Saturday, 10 May 2025
NEWS

ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางมาถึงอาคารรัฐสภาเพื่อร่วมการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นวันที่สาม

โดยท่านนายกฯ มีสีหน้าที่เรียบเฉย และเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาทั้งสองวัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า

ถ้าถามว่าการที่หาว่าตนตอบตรงหรือไม่ตรง ขอบอกว่าเป็นการตอบด้วยหลักการกว้างๆ หลักการใหญ่ๆ และถ้ามีรายละเอียดอะไรออกมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาจะชี้แจงเองอีกที นายกฯ มีข้อมูลทั้งหมดอยู่แล้ว แต่บางครั้งตอบไปไม่เกิดประโยชน์ในบางครั้ง

เมื่อถามนักข่าวถามย้ำว่ามีอะไรที่เป็นข้อมูลใหม่บ้าง นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีอะไรใหม่เลย ไม่มีจริงๆ จากที่เคยทราบมาก่อนเลย ถามแล้วถามอีก พูดแล้วพูดอีกก็ยังพูดซ้ำซากอยู่ เมื่อถูกถามว่า สิ่งที่อยากจะขอในการอภิปรายครั้งนี้ นายกฯ กล่าวว่า

ก็อยากขอว่าควรจะพูดจาให้สุภาพเรียบร้อย เป็นคนไทยด้วยกันก็ควรจะมีมารยาทกันบ้าง โดยเฉพาะสภาที่เรียกกันว่าสภาผู้ทรงเกียรติแห่งนี้ ตนให้เกียรติทุกคน ดังนั้นขอให้เกียรติกับสถานที่เขาบ้าง ทำงานก็ดี สะดวกสบายกว่าคนอื่นเขาเยอะ เพราะฉะนั้นก็ควรเป็นสุภาพชน เมื่อเดินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้

ผู้สื่อข่าวได้ถามต่อว่า ได้เห็นหลวงพ่อป้อม หรือห้อยหลวงพ่อป้อมเหมือน นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ห้อยหรือไม่ นายกฯ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว ก่อนเข้าลิฟต์เพื่อร่วมประชุมสภาทันที


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/93423

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ชี้ วัดบ้านไร่ได้ลิขสิทธิ์คุ้มครอง 'ผ้ายันต์หลวงพ่อคูณ' 50 ปี หากมีหลักฐานยืนยันการสร้าง ระบุ ก่อนนำภาพผ้ายันต์ไปใช้ ต้องขออนุญาตก่อน

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า หลังจากมีกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์นำเสนอแบรนด์สินค้าแฟชั่นชื่อดัง เปิดตัวคอลเล็กชันใหม่ โดยใช้ยันต์หลวงพ่อคูณ พระเกจิชื่อดังแห่งวัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา ไปสกรีนบนเสื้อ เบื้องต้นได้ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องของลิขสิทธิ์ ก็ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับผ้ายันต์รูปหลวงพ่อคูณ แต่หากวัดบ้านไร่เป็นผู้จัดทำผ้ายันต์รูปหลวงพ่อคูณนี้ขึ้นมา โดยมีหลักฐานยืนยันการสร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์นี้ ก็สามารถแจ้งข้อมูลได้ เพื่อได้รับความคุ้มครองเป็นเวลา 50 ปีนับตั้งแต่วันที่สร้างสรรค์ขึ้น ดังนั้น หากมีผู้นำยันต์ดังกล่าวไปใช้ ก็ต้องขออนุญาตจากวัดบ้านไร่ด้วย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบในฐานข้อมูลลิขสิทธิ์ พบว่ามีผู้มายื่นแจ้งข้อมูลงานลิขสิทธิ์เกี่ยวกับหลวงพ่อคูณไว้ 21 รายการ ประกอบด้วย ผลงานเพลง 15 รายการ งานวรรณกรรม 1 รายการ คือ หนังสือเจาะลึกข้อมูลเหรียญรุ่นพิเศษ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ปี 2517 งานโสตทัศนวัสดุ 1 รายการ คือ สารคดีเรื่องแรงศรัทธาแด่หลวงพ่อคูณ และงานศิลปกรรม 4 รายการ ได้แก่ รูปปั้น รูปหล่อ และเหรียญ

