Saturday, 10 May 2025
NEWS

ทีมแฮคเกอร์เกาหลีเหนือสุดแสบ แอบเจาะข้อมูลขโมยทรัพย์สินออนไลน์ ระดมเงินให้ ‘รัฐบาลคิม’ สร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์ 2 ปี ได้ไปกว่า 300 ล้านเหรียญ

สำนักข่าว CNN ได้อ้างอิงเอกสารลับจากองค์การสหประชาชาติ เปิดเผยว่า ทีมแฮ็คเกอร์ของกองทัพเกาหลีเหนือได้เจาะข้อมูลดูดเงิน และทรัพย์สินในระบบออนไลน์รวมมูลค่าถึง 316.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2019 - 2020 ที่ผ่านมา เชื่อว่าส่งไปให้รัฐบาลคิม จอง-อึน ใช้พัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์ในประเทศ

การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักรบไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ ถูกจับตามานานแล้วทั้งทีมสืบสวนพิเศษของสหประชาชาติ (UN) และ หน่วยข่าวกรองด้านความมั่นคงของสหรัฐ และ เกาหลีใต้ ที่เชื่อได้ว่าเกาหลีเหนือกลับมาพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่ากำลังพัฒนาขีปนาวุธในพิสัยยิงไกลระดับใด และคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

และสอดคล้องกับถ้อยแถลงของคิม จอง-อึน ที่เคยประกาศว่า เกาหลีเหนือจะรื้อฟื้นโครงการพัฒนาขีปนาวุธขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามของสหรัฐอเมริกา แม้ในสมัยของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีความพยายามที่จะดึงเกาหลีเหนือสู่โต๊ะเจรจาในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทว่าไม่สามารถตกลงกันได้เนื่องจาก ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการยุติการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ แม้ว่ารัฐบาลคิม จอง-อึน จะเผยแพร่ภาพการทำลายฐานทดสอบนิวเคลียร์ให้โลกเห็นแล้วก็ตาม

และท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัส Covid -19 ทั่วโลก ที่บีบให้เกาหลีเหนือตัดสินใจปิดพรมแดน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 เข้ามาในประเทศ นั่นหมายถึงการระงับการส่งออกถ่านหินไปยังประเทศจีน ที่เป็นคู่ค้าสำคัญ และเป็นรายได้หลักเพียงไม่กี่อย่างของเกาหลีเหนือ

และยังถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าทุนสำรองในประเทศของเกาหลีเหนืออาจแทบไม่เหลือแล้ว และอาจเลวร้ายถึงขั้นเศรษฐกิจล่มสลายในไม่ช้า ดังนั้นการหารายได้เสริมจากหน่วยรบไซเบอร์ จึงกลายเป็นช่องทางการเงินเพียงอย่างเดียว ที่จะทำให้เกาหลีเหนือเข้าถึงเงินตราต่างประเทศได้

ซึ่งข้อมูลที่ทางฝ่ายสืบสวนของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้รับอาจมีเพียงแค่ส่วนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันนานแล้วว่า เกาหลีเหนือมีหน่วยงานด้านการทหารที่ฝึกนักรบไซเบอร์โดยเฉพาะที่เรียกว่า Bureau 121 ที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮ็คเกอร์ในต่างประเทศ ที่เคยโจมตีเว็บไซต์ของกระทรวงรวมประเทศของเกาหลีใต้ เพื่อเจาะฐานข้อมูลชาวเกาหลีเหนือแปรพักตร์ การปล่อยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานราชการในสหรัฐอเมริกามาแล้ว

ตอนนี้หลายฝ่ายกำลังจับตามองท่าทีของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด ว่าจะมีนโยบายต่อเกาหลีเหนืออย่างไร ส่วนทางเกาหลีเหนือยังไม่ได้ออกมาตอบโต้รายงานข่าวเรื่องการจารกรรมทรัพย์สินโดยทีมแฮ็คเกอร์ของเกาหลีเหนือในครั้งนี้


อ้างอิง

https://edition.cnn.com/2021/02/08/asia/north-korea-united-nations-report-intl-hnk/index.html

https://www.cnbc.com/2019/09/13/treasury-department-sanctions-north-korean-hackers-over-cyberattacks-of-critical-infrastructure.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Bureau_121

VietJet สายการบินราคาประหยัดของเวียดนาม เผยรายได้ปี 2020 มีกำไรหลังหักภาษีแล้ว 90 ล้านบาท โชว์ศักยภาพสายการบินเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่มีกำไร และไม่ต้องปรับลดพนักงานในช่วงวิกฤติโควิด-19

แม้ในปีที่ผ่านมา VietJet จะเปิดให้บริการเที่ยวบินได้เพียง 78,462 เที่ยว ซึ่งลดลงจากปี 2019 ที่ให้บริการ 139,000 เที่ยว แต่ VietJet ก็ยังทำกำไรได้ถึง 3 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 90 ล้านบาท ขณะที่สายการบินอื่นๆ ตกอยู่ในภาวะขาดทุนหรือต้องปิดกิจการ

กุญแจสำคัญของ VietJet อยู่ตรงไหน?

ในปีที่ผ่านมา รายได้เสริมของVietJet คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินขนส่งสินค้า ซึ่งอันที่จริงแล้ว VietJet ไม่มีเครื่องบินบรรทุกสินค้าเป็นของตัวเอง จึงต้องดัดแปลงเครื่องบินโดยสารเพื่อรองรับการขนส่งสินค้า โดยการถอดที่นั่งออกและยึดสินค้าด้วยตาข่าย

จากนั้นก็ได้ทำข้อตกลงร่วมกับบริษัทอื่นๆ ทำให้สามารถขยายเครือข่ายการขนส่งสินค้าไปยังยุโรปและสหรัฐฯ อาทิ บริษัทขนส่งสินค้ายูพีเอส โดยในปี 2020 VietJet เป็นสายการบินแห่งแรกของเวียดนามที่ได้รับอนุมัติให้ขนส่งสินค้าในห้องโดยสาร (CIPC) สามารถขนส่งสินค้าไปทั่วโลกได้กว่า 6 หมื่นตัน ทำให้รายได้จากการขนส่งสินค้าพุ่งขึ้น 75% ในไตรมาส 4/2020 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเติบโตขึ้นเพียง 16% และถือเป็นการทำธุรกิจขนส่งสินค้าที่ไปไกลได้ถึงทวีปอเมริกาและยุโรปครั้งแรก ทั้งที่เดิมเป็นแผนที่วางไว้ในอนาคต ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสายการบินที่ส่งเสริมการขายสินค้าและบริการเพื่อชดเชยรายได้จากการจำหน่ายตั๋วโดยสารที่ลดลง

