Sunday, 11 May 2025
NEWS

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม ในโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินโอนคนละ 4,000 บาท สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ รับคนละ 4,000 บาท เริ่มลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. ม33เรารักกัน.com ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค. 64 โดยคุณสมบัติ จะต้องเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 ที่มีสัญชาติไทย ต้องไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ต้องมีเงินฝากในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท นับถึง 31 ธันวาคม 2563

ระยะเวลาดำเนินการ

โครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ผู้มีสิทธิข้างต้น สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. ม33เรารักกัน .com และตรวจสอบการได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 7 มีนาคม 2564 จากนั้นธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลการคัดกรอง ระหว่างวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2564 ผู้ได้รับการยืนยันสิทธิกดใช้งานและกดยืนยันตัวผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2564 และสามารถรับโอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ได้ครั้งละ 1,000 บาท รวมทั้งสิ้น 4,000 บาท ในวันที่ 22,29 มีนาคม และวันที่ 5,12 เมษายน 2564 โดยเริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม - 31 พฤษภาคม 2564

การขอทบทวนสิทธิ

สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถขอทบทวนสิทธิได้ด้วยการขอทบทวนสิทธิผ่าน www.ม33เรารักกัน.com ระหว่างวันที่ 15 - 18 มีนาคม 2564 จะทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลคัดกรองและแจ้งยืนยันการได้รับสิทธิระหว่างวันที่ 29 มีนาคม - 4 เมษายน 2564 ผู้ได้รับสิทธิ์ต้องกดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันง ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 5 - 11 เมษายน 2564 รับโอนเงินเข้าแอปพลิชัน “เป๋าตัง” ครั้งละ 2,000 บาท ในวันที่ 5 และ 12 เมษายน 2564 และเริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564

‘เอ๋ ปารีณา’ ขึ้นโรงพักทองหล่อ แจ้งตำรวจให้ดำเนินคดี ‘เฌอเอม’ โพสต์ข้อความเท็จ เพราะไม่ใช่นางงาม อีกทั้งตำรวจก็ไม่ได้ใช้แก๊สน้ำตา

จากกรณีที่ ‘เฌอเอม - ชญาธนุส ศรทัตต์’ อดีตผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ทวีตข้อความหลังโดนแก๊สน้ำตาจากเหตุชุลมุนหลังแกนนำม็อบราษฎร ประกาศยุติชุมนุม โดยบอกว่า “สวัสดีค่ะ ดิฉัน เฌอเอม ชญาธนุส ศรทัตต์ นางงามคนแรกที่โดนแก๊สน้ำตา”

ล่าสุด น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า ปารีณามาดำเนินคดีกับ นางสาว ชญานุส ศรทัตต์ (เณอเอม) สวัสดีค่ะ ดิฉัน เณอเอม ชญานุส ศรทัตต์ นางงามคนแรกที่โดนแก๊สน้ำตา ซึ่งปรากฏตามสื่อว่า นางสาวชญานุสฯได้เข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ก.พ.2564 บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย

จากโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้สื่อและสังคมเข้าใจว่ามีการใช้แก๊สน้ำตาในการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ก.พ.2564 ส่งผลให้ พล.ต.ท ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจ้งว่า ไม่มีการใช้แก๊สน้ำตา

อีกทั้ง การโพสต์ข้อความโดยใช้คำว่า นางงาม ก็เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ เพราะทำให้สังคมเข้าใจว่า นางสาวชญานุสเป็นนางงาม ซึ่งข้อเท็จจริงนางชญานุสฯเป็นเพียงผู้สมัครเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เท่านั้น

การโพสต์ข้อความดังกล่าว ส่งผลให้สังคมเข้าใจผิด และเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้าพเจ้าจึงเดินทางมาเพื่อดำเนินคดีนางสาวชญานุสฯให้ถึงที่สุดจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคม


ที่มา : https://www.facebook.com/parina.pacharat.9

การเมือง - คู่แค้น - เพื่อนรัก ไร้มิตรแท้ และศัตรูถาวร ในเกมการเมือง

เกมการเมืองแบบเพื่อนหลักหักเหลี่ยมโหด และการแปรเปลี่ยนจากคนคุ้นเคยเป็นคนไม่คุ้ยชิน อาจจะดูเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่เฉยชา

แต่เชื่อเถอะว่านี่คือกรณีศึกษาของเกมการเมืองไทย ที่ผ่านไปกี่ปีก็ไม่เปลี่ยน และน่าจะทำให้เราไม่ควรไปอินให้มากนัก

เพราะการเมืองที่แท้จริงต้อง ‘ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร’

กรณีหนึ่งที่เล่าเรื่องนี้ได้ดี คือ 2 คู่กัดที่เบื้องหลังน่าจะรักกันแบบไม่ออกจออย่างกรณีของ ‘วัชระ เพชรทอง’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ แบบบัญชีราย และ ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ อดีตประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

อันที่จริงแล้ว ช่วง2-3 ปีมานี้ 2 ท่านนี้มีกรณีฟ้องร้องหมิ่นประมาทกันว่อนศาล จนคนคิดว่าทั้งคู่นี้ คือ คู่แค้นแบบไม่มีวันหาจุดจบอันดีให้กันได้

เพราะในภาพเบื้องหนัาหลายคนอาจจะมองเห็น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในระดับ (ลบ) และมักแสดงอาการไม้เบื่อไม้เมาระหว่างกันมาโดยตลอด จนสื่อมวลชนประจำรัฐสภาเคยให้ทั้งคู่เป็น ‘คู่กัดแห่งปี’ มาแล้ว

