล่ามในปี 2013 งานแรกคือการประชุมสองสภาประจำปีในปักกิ่ง เธอเป็นที่รู้จักในเรื่องท่าทางประกอบและทักษะการแปลที่ดี จาง เป็นชาวเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาษาต่างประเทศหางโจวในปี 2003 ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีนซึ่งเธอเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ เธอได้รับคัดเลือกจากกระทรวงการต่างประเทศในปี 2007

สื่อท้องถิ่นออนไลน์ China Women News โพสต์ในบัญชีโซเชียลมีเดียว่า จาง เป็น “ภาพลักษณ์ของประเทศจีน” และเป็น“ ตัวแทนของนักแปลที่มีความสามารถและเป็นมืออาชีพมากที่สุดของกระทรวงต่างประเทศของจีน ที่สื่อสารไปทั่วโลก”

โกลบอลไทม์ส กล่าวว่า นี่คือ "ความสง่างามของนักการทูตจีนในยุคใหม่"

สื่อท้องถิ่นออนไลน์ China Women News โพสต์ในบัญชีโซเชียลมีเดียว่า จาง เป็น “ภาพลักษณ์ของประเทศจีน” และเป็น“ ตัวแทนของนักแปลที่มีความสามารถและเป็นมืออาชีพมากที่สุดของกระทรวงต่างประเทศของจีน ที่สื่อสารไปทั่วโลก”

ความหวังใหม่ของโลก 'หมอมนูญ' เผยยารักษาโควิดรูปแบบใหม่ จ่ายยาให้กลับไปกินบ้านได้

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC' โดยระบุข้อความว่า…

นอกจากวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว โลกกำลังฝากความหวังกับยารับประทานตัวใหม่ชื่อ Molnupiravir ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นยาที่คิดค้นมารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ยาตัวนี้กำลังอยู่ในการทดสอบทางคลินิกในคนระยะที่ 2 คาดว่าจะเข้าการทดสอบระยะะที่ 3 ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

การทดสอบพบว่ายาตัวใหม่นี้ สามารถลดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิดได้ดี ลดจำนวนเชื้อไวรัสในคนได้รวดเร็ว ลดความรุนแรงของโรค ช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด และมีผลข้างเคียงต่ำ ยาตัวนี้อาจนำมารักษาเชื้อไวรัสโควิด-19 ทุกชนิดทั้งชนิดกลายพันธุ์และไม่กลายพันธุ์

ในการทดลองในสัตว์ เมื่อให้ยาตัวนี้กับสัตว์ทดลองที่ติดเชื้อไวรัสโควิด สามารถป้องกันสัตว์ทดลองตัวอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิดไม่รับเชื้อไวรัสโควิด ลักษณะการใช้ยาใหม่ตัวนี้ถ้าผ่านการรับรอง จะเหมือนกับยา Oseltamivir (Tamiflu) และ Baloxavir (Xofluza) ที่เป็นยากินใช้ทั้งรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ และให้กินเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกรณีที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยแพทย์จ่ายยาให้ไปกินที่บ้านแบบคนไข้นอก ไม่ต้องรับเข้านอนรักษาในโรงพยาบาล

นอกจากนี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลองเมื่อให้ยา Molnupiravir ร่วมกับยา Favipiravir ซึ่งก็เป็นยาที่คิดค้นมารักษาไข้หวัดใหญ่เหมือนกัน ผลการรักษาโรคโควิด-19 ในสัตว์ทดลองยิ่งดีขึ้นกว่าการให้ยาตัวใดตัวหนึ่ง ยา Favipiravir มีในประเทศไทยใช้รักษาโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่แล้ว


ที่มา: https://www.facebook.com/604030819763686/posts/1900214223478666/

จีนจ้องกระชาก ‘หัวกะทิ’ ต่างแดนหลากสาย เข้าพัก - ทำงานในจีน เชื่อแรงงานคุณภาพสูงช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ทะยานตามเป้าสู่ความเป็นเบอร์หนึ่งเศรษฐกิจโลก

จากเฟซบุ๊ก ‘ไทยคำ - จีนคำ’ ได้เผยเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองจีนที่ใกล้คืนสู่สภาวะปกติเมื่อมีผู้ได้รับวัคซีนมากขึ้นว่า...