นายวุฒิไกร ยอมรับว่า ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะในกรณีของรูปหลวงพ่อคูณในผ้ายันต์ ถือเป็นงานศิลปกรรม และจัดเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทหนึ่ง โดยผู้สร้างสรรค์จะได้รับความคุ้มครองทันทีเมื่อสร้างสรรค์ผลงานขึ้น

ซึ่งกฎหมายจะให้สิทธิเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว เช่น ทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณะ หรืออนุญาตให้ผู้อื่นนำงานไปใช้ประโยชน์ หากการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับงานอันมีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจเข้าข่ายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

กลายเป็นอีกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไทยที่น่าสนใจ หลังจาก ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ (ดร.นิว) นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่าถึงความเป็นมาของเพลงชาติไทยในอีกมุมที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้

#เพลงชาติไทยที่ถูกปล้น

ทำไมเพลงชาติอังกฤษสรรเสริญสมเด็จพระราชินีทั้งเพลง แต่เพลงชาติไทยกลับไม่กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้แต่คำเดียว?

หลักฐานจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ยืนยันชัดเจนว่า ‘คณะราษฎร’ จงใจลบสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากเพลงชาติไทย เพราะเมื่อก่อนเพลงชาติไทย คือ ‘เพลงสรรเสริญพระบารมี’ ซึ่งมีเนื้อหาเหมือนกับเพลงชาติอังกฤษที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของระบอบการปกครองแบบ Constitutional Monarchy

แต่คณะราษฎรกลับปล้นเพลงชาติไทย แล้วสร้างจุดเริ่มต้นของเพลงชาติที่ไม่กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังมีความเจาะจงมุ่งหวังให้เพลงชาติไทยมีเนื้อหารุนแรงเหมือนกับเพลงชาติฝรั่งเศส ซึ่งไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของระบอบการปกครองแบบ Constitutional Monarchy

เพลงชาติไทย จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คณะราษฎร ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็น Constitutional Monarchy อย่างถูกต้อง แต่กลับสร้างระบอบเผด็จการของคนส่วนน้อยที่เป็นลัทธิรัฐธรรมนูญขึ้นมาหลอกลวงประชาชน เป็นเหตุผลว่าทำไมประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไม่เคยเกิดขึ้น อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนแค่ในกระดาษ และประเทศไทยไม่เคยมี Constitutional Monarchy ที่ถูกต้อง

ความจริงเหล่านี้คือสิ่งที่ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ หรือ ‘ฟายบูด’ รวมถึงเครือข่ายทั้งหมดที่ถือแนวทางผิดของคณะราษฎรไม่เคยพูดถึง เพราะคนเหล่านี้มุ่งเน้นแต่ความบิดเบือน สานต่อความบ้าคลั่งการปฏิวัติฝรั่งเศสตามรอยคณะราษฎร สร้างความแตกแยก บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและประชาชน บิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์

แค่เพลงชาติที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด สถาบันมหากษัตริย์ไทยยังถูกคณะราษฎรกำจัดออกไป จนถึงทุกวันนี้เพลงชาติไทยก็ยังไม่มีการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่คำเดียว แล้วแบบนี้ฟายบูดยังมีหน้ามาใส่ร้ายว่าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกหรือ?

คณะราษฎรตลอดจนผู้ถือแนวทางผิดของคณะราษฎรเองมิใช่หรือ ที่บิดเบือนและบ่อนทำลายความถูกต้องของระบอบ Constitutional Monarchy มาโดยตลอด?


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3907320779330531&id=100001579425464

‘อนุทิน’ ย้ำ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนทีมพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จากจุฬาฯ อย่างเต็มที่ เผย ข่าวดีผลการทดลองในสัตว์ผ่านฉลุย เตรียมทดลองในอาสาสมัครเดือนพฤษภาคมนี้ ได้ที เกทับ “ไม่แทงม้าตัวเดียว แต่เป็นเจ้าของคอกม้า”

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) ที่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวความก้าวหน้าล่าสุดของการพัฒนาวัคซีน Chula Cov19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและความพร้อมในการทดสอบในอาสาสมัคร