ไม่เพียงแต่การปรับธุรกิจเป็นเครื่องบินขนส่ง แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา VietJet ยังเปิดตัว VietJet Ground Services Center (VJGS) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (ฮานอย) ซึ่งมีส่วนช่วยในการจัดการต้นทุนสายการบินและช่วยปรับปรุงการรับรู้แบรนด์และคุณภาพการให้บริการของสายการบินดีขึ้น แถมยังเปิดตัวสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร อาทิ บัตรกำนัลพาวเวอร์พาส (Power Pass) และบัตรกำนัลพาวเวอร์พาสสำหรับชั้นโดยสารสกายบอส (Power Pass Skyboss)

ในส่วนของการลดค่าใช้จ่าย VietJet ก็ได้บริหารจัดสรรฝูงบินใหม่ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ 10% ผ่านการเจรจาขอส่วนลด 20-25% จากผู้ผลิต พร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไปได้ 10% โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 ยังประสบความสำเร็จจากการประกันความเสี่ยงราคาเชื้อเพลิง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงได้ 25% เมื่อเทียบกับราคาตลาด

นอกจากนี้ ยังมีรายได้เพิ่มเติมจากการเปิดศูนย์บริการพิเศษภาคพื้นดินที่สนามบินนานาชาติโหน่ยบาย ในฮานอย รวมถึงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่มีมาตรการที่ขัดขวางการเดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศ และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยการลดภาษี ขยายระยะเวลาการชำระภาษี ลดค่าธรรมเนียมการขึ้น-ลงเครื่องบินและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ตลอดจนได้รับการพิจารณาข้อเสนอความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลสำหรับสายการบินท้องถิ่น

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้สายการบิน VietJet ไม่จำเป็นต้องปรับลดพนักงานลง แถมยังทำให้เกิดกำไรสวนทางกับสายการบินอื่นๆ ในโลก

ปัจจุบันสินทรัพย์ของ VietJet มีมูลค่ารวม 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้บริการเที่ยวบินในปี 2020 ที่ 78,462 เที่ยวบิน มีชั่วโมงบินรวม 120,093 ชั่วโมง รองรับผู้โดยสารกว่า 15 ล้านคน อัตราความน่าเชื่อถือทางเทคนิคของ VietJet สูงถึง 99.64% ได้รับการจัดอันดับความปลอดภัยระดับ 7 ดาว เป็นระดับสูงสุดและได้รับการจัดอันดับจาก Airline ratings อยู่ใน 10 อันดับสายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในโลกประจำปี 2020 และตอนนี้ VietJet กลับมาให้บริการเส้นทางบินในประเทศเวียดนามแล้วกว่า 47 เส้นทาง


ที่มา:

https://www.posttoday.com/world/644433

https://brandinside.asia/vietjet-income-and-profit-in-2020/?fbclid=IwAR1SYc8XVnZMKVQIDX8jf56IPij-5sEYJ1egqdkAH9WKYTJWkOBA_y__R1E

‘รังสิมันต์ โรม’ เปิดหลักฐาน อัด ‘สิระ’ บิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ข้อมูลเท็จ ปมกล่าวหาตนบุกรุก ‘เกาะงำ’ ทำร้ายประชาชน เตรียมฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาท ซัดหวังดิสเครดิตก้าวไกล ก่อนอภิปรายไม่วางใจหรือไม่

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมเปิดหลักฐานภาพถ่ายในการลงพื้นที่ จากกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนายชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส. ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมแถลงข่าวว่ามีประชาชนที่เกาะงำ จ.ภูเก็ต มาร้องเรียนว่าถูกผมข่มขู่ให้ออกจากพื้นที่นั้น

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนได้ลงพื้นที่เกาะงำ 2 ครั้งด้วยกัน คือช่วงเดือนมกราคม 2562 และ เดือนกันยายน 2562 ตอนที่ลงพื้นที่ดังกล่าวครั้งแรก เป็นช่วงการหาเสียง ที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านพารา ซึ่งอยู่ฝั่งของเกาะภูเก็ต ว่าชาวบ้านไม่สามารถไปเยือนเกาะดังกล่าวได้ เพราะเมื่อเดินทางไปแล้ว มีการใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า ข่มขู่ว่าจะทำร้าย ซึ่งชาวบ้านพารามีความกังวลว่า อาจจะมีกระบวนการให้นายทุนมายึดครองเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัว ตนจึงถือโอกาสนั้นลงพื้นที่ดังกล่าว พบว่าเป็นเกาะที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ไม่พบเห็นใครอยู่ในเกาะดังกล่าว

โดยหลังจากนั้นตนลงพื้นที่เกาะงำอีกครั้ง คือเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2562 ซึ่งชาวบ้านบ้านพารา ยืนยันกับผมว่าอีกครั้งว่ามีความพยายามเอาเกาะงำนี้เป็นเกาะส่วนตัวจริง จึงมาร้องยังผมเพื่อขอให้ช่วย ผมลงจึงลงพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งการลงครั้งนี้เป็นการลงร่วมกับทางป่าไม้ เหตุที่ลงพร้อมกับป่าไม้ เพราะตนทราบว่า ทางชาวบ้านน่าจะประสานลงพื้นที่กับทางป่าไม้มาอีกทางหนึ่ง จึงได้มีการลงพื้นที่ร่วมกัน เพราะมีชาวบ้านมาร้องเรียนว่ามีคนบุกรุกพื้นที่เกาะ มีอาวุธปืนยิงไล่คนที่เข้าใกล้ ตนจึงลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อตรวจสอบเบื้องต้น จึงได้พบกับครอบครัวดังกล่าว ทางป่าไม้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าไม้จริง มีการปลูกบ้านอยู่อาศัย ทางป่าไม้จึงแจ้งกับทางครอบครัวดังกล่าวให้ออกจากพื้นที่ภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่มีการข่มขู่แต่อย่างใด