สหายจากแดนมังกรบอก...ขอให้ไทยเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้มากๆ จะได้มาเที่ยวเมืองจีน และคนจีน ก็อยากมาเมืองไทยใจจะขาดแล้ว

มาว่ากันด้วยเรื่องของ ‘วิกฤต - โอกาส’ ความกดดันในช่วงที่ผ่านมา เป็นจังหวะให้จีนต่อยอดเดินนโยบายสำคัญ

กุมภาพันธ์ปี 2020 คณะกรรมการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ ขยายบริการการยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานแบบออนไลน์แก่ชาวต่างชาติในกลุ่ม A เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มของผู้คน และกระตุ้นให้คนเหล่านี้อยู่ทำงานในจีนต่อไป

จีนจัดแบ่งแรงงานต่างชาติออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ กลุ่ม A พรสวรรค์ชั้นยอด กลุ่ม B พรสวรรค์รายสาขาอาชีพ และกลุ่ม C แรงงานฝีมือต่ำ

ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ให้ข้อมูลว่า เวลานี้จีนกำลังมุ่งสนองตอบต่อนโยบาย Made in China 2025 การสร้างนวัตกรรม และการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ

พวกเขาจึงต้องการดึงดูดบรรดา ‘หัวกะทิ’ ผู้มีความสามารถจากหลายแขนงให้เข้ามาพำนักทำงานในจีน (เหมือนที่เราคุ้นเคยในกรณีของมหาอำนาจตะวันตก)

รัฐบาลจีนมองว่าแรงงานคุณภาพสูงมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจจีน จึงกำหนดเกณฑ์ที่ ‘เอื้อ’ ให้บุคคลเหล่านั้นเลือกมาทำงานที่จีน

“1 มีนาคม ที่ผ่านมา สำนักงานบริหารผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศแห่งนครเซี่ยงไฮ้ ออกกฎระเบียบให้ผู้ประกอบการระดับโลก นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้า นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างชาติ และผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และยา อยู่ในข่ายได้รับสิทธิ์ในกลุ่ม A

“คนกลุ่ม A สามารถยื่นขอวีซ่าประเภท R ซึ่งเป็นวีซ่าการจ้างแรงงานพรสวรรค์ต่างชาติระดับไฮเอนด์และเป็นที่ต้องการสูง สามารถเข้า-ออกได้หลายครั้งแต่พำนักในจีนได้คราวละไม่เกิน 180 วัน รวมทั้งยังได้รับสิทธิ์พิเศษ อาทิ ขั้นตอนการยื่นขอรับการพิจารณาที่สะดวก การยกเว้นการประกันสุขภาพแก่คนที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และการยื่นขอวีซ่าแก่สมาชิกครอบครัว”

'ดร.ไพจิตร' ชี้ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลจีนที่ต้องการช่วยอำนวยความสะดวก เปรียบเสมือนการออกโปรโมชั่นเชิญชวนให้ลูกค้าแฮปปี้เข้ามาจับจ่ายได้คล่องตัวขึ้น

นับแต่เริ่มมาตรการดังกล่าว รัฐบาลเซี่ยงไฮ้ได้ออกใบอนุญาตใหม่และต่อใบอนุญาตเดิมจำนวนเกือบ 10,000 รายแล้ว

ในส่วนของขั้นตอนราชการที่ยุ่งยากในหลายประเทศ ทางจีนแก้ไขปัญหาเหล่านี้จนเป็นรูปธรรม

“ขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาใบอนุญาตทำงานของชาวต่างชาติก็กระชับขึ้น โดยลดเวลาจาก 10 วันทำการเหลือเพียง 3 วันทำการ

“การดำเนินงานในลักษณะดังกล่าวสะท้อนว่า หากจีนได้รับประโยชน์จากสิ่งใด รัฐบาลจะพยายามปรับปรุงหลักเกณฑ์เงื่อนไขและขั้นตอนในเชิงรุกเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไทยเราอาจนำแนวคิดมาปรับใช้กับการปรับปรุงเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การอนุญาตและกำกับดูแลแรงงานต่างด้าวได้เช่นเดียวกัน”

ปัจจุบันมีชาวต่างชาติทำงานในเซี่ยงไฮ้อยู่ราว 215,000 คน คิดเป็น 23.7% ของจำนวนทั้งหมด อีกทั้งเซี่ยงไฮ้ยังครองแชมป์เมืองยอดนิยมของชาวต่างชาติเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน

“นโยบายดึงทรัพยากรมนุษย์จากต่างประเทศเพื่อป้อนภาคการผลิตแห่งโลกอนาคตในเชิงรุกของจีน ทำให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองแห่งนวัตกรรมในปัจจุบัน เพื่อเป็นแกนกลางส่งจีนทะยานสู่ความเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในสิ้นทศวรรษนี้ตามเป้า”


ที่มา: https://www.facebook.com/thaichinesetalk/posts/464991111514690

พีค of the week EP.11

สัปดาห์ที่ผ่านมา การเมืองร้อนแรง การศึกษาก็ร้อนรุ่ม ส่วนคนในเรือนจำก็เดือดสู้กับอุณหภูมิภายนอกเช่นเดียวกัน เปิดหัวต้นสัปดาห์ ด้วย ‘วัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรกในประวัติศาสตร์’ ที่ปักลงบนหัวไหล่นายกฯ ประยุทธ์ เป็นสัญญาณดี พร้อมลุยฉีดให้ประชาชนสู้โรคระบาดกันต่อไป แต่ไม่วายมีขาเม้าท์ หาว่าลุงตู่ฉีดวัควีนปลอมไปซะได้ เล่นเอาเดือด!

แต่สายเดือดตัวจริง ต้อง เพนกวิน พริษฐ์ ชีวารักษ์ ศาลเบิกตัวมาไต่สวน แต่เล่นใหญ่ชูสามนิ้วตะโกนขออดข้าว ก็จัดไป! ด้านโลกการศึกษา นักเรียนกลุ่มใหญ่ของประเทศ เจออภิมหาสึนามิการสอบแบบมาธารอน งานนี้ร้องศาลปกครอง ให้ช่วยเลื่อนสอบได้ไหม #DEK64 กำลังถูกทิ้ง ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ไปแบบระอุ ปิดท้ายปลายสัปดาห์ด้วย ม็อบที่มาด้วยใจแบบไร้แกนนำ สุดท้ายเลยพัง! หมายถึงข้าวของสาธารณะพัง! แถมบาดเจ็บกันไปไม่น้อย 

ไล่เรียงมาถึงตรงนี้ ตามไปดูความร้อนระอุของข่าวสารรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากันได้เลย Let’s go go go! 

.

 

ต้องพึ่งพาตัวเอง ! รมว.สาธารณสุข เผยความคืบหน้าวัคซีนโควิดของไทย ล่าสุด องค์การเภสัชกรรม ได้ทดลองวัคซีนโควิด 19 ในคน ครั้งแรกแล้ว พร้อมวางเป้าปี 65 ผลิตได้ 30 ล้านโดส

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมแถลงข่าว การพัฒนาวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเชื้อตายขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) เริ่มวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 พร้อมให้กำลังใจอาสาสมัครที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกในการวิจัย โดยระบุว่า

การวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ขึ้นเองภายในประเทศ เป็นการสร้างความมั่นคงและพึ่งพาตนเอง ซึ่งองค์การเภสัชกรรมได้วิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ด้วยเทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก ผลวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า มีความปลอดภัยและกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี

ดังนั้นในวันนี้ อภ. จึงร่วมกับศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เริ่มศึกษาวิจัยวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 โดยการศึกษาวิจัยจะฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัคร รวม 460 คน และจะศึกษาวิจัยในมนุษย์ให้มีผลครบถ้วนเพื่อนำข้อมูลไปยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่โรงงานผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม ต. ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนด้วยไข่ไก่ฟักที่ใช้ในการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว

พร้อมปรับมาใช้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้ทันที คาดว่าภายในปี 2565 จะขอรับทะเบียนตำรับและเริ่มผลิตวัคซีนได้ โดยผลิตได้ 25-30 ล้านโดสต่อปี

"เมื่อการทดลองประสบความสำเร็จ จะทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยดีขึ้น สามารถบริหารจัดการวัคซีนได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เราจะมีอิสระในการบริหารจัดการ การวิจัยครั้งนี้ไม่ใช่แค่การถ่ายทอดเทคโนโลยีเท่านั้นแต่เป็นการที่เราสร้างวัคซีนขึ้นมาเองบนต้องขอขอบคุณอาสาสมัครในการฉีดวัคซีนวันนี้พวกคุณถือเป็นวีรบุรุษวีรสตรีในการเสียสละทุ่มเทเพื่อทดสอบวัคซีน ให้เกิดประโยชน์กับมนุษยชาติ"