นายอนุทิน กล่าวว่า ตนและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ของจุฬาฯ ในทุกวิถีทาง เพื่อให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุด ให้คนไทยปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเพื่อส่งเสริมฐานที่แข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขของประเทศเรา ให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จากการที่สามารถผลิตวัคซีนได้ในประเทศ ถึงแม้ จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจุฬาฯ แต่ก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเห็นโครงการฯ ประสบความสำเร็จ พร้อมให้ความช่วยเหลือสนับสนุนในทุกด้านที่ได้รับการร้องขอ เปรียบเสมือนทีมเดียวกัน

ที่สำคัญ นี่คือเครื่องพิสูจน์ ว่า ไทยไม่ได้แทงม้าแค่ตัวเดียว แต่เราพยายามทำทุกทางอย่างเหมาะสม เพื่อให้ไทย ได้วัคซีนโควิด-19 ได้เร็วที่สุด และต้องปลอดภัยที่สุด กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับเรื่องวัคซีนมาก มิได้เพิกเฉย เหมือนที่ฝ่ายการเมืองนำมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะตั้งแต่ได้ยินคำว่าโควิด-19 ครั้งแรก ก็นึกถึงในหัวคือ วัคซีน จะต้องหามาให้ได้ และเชื่อมั่นในศักยภาพของระบบการแพทย์ไทยว่าวันหนึ่งเราจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนในประเทศ ไทยต้องยืนบนขาตัวเอง ไม่แทงม้าตัวเดียว แต่เราจะเป็นเจ้าของคอกม้า

ที่ผ่านมาประเทศไทย พยายามปรับใช้ประสบการณ์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาด ณ ปัจจุบัน ปัจจุบัน ไทยมีความสามารถในการผลิตอุปกรณ์ป้องกันได้เอง อาทิ หน้ากากอนามัย ชุดป้องกันส่วนบุคคล(PPE) รวมถึงยารักษาด้วย ปัจจุบัน ไทยมีวัคซีนโควิด-19 ในมือแล้ว 63 ล้านโดส และในอนาคต หวังว่าจะมีวัคซีนที่ผลิตในประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความก้าวหน้าล่าสุดของการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ล่าสุด ผ่านการทดลองในหนูและลิง สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในระดับสูง และกำลังจะเข้าสู่การทดลองในคนระยะที่ 1

เบื้องต้น วัคซีนของจุฬาฯ สามารถเก็บในอุณหภูมิตู้เย็นปกติคือ 2 - 8 องศาเซลเซียส และอย่างน้อย 1 เดือน ขณะนี้กำลังรอผลวิจัยที่ 3 เดือน ดังนั้นการขนส่งกระจายวัคซีนไปยังต่างจังหวัดทั่วประเทศจึงสามารถทำได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ คาดว่าจะผลิตเสร็จเพื่อนำมาทดลองในอาสาสมัครได้ประมาณต้นเดือนพฤษภาคมนี้

ขณะเดียวกันก็กำลังเตรียมการพัฒนารุ่น 2 เพื่อทดสอบในหนูทดลองเพื่อรองรับเชื้อดื้อวัคซีนในอนาคตเพราะเนื่องจากมีเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดในหลายประเทศและบางสายพันธุ์ ซึ่งวัคซีน mRNA มีจุดเด่นคือสามารถออกแบบวัคซีนรุ่นที่ 2 เพื่อตอบโต้เชื้อดื้อวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

 

โดนแล้ว!! ผู้ใช้งาน Facebook ในออสเตรเลียไม่สามารถเข้าถึง และแชร์เนื้อหาข่าวของสำนักข่าวทุกแห่งบนโลก ไม่เว้นแม้แต่สื่อในประเทศตัวเอง เช่นเดียวกันกับผู้ใช้งานในต่างประเทศ ที่จะไม่สามารถเข้าถึง และแบ่งปันเนื้อหาของสำนักข่าวจากออสเตรเลีย

นี่ถือเป็นการตอบโต้รัฐบาลแคนเบอร์รา (เมืองหลวงของเครือรัฐออสเตรเลีย) ที่ผลักดันกฎหมาย 'เก็บค่าข่าว' จาก Facebook

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เพจบน Facebook ของหน่วยงานรัฐหลายแหงในออสเตรเลีย รวมถึงสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ และสำนักงานสาธารณสุขของหลายรัฐ ไม่สามารถเข้าถึงได้เช่นกัน