แต่ในความเป็นจริงทั้ง 2 คนซี้กันเสียยิ่งกว่าใดๆ เสียอีก

วัชระ เคยออกหนังสือ ‘ทองแท้ไม่กลัวไฟ’ เพื่อเป็นการตีแผ่บทบาทของจตุพรในช่วงเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ว่าไม่ได้มีความเป็นผู้นำศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงอย่างแท้จริง

เพราะได้พาตัวเองออกจากสถานการณ์บริเวณราชดำเนินทันที เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นมาเป็นนัดแรก และต่อมาก็ได้ ออกหนังสือเรื่อง ‘หยุดก่อน! สส.จตุพร พรหมพันธุ์ หยุดระบอบทักษิณ!’ เป็นครั้งแรกที่วัชระออกหนังสือที่พูดถึงจตุพรเป็นการเฉพาะจากเดิมก่อนหน้านี้หนังสือที่พูดถึงจตุพรจะมีเสี้ยวเดียวเท่านั้น

ทั้งนี้ เนื้อหาโดยรวมของหนังสือเล่มนี้หนีไม่พ้นการเป็นพื้นที่สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของจตุพรทั้งในฐานะสส.และแกนนำคนเสื้อแดง

แต่ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้มีจุดที่น่าสนใจตรงที่การบรรยายถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเมื่อครั้งสมัยศึกษาภายในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยกันมาก่อน ซึ่งวัชระไม่ค่อยจะเล่าออกมาผ่านเป็นลายลักษณ์อักษรมากนัก

วัชระ เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า “ในสมัยก่อน เราเป็นเพื่อนสนิทกันในรั้วรามคำแหง รู้จักกันที่รามคำแหง จตุพรเป็นคนพูดเก่ง และเป็นคนเก่ง เป็นนักกิจกรรม ซึ่งผมเองก็สนับสนุนให้คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นหัวหน้าพรรคแทนตัวเองในรั้วรามคำแหง และเราก็เป็นเพื่อนที่ดีกันมาตลอด จนกระทั่งมีครั้งหนึ่ง พอเขาได้ไปเป็นหัวหน้าพรรค ก็ไปไล่ผมให้ไปนั่งอ่านหนังสือที่อื่น มันก็จะตลกๆ หน่อย คุณจะบริหารงานก็บริหารไป แต่ผมนั่งอ่านหนังสือก็ไล่ให้ไปนั่งที่อื่น”

นี่ก็เป็นเกริ่นเรื่องขำๆ จากคำพูดของวัชระ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ขัดแย้งกันมาจนถึงปัจจุบัน

เพราะหลังจากนั้น จตุพร ก็เริ่มไปหันสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ในรั้วรามคำแหง ซึ่งวัชระก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น และก็บอกให้ระวัง และในที่สุด จตุพร ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของทักษิณ และปัจจุบันของจตุพรในวันนี้คือ คนที่ต้องติดคุกและใช้คำว่าจบชีวิตการเมืองไวกว่าที่คาด

“จนทุกวันนี้ใครก็ไม่รู้ ที่อยู่เมืองนอก หลอกเพื่อนผมว่าจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ที่สุด ก็ทำให้เพื่อนผมต้องติดคุกแทน มันก็เลยเป็นที่มาของความขัดแย้งกันระหว่าง ‘ทักษิณ’ และ ‘จตุพร’ เหตุจากไปหลอกเขาว่าจะให้เป็นรัฐมนตรี ถึงขั้นจะเลี้ยงฉลองกันล่วงหน้า”

วัชระ เล่าถึงช่วงที่จตุพรเริ่มฝักใฝ่ในระบอบทักษิณ และทำให้เพื่อนของเขาเปลี่ยนไป

“เขากลายเป็นคนที่มี ‘จิตอีกมิติหนึ่ง’ อันนี้ผมใช้คำที่สุภาพนะ เชื่อไหมว่าเขาเคยบอกต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าไม่รู้จักผม จะไม่รู้จักได้ไง ก็เลี้ยงข้าวทุกมื้อ แต่ก่อนผมมีแบงก์ 20 แล้วก็พับใส่มือเขา ข้าวจานละ 5 บาท ผมก็เลี้ยงจริงๆ เพราะตอนที่รู้จักกับจตุพรในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผมอยู่ในฐานะนักกิจกรรมรุ่นพี่ เขาก็เรียกผมพี่ทุกคำ ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ใช้ให้ไปซื้อเหล้าขาวน้ำแดงก็ไป

“ผมเอ็นดูจตุพรในฐานะรุ่นน้องร่วมพรรคสัจธรรม ไม่เพียงแต่ดูแลเลี้ยงข้าวเป็นประจำทุกมื้อ แม้แต่ค่าหน่วยกิตก็ยังหยิบยื่นให้ นายจตุพรมาขอให้ผมช่วยแนะนำการพูดการปราศรัยการทำกิจกรรม ผมก็ถ่ายทอดประสบการณ์ให้อย่างไม่ปิดบัง เพราะเห็นในความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวจตุพร และผมก็ส่งเสริมให้นายจตุพรเป็นผู้นำพรรค (นักศึกษาสัจธรรม) แทนตัวเอง”

วัชระ ขยายความอีกว่า “ความรัก ความสนิทสนมของเรา 2 คน เหมือนกับพี่ชายน้องชาย ตอนผมเมาแล้วอาเจียนรดหมอนที่นอนใต้ถุนกุฎีพระมหาระแบบ วัดบวรนิเวศ (พี่ชายจตุพร) นายจตุพรก็เป็นคนเช็ดอาเจียนของผม ยามผมอิ่มนายจตุพรก็อิ่ม ยามผมอดนายจตุพรก็อด แม้กระทั่งผู้หญิงนายจตุพร ก็เคยจีบคนเดียวกับผม

“แต่เมื่อผมสนับสนุนให้นายจตุพรเป็นผู้นำพรรคแทนแล้ว...ผลลัพธ์ก็ปรากฏ

“จตุพรสนองคุณผมโดยเอ่ยปากไล่ผมให้ไปนั่งที่อื่น อย่าเข้าไปนั่งในพรรคสัจธรรมอีก ผมรู้สึกทันทีว่าถูกรุ่นน้องที่ฟูมฟักมาทรยศหักหลัง จึงขอให้เปิดประชุมสมัชชาพรรค ผลปรากฏว่านายจตุพรต้องพ่ายแพ้ นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกว่า 20 ปีแล้ว”

ความบาดหมางจากวันนั้น อาจจะดูเหมือนเป็นความแค้นแบบไม่มีวันจบ!!