สำหรับ การฉีดวัคซีนโควิด19 ชนิดเชื้อตายในอาสาสมัครครั้งนี้เป็นการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 โดยเริ่มทดลองกลุ่มแรก 18 คน และในวันนี้ ได้ฉีดในอาสาสมัคร 4 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 2 คน และช่วงบ่าย 2 คน ขั้นตอนจะมีการซักประวัติและเส้นหนังสือยินยอมยินดีร่วมโครงการวิจัย หลังจากนั้นก็จะตรวจเลือดอาสาสมัคร เพื่อดูค่าตับ ค่าไต เม็ดเลือดแดง ตรวจหาตับอักเสบบี ตับอักเสบซี และเอชไอวีและทำนัดหมายมารับวัคซีน

ทั้งนี้ อาสาสมัครจะต้องไม่ติดเชื้อ หรือมีประวัติติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน และไม่ใช่หญิงตั้งครรภ์ กลุ่มอาสาสมัครจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อทำการสุ่มตัวอย่าง โดยผู้ดำเนินการฉีดกระทำโดยพยาบาลอิสระ และกลุ่มเฝ้าสังเกตอาการอีกกลุ่ม โดยมีการตรวจว่า 30 นาทีแรกเกิดอาการหรือไม่ และสังเกตอาการต่อ 4 ชั่วโมง ก่อนจะอนุญาตให้กลับบ้านได้

‘รมว.วัฒนธรรม’ สั่งลบข้อมูลสรรพคุณผ้าขาวม้าใช้ผูกคอตาย ออกจากเว็บไซต์กระทรวงฯแล้ว แต่ไม่ถึงขั้นตั้ง คกก.สอบ พร้อมกำชับต้องกรองข้อมูลจากภูมิภาค

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 22 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเว็บไซต์กระทรวงวัฒนธรรมมีการเผยแพร่สรรพคุณผ้าขาวม้า ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ไว้ผูกคอตาย ว่า ขณะนี้ได้มีการประสานในส่วนข้อมูลกลาง และหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีการอัพโหลดข้อมูลชุดเดียวกันลงไปแล้ว ซึ่งขณะนี้มีการลบและแก้ไขแล้ว

เมื่อถามว่าข้อมูลเหล่านี้ ก่อนเข้าสู่กระทรวงได้มีการตรวจสอบใช่หรือไม่ นายอิทธิพล กล่าวว่า ตรงนี้เป็นการดาวน์โหลดจากภูมิภาคเข้ามา แต่ถ้าของส่วนกลางจะมีการตรวจสอบข้อมูล อย่างไรก็ดี ขอขอบคุณประชาชนที่เมื่อพบข้อมูลใดที่ไม่เหมาะสมก็แจ้งมาให้เราแก้ไข และในส่วนนี้คงไม่ถึงขั้นตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เพราะเป็นข้อมูลเดิมที่มีมาตั้งแต่ปี 2556

แต่ได้สั่งการศูนย์ข้อมูลทุกจังหวัดตรวจสอบข้อมูล หากพบว่าข้อมูลใดไม่เหมาะสมก็ให้ทำการลบหรือแก้ไข รวมถึงหน่วยงานที่ดาวน์โหลดข้อมูลลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีข้อมูลที่ไม่เหมาะสมอย่างอื่น แต่กรณีนี้ถือเป็นกรณีศึกษาว่าองค์ความรู้อื่นที่มาจากภูมิภาค ส่วนกลางจะต้องเปิดอ่านทั้งหมด

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เกี่ยวกับ โควิดวัคซีน กับการกลายพันธุ์ของไวรัส

โควิดวัคซีน กับการกลายพันธุ์ของไวรัส

ที่ผ่านมาโควิดไวรัสได้มีการกลายพันธุ์มาโดยตลอด

จากที่เราทราบดีว่าจุดกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน สายพันธุ์ตั้งต้นตั้งแต่เราเรียกว่าสายพันธุ์ S สายพันธุ์ L แล้วไปเจริญเติบโตเป็นสายพันธุ์ G ในยุโรป

ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรุนแรง หรือมีผลในระบบภูมิต้านทาน