ขณะที่สำนักข่าวทุกแห่งในออสเตรเลียพร้อมใจกันวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหนัก ต่อมากระทรวงการสื่อสารในกรุงแคนเบอร์รา ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลออสเตรเลียไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าว่า Facebook จะตัดสินใจแบบนี้ และเรียกร้องอีกฝ่ายกลับมาเชื่อมต่อระบบโดยเร็วที่สุด

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Facebook เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่สภาผู้แทนราษฎรของออสเตรเลีย ‘อยู่ในขั้นตอนสุดท้าย’ ของการพิจารณาและลงมติรับรองกฎหมายว่าด้วยการที่บริษัทเทคโนโลยีต้องบรรลุข้อตกลงเรื่องผลตอบแทนกับสำนักข่าว หรือบริษัทผู้ผลิตเนื้อหาในประเทศ ก่อนนำข้อมูลไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยกฎหมายมีแนวโน้มได้รับความเห็นชอบสูงมาก เมื่อพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ส่งสัญญาณสนับสนุน

นอกจาก Facebookแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง ‘อัลฟาเบ็ต’ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ก็ได้ขู่ว่าจะระงับการให้บริการในออสเตรเลียเช่นกัน แต่ต่อมามีรายงานว่า ผู้บริหารของกูเกิลบรรลุข้อตกลงกับ นิวส์ คอร์ปอเรชั่น อาณาจักรสื่อสารมวลชนของตระกูลเมอร์ด็อก ซึ่งเป็นเจ้าของสื่อใหญ่หลายแห่ง รวมถึง ฟ็อกซ์ นิวส์ และ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล เกี่ยวกับการซื้อขายข่าวแล้ว

อย่างไรก็ตามรัฐบาลสหรัฐยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการต่อการดำเนินการของ Facebook กับรัฐบาลออสเตรเลียในครั้งนี้ มีเพียงก่อนหน้าที่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประสานมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของออสเตรเลีย เพื่อขอมีการให้ระงับการพิจารณากฎหมายนี้เท่านั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/foreign/826081

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า หลังจากพบประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟนไปลงทะเบียนรับสิทธิโครงการเราชนะที่ธนาคารกรุงไทยจำนวนมาก ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ขยายจุดให้บริการเพิ่มตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.นี้

โดยสามารถใช้บัตรประชาชนลงทะเบียนที่ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ว่าการอำเภอ หรือผู้ใหญ่บ้าน โดยใช้มือถือเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนเพื่อจดเลขบัตรประชาชน เพื่อส่งให้ธนาคารกรุงไทยต่อไป

"กระทรวงการคลังต้องขออภัยที่ประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจนในเรื่องระยะเวลาการลงทะเบียน ทำให้ทุกคนมาในวันแรกวันเดียว แต่คลังได้ขยายเวลาในการลงทะเบียนแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. - 25 มี.ค.นี้ และประสานผู้ว่าราชการทุกจังหวัด กรมสรรพากร กรมสรรพสามิตร ช่วยกันให้บริการและอำนวยความสะดวก แต่ผู้ให้บริการหลัก ยังเป็นพนักงานธนาคารกรุงไทยอยู่"

'อานนท์ นำภา’ ติดอันดับ TIME 100 NEXT เป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อการเปลี่ยนอนาคต

เว็บไซต์ ไทม์ (TIME) ได้เผยแพร่ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอนาคต ในปี 2021 TIME 100 NEXT โดยมีรายชื่อของ นาย อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนชื่อดัง ที่กำลังถูกคุมขังในความผิด ม.112 และไม่ได้รับสิทธิประกันตัว

โดย ไทม์ ได้ระบุว่า นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน ได้ขึ้นอภิปรายในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ สร้างความสั่นสะเทือนให้กับประเทศไทย ซึ่งไทยนับเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐ ในเอเชีย แต่ประชาธิปไตยของไทย ได้ถูกกัดกร่อน หลังจากการขึ้นมามีอำนาจของจีน

อานนท์ ได้ปลุกพลังคนไทยรุ่นใหม่ ด้วยการถอดรากของอำนาจทางการเมืองในไทย และแก้รัฐธรรมนูญที่ร่างโดยทหาร ทำให้เขาถูกจับกุมถึง 3 ครั้งในช่วงไม่กี่เดือน และการปลุกระดมฝูงชนให้ต่อต้านรัฐบาล แม้ว่าโควิด 19 จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศ แต่คนรุ่นใหม่ ก็ยังคงเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งนับได้ว่าใหญ่ที่สุดนับแต่การรัฐประหารปี 57 ที่ ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่า สร้างความกดดันให้กับรัฐบาลทหาร