โดยตนขอยืนยันว่าตัวผมไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับที่ดินบนเกาะงำเลยแม้แต่น้อย และภายหลังจากที่ลงพื้นที่ครั้งนั้น ตนก็ยังไม่เคยได้ไปที่เกาะแห่งนั้นอีก ในการที่ลงพื้นที่นั้น เบื้องต้นมีการกล่าวว่าจะมีการเอาเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัวจากนายทุน สิ่งที่ผมทำคือการแก้ไขปัญหาความขัดเเย้งเพื่อไม่ให้เกิดความรุนเเรง อีกทั้งกรณีนี้ต่างจากเรื่องสิทธิชุมชนในพื้นที่ป่าหรือกลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่อาศัยมาก่อนการประกาศเขตป่า

ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่ามีการคุกคามกักขังหน่วงเหนี่ยวเด็ก ตนขอยืนยันว่าไม่ได้มีการแตะเนื้อต้องตัวเด็กแม้แต่น้อย ตนเองคงไม่มีความสามารถทำแบบนั้น ณ เวลานั้นตนเป็น ส.ส. ได้เพียง 6 เดือน ที่สำคัญเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน จะเอาเด็กไปขังไว้สำนักงานป่าไม้ ข้าราชการที่ไหนเขาจะยอมให้ตนทำเช่นนั้น โดยตนมั่นใจว่าการลงพื้นที่ในครั้งนั้นในบ้านของชาวบ้านมีกล้องวงจรปิด หากมีหลักฐานที่ตนกระทำอย่างที่นายสิระ เเละนายชัยยันต์ กล่าวหาจริง ผมขอให้นำภาพหลักฐานมาชี้เเจง

นายรังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ ไม่ว่าการหยิบเรื่องดังกล่าวมาโจมตีผมในจังหวะเวลานี้จะเป็นไปด้วยมูลเหตุจูงใจอะไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในทุกประเด็น ทุกกระบวนการ และหากว่านี่คือขบวนการใส่ร้ายป้ายสีตน นั้นเพราะว่ารัฐบาลกังวลใจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน เเละคิดว่ารัฐบาลจะอยู่ต่อไม่ได้ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นการดิสเครดิตพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ผมผิดหวังจากใจจริงว่าคนที่ยืนข้างคุณสิระ คือคุณชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ร่วมทำงานด้านอภิปรายไม่ไว้วางใจร่วมกับกัน โดยตนจะดำเนินคดีการทางกฎหมายกลับอย่างแน่นอน พร้อมมั่นใจว่าตนไม่มีประโยชน์ส่วนได้เสียกับคดีเกาะงำ และหวังให้ยุติขบวนการยึดครองเกาะของนายทุนเป็นพื้นที่ส่วนตัว

 

สหรัฐอเมริกากำลังกลับมาสวมบทบาทตำรวจโลกอีกครั้ง หลังจากเบาบางลงในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ โดย นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

สถานการณ์ในพม่าจะออกหัวออกก้อยยังไม่ชัดเจน แต่มิตรประเทศที่ดี คงได้แต่เอาใจช่วยให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี และมิตรประเทศที่ดีต้องไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

แต่ฝ่ายบริหารใหม่ของสหรัฐฯ เริ่มทำตัวเป็น ‘ตำรวจโลก’ ทันที โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตสหรัฐในพม่า ประกาศชัดเจนว่าจะขอยืนเคียงข้างประชานชาวพม่า ซึ่งต่อต้านทหารพม่าที่ยึดอำนาจ ประกาศสนับสนุนการชุมนุมอย่างสันติ

สหรัฐฯ ใช้สองมาตรฐาน ทีคนอเมริกันชุมนุมคัดค้านการทารุณกรรมที่ตำรวจกระทำต่อคนผิวสีจนเสียชีวิต และตามด้วยสโลแกน Black life matter ที่ดังไปทั่วโลกและตามด้วยการคัดค้านผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนอเมริกันถืออาวุธเดินขบวนชุมนุม ทางการสหรัฐประกาศฉุกเฉิน ใช้กำลังทหารและรถหุ้มเกราะติดอาวุธป้องกันสถานที่ราชการ และใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม

...แต่ไม่มีชาติใดไปสั่งให้รัฐบาลสหรัฐฯ รับฟังเสียงประชาชนเลย!!

สหรัฐฯ อาจจะอินกับบทตำรวจโลกมาก จนนางแมร์เคิล นายกเยอรมัน พูดเมื่อ 26 มกราคมที่ผ่านมาว่า การทูตของไบเดนคือ สงครามเย็นแห่งพันธมิตร และระบุด้วยว่า สหรัฐไม่มีสิทธิที่จะบีบบังคับประเทศอื่นๆ ให้ปฏิบัติตามในการรับใช้สหรัฐ

และนางแมร์เคิลยังเน้นว่า ประเทศอื่นๆ อย่าเข้าร่วมในการครองความเป็นเจ้า Hegemonic ของสหรัฐฯ

พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ามากมาย ฝรั่งจ้องตาเป็นมัน ‘อยากได้’ แต่ผู้นำพม่าขายให้จีนไม่ใช่ฝรั่ง ถ้าจะได้ทรัพยากรที่สำคัญต้องเปลี่ยนผู้นำประเทศจากทหาร

หนทางเดียว คือ ให้พลเรือนอย่าง นางอองซาน เป็นผู้นำประเทศ ที่ต้องพึ่งฝรั่งอย่างเดียว ทหารก็ไม่เอา ชนกลุ่มน้อยก็ไม่ไว้ใจ ขี่ง่ายกว่าเยอะ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ มันคือข้ออ้างในการเข้าแทรกแซง

จับตาบทบาท ‘ตำรวจโลก’ อย่ากระพริบตา


ที่มา: https://www.facebook.com/100005279737218/posts/1558571360995507/

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ชำแหละการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม หนุนใช้ ‘เกณฑ์เดิม’ ดีกว่า ‘เกณฑ์ใหม่’ เพราะเป็นโครงการที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งมวลชน โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte’ โดยระบุว่า

ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

เกณฑ์เดิม "ดีกว่า" เกณฑ์ใหม่

คาดว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะใช้เกณฑ์ใหม่ในการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งใหม่แทนการประมูลเดิมที่ถูก รฟม.ยกเลิกไป แต่ผมมั่นใจว่าเกณฑ์ใหม่สู้เกณฑ์เดิมไม่ได้ เพราะอะไร?