สายพันธุ์ G จึงพบเกือบทั่วโลกในปัจจุบัน และแตกแยกย่อยเป็นสายพันธุ์ต่างๆ เป็น GH GR และ GRY เรียกว่าการระบาดในครึ่ง ปีหลังทั่วโลกเป็นสายพันธุ์ G เป็นส่วนใหญ่แล้ว

เพราะแพร่กระจายได้ง่าย

ต่อมาสายพันธุ์ GR ได้มีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ที่เราเรียกสายพันธุ์อังกฤษ หรือ B.1.1.7

หรือถ้าเรียกตามกรดอะมิโน ก็จะเป็นสายพันธุ์ GRY (G = glycine, R = arginine, Y = tyrosine)

สายพันธุ์อังกฤษแพร่กระจายได้เร็ว เพราะเหมาะกับการจับที่ตัวจับบนเซลล์ ACE2

ขณะนี้แพร่กระจายอย่างมากในยุโรปและเข้าสู่อเมริกา

ส่วนอีก 2 สายพันธุ์ที่เราพูดถึงกันบ่อยคือสายพันธุ์แอฟริกาใต้และสายพันธุ์บราซิล

ทั้ง 2 สายพันธุ์นี้มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งสำคัญของกรดอะมิโน ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน

ถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้โรครุนแรงขึ้น แต่การแพร่กระจายก็สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เช่นกันกับสายพันธุ์อังกฤษ

เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโน ในจุดสำคัญเช่นเดียวกับสายพันธุ์อังกฤษ จึงเป็นที่ต้องระวัง เพราะจากการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนที่ผ่านมา มีประสิทธิภาพลดลง

การกลายพันธุ์ที่จะต้องคํานึงถึง คือ ทำให้ไวรัสหรือโรคแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น ลดประสิทธิภาพของวัคซีน เพิ่มหรือ ลดความรุนแรงของโรค ในแต่ละการกลายพันธุ์จึงจำเป็นต้องมีข้อมูลทางคลินิกและระบาดวิทยาเข้ามาทำการศึกษาร่วมด้วย โดยมีหลักการทางทฤษฎีสนับสนุน

ประเทศไทยการระบาดในครั้งแรกเป็นสายพันธุ์ S แต่การระบาดในครั้งนี้ ที่เรียกว่าระบาดรอบใหม่ เป็นสายพันธุ์ GH

และถ้าระบาดไปนาน ๆ เข้า เราเองก็จะต้องจับตามองว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางทิศทางใด

ในขณะเดียวกันสายพันธุ์ที่มีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน อย่างเช่นสายพันธุ์แอฟริกาใต้ รวมทั้งสายพันธุ์ที่กำลังตรวจสอบอย่างเช่นสายพันธุ์ไนจีเรีย ก็มีจุดสำคัญในตำแหน่งที่จะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง จะต้องป้องกันไม่ให้มาระบาดในประเทศไทย

การให้วัคซีนเร็วที่สุดจะช่วยลดการระบาด และการกลายพันธุ์ได้

ขณะนี้งานวิทยาศาสตร์สามารถถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสได้อย่างรวดเร็ว และมีการทำกันมากทั่วโลกเป็นประวัติการ ของการศึกษาไวรัส เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา

ไม่เคยมีไวรัสตัวไหนที่มีการถอดรหัสพันธุกรรมมากมายเท่ากับไวรัส covid-19

ที่ทำกันมากทุกวันนี้ มนุษย์เองก็ต้องการที่จะเอาชนะไวรัสให้ได้

ไวรัสเองก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

และในที่สุด จะต้องอยู่ร่วมกัน โดยทำร้ายกันให้น้อยที่สุด

#หมอยง


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=5405471562828750&id=100000978797641

สุดยอด! ‘นุศรา ต้อมคำ’ มือเซ็ตทีมชาติไทย ติดโผ 100 นักตบ ทรงอิทธิพลของโลกในรอบทศวรรษ

สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ หรือ เอฟไอวีบี ประกาศให้ ‘ซาร่า’ นุศรา ต้อมคำ นักวอลเลย์บอลสาว มือเซ็ตทีมชาติไทย ติดทำเนียบหนึ่งในร้อยสุดยอดนักวอลเลย์บอลและทีมวอลเลย์บอลของโลกที่ทรงอิทธิพลในทศวรรษ ซึ่งเป็นคนไทยหนึ่งงเดียวที่ติดโผดังกล่าว