เพราะในฐานะของการเป็นนักการเมือง ทั้ง 2 ก็อยู่กับคนละขั้ว และก็มีเหตุให้เกิดการฟ้องร้องหมิ่นประมาทของทั้ง 2 บ่อยครั้ง

“ล่าสุดมีกรณีการฟ้องหมิ่นประมาทระหว่างกัน คือ เขามาฟ้องร้องผม หาว่าผมหมิ่นประมาทเขา ผมก็เลยฟ้องเขาบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็มาขอให้ผมช่วยถอนฟ้อง

“ผมยินดี เพราะในที่สุด เราก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาติดคุกเพราะเรา และตัวเขาเองก็เคยติดคุกมาแล้ว ถ้าผมยืนยันจะฟ้องต่อ ก็ไม่สามารถรอลงอาญาได้อีก ติดคุกอีกรอบชัวร์

“ฉะนั้นเมื่อเขามาขอให้ถอนฟ้อง ผมก็ยินดีถอน ในฐานะเป็นเพื่อนกัน เพราะถึงที่สุด ถ้าเขาติดคุก เพราะคดีที่ผมมาฟ้องคดีหมิ่นประมาท ผมก็ไม่สบายใจ”

วัชระ เล่าให้ฟังว่า “วันนี้ เราดีกัน อโหสิกรรม ให้กันแล้ว”

ที่เล่ามายาวยืดนี้ วัชระ อยากให้ข้อคิดอย่างหนึ่ง คือ ใครก็ตามที่เข้ามาในวงการเมือง มักจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปหมด นี่คือสัจธรรมสมชื่อพรรคที่เขาเคยสังกัดในรั้วรามคำแหง

“ผมคิดว่าถ้าเขาใช้หลักธรรมในการนำตนเข้าสู่การเมือง เขาจะไปได้ไกล เขาเก่งขนาดที่เป็นรัฐมนตรีได้จริงๆ แต่เมื่อเขาหลงไปกระทำการต่างๆ กับระบบทักษิณ สุดท้ายชีวิตเขาถึงเป็นเช่นนี้

“แต่คนที่ฉลาด ก็คือ แรมโบ้อีสาน - สุภรณ์ อัตถาวงศ์ เพราะเขามาปรึกษาผม โดยเพื่อนเก่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งในอดีตเขากับผม เคยลงสมัครแข่งประธานนักเรียนที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี เขาเป็นคนโคราช แต่ไปเรียนที่นั่น เพราะพี่สาวเป็นครู ผลในวันนั้นเขาได้ 7 คะแนน ผมได้เป็นประธานนักเรียน ซึ่งโรงเรียนมีนักเรียน 3 พันคน ก็ไม่ต้องบอกว่าผมได้กี่พันคะแนน แต่วันนี้ เขามาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ก็ออกมารายวัน และตอบโต้แทนลุงตู่ทุกวัน และก็กลับมาว่าผม แต่ผมก็ให้อภัย

“พูดถึงแรมโบ้แล้ว ต้องขอเล่าหน่อย เชื่อไหมว่า ในสมัยหลังรัฐประหารของลุงตู่ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่หารือผม หลังจากเขาถูกทหารควบคุมตัว ซึ่งตอนนั้นเขาบอกว่า ทหารนำตัวเขาไปกลางป่า เอาปืนจี้หลัง และให้แก้ผ้าหมดเลย คิดดูว่าเขาเสียวขนาดไหน แต่เขาก็รอดมาได้

“แล้วเขาก็ถามผมว่า แล้วกูจะไปทางไหนดี ผมก็บอกว่า เมิงมีคดีเยอะ ก็ต้องไปอยู่กับ คสช. เพราะเขาจะตั้งพรรค แล้วลุงตู่ ลุงป้อม ช่วยมึงได้แน่นอน ผมก็แนะนำแบบนั้น และวันนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

แม้ความสัมพันธ์ในทางตรง อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดแย้งกันของคนในแวดวงการเมือง แต่หากได้ลองฟังจากปาก วัชระ ที่เล่าถึง 2 เพื่อนซี้ในอดีต (วันนี้ก็ยังซี้) มันแอบสะท้อนให้เห็นตรงกับภาษิตโบราณทุกกระเบียดที่ว่า...

ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร ในวงการเมือง จริงๆ

ชาวบ้านกลุ่มผู้สูงอายุ ไม่มีสมาร์ทโฟน แห่เข้าคิวรอลงทะเบียนโครงการเราชนะ แน่นทุกสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ส่วนใหญ่อยากได้เงินไว้ใช้จ่ายในครัวเรือน

กลุ่มผู้เปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน แห่มาลงทะเบียนโครงการเราชนะแน่นสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ โดยที่ธนาคารกรุงไทย สังกัด สำนักงานเขตพิษณุโลก สาขาถนนสิงหวัฒน์ อ.เมืองพิษณุโลก ที่เริ่มเปิดบริการจุดลงทะเบียนบริการประชาชนวันแรกในเวลา 08.30 น.- 16.30 น. ณ จุดบริการชั้นล่างอาคารสาขาถนนสิงหวัฒน์ และจุดนี้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์

บรรยากาศวันแรกค่อนข้างหนาแน่นด้วยประชาชนที่มารอใช้บริการ ที่ส่วนใหญ่แล้ววันนี้ เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่มีสมาร์ทโฟน โดยช่วงเช้า มีผู้มาต่อคิวรับบัตรคิวแล้ว 100 คน เจ้าหน้าที่ต้องคอยชี้แจงเป็นระยะ ๆ ให้ผู้ที่มาทีหลังสามารถมาใช้บริการวันอื่นได้ เพราะ เปิดบริการลงทะเบียนให้ทุกวันตั้งแต่ 15 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่มีวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์

สำหรับการบริการประชาชนวันแรกยังค่อนข้างขลุกขลัก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องรอเซ็ตระบบคอมพิวเตอร์ และเริ่มบริการให้ประชาชนรายแรกได้ในเวลาประมาณ 09.00 น. และใช้เวลาบริการประชาชนรายละประมาณ 10 นาที ทั้งนี้ ผู้สูงอายุบางราย ก็มีลูกหลานลงทะเบียนเข้าโครงการผ่านสมาร์ทโฟนแล้ว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาอธิบายให้ใช้สมาร์ทโฟนโหลดแอพเป๋าตัง ซึ่งเริ่มรับเงินใช้จ่ายได้ในวันแรกในวันที่ 6 มีนาคม 2564 ขณะที่ผู้มารอใช้บริการส่วนใหญ่ เป็นโทรศัพท์แบบปุ่มกด ซึ่งต่างนั่งรอเจ้าหน้าที่บริการ

นายเสนาะ คงรอด อายุ 63 ปี ชาวอ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า มารอใช้บริการตั้งแต่ 06.30 น. โทรศัพท์ของตนเป็นแบบกดปุ่ม ไม่มีสมาร์ทโฟน อยากได้เงินไปซื้อของใช้ภายในบ้าน

ด้านนางมาลี ทองนิโรจน์ อายุ 71 ปี ชาวอ.เมือง จ.พะเยา ที่มาอาศัยอยู่กับบุตรสาวที่อ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า มารอตั้งแต่ 06.30 น. ของวันนี้ อยากได้เงินมาจับจ่ายใช้สอยซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคใช้ในครัวเรือน เพราะไม่อยากรบกวนลูก เป็นโครงการที่ช่วยเหลือประชาชนได้มาก

เข้าสู่สถานการณ์เปราะบางถึงขีดสุด หลังจากที่ประชาชนชาวพม่าได้ลุกฮือประท้วงต่อต้านการรัฐประหารของกองทัพพม่า ที่นำโดย นายพล มิน อ่อง ลาย ติดต่อกันมานานกว่า 9 วัน และเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

จนล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ มีรายงานการใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมที่หน้าโรงงานไฟฟ้าที่รัฐคะฉิ่น หลังมีข่าวลือสะพัดในโลกออนไลน์ว่ากองทัพพม่าจะทำการตัดไฟฟ้าทั่วประเทศ ที่ตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุมร่วมด้วยหรือไม่

ต่อมามีภาพข่าวการเคลื่อนพลรถถังออกมาประจำการในเมืองที่มีการเดินขบวนประท้วงอย่างเข้มข้น ได้แก่ ย่างกุ้ง มิตจิน่า สิตตวี ในช่วงหัวค่ำของวันอาทิตย์ ตามมาด้วยคำสั่งตัดสัญญาณอินเตอร์เนตทั่วประเทศทั้งแต่เวลา ตี 1 ถึง 9 โมงเช้าของเช้าวันนี้ ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า สถานการณ์ในพม่าอาจกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่จุดแตกหักในไม่ช้า

ส่วนสถานฑูตสหรัฐได้ออกมาเตือนเจ้าหน้าที่ และชาวสหรัฐที่อยู่ในพม่าให้อยู่แต่ในบ้านพักเพื่อความปลอดภัย หลังจากที่รับทราบข่าวการเคลื่อนกำลังพลในพม่าเมื่อช่วงหัวค่ำ และได้ร่วมกับเอกอัครราชฑูตจากสหภาพยุโรป อังกฤษ แคนาดา ในพม่าได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลในสถานการณ์ความรุนแรงในพม่าตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของวันอาทิตย์ และเตือนกองทัพพม่าว่า จะสนับสนุนประชาชาวพม่าในการเรียกร้องประชาธิปไตย เสรีภาพ และความผาสุข และตอนนี้ทั่วโลกกำลังจับตาดูอยู่

จากการเคลื่อนไหวล่าสุดของกองทัพพม่า และการยกระดับการประท้วงของกลุ่มต่อต้านรัฐประหารถึงระดับนัดหยุดงานทั่วประเทศ ส่งสัญญาณอันตรายถึงความเปราะบางของสถานการณ์ที่อาจทำให้พม่าเดินหน้าเข้าสู่วังวนแห่งยุคมิคสัญญี ที่ฝ่ายกองทัพและประชาชนเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเหตุการณ์นองเลือดอีกครั้ง ที่ทำให้เศรษฐกิจ และการเมืองพม่าต้องถอยหลังกลับไปสู่ยุคจำศีลนานมากกว่า 10 ปี

และตอนนี้ทางกองทัพพม่าได้จับกุมกลุ่มผู้ประท้วง และแสดงความอารยะขัดขืนไปแล้วกว่า 384 คน แลการประท้วงยังคงขยายวงอย่างต่อเนื่อง และมีรายงานเพิ่มเติมว่ากองทัพพม่าได้ส่งกำลังเข้าควบคุมสนามบินนานาชาติที่ย่างกุ้งแล้ว หลังพบว่ามีนักบิน และเจ้าหน้าที่สนามบินร่วมประท้วงนัดหยุดงานหลายร้อยคน