“ประชาชนป่วย และเหนื่อยในการใช้ชีวิต ภายใต้ระบบการปกครองแบบอดกลั้น” อานนท์ เปิดเผยกับไทม์ เมื่อปีที่แล้ว

ทั้งนี้ นอกจากนายอานนท์ นำภา แล้ว ไทม์ยังได้เลือกบุคคลผู้มีชื่อเสียง เข้ามาอยู่ในลิสต์ 100 รายชื่อครั้งนี้ อาทิ ซานนา มาริน นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งฟินแลนด์ ซึ่งอายุน้อยที่สุดในโลก, ดูอา ลิปป้า นักร้องชื่อดัง, จอห์น เดวิด วอชิงตัน นักแสดงชาวอเมริกัน อดีตนักฟุตบอลอเมริกัน, เรกเก้ ฌอง เพจ นักแสดงจาก บริดเจอร์ตัน, อะแมนดา กอร์แมน กวีหญิงวัย 22 ปี ผู้ได้รับรางวัลกวีเยาวชนแห่งชาติคนแรกของสหรัฐ, อันยา เทย์เลอร์ จอย นักแสดงชื่อดัง จาก ควีน แกมบิต, โคโยฮารุ โกโตเกะ ผู้เขียนการ์ตูนชื่อดังแห่งปี ดาบพิฆาตอสูร และ มาร์คัส แรชฟอร์ด จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


ที่มา: https://www.matichon.co.th/politics/news_2583813

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ เตรียมยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘สิระ เจนจาคะ’ ผิดจริยธรรมร้ายแรง ปม ทำเหรียญ ‘หลวงพ่อป้อม’ รุ่น ‘ป่ารอยต่อ’ ซัด ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ได้จัดทำเหรียญทองคำรุ่น “หลวงพ่อป้อม” และรุ่น “ป่ารอยต่อ” ที่นำมาโชว์แสดงต่อสื่อมวลชนเมื่อเช้าของวันที่ 17 ก.พ.64 ที่ผ่านมา จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันของสาธารณชนเป็นจำนวนมากนั้น

กระทั่งช่วงบ่ายโมง นายสิระได้ออกมาแถลงอีกว่าการจัดทำเหรียญดังกล่าวที่เป็นใบหน้ารูป พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้รับอนุญาตจาก พล.อ.ประวิตรเรียบร้อย และท่านไม่ได้ว่าอะไร และตนได้นำเหรียญไปให้ พล.อ.ประวิตรดู ซึ่งท่านได้เป่าพร้อมให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคล ขอให้คุ้มครองแคล้วคลาดจากศัตรูและคู่อริ

แต่ทว่าเมื่อเย็นของวันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้กล่าวถึงกรณีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ จัดทำเหรียญทองคำรุ่น"หลวงพ่อป้อม" และรุ่น"วัดป่ารอยต่อ"ว่า ตนไม่รู้เรื่องและไม่เคยให้คำแนะนำการจัดทำเหรียญดังกล่าว และนายสิระไม่เคยมาปรึกษา และก็ไม่ได้เห็นด้วยที่จะให้ทำเหรียญดังกล่าว และอย่าเอาตนไปเกี่ยวข้อง ไม่สนับสนุน

กรณีดังกล่าว เป็นการชี้ให้เห็นว่า การนำเหรียญทองดังกล่าวมาแถลงข่าวในบริเวณรัฐสภาของนายสิระ ถือว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตน มิได้เป็นประโยชน์ใดๆแก่ประเทศชาติ อีกทั้งเป็นการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน เพียงเพราะต้องการสร้างข่าวให้เกิดความหวือหวาหรือเพื่อการเป็นข่าวเท่านั้น

ซึ่งมิได้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อสาธารณชนหรือประเทศชาติแต่อย่างใด และการแกะชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในเหรียญดังกล่าวก็ทำผิดทั้งชื่อและนามสกุล กลายเป็นที่ตลกขบขันของสื่อมวลชนและสาธารณชนทั่วไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 7 ข้อ 15 และข้อ 17 ที่ว่า “ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน” “ต้องให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือน” และ “ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง”

ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ในวันศุกร์ที่ 19 ก.พ.64 เวลา 13.00 น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นนทบุรี เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวนกรณีดังกล่าวว่าเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ อย่างไร หาก ป.ป.ช.วินิจฉัยว่าฝ่าฝืนจักได้ดำเนินการส่งให้ศาลฎีกาพิพากษาในลักษณะเดียวกับปารีณา

ศาลสิงคโปร์ตัดสินจำคุกและปรับเงิน โจโลแวน แวม นักเคลื่อนไหวชาวสิงคโปร์ หลังจัดม็อบบนขบวนรถไฟใต้ดินและข้อหาอื่น ๆ

ศาลสิงคโปร์จำคุก 'โจโลแวน แวม' วัย 40 ปี เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังรับสารภาพว่าจัดประท้วงเล็ก ๆ บนรถไฟใต้ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเดือนมิถุนายน 2017 ซึ่ง แวม เผยว่า เขาจัดม็อบเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่กลุ่มคน 22 คนที่ถูกจับกุมในปี 1987 ภายใต้กฎหมายโทษร้ายแรง จึงถูกสั่งให้กักขังได้โดยไม่ต้องพิจารณาคดี

นอกจากการประท้วงโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว แวมยังถูกตั้งข้อหาทำลายทรัพย์สิน เพราะไปติดประกาศบนหน้าต่างรถไฟ และข้อหาปฏิเสธลงนามในแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการประท้วง

แวมรับสารภาพผิดทั้ง 3 ข้อหา ซึ่งเขาจะถูกปรับเป็นเงิน 8,000 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 180,000 บาท หรือรับโทษจำคุก 32 วัน โดยแวมเลือกที่จะจ่ายค่าปรับส่วนหนึ่งและรับโทษจำคุก 22 วัน

ทั้งนี้ ผู้พิพากษาระบุว่า แวมเป็นผู้กระทำความผิดซ้ำ เนื่องจากในปี 2016 เขาเคยถูกตัดสินโทษจำคุก 10 วันหลังจัดกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งมี โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชื่อดังร่วมสนทนาผ่านทางสไกป์ด้วย


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/645611

อิสราเอล พบ ตัวอ่อนในครรภ์ อายุ 25 สัปดาห์ ดับจาก โควิด-19 ครั้งแรก

สำนักข่าวกานนิวส์ของรัฐบาลอิสราเอล รายงานเมื่อวันอังคาร (16 กุมภาพันธ์ 2564) กรณีตัวอ่อนในครรภ์เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ครั้งแรกในอิสราเอลหลังรับเชื้อจากแม่

รายงาน ระบุว่า หญิงวัย 29 ปี ซึ่งตั้งครรภ์อายุ 25 สัปดาห์ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเมืองแอชดัดทางตอนใต้ หลังจากไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ต่อมาแพทย์พบว่าเด็กในครรภ์เสียชีวิตแล้ว จึงทำคลอดร่างของทารกออกมา

หญิงรายดังกล่าวมีอาการไข้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นบวกที่โรงพยาบาล ขณะการทดสอบเพิ่มเติมบ่งชี้ว่าทารกในครรภ์ก็มีผลตรวจโรคเป็นบวกเช่นกัน

โรงพยาบาล เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวเป็นหนึ่งในไม่กี่กรณีในโลกที่ตัวอ่อนเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ขณะอยู่ในครรภ์ของผู้เป็นแม่


ที่มา: https://www.xinhuathai.com/high/178188_20210217

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะว่า ในวันที่ 18 ก.พ.นี้ กระทรวงการคลัง

พร้อมโอนวงเงินเราชนะงวดแรก 2,000 บาท ให้ผู้ผ่านคัดกรองสิทธิ ในกลุ่มผู้ที่ใช้แอปพลิเคชั่นเป๋าตังอยู่แล้ว และกลุ่มที่ลงทะเบียนเพิ่มผ่านเว็บไซต์เราชนะ

ปัจจุบันทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าว มีผู้ผ่านการคัดกรองเข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้น 16.3 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มผู้ที่ใช้แอปพลิเคชั่นเป๋าตังและเราเที่ยวด้วยกัน 8.4 ล้านคน และกลุ่มที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์เราชนะ อีก 7.9 ล้านคน ขณะที่การโอนวงเงินสิทธิ์ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.69 ล้านคน ได้โอนไปแล้ว 2 ครั้ง โดยยอดล่าสุดกลุ่มผู้ถือบัตรฯ มียอดการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยไปแล้วมากกว่า 14,000 ล้านบาท