ทั้งนี้ เอฟไอวีบี พิจารณาทั้งวอลเลย์บอลในร่มและวอลเลย์บอลชายหาดจากทุกทวีปทั้งประเภทชายและหญิงซึ่งไม่เพียงแค่คว้ารางวัลในการแข่งขันอันทรงเกียรติเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับวงการวอลเลย์บอลรุ่นหลังในการสร้างดาววอลเลย์บอลดวงใหม่ ตลอดจนนักกีฬาคนอื่นๆและแฟนวอลเลย์บอลด้วย

ทั้งนี้ เอฟไอวีบี พิจารณาคัดเลือก 100 นักวอลเลย์บอล ทั้งในร่มและวอลเลย์บอลชายหาดจากทุกทวีป ทั้งประเภทชายและหญิง ซึ่งไม่เพียงแค่คว้ารางวัลในการแข่งขันอันทรงเกียรติเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับวงการวอลเลย์บอลรุ่นหลังในการสร้างดาววอลเลย์บอลดวงใหม่ ตลอดจนนักกีฬาคนอื่นๆและแฟนวอลเลย์บอลด้วย


ที่มา : https://www.volleyball.world/en/roster100/roster-100-to-showcase-stars-of-volleyball?id=91918&fbclid=IwAR3FMR1xSfvr3VnT8MX8-mAb_tuzyvA6zROpj67kF7X55mOzl5D4ZKshk_A

จีนออกคำสั่งฟ้าผ่า ห้ามเจ้าหน้าที่ และทหารในกองทัพใช้รถยนต์ Tesla ขับเข้ามาในเขตค่ายทหารเด็ดขาด ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

เนื่องจากจีนเชื่อว่า กล้องที่ติดตั้งภายในรถยนต์ของ Tesla อาจถูกนำมาใช้เพื่อแอบสืบข้อมูลภายในของกองทัพได้ ด้านอีลอน มัสก์ ปฏิเสธวุ่น ไม่เป็นความจริง

เบื้องหลังของคำสั่งนี้ มาจากระบบกล้อง และ ตัวจับสัญญาณความเร็วเหนือเสียง เทคโนโลยีล่าสุดที่ติดตั้งในรถยนต์ของ Tesla ที่อาจเปิดเผยข้อมูลของเจ้าของรถยนต์ และสถานที่ทุกแห่งที่ไป ซึ่งทางจีนถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก หากเป็นพื้นที่ในเขตกองทัพ

ดังนั้น จีนจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่กองทัพห้ามใช้รถ Tesla ขับเข้ามาในเขตทหาร หรือถ้าเป็นพลเรือนจะเข้ามาติดต่อกับใครในกรมทหาร ต้องจอดรถทิ้งไว้หน้าค่าย ถึงจะเข้าไปได้

แต่ทั้งนี้ ก็มีความเห็นของสื่อตะวันตกว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่กองทัพจีนจะแบนรถ Tesla เพราะคำสั่งนี้ ออกมาในช่วงที่จีน และ สหรัฐอเมริกา กำลังมีนัดประชุมทวิภาคีกันที่รัฐอลาสก้าพอดี ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดอย่างมาก และจีนอาจต้องการแสดงอะไรบางอย่างเพื่อตอบโต้ท่าทีของสหรัฐฯ ซึ่งหวยก็ดูจะมาออกที่ Tesla พอดี

นอกเหนือจากนัยยะทางการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ทางรัฐบาลจีนต้องการสกัดดาวรุ่ง Tesla ที่กำลังขายดีอย่างมากในตลาดจีน ในปี 2020 ที่ผ่านมา Tesla Model-3 คือรถยนต์ EV ที่ขายดีที่สุดในจีน ด้วยยอดขาย 1.5 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากปี 2019 ถึง 20%

ฉะนั้นหากมีคำสั่งถึงเจ้าหน้าทุกหน่วยในกองทัพจีน ที่มีทหารประจำการมากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งนับเป็นกองทัพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ให้ใช้รถ Tesla ในค่ายทหาร ก็เท่ากับตัดกลุ่มผู้ซื้อรถไปได้เยอะทีเดียว