รฟม.อ้างว่าเหตุที่ต้องใช้เกณฑ์ใหม่เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เนื่องจากจะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ยังคงเปิดให้บริการ จะต้องตัดเสาเข็มสะพานลอยโดยไม่ปิดการจราจร และที่สำคัญ จะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ถือว่าเป็นการก่อสร้างที่ซับซ้อน มีความเสี่ยงสูง จะใช้เกณฑ์เดิมไม่ได้

เกณฑ์เดิมไม่ดีจริงหรือ?

ตามเกณฑ์เดิมเอกชนจะยื่นข้อเสนอ 4 ซอง ดังนี้

ซองที่ 1 ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ

คณะกรรมการคัดเลือกจะประเมินข้อเสนอด้านคุณสมบัติว่ามีครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ จะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 2 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 2 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิค

มีคะแนนเต็ม 100% แบ่งเป็น 5 หมวด ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้คะแนนในแต่ละหมวดไม่น้อยกว่า 80% และจะต้องได้คะแนนรวมของทุกหมวดไม่น้อยกว่า 85% หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 3 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 3 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 3 ข้อเสนอด้านผลตอบแทน

ผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม.มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล แล้วจึงเปิดซองที่ 4 ของผู้ชนะการประมูลต่อไป

ซองที่ 4 ข้อเสนออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ รฟม.

แต่หลังจากปิดการขายเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชน (RFP) แล้ว รฟม.ประกาศเปลี่ยนการใช้เกณฑ์ประเมินเป็นเกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าเกณฑ์เดิมคัดเลือกผู้ชนะโดยการดูเฉพาะคะแนนผลตอบแทนเท่านั้น หากเอกชนรายใดรายหนึ่งเสนอผลตอบแทนให้ รฟม.ต่ำกว่าอีกรายเพียงเล็กน้อย

แต่เอกชนรายนั้นได้คะแนนด้านเทคนิคสูงกว่า จะทำให้ รฟม.เสียโอกาสในการได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

แต่ผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกณฑ์เดิมได้ให้ความสำคัญด้านเทคนิคไว้สูงสุดแล้ว เพราะให้คะแนนไว้เต็ม 100% พร้อมทั้งกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้ 85% นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้ไม่น้อยกว่า 85% จึงจะสอบผ่าน และจะต้องได้คะแนนในหมวดย่อยอีก 5 หมวด หมวดละไม่น้อยกว่า 80% ผู้ยื่นข้อเสนอที่สอบผ่านถือว่ามีความสามารถด้านเทคนิคสูงมาก สามารถทำการก่อสร้างงานประเภทไหนก็ได้

การกำหนดคะแนนรวมด้านเทคนิคไว้ 85% ถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายจากหัวลำโพง-ท่าพระ มีเส้นทางผ่านเยาวราชซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ และต้องลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา แต่ รฟม.กำหนดคะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 70% เท่านั้น แม้กำหนดคะแนนสอบผ่านด้านเทคนิคไว้เพียง 70% แต่ผู้รับเหมาที่ชนะการประมูลก็สามารถทำการก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงฟันธงว่าเกณฑ์เดิมดีมากอยู่แล้ว รฟม.ไม่ควรยกเลิกแล้วเปลี่ยนไปใช้เกณฑ์ใหม่

เกณฑ์ใหม่ดีจริงหรือ?

เกณฑ์ใหม่พิจารณาซองที่ 1 (คุณสมบัติ) เช่นเดียวกับเกณฑ์เดิม แต่พิจารณาซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) และซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) พร้อมๆกัน โดยให้คะแนนรวมซองที่ 2 และซองที่ 3 เท่ากับ 100% แบ่งเป็นคะแนนซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) 30% และคะแนนซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) 70% สำหรับคะแนนด้านเทคนิคนั้น รฟม.ไม่ได้กำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้

นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะได้คะแนนด้านเทคนิคต่ำเพียงใดก็ถือว่าสอบผ่าน อีกทั้ง การให้คะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 30% เป็นการลดความสำคัญด้านเทคนิคลงมา ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของ รฟม.ที่ต้องการใช้เกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าจะทำให้ได้ผู้ยื่นข้อเสนอที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องใช้เป็นเกณฑ์ที่ รฟม.เคยใช้มาแล้วในอดีตนานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ รฟม.คงเห็นว่าไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่ซับซ้อน จึงทำให้ รฟม.เลิกใช้เกณฑ์นี้หันมาใช้เกณฑ์เดิม (แยกซองเทคนิคออกจากซองผลตอบแทน) หรือเกณฑ์ที่ประกาศใช้ในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งแรก

สรุป

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องการใช้ไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟาสายสีส้มที่มีเส้นทางส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน วิ่งผ่านใต้สะพานลอย (ต้องตัดเสาเข็มที่รองรับสะพานลอย) ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา

เกณฑ์เดิมจะทำให้ รฟม.คัดเลือกได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูงเหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการนี้ และจะทำให้ รฟม.ได้รับผลตอบแทนสูงสุดที่ควรจะได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ รฟม.จึงควรพิจารณาใช้เกณฑ์เดิมในการเปิดประมูลครั้งใหม่


ที่มา : https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdrhttp://https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdr

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

ททท.คาดบรรยากาศท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนปีนี้เงียบเหงา แม้รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดยาวกรณีพิเศษ คาดมีคนเดินทางท่องเที่ยวเพียง 2.3 แสนคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนแค่ 602 ล้านบาท

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวกรณีพิเศษ ระหว่างวันที่ 12-14 ก.พ. 2564 ว่า บรรยากาศโดยรวมของการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ค่อนข้างเงียบเหงา โดยจากการสำรวจพบว่า มีคนเดินทาง 2.35 แสนคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนแค่ 602.20 ล้านบาท โดยทั่วประเทศมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพียง 15% เท่านั้น

ทั้งนี้เป็นผลมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ไม่เพียงกระทบต่อความเชื่อมั่น และความปลอดภัย ทำให้ต้องงดหรือชะลอการเดินทางท่องเที่ยว แต่ยังฉุดให้เศรษฐกิจทุกภาคส่วนกลับมาซบเซาอีกครั้ง ส่งผลต่อรายได้ที่ลดลงและหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายค่อนข้างมาก  