 


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/world/2021/feb/14/tanks-on-streets-of-myanmar-city-prompt-us-embassy-warning

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/myanmar-troops-fire-on-protesters-in-signs-of-feared-crackdown-14197926

https://www.smh.com.au/world/asia/myanmar-army-deploys-tanks-to-confront-protesters-as-strikes-continue-20210215-p572gf.html

https://www.businesstimes.com.sg/government-economy/myanmar-security-forces-fire-to-disperse-protest-at-power-plant-in-kachin-state-0

Cr ภาพ : รอยเตอร์ส

‘บิ๊กตู่’ ย้อนถามสื่อ เหตุปะทะระหว่างม็อบกับตำรวจ ใครเป็นคนทำ ยันทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็น ประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ผ่านระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ โดยก่อนการประชุม ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

ในส่วนของสถานการณ์ ดูเหมือนการชุมนุมจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้อนถามว่า ไปถามว่าทำไมถึงรุนแรงขึ้น แล้วใครเป็นคนทำล่ะ

เมื่อถามย้ำว่า เป็นห่วงหรือไม่ว่าการชุมนุมจะกินเวลาไปจนถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามอีกครั้งว่า คนไทย ห่วงไหมล่ะ คนไทย

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ (ดร.นิว) นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 64 โดยระบุว่า

"ฝรั่งยังมองออกว่าพรรคก้าวไกลเป็นเผด็จการ ปิดปากผู้เห็นต่างด้วยเงินถึง 24 ล้านบาท แต่พยายามลดโทษของการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เหลือเพียงไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท ในขณะที่โทษของการคุกคามประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน $250,000 หรือราว 7.5 ล้านบาท"

พร้อมกับแชร์ข้อมูลที่ต่างชาติวิเคราะห์ผ่านยูทูป

 


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3898245853571357&id=100001579425464

ม็อบแตกแถว!!! นักข่าวสิงคโปร์ รายงาน ‘ม็อบ 3 นิ้ว’ ทำตัวน่ารังเกียจ นำไปสู่การปะทะตำรวจหน้าศาลฎีกา แม้แกนนำขอให้แยกย้ายก็ตาม

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ บันทึกคลิปการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร 2563 กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่หน้าศาลฎีกา พร้อมระบุว่า กลายเป็นเรื่องน่าเกลียดอีกครั้ง เนื่องจากผู้ชุมนุมบางคนไม่ยอมออกไป หลังจากแกนนำขอให้ทุกคนแยกย้ายกลับไป

ทวิตเตอร์ @MayWongCNA ของ น.ส.เมย์ วอง ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ (แชนแนล นิวส์ เอเชีย) ซึ่งออกอากาศจากประเทศสิงคโปร์ เผยแพร่ภาพและวิดีโอคลิปเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หน้าศาลฎีกา พร้อมข้อความระบุว่า “#Thailand anti-government protest at #GrandPalace got ugly again as some of them refused to leave after leaders had asked all to disperse. This forced police to move in physically. But no water cannons fired from police.” (การประท้วงต่อต้านรัฐบาลไทยที่พระบรมมหาราชวัง กลายเป็นเรื่องน่าเกลียดอีกครั้ง เนื่องจากผู้ชุมนุมบางคนไม่ยอมออกไป หลังจากแกนนำขอให้ทุกคนแยกย้ายกลับไป นี่บังคับให้ตำรวจต้องเคลื่อนไหว แต่ไม่มีรถฉีดน้ำยิงจากตำรวจ)

นอกจากนี้ ยังโพสต์ภาพบุคคลอย่างน้อย 2 คน ถูกควบคุมตัวไปด้วย ซึ่งผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนดังกล่าวยังได้โพสต์ภาพและวิดีโอคลิปเหตุการณ์อีกหลายภาพอีกด้วย

สำหรับการชุมนุมครั้งนี้เริ่มต้นเมื่อเวลา 15.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มที่เรียกตัวเองว่าคณะราษฎร 2563 นำโดย น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ จัดการชุมนุมโดยมีการรื้อถอนไม้ประดับบนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนนำผ้าแดงมาห่มโดยรอบอนุสาวรีย์ แล้วเคลื่อนขบวนไปยังศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร

 

โดยมีข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ 4 คน ได้แก่ นายพริษฐ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ ภายใน 7 วัน หาไม่เป็นผลจะนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 20 ก.พ. แต่เมื่อนายอรรถพลประกาศยุติการชุมนุม มวลชนและการ์ดส่วนหนึ่งไม่พอใจ เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ดังกล่าว



ที่มา :
- https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000014563
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360596057126707208
 
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360595839995895820
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360583706205802503
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360580988007370762
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360577758577848322
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360576518653575168
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360575518010052609
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360573745220358144
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360572628872749061
- https://twitter.com/MayWongCNA/status/1360567084996960268

14 กุมภา วันแห่งความรักเทปูน เติมความรักความเมตตา ที่วัดศรีกบินทร์

วันที่ 14 กพ.64 ที่ วัดศรีกบินทร์ ต.ย่านรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี จัดกิจกรรมวันแห่งความรัก เทปูน เติมความรักเพื่อให้คู่รักและครอบครัวร่วมกิจกรรมทำบุญเป็นหมู่คณะ เพื่อเสริมสร้างบารมีแก่ตัวเองและครอบครัว ภายใต้คำขวัญของวัด เชิญเทปูน เติมความรัก 14 กพ.นี้ หลังจากทางวัดบอกข่าวต่อกันไปมีผู้มีจิตศรัทธาเดินทางมายังวัดศรีกบินทร์ 30 คน บางคนมาร่วมถวายปัจจัยแก่ทางวัดบางคนนำอาหารและเครื่องดื่มมาถวาย รวมถึงคนที่อยู่ช่วยวัด เทปูน เติมความรักในวันที่ 14 กพ.เป็นวันแห่งความรัก ร่วมกันทำบุญเพื่อสะสมบุญใหญ่ที่ได้ร่วมเทปูนช่วยทางวัด