ทางด้าน อีลอน มัสก์ ผู้บริหารสูงสุดของ Tesla ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการใช้รถ Tesla เป็นสปายส่งข้อมูลลับ และยังบอกว่า "หากทางบริษัทคิดจะขายข้อมูลของลูกค้า หรือให้ใช้รถ Tesla เพื่อจารกรรมข้อมูลลับ เราคงขายรถที่ไหนไม่ได้แล้วครับ คงเจ๊ง ปิดโรงงานไปนานแล้ว"

ถึงจะออกมาปฏิเสธหนักแน่น แต่สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลจีนอยู่ดี ว่าจะเปลี่ยนใจ หรือ จะให้แบนต่อ เพื่อบีบตลาดรถ Tesla ในจีนให้โตช้าลงหน่อย แล้วปล่อยให้รถยนต์ EV สัญชาติจีนได้โตไล่ทัน หรือแค่ต้องการใช้เป็นตัวแทน ฟาดกับสหรัฐฯ เหมือนอย่างที่สหรัฐฯ เคยใช้ Huawei บีบจีน ก็ต้องรอติดตามกัน


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/us-news/2021/mar/20/elon-musk-denies-teslas-used-for-spying-after-chinas-military-bans-cars-from-bases?CMP=Share_AndroidApp_Other

https://www.foxbusiness.com/technology/chinese-military-bans-teslas

https://www.aljazeera.com/economy/2021/3/19/chinas-military-bans-tesla-cars-on-camera-sensor-spy-concerns

ธุรกิจพี่เลี้ยงสัตว์กำลังมาแรงในประเทศจีนโดยบางคนสามารถทำรายได้สูงถึง 1,000 หยวนหรือ 4,700 บาทต่อวันเลยทีเดียว

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ได้รายงานว่า อีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังมาแรงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่บรรดาทาสหมา ทาสแมวจะต้องตาลุกวาวไปตาม ๆ กัน โดยช่วงนี้เจ้าของสัตว์บางคนไม่สามารถเดินทางกลับไปหาสัตว์เลี้ยงของพวกเขาได้ รวมไปถึงลูกค้าบางคนมักจะต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจหรือแฮงเอาท์กับเพื่อนฝูง แต่ไม่อยากทิ้งสัตว์เลี้ยงไว้ตามลำพังธุรกิจนี้จึงเป็นทางออก

ประกอบกับทุกวันนี้การให้บริการทางออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้น หลายคนหันไปพึ่งพาคนแปลกหน้าบนอินเทอร์เน็ตแทนที่จะขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างอย่างเพื่อนหรือครอบครัว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม (อาจจะเป็นเพราะการไหว้วาน มักสร้างความรำคาญแก่คนใกล้ชิด และการดูแลสัตว์ โดยที่ไม่ได้รัก ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย) และนั่นก็ทำให้ธุรกิจพี่เลี้ยงสัตว์ได้รับความนิยมในจีน

สำหรับธุรกิจนี้เจ้าของสัตว์และพี่เลี้ยงสัตว์ไม่ต้องพบหน้ากันโดยตรง แต่พวกเขาติดต่อกันทางออนไลน์ ก่อนที่เจ้าของจะส่งที่อยู่และมอบกุญแจบ้านให้แก่พี่เลี้ยง (ต้องใช้ความไว้ใจคนแปลกหน้าบนโลกออนไลน์มากเลยทีเดียว)

อย่างไรก็ตามนี่ถือเป็นงานพาร์ทไทม์ที่ค่อนข้างสะดวกสบายและรายได้ดี เพียงแค่สละเวลาครั้งละประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อให้อาหาร เล่นกับน้องหมาน้องแมว เก็บขยะนิดหน่อย ก็สามารถคิดค่าบริการได้ 30 ถึง 50 หยวนหรือ 140 ถึง 230 บาท

Ningxia พี่เลี้ยงสัตว์วัย 25 ปีในเมืองหยินชวนกล่าวว่าเธอมีลูกค้าจำนวนมากโดยส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวในเมืองใหญ่ที่ไม่ค่อยมีเวลาทำให้เธอรับงานนี้วันละกว่า 10 ออเดอร์

เช่นเดียวกับ Xiao Mei พนักงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งระบุว่าเธอรับงานในวันหยุดเพื่อหารายได้เสริม ซึ่งนอกจากจะได้เงินแล้วเธอยังบอกว่าได้มีความสุขไปกับการเล่นกับบรรดาสัตว์เลี้ยงน่ารักๆ อีกด้วย