ททท. ด้วยประเมินว่า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายๆ พื้นที่มีแนวโน้มลดลง และภาครัฐมีมาตรการผ่อนคลายพื้นที่ ทำให้ 60 จังหวัดเมืองหลัก และเมืองรอง มีความพร้อมรองรับการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนประมาณ 65.38% แต่เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวมีจำกัด 

ดังนั้นการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงน่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้ และเน้นกิจกรรมตามวิถีแห่งศรัทธาด้วยการไหว้พระ เทพเจ้า ขอพร และแก้ปีชงเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน โดยจากการวิเคราะห์การพูดคุยในสังคมออนไลน์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 6 ก.พ. 64 เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ พบว่า จังหวัดที่โดดเด่นมีการพูดถึงค่อนข้างมากคือ นครนายก ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ใช้เวลาเดินทางไม่นาน เหมาะกับการเดินทางแบบกลุ่มครอบครัว

'บิ๊กตู่' ตบอก! ลั่นพร้อมทุกวันรับมือศึกซักฟอก โยนถาม 'ไพบูลย์' ปมยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความญัตติฝ่ายค้าน เชื่อรัฐมนตรีทุกคนชี้แจงได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เตรียมเสนอญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ญัตติดังกล่าวได้นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยนายกฯ กล่าวว่า ให้ไปถามนายไพบูลย์ เอง

เมื่อถามย้ำว่า เห็นควรเลื่อนหรือไม่ เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการคว่ำการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธตอบพร้อมส่ายหัว และกล่าวเพียงว่า "ผมพร้อมที่จะอภิปราย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ พร้อมไปติวกับพรรคพลังประชารัฐร่วมกับ 10 รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก ระหว่างวันที่ 13 - 14 ก.พ.หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมคงไปติวให้เขามากกว่า อย่างไรก็ตามข้อมูล ชี้แจงไปหมดแล้ว ใครทำอะไรไว้คิดดี ๆ แล้วชี้แจงไป เขาว่ามาก็ชี้แจงไป ผมเชื่อว่าชี้แจงได้ในหลายๆ เรื่อง เพราะอยู่ที่ผลงานมากกว่า ส่วนในเรื่องกฎหมายก็ให้ว่ากันมา และก็ต้องทน เพราะในสภาเขาพูดอะไรก็ได้ แต่ระวังอย่าให้มีปัญหาก็แล้วกัน"

เมื่อถามย้ำถึงกรณีนายไพบูลย์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่มีความเห็น เขาทำได้หรือไม่ ใครทำได้ก็ทำไป ถ้าเขาไปยื่นศาลก็ฟังศาลแล้วกัน แต่ผมเองไม่มีปัญหาอะไรผมเองไม่มีปัญหากับการไม่ไว้วางใจไว้วางใจ" ก่อนตบที่หน้าอกตัวเองแล้วยืนยืนกับสื่อว่า "พร้อมตลอด พร้อมทุกวัน"

‘บิ๊กป้อม’ หนุน ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความญัตติอภิปรายเกี่ยวข้องสถาบัน ลั่นไม่เจตนาดึงเวลาซักฟอก แค่เป็นห่วงประเด็นกระทบสถาบัน รอศาลตัดสินแล้วว่ากันต่อ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)กรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพปชร.เตรียมเสนอญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ญัตติดังกล่าวได้นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่าเรื่องที่ยื่นไปเป็นเพราะเขากังวลว่าจะเป็นการนำสถาบันเข้ามายุ่งกับการเมือง แต่ไม่ทราบว่าจะยื่นทันหรือไม่ เรื่องนี้นายไพบูลย์ ทำของเขาเอง ไม่ได้มาปรึกษา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็น่าห่วง ดังนั้นจึงอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความดีกว่า

เมื่อถามว่าเรื่องดังกล่าวอาจถูกมองว่ามีเจตนาคว่ำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการคว่ำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อาจจะเลื่อนออกไปหน่อย เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญดูเสียก่อน เมื่อถามถึงกรณีที่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล เตรียมติวรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้นัดกันไว้ในวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ และตนจะไปเข้าร่วมด้วย

เมื่อถามถึงเหตุระเบิดบริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าเซนต์หลุยส์ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "จะทำอย่างไรได้ ก็มันปา"

Top 10 สุดยอดเมืองที่ปลอดภัย และ อันตรายที่สุดในสหรัฐอเมริกา ‘ความยากจน - การว่างงาน - การศึกษา - ความเหลื่อมล้ำ’ ยังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมสหรัฐ

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซท์ safewise.com ได้จัดอันดับ Top 10 เมืองที่มีความน่าอยู่ ปลอดภัยที่สุดในสหรัฐอเมริกา และในขณะเดียวกันก็ได้จัดอันดับเมืองที่อันตรายที่สุดมาด้วยเช่นกัน โดยใช้ข้อมูลจากอัตราการเกิดคดีอาชญากรรมจากฐานข้อมูลที่เปิดเผยได้ของ FBI ในรอบปีที่ผ่านมา

โดยใช้ค่าเฉลี่ยจากคดีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่อประชากร 1,000 คน เป็นเกณฑ์จัดอันดับสูงต่ำตามคะแนนที่ได้

และเมืองที่ชนะเลิศ เข้าเกณฑ์เมืองที่ปลอดภัยน่าอยู่สุดๆในสหรัฐอเมริกา ได้แก่

1. เมืองบอร์ดวิว ไฮทส์ รัฐโอไฮโอ

2. เมืองฮอพคินตัน รัฐแมสซาชูเซสส์

3. เมืองโอ๊คแลนด์ ทาวน์ชิพ รัฐมิชิแกน

4. เมืองริดจ์ฟิลด์ รัฐคอนเนตทิคัต

5. เมืองเบอร์เกนฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซี

6. เมืองนิวแคสเซิล ทาวน์ รัฐนิวยอร์ค

7. เมืองแฟรงคลิน รัฐแมสซาชูเซสส์

8. เมืองเบดฟอร์ด ทาวน์ รัฐนิวยอร์ค

9. เมืองโชรส์เบอรี รัฐแมสซาชูเซสส์

10. เมืองเบอร์นาร์ดส ทาวน์ชิพ รัฐนิวเจอร์ซี

เมื่อมีเมืองในฝันที่สวยหรู ก็ต้องมีเมืองแห่งโลกความจริงอันโหดร้าย กับเมืองที่จัดว่าอันตรายที่สุดในสหรัฐอเมริกา 10 อันดับได้แก่