โดยทางวัดศรีกบินทร์กำลังก่อสร้างพระอุโบสถทางวัดสร้างมาได้ระดับหนึ่งแล้วตามกำลังศรัทธาของญาติโยมที่ถวายปัจจัยเพื่อสมทบทุนสร้างพระอุโบสถภายในวัด พระในวัดลงมือทำร่วมกับลูกศิษย์ วันนี้เป็นการร่วมทำบุญร่วมกันเป็นหมู่คณะเพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว พระครูกิตติ วรานุกูล เจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลย่านรี เขต.2 กล่าวว่า วันนี้ลูกศิษย์ได้จัดกิจกรรมทำบุญในวันแห่งความรักเพื่อเป็นการเสริมสร้างความรักความเมตตาในครอบครัว และความรักต่อสังคมจึงได้จัดกิจกรรม เทปูน เติมความรักขึ้นอุโบสถหลังนี้หากสร้างเสร็จพระสงฆ์จะได้ใช้ในกิจวัตรสวดมนต์ไหว้พระในโอกาสต่อไป

วัดนี้ยังไม่มีโบสถ์พระจะใช้ศาลาไม้เป็นที่สวดมนต์ไหว้พระประกอบกิจของสงฆ์สำคัญสำคัญๆในวัด นส.มยุรี หลอมทอง หนึ่งในผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่วัดประจำกล่าวว่า วันนี้ตนและเพื่อนๆมาร่วมเทปูนกับทางวัด เพื่อสะสมผลบุญให้ตัวเองวันหยุดก็จะมาปฎิบัติธรรมที่วัดนี้ทุกครั้ง เจ้าอาวาสเป็นพระนักวิปัสสนาเคร่งครัดรูปหนึ่ง...



ภาพ/ข่าว ลักขณา สีนายกอง ผู้สื่อข่าวจังหวัดปราจีนบุรี

#ชายกั๊กเขียวโดนกระทืบ ‘ไม่ใช่หมอ’ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แจงเหตุวุ่นวายจากการชุมนุมวันที่ 13 ก.พ. เผยมีตำรวจบาดเจ็บ 23 นาย พร้อมปัดข่าวใช้แก๊สน้ำตา - กระสุนยาง ยันชายที่ถูกทำร้าย ในแฮชแทค ‘#ตำรวจกระทืบหมอ’ ไม่ใช่หมอแต่อย่างใด

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ชี้แจงกรณีการชุมนุมตั้งแต่เวลา 15.00 น. เมื่อวานนี้ (13 ก.พ.) ว่า มีการจัดกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยตำรวจมีการตั้งจุดคัดกรองโดยรอบ และมีการประกาศแจ้งเตือนเป็นระยะว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรค ต่อมามีการปิดเส้นทางจราจร กระทั่ง 18.00 น. กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมชักชวนให้เดินทางไปศาลหลักเมือง ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญ ตำรวจจึงต้องตั้งแนวกำหนดอาณาเขต เมื่อผู้ชุมนุมมาถึงมีการขว้างปาสิ่งของ ก้อนหิน ขวดน้ำ และวัตถุระเบิดแรงดันต่ำ เป็นเหตุให้มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ แก้วหูฉีกขาด เพราะแรงอัดของระเบิดแรงดันต่ำ โดนเหล็กแหลมและก้อนหิน รวม 23 นาย
.
หลังจากมีการประกาศยุติการชุมนุม ยังคงมีผู้ชุมนุมบางส่วนก่อความวุ่นวายและชุมนุมต่อจนครบ 30 นาที เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้การผลักดัน พร้อมยืนยันไม่ได้ใช้น้ำฉีดแก๊สน้ำตา และกระสุนยาง

ผบช.น. ระบุว่า หลังเกิดเหตุควบคุมตัวผู้ชุมนุมที่ก่อความไม่สงบ 11 ราย โดย 3 ราย เป็นกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในการชุมนุม แต่มีอาการเมาสุรา จึงเปรียบเทียบปรับและปล่อยตัวไป ส่วนอีก 8 ราย เป็นกลุ่มผู้ชุมนุม มีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไปก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งขณะนี้ถูกคุมตัวอยู่ที่ ตชด.ภาค 1
.
“หลังจากนี้ ตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำลายทรัพย์สิน จากการรื้อถอนสิ่งของรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมไปถึงกลุ่มที่ทำร้ายเจ้าพนักงาน ขว้างปาสิ่งของด้วยขวด ระเบิด ก้อนหิน” พล.ต.ท.ภัคพงศ์กล่าว
.
ส่วนกรณีบุคคลที่ระบุว่าเป็นแพทย์อาสาที่อ้างว่าถูกตำรวจกระทืบ จนในโลกออนไลน์มีการติดแฮชแทค #ตำรวจกระทืบหมอ นั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่ได้ประกอบอาชีพพยาบาล หรือแพทย์ แต่อาจทำหน้าที่แพทย์อาสาให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งตำรวจมีพยานหลักฐานยืนยันว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มที่ก่อความวุ่นวาย ทั้งนี้ มีรายงานว่าจากการตรวจค้นร่างกาย พบอาวุธประเภทกระบองเหล็กซุกซ่อนอยู่ภายในเสื้อ