Wang Shuixiong นักวิจัยชาวจีนกล่าวว่าธุรกิจนี้เป็นผลมาจากการที่ชาวจีนรุ่นใหม่จำนวนมากมักเดินทางไปทำงานในเมืองใหญ่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงได้ และในปัจจุบันผู้คนมีความไว้วางใจคนแปลกหน้าบนโลกออนไลน์มากขึ้น จึงหันไปพึ่งพาคนเหล่านั้นมากกว่าคนรอบข้าง


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/648337

เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน ยืนยันเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีน AstraZeneca ต่อให้ครบตามเป้าหมาย แม้จะมีข่าวการค้นพบอาการลิ่มเลือดอุดตันในกลุ่มผู้รับวัคซีนบางราย จนทำให้มีประเทศในสหภาพยุโรปถึง 13 ประเทศระงับการฉีดวัคซีนไปก่อนเพื่อรอการตรวจสอบ

แต่ล่าสุด หน่วยงานการแพทย์แห่งยุโรป หรือ EMA ได้ทำการตรวจสอบวัคซีนของ AstraZeneca อีกครั้งและรายงานผลว่า อาการลิ่มเลือดอุดตัน ไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน พร้อมยืนยันว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 อย่างได้ผล แต่ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลของแต่ละประเทศสมาชิกจะพิจารณาว่าจะยุติ หรือไปต่อกับ AstraZeneca

และทางเยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน 4 ประเทศแกนนำหลักของสหภาพยุโรปก็ตัดสินใจไปต่อกับ AstraZeneca โดย นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอง คาสเทค ออกมาสนับสนุนการใช้วัคซีน AstraZeneca และกล่าวว่าตอนนี้ที่ฝรั่งเศสยังพบการแพร่ระบาดรุนแรง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระบาดระลอกที่ 3 ขึ้น ดังนั้นจึงควรเร่งเดินหน้าโครงการวัคซีนให้เร็วที่สุด และ ฌอง คาสเทค ก็จะเข้ารับการฉีดวัคซีน AstraZeneca ในวันศุกร์ที่ 19 มีนาคมนี้

เช่นเดียวกันกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน ที่เคยมีประสบการณ์ ติด Covid-19 ในระดับรุนแรงมาแล้ว ก็ออกมารับประกันความปลอดภัยของวัคซีน AstraZenca และพร้อมที่จะรับวัคซีนเข็มแรกในเร็วๆนี้ นายบอริส จอห์นสัน ย้ำว่า ติด Covid-19 ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะครับ ถ้ามีวัคซีนมาแล้ว ควรรีบมาฉีดกันดีกว่า

ทางด้านองค์การอนามัยโลกก็ได้ออกแถลงการณ์ว่า วัคซีน AstraZeneca มีความปลอดภัย และมีความเสี่ยงน้อย สามารถฉีดต่อไปได้

ส่วนทางบริษัท AstraZenca แถลงว่า ตอนนี้มีประชากรในยุโรป และอังกฤษมากถึง 17 ล้านคนได้รับวัคซีนของบริษัทเรียบร้อยแล้ว มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเพียง 37 เคสที่ไม่น่าจะสัมพันธ์กับผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน

AstraZenca เป็นหนึ่งในวัคซีน Covid-19 ที่ใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลก รองจากวัคซีน Pfizer เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยอดจองวัคซีนยังคงล้นหลาม และหนึ่งในจุดมุ่งหมายของทีมพัฒนาวัคซีน AstraZeneca คือการสร้างวัคซีนที่ประชากรทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะด้วยเรื่องราคา การผลิต การขนส่งและการใช้งาน ให้เรียบง่าย และมีประสิทธิภาพสูงนั่นเอง


อ้างอิง:

https://www.bbc.com/news/world-europe-56440139

https://www.bbc.com/news/uk-56452412

https://timesofindia.indiatimes.com/world/europe/french-pm-jean-castex-says-he-plans-to-get-an-astrazeneca-covid-19-vaccine/articleshow/81539624.cms

https://www.newsweek.com/boris-johnson-jean-castex-signal-support-astrazeneca-vaccine-getting-shots-amid-controversy-1577210


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top