ส่วน ยอดกดสละสิทธิ์เราชนะ ล่าสุดมีจำนวน 8.8 หมื่นคน โดยกระทรวงการคลัง ขอให้กลุ่มข้าราชการการเมือง ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่รับค่าตอบแทนโดยตรงจากหน่วยงานของรัฐ และไม่เป็นอาสาสมัครหรือเป็นการจ้างรายวัน รวมถึงผู้รับบำนาญปกติ ให้แจ้งสละสิทธิ์ทางเว็บไซต์เราชนะ ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะหากตรวจสอบพบภายหลัง จะมีการเรียกเงินคืนทันที โดยสามารถกดสละสิทธิ์ทางเว็บไซต์เราชนะ ได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 25 มี.ค. 64

นอกจานี้ การเปิดรับลงทะเบียนเราชนะ สำหรับกลุ่มเปราะบางและผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้อยู่ในภาวะพึ่งพิง ผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยและจุดบริการทั่วประเทศในช่วง 3 วัน ตั้งแต่ 15 - 17 ก.พ. มียอดสะสมรวมกว่า 3.27แสนคน และยังสามารถไปลงทะเบียนยังสาขาธนาคารกรุงไทยและจุดรับลงทะเบียนได้จนถึงวันที่ 5 มี.ค.นี้

ประโยคเผ็ดร้อนของ ‘รองนายกฯ อนุทิน vs ส.ส. วิโรจน์ ‘ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ประจำวันที่ 17 ก.พ. 2564

เข้าสู่วันที่สอง ความเผ็ดร้อนของ ‘ศึกซักฟอกระลอกใหม่ 10 รัฐมนตรี’ ก็ไม่ได้ลดดีกรีลงแต่อย่างใด โดยซีนร้อน ๆ ของวันนี้ ต้องยกให้กับการปะทะกันทางประโยคของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กับ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

โดยเป็นทางฝั่งของนายวิโรจน์ ที่เปิดประเด็นเรื่องราวการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิด -19 ของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่ามีความผิดพลาด ก่อนที่ช่วงท้ายจะซัดแรง ๆ ด้วยประโยคที่ว่า...

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายอนุทินชาญวีรกูล วัน ๆ มีแต่ทำตัวหิวแสง กระหายแฟลช เสี้ยนไมโครโฟน มักใหญ่ใฝ่สูงหมายจะเอาเงินภาษีของประชาชนไปสร้างซีนให้กับตนเอง คุยโม้คุยโต โง่แล้วอยากนอนเตียง เอาชีวิตของราษฎรไปขึ้นเขียง เอาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนไปเสี่ยงกับบริษัทเอกชนที่เพิ่งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน ประชาชนเขาหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเพราะวัคซีน แต่สุดท้ายต้องสิ้นอนาคตได้ฟอร์มาลีนมาแทน

คนคู่นี้ แค่เดินเฉียดเงาผมยังรู้สึกรังเกียจ แค่คิดว่าต้องหายใจเอาอากาศร่วมกันกับคนสองคนนี้ ก็รู้สึกขยะแขยง ผมจึงไม่อาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้อีกต่อไป และไม่อาจไว้วางใจ ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลูกกระจ๊อก สมุนคู่ใจ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้วยเช่นกัน”

งานนี้เมื่อถึงคิวของนายอนุทิน ชาญวีรกุล ได้ขึ้นมากล่าวโต้แย้ง ก็เริ่มต้นด้วยประโยคเชือดเฉือนที่ว่า...”สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ผมได้เจอบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็น ส.ส. ในสภา มากล่าวโกหก ให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ท่ามกลางโรคระบาดที่ร้ายแรง แทนที่จะให้กำลังใจ กลับนำข้อมูลทางโซเชี่ยล ไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ในสภา เมื่อสักครู่ คุณบอกว่าผมน่ารังเกียจ แต่เดินเจอหน้ากันหน้าห้องน้ำ เข้ามากราบแทบอก และถ้าผมเอาแอลกอฮอล์ฉีดตรงที่เนคไท คุณจะรู้สึกอย่างไร”

ต่อมา ในช่วงท้าย นายอนุทิน ยังได้ตั้งคำถามกับคำว่า ‘น่ารังเกียจ’ ที่นายวิโรจน์ได้กล่าวหา โดยขยายความให้เห็นภาพว่า...