สำหรับเหตุความวุ่นวายในพื้นที่ สน.นางเลิ้ง บริเวณสะพานผ่านฟ้า เมื่อเวลา 21.00 น.วานนี้ ตำรวจ สน.นางเลิ้ง รับแจ้งมีการยิงกัน เมื่อไปถึงและผู้ก่อเหตุยิงอยู่ในร้านสะดวกซื้อ ตำรวจจึงพยายามควบคุมตัว แต่ถูกการ์ดและผู้ชุมนุมขัดขวาง จากนั้นเมื่อมาถึง สน.นางเลิ้ง ยังก่อความวุ่นวายไม่หยุด ตำรวจชุดสืบสวนจึงต้องใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อระงับเหตุ

“จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้ ไม่ไช่ผู้ก่อเหตุยิง โดยมีพยานหลักฐานเป็นพยานบุคคล และกล้องวงจรปิด ยืนยันบุคคลดังกล่าวมารับประทานอาหารที่ร้านสะดวกซื้อ ส่วนผู้ก่อเหตุตัวจริงยังอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบ และติดตามตัว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจเขม่าดินปืน และอยู่ระหว่างรอผลการตรวจสอบ” ผบช.น.กล่าว

ส่วนกรณีอดีตผู้เข้าประกวดนางงามโพสต์ข้อความว่า ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตา ยืนยันว่า ไม่มีการใช้แก๊สน้ำตา แต่หากเจ้าตัวอยากเข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ปากคำก็ยินดี และจะเป็นประโยชน์กับรูปคดีอย่างมาก

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ ยังกล่าวถึงคดีการชุมนุมที่สามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ตำรวจเตรียมออกหมายเรียกแกนนำ 3 คนที่ขึ้นเวทีปราศรัยมารับทราบข้อกล่าวหา ในวันที่ 18 ก.พ.64 ในเวลา 10.00 น. ที่ สน.ปทุมวัน

ส่วนเหตุการณ์ชุมนุมหน้าสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 ก.พ.นั้น พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติม 12 คนให้มารับทราบข้อหา ในวันที่ 19 ก.พ.64 เวลา 10.00 น. ที่ สน.ยานนาวา ในจำนวนนี้มีแกนนำ 3 คน คือ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ และน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง

ชมรมแพทย์ชนบท ออกแถลงการณ์ ประณาม ตำรวจทำร้ายแพทย์ – พยาบาลอาสา กลางม็อบ 13 ก.พ. ระบุ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง

ชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์  เกี่ยวกับ เหตุรุนแรงที่ตำรวจทำร้าย แพทย์-พยาบาลอาสากลางม็อบเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า  การปฏิบัติการช่วยเหลือ ปฐมพยาบาล รักษา รวมถึงการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้รับความคุ้มครองตามอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 2 ปี 1960

การรุมทำร้ายอาสาสมัครที่เข้ามาปฏิบัติดังกล่าวโดยไม่เลือกปฏิบัติว่า ผู้บาดเจ็บเป็นฝ่ายใด ถือเป็นการละเมิดกติการะหว่างประเทศ และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง

ชมรมแพทย์ชนบท ในฐานที่เป็นหนึ่งในภาคีบุคลากรทางสุขภาพของประเทศไทย ขอประณามการกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 กรณีแพทย์อาสาที่เข้าดูแลผู้ชุมนุมกลุ่มคณะราษฎรได้ถูกทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่จนบาดเจ็บและขอเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิดโดยไม่เลือกปฏิบัติ

ทั้งนี้ชมรมแพทย์ชนบทไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง หรือการยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรงในพื้นที่การชุมนุม ไม่ว่าการกระทำนั้นมาจากฝ่ายใด



ชมรมแพทย์ชนบท
14 กุมภาพันธ์ 2564

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)

ผู้ติดเชื้อวันนี้ 166

เสียชีวิตสะสม 80

ผู้ติดเชื้อสะสม 24,571

หายป่วยแล้ว 22,111

 

อาเซียน

ประเทศบรูไน 184

ประเทศกัมพูชา 479

ประเทศอินโดนีเซีย 1.2 ล้าน

ประเทศลาว 45

ประเทศมาเลเซีย 2.58 แสน

ประเทศพม่า 1.42 แสน

ประเทศฟิลิปปินส์ 5.47 แสน

ประเทศสิงคโปร์ 59,786

ประเทศเวียดนาม 2,195

‘อนุชา’ พอใจหลังติวเข้มรัฐมนตรีที่จะถูกซักฟอก มั่นใจทุกคนสอบผ่านคะแนนเท่ากันหมด เย้ยฝ่ายค้านไม่น่ามีเซอร์ไพรส์ ถ้ามีคงเผยมาแล้ว

ซึ่งเชื่อว่ารัฐมนตรีจะสามารถตอบข้อสอบได้ทุกข้อ ทุกประเด็น ผู้เข้าร่วมสัมมนาพอใจที่จะยกมือย่างเต็มใจให้ผู้ถูกอภิปราย แม้แต่นายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาร่วมงานสัมมนา ก็ส่งข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายที่ท่านมีอยู่มาให้ตน แต่ตนไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล ทุกคนมีความมั่นใจว่าจะชี้แจงได้ทุกข้อทุกประเด็น

เมื่อถามว่าคะแนนรัฐมนตรีทุกคนน่าจะเท่ากันไม่น่ามีปัญหาใดๆใช่หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า เท่ากันทุกคนไม่มีปัญหาอะไร จากทุกพรรคการเมือง และจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกคน ซึ่งยืนยันว่าทิศทางการลงคะแนนจะเป็นไปในทางเดียวกัน เพราะการสัมมนาเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราได้ทำความเข้าใจชี้แจงกันก่อน ให้ปราศจากข้อสงสัยในความกังวลที่จะยกมือโหวต และยืนยันว่า พรรคเล็กก็ไม่มีปัญหาอะไร ให้ความร่วมมืออย่างดีตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล

เมื่อถามว่ามีพรรคเล็กบางคนที่ไม่ได้มาร่วมการสัมมนามีความกังวลว่าจะโหวตสวนหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า คนที่ไม่มา และคนที่บอกว่าจะโหวตสวนก็เป็นบุคคลเดิม ๆ ที่เรารับฟังมาตลอด แต่ในภาพรวมพรรคเล็กไม่มีปัญหา

ส่วนความกังวลว่าพรรคก้าวไกลจะอุบข้อมูลเรื่องของการอภิปรายไว้หรือไม่นั้น นายอนุชา กล่าวว่า ตั้งแต่ตนอยู่การเมืองมานานไม่เคยมีการอุบข้อมูลได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ถ้ามีข้อมูลหรือสิ่งใดในมือคงสร้างกระแสสู่สาธารณชนก่อนหน้านี้แล้ว เราจึงมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมากมายที่เราต้องวิตก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่มีเซอร์ไพรส์ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเซอร์ไพรส์สักครั้งเดียว มีแต่การสร้างกระแสมาก่อน และข้อสอบไม่จำเป็นต้องรั่ว มีแต่เก็งข้อสอบว่าจะแม่นหรือไม่แม่น


อีกทั้ง ยังเชื่อว่าไม่น่าจะมีประเด็นในการปรับครม.ในอนาคต และการสัมมนาครั้งนี้รัฐมนตรีทุกคนก็ได้ตอบข้อสงสัยได้เป็นอย่างดี และขอย้ำว่าสัญญาณเรื่องการปรับครม.ก็ไม่มีแน่นอน

'นักรบชุดขาวกระบี่' ออกเดินทางเสริมทัพ สับเปลี่ยนกับบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ต่อสู้โควิด -19 จ.สมุทรสาคร ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการร่วมส่งและให้กำลังใจคับคั่ง

ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกระบี่ นายอนุวรรตน์ โหมดพริ้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่  นายแพทย์วิทยา วัฒนเรืองโกวิทนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกระบี่ น.พ.สุพจน์ ภูเก้าล้วนผอ.โรงพยาบาลกระบี่ หัวหน้าส่วนราชการคณะบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ร่วมส่งทีมสอบสวนโรค (CDCU)  ออกเดินทางไปยัง จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อร่วมปฏิบัติงานป้องกันการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) 

ประกอบด้วย ทีมดูแลผู้ป่วย ทีมสอบสวนโรค(CDCU) ทีมเฝ้าระวังเชิงรุก และรถพยาบาลกู้ชีพระดับ ALS พร้อมพนักงานขับรถรวมบุคลากรที่ปฏิบัติงานดังกล่าว  รวมจำนวน 9 คน ประกอบด้วยนางสุภาพร  ลิ่มบุตร พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.กระบี่, นางรำไพ ตั้งไตรทิพย์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.กระบี่, นางสาวเบญจพร ว่องเกษฎา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.กระบี่, นางนงนุช บุญส่งพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.กระบี่, นายนพรุจ สัมมาชีพ พนักงานขับรถรพ.กระบี่, นายภูวสิษฐ์ บุญทองแก้ว นักโภชนาการปฏิบัติการ รพ.ปลายพระยา,นายเพชรรัตน์ กี่บุตร นักวิชาการสาธารณสุข รพ.ปลายพระยา, นางสาวปัณจ์กนิษฐ์ พรหมรักษา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สสอ.ปลายพระยา,และนางสาวณัฏฐณิชา ศรีจันทร์ทอง นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ สสอ.ปลายพระยา

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกระบี่ กล่าว่า สืบ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (ระลอกใหม่ที่มีการติดเชื้อในแรงงานต่างชาติ เกิดการแพร่ระบาดออกไปในวงกว้างในจังหวัดสมุทรสาคร มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและแพร่ระบาดในวงกว้างไปยังจังหวัดใกล้เคียงและกระจายไปทั่วประเทศทำให้การดำเนินงาน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเป็นไปด้วยความยากลำบาก และต้องใช้บุคลากรสาธารณสุขเป็นจำนวนมาก 

ขณะที่จังหวัดกระบี่พบผู้ป่วยรายใหม่ 8 คน ไม่พบผู้ป่วยมาเป็นเวลา 51 วัน ทางสาธารสุขจังหวัดกระบี่ และรพ.กระบี่ จึงได้ประกาศรับสมัครบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีผู้สมัครใจเข้าร่วมครบตามจำนวนที่ต้องการ โดยนักรบชุดขาวทั้งหมดออกเดินทางจากจังหวัดกระบี่ ในวันนี้ ( 14 กุมภาพันธ์ 2564)โดยจะร่วมปฏิบัติงานจังหวัดสมุทรสาครระหว่างวันที่ 15 – 20 ก.พ.64 เมื่อเสร็จภารกิจจากจังหวัดสมุทรสาครแล้วจะเดินทางกลับถึงจังหวัดกระบี่ ในวันที่21 กุมภาพันธ์ 2564 และปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันควบคุมโรค โดยการกักตัวและตรวจหาเชื้อเป็นเวลา14วันต่อไป

เปิดข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่มีการส่งตัวนักรบชุดขาวมีการมอบของที่ระลึกมอบกระเป๋าเดินทางรวมถึงกิ๊ฟวอชเชอร์เพื่อใช้จ่ายในขณะปฏิบัติหน้าที่ ที่จังหวัดสมุทรสาคร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่และมอบพระเครื่องหลวงพ่อทวดวัดช้างให้รุ่นปี 08 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านความซาบซึ้งและปรับปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง...



กระบี่///ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top