1. เมืองแองเคอเรจ รัฐอะลาสก้า

2. เมืองอัลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก

3. เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี

4. เมืองวิชิทา รัฐแคนซัส

5. เมืองลับบ็อก รัฐเท็กซัส

6. เมืองดีทรอยท์-เดียร์บอร์น-ลิวอนเนีย รัฐมิชิแกน

7. เมืองสโปแคน-สโปแคน วัลลีย์ รัฐวอชิงตัน

8. เมืองชรีฟพอร์ต-บอสซิเออร์ซิตี้ รัฐลุยเซียนา

9. เมืองคอร์ปัส คริสตี รัฐเท็กซัส

10. เมืองโมบิล รัฐอลาบามา

แต่การใช้ความถี่ของคดีอาชญากรรมในพื้นที่เป็นเครื่องวัดความน่าอยู่ ปลอดภัยของแต่ละเมือง ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลส่วนเดียว ผู้จัดทำข้อมูลจึงได้หาข้อมูลปัจจัยอื่นๆที่จะวัดถึงความปลอดภัยในแต่ละเมือง โดยใช้เกณฑ์อื่น ๆ เช่น

- ค่าเฉลี่ยรายได้และความยากจน

- ระดับการศึกษาของคนในเมือง

- การจัดโซนนิ่งที่อยู่อาศัยจากสีผิว เชื้อชาติ

- การเข้าถึงอินเตอร์เนตความเร็วสูง

- การจัดสรรงบประมาณพัฒนาชุมชน และอัตราการว่างงาน

และก็พบความสัมพันธ์ระหว่างเมืองที่มีปัญหาอาชญากรรมสูง กับ ปัจจัยการเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐาน ระดับการศึกษาของชาวเมือง และความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างไม่น่าเชื่อ

ในแง่รายได้เฉลี่ย พบว่ากว่า 90% ของเมืองที่มีความไม่ปลอดภัย มักมีรายได้ต่อครัวเรือนต่ำกว่าค่าเกณฑ์มาตรฐาน จากการประเมินรายได้ต่อครัวเรือนของสหรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 61,937 เหรียญต่อปี ซึ่งกว่า 87% ของชาวเมืองที่อาศัยในเมืองที่มีความปลอดภัยน้อยมักมีรายได้ต่อครัวเรือนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนี้

ยิ่งมาดูที่เส้นความยากจน ก็จะพบว่าประชากรที่อยู่ในเมืองที่อันตรายสูง มีถึง 16.3% ที่มีรายได้อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ยกเว้นเมือง เมืองแองเคอเรจ ในรัฐอะลาสก้า แม้จะมีคดีอาชญากรรมสูงแต่ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้สูงกว่าเฉลี่ยของประเทศ แต่ก็เป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอย่างเบาบาง

และมากกว่าครึ่งของเมืองที่มีคดีอาชญากรรมสูง มักมีประวัติศาสตร์การแบ่งเขตโซนนิ่งที่เคยกีดกันคนบางกลุ่มเข้าถึงเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ชาวเมืองมีรายได้เหลื่อมล้ำ มีอัตราการจบการศึกษาขั้นพื้นฐานน้อยกว่า เข้าถึงสวัสดิการรัฐบาล หรือเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ไม่เท่ากับเมืองอื่น ๆ ที่มีความปลอดภัยมากกว่า

ดังนั้นการจัดอันดับสุดยอดเมืองที่มีความปลอดภัย หรือไม่ปลอดภัย ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีเมืองที่ยังเต็มไปด้วยปัญหาสังคม ที่ส่งผลกระทบถึงคุณภาพชีวิต และความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเป็นข้อบกพร่องที่รัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ควรเร่งแก้ไข เพื่อให้ทุกเมืองเป็นสถานที่ปลอดภัย น่าอยู่เหมือนกันทุกพื้นที่ทั่วประเทศนั่นเอง


อ้างอิง

https://www.safewise.com/blog/most-dangerous-cities/

https://www.safewise.com/safest-cities-america/

หอการค้าไทย คาดบรรยากาศตรุษจีนปีนี้ไม่คึกคัก คาดเงินสะพัดต่ำสุดในรอบ 13 ปี ลดจากปีก่อนราว 12,000 ล้านบาท เหตุพิษโควิด-19 ระบาด ส่งผลคนส่วนใหญ่ระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยภาพรวมเทศกาลตรุษจีนในปี 2564 ว่า บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้คงจะไม่คึกคักมากนัก

โดยจากการสำรวจพบว่า จะมีเงินสะพัดในช่วงเทศกาลปีนี้เพียง 44,939 .67 ล้านบาทถือว่าต่ำสุดในรอบ 13 ปี ลงลง 21.85% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน มีสาเหตุมาจากความกังวลต่อปัญหาโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถจะท่องเที่ยวได้มากนัก และประชาชนยังระระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย จึงทำให้การใช้จ่ายซื้อสินค้าเซ่นไหว้ในช่วงตรุษจีนกันไม่มากนัก

สำหรับเหตุผลที่การจับจ่ายน้อยลงมา ส่วนใหญ่มาจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ทั้งรอบเก่าและรอบใหม่รวมไปถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประชาชนมีกำลังการจับจ่ายใช้สอยลดลง โดยจากการสำรวจ พบว่า คนจะนำเงินจากที่ได้รับการช่วยเหลือผ่านโครงการของรัฐมาดำเนินการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะนำมาซื้อของเซ่นไหว้

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า "แม้เทศกาลตรุษจีนในปีนี้จะติดลบมากกว่าร้อยละ 21 หรือมีเงินหายจากระบบเมื่อเทียบกับตรุษจีนของปีที่ผ่านมากว่า 12,000 ล้านบาท แต่ก็เชื่อว่า จะมีเงินอัดฉีดผ่านโครงการภาครัฐอีกหลายโครงการ

โดยต้องติดตามโครงการไทยชนะและโครงการเรารักกัน โครงการคนละครึ่งที่จะมีเม็ดเงินรวมกันรวมกว่า 330,000 ล้านบาทที่จะอัดฉีดเข้าระบบได้ต่อเนื่องไปอีก จึงเชื่อว่าจะมีส่วนสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2564"