“คนสองคนที่ท่านบอกว่าน่ารังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ ไอ้สองคนนี้ล่ะครับ ทำให้ อสม.เข้มแข็งขึ้น ไอ้สองคนนี้ล่ะครับ ทำให้มีโครงการสามหมอ ทำให้ระบบสาธารณสุขมีการพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพ มีความสะดวกในการให้บริการพี่น้องประชาชน สองคนนี้แหละครับ เปิดคลีนิคบริการผู้สูงอายุ เพราะว่าประเทศไทยเราเข้าสู่ยุคผุ้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ เราเตรียมไว้พร้อม

สองคนนี้และครับ จัดหาเครื่องฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ถึง 7 เครื่อง บริษัทผู้ผลิตยังงงไปหมดว่า สั่งทีเดียวได้ยังไงตั้ง 7 เครื่อง เพื่อให้บริการผู้ป่วยมะเร็งทั่วประทศไทย ที่จะไม่ต้องลำบากเดินทาง เข้าคิว เขาจะได้รักษาตรงเวลา ทันเวลา และไม่ต้องทนทุกข์ทรมานให้มากขึ้น ยุคนี้กระทรวงสาธารณสุข ทำให้คนไทยเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทุกแห่ง ทุกโรงพยาบาล ในโรคทั่วไป ที่ไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่

สิ่งที่เราเคยกังวล เคยประสบ เราเคยลำบากในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิดระลอกแรก ยาก็ไม่มี หน้ากากก็ไม่พอ ชุดพีพีอีก็หาไม่ได้ วันนี้ หน้ากากผลิตเอง ไม่มีใครฉวยโอกาสขึ้นราคาได้อีกต่อไป ยา มีมากเกินพอ ที่จะให้การรักษาดูแลผู้ที่ติดเชื้อโควิด 

สุดท้าย การที่มีโรงงานผลิตวัคซีน อยู่ในประเทศไทย จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนนี้ ที่จะเป็นศูนย์การผลิตวัคซีนต่อต้านโควิด แล้วฟีดไปในภูมิภาคนี้ อยู่ในสัญญาที่ทางบริษัทวัคซีนให้ไว้กับรัฐบาลไทย และให้ไว้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์ มันเป็นความน่าภาคภูมิใจครับ ไม่ใช่สิ่งที่จะมาก่นด่า หรือพูดอะไรที่เป็นการลดขวัญกำลังใจคนทำงาน

ผมเรียนว่า สิ่งที่ผมได้แจ้งมานี้ ถ้าท่านยังบอกว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และตัวกระผมเอง มีความน่ารังเกียจ ไม่ควรเดินเข้ากระทรวงสาธารณสุข ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ต้องยอมล่ะครับ แต่ประเด็นคือ ท่านโกหกจนนาทีสุดท้ายมากกว่า

ท่านบอกว่า กระผมไปที่ไหน ท่านนายกฯ ไปที่ไหน มีแต่คนยี๊ มีแต่คนไม่เอาด้วย มีแต่คนรังเกียจ ผมว่ามันตรงข้ามจริง ๆ ครับ ผมก็คนหนึ่งล่ะ ที่รังเกียจกิริยาเช่นนี้ อายุยังน้อย เราทำงานสร้างสรรค์ ทำงานเพื่อบ้านเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ขอให้เป็นผู้แทนของราษฎร ดูแลทุกข์สุขของราษฎร เรื่องส่วนตัวค่อยว่ากัน”

ร่ายยาวแบบจัดหนัก จัดเต็ม ถ้ายังไม่เคลียร์ สงสัยต้องนัดเจอกัน ‘หน้าห้องน้ำ’ อีกสักที!

‘วิโรจน์’ ซัดแหลก ‘ประยุทธ์ - อนุทิน’ บริหารแผนวัคซีนโควิดพลาด ส่อล่าช้า ทำประเทศเสียหาย 8,300 ล้านบาทต่อวัน!! สร้างปัญหาปากท้