ระหว่าง ‘น้ำใจ’ กับ ‘กฎระเบียบ’ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่แยกออกกันยาก เหมือนกับ Bryan Johnston หนุ่มพนักงานร้าน Dunkin’ Donuts วัย 16 ปี ที่ดวงซวยต้องถูกไล่ออกจากงาน หลังจากถ่ายคลิปแจกโดนัท และเครื่องดื่มจำนวนมากให้คนไร้บ้าน

Bryan Johnston ทำงานที่ร้าน Dunkin’ Donuts แห่งหนึ่งเป็นเวลา 5 เดือน ทุก ๆ การทิ้งโดนัท นับเป็นความเจ็บปวดของเขา ที่ต้องทิ้งสิ่งที่ตัวเองทำขึ้น ด้วยปริมาณที่เยอะเกิน ทำให้วันหนึ่งเขาได้ทำตาม follower บน Tiktok โดยให้นำไปแจกคนเร่ร่อนแถวนั้นแทน

และเขาก็ทำเช่นนั้น แต่นั่นเป็นการผิดกฎของบริษัทอย่างร้ายแรง จึงทำให้เขาถูกไล่ออกในเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้น

Bryan บอกว่าเขาประหลาดใจมากเมื่อพบว่าเขาถูกไล่ออก “มันยังยากมากที่จะมองย้อนกลับไปเมื่อฉันย้อนดูสถานการณ์ทั้งหมดในหัวของฉัน รู้สึกราวกับว่าผู้จัดการของฉันไม่สนใจที่ฉันทำงานที่นั่นเป็นเวลา 5 เดือนและเธอก็ไม่ได้พูดอะไร เช่น เสียใจที่ได้เห็นคุณจากไป หรือ ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของทีม”

แม้ว่า Bryan จะถูกไล่ออกเพราะเขาแจกโดนัทให้กับคนไร้บ้านแทนที่จะทิ้งมันไป แต่ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับเขาเช่นกัน โดยเขาได้รับการสนับสนุนมากมายจากทุกคนทางออนไลน์และบางคนยังบริจาคเงินให้เขา เพื่อส่งต่อความตั้งใจดี ๆ เหล่านี้สะท้อนไปสู่สังคมต่าง ๆ แต่ที่แสบหน่อย คือ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ลงคลิปยูทูปโดยซื้อโดนัทของคู่แข่งมากินและแจกจ่ายให้กับพนักงานที่ทำงานในโรงพยาบาลด้วย เรียกว่าประชดขั้นสุดจริง ๆ

ทั้งนี้หลังจากคลิปของ Bryan ถูกแชร์ไปในวงกว้าง Dunkin 'Donuts ก็ได้ออกมาชี้แจงว่า จะสนับสนุนให้แฟรนไชส์ของตนสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นของตน แต่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของแฟรนไชส์แต่ละรายว่าต้องการบริจาคอาหารเหลือหรือไม่

เพราะตามกฎแล้ว การห้ามเอาอาหารไปขายหรือแจกต่อนี้ มีไว้เพื่อเอาไว้ป้องกัน หากว่าอาหารที่ทิ้งเหล่านี้ไม่ได้มาตราฐาน มีคนกินแล้วท้องเสียอาจสร้างความเสียหายให้กับร้านและบริษัทได้นั่นเอง เฉกเช่นเดียวกันกับแฟรนไชส์บริษัทไก่ทอดเจ้าดัง ก็มีกฏแบบนี้ เพื่อป้องกันการทอดอาหารเกินปริมาณ แล้วจะทำให้พนักงานเก็บกลับบ้าน นำไปแจก นำไปขาย

เรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่หาคำตอบแบบผิดถูกได้ยาก เพราะธุรกิจก็ต้องแยกความเมตตา ออกจากอาชีพ การงาน ไม่งั้นมันก็เสียระบบกันหมดน่ะเซ่


ที่มา:

https://www.facebook.com/208675086547938/posts/910487676366672/

https://www.boredpanda.com/dunkin-employee-fired.../

https://board.postjung.com/1272748

รมว.สาธารณสุข ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ มั่นใจฝีมือทีมจัดหาวัคซีนโควิดไทย ยังมีความหวังได้วัคซีนตามกำหนด หลังผู้ผลิตจากประเทศจีน ส่งสัญญาณจะพยายามผลิตวัคซีนให้ไทยตามข้อตกลง 2 ล้านโดส แต่จะมาก่อน 2 แสนโดสภายในเดือนก.พ.นี้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรายังมีความหวังที่จะได้วัคซีนโควิด-19 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นไปตามแผนเสริม ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากแผนหลัก ล่าสุด ทางผู้ผลิตจากประเทศจีนได้สัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะส่งวัคซีนให้ไทย ตามที่ได้ตกลงกันไว้จำนวน 2 ล้านโดส

แบ่งเป็นส่งมอบในเดือนกุมภาพันธ์ 2 แสนโดน และจะตามมาหลังจากนั้นอีก 1.8 ล้านโดส ซึ่งจะสอดคล้องกับที่ทางโรงงานในไทย สามารถผลิตได้เอง ภายในช่วงกลางปี ทั้งนี้ ทางผู้ผลิตจากจีนยังกล่าวอีกว่า หากไทยต้องการเพิ่มขึ้น ก็พร้อมดูแลจัดหามา

เท่ากับว่า แผนการวัคซีนของไทยนั้น ไม่ได้ให้ผู้ผลิตเจ้าเดียวมาผูกขาด อย่างไรก็ตาม สำหรับการขึ้นทะเบียนนั้น ขึ้นกับความสมัครใจของผู้ผลิต ทางการไทยไม่มีปิดกั้น แต่จะขึ้นทะเบียนได้หรือไม่ขึ้นกับเงื่อนไขด้วย ทั้ง 2 ฝ่ายต้องยอมรับกันได้

หากการขึ้นทะเบียน ต้องตามมาด้วยการบังคับซื้อ ประเทศไทย ก็ต้องชะลอไปก่อน ไทยมีอิสระในการตัดสินใจ เช่นเดียวกัน ในเรื่องการจองซื้อวัคซีน ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าซื้อแล้ว ต้องได้วัคซีนในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด มิใช่ว่าต้องรอถึงปลายปี เป็นต้น

คิดว่าการจัดหาวัคซีนนั้น มาได้ล่าช้า เบื้องหลังการบริหารจัดการคือคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในคณะกรรมการ ซึ่งระดมสมอง หาทางออกให้ประเทศไทย แน่นอนว่า ส่วนตัวมั่นใจความรู้ ความสามารถของทุกท่าน มั่นใจว่าท่านทำงานหนักมาก และทุกท่านมีความเป็นกลาง คิด และตัดสินใจตามหลักวิชาการอย่างรอบคอบ ขอให้คนไทยเชื่อมั่นในทีมประเทศไทย ให้กำลังใจกัน ดีกว่าการคอยแต่วิพากษ์วิจารณ์ สร้างความสับสนให้แก่สังคม ทั้งยัง ทำลายขวัญกำลังใจคนทำงาน

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า "ขณะนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ภาพรวมมีการบริหารจัดการได้ดี ควบคุมโรคได้แล้ว ส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ตาก และกทม. ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่บ้าง อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ อสม.

และทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ และเอกชน ได้ร่วมมือกันทำงานอย่างหนัก ทั้งการลงพื้นที่สอบสวนโรคและควบคุมการระบาด วางแผนการจัดการกับสถานการณ์ระบาด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพียงพอ และ Bubble and Sealed Factory-Accommodation Quarantine ในจังหวัดสมุทรสาคร ให้อยู่ในพื้นที่ แยกผู้ติดเชื้อออกมารักษา ถือว่าสถานการณ์ควบคุมได้ รวมทั้ง ศบค.ได้ออกประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา หากการเฝ้าระวังป้องกันโรคพบว่าผู้ติดเชื้อลดลงมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุข จะได้เสนอมาตรการผ่อนคลายต่อ ศบค.เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นกับสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา ซึ่งทุกภาคส่วนยังต้องเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง"

ทั้งนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 พ.ศ.2564 ซึ่งมี 2 ระยะ โดยในระยะแรกที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด 19 รักษาระบบสุขภาพของประเทศ ฉีดให้ 5 กลุ่ม ได้แก่

บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน, ประชาชนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งที่อยู่ในระหว่างเคมีบำบัด รังสีบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด โรคเบาหวาน โรคอ้วน น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมหรือ BMI มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร, ประชาชนที่มีอายุ 60 ขึ้นไป เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งประชาชนทั่วไปและแรงงานในพื้นที่ระบาดของโควิด 19

และระยะที่ 2 เมื่อวัคซีนมากขึ้นและเพียงพอ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ สร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากรและฟื้นฟูประเทศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ฉีดให้กับ 7 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป, แรงงานในภาคอุตสาหกรรม, ผู้ประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม สถานบันเทิง มัคคุเทศก์, ผู้เดินทางระหว่างประเทศ เช่น นักบิน/ ลูกเรือ นักธุรกิจระหว่างประเทศ, นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ, กลุ่มเป้าหมายระยะที่ 1 ในจังหวัดที่เหลือ และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ

นอกจากนี้ ได้เห็นชอบแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ระยะแรก เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2564 จำนวน 2 ล้านโดส ฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด คือ จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดที่ยังพบผู้ป่วย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด และตาก ระยะที่ 2 เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2564 จำนวน 61 ล้านโดส โดยมีโรงพยาบาลรัฐและเอกชนให้บริการกว่า 1,000 แห่ง วางแผนฉีดวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส เพื่อฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 63 ล้านโดส ภายในปี 2564

พีค of the week EP.5

สัปดาห์ก่อน ยุ่งชุลมุนกันไปทุกวงการ การเมืองต่างประเทศที่พม่าก็ระอุตั้งแต่เปิดต้นเดือนกุมภาพันธ์กันมาเลย ส่วนที่เมืองไทยบ้านเราก็ไม่เบา มีเหตุการณ์ปะทะกันหลายวง ทั้งวงม็อบปะทะเจ้าหน้าที่ วงการเมือง ‘หมอวรงค์ปะทะธนาธร’ หรือแม้แต่วงบันเทิง ‘อ. ปะทะ ณ.’ แถมท้ายด้วยประโยคเด็ดประจำสัปดาห์ ‘อาวุธคือทิชชู่’ พีคกันซะขนาดนี้ ตามไปดูเรื่องราวกันในอีพีนี้กันได้เลย Let’s go!!

.

รายงานสถานการณ์จากพม่าเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐประหารของหมอในประเทศล่าสุด จากเพจ LOOK Myanmar ได้เผยว่า...

แอดมินได้รับรายงานเรื่องแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ไม่มาทำงานเพราะต่อต้านรัฐประหาร โดยเมื่อวานมีรายงานจากคนพม่าว่าที่โรงพยาบาล Yangon General มีแพทย์ใน ER แค่ 4 ท่าน ซึ่งจากเดิมมีเป็นสิบ ก็แทบจะงานล้นมือแล้ว เหตุผลเนื่องจากมาจากแพทย์หลายท่านมาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนช้า เพราะไปประท้วง

แอดคิดในใจว่า เอ้า!! ถ้าคนไข้ผ่าตัดมีความเป็นตายเท่ากัน แล้วคนไข้นั้นเป็นญาติหมอคนหนึ่ง แต่หมอเจ้าของไข้ไม่รักษา เพราะไปประท้วงหรือขอมาผ่าช้าไปชั่วโมงนึง เนื่องจากไปประท้วงก่อน แอดว่านี่ไม่ใช่ละ

ตอนนี้หลายเสียง จากหลายภูมิภาค เริ่มส่งเสียงสะท้อนออกมาว่า มากกว่าการเรียกร้องประชาธิปไตย คือ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ควรมีจรรยาบรรณทางการแพทย์หรือไม่?

วิกฤติศรัทธาทางการแพทย์เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และเชื่อได้ว่ามันจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการประท้วงและมีคนบาดเจ็บ

แอดหวังว่าบทความนี้ของแอดจะถูกส่งต่อให้บุคลากรทางการแพทย์ในเมียนมาให้คำนึงถึงจรรยาบรรณทางการแพทย์ในการรักษาคนไข้ด้วย

แอดเคารพการตัดสินใจของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านในเมียนมาและหวังว่าท่านจะมีจรรยาบรรณดังแพทย์ทั่วโลกพึงกระทำเช่นกัน

#แอดหม่อง


ที่มา: https://www.facebook.com/621374414597386/posts/3686812931386837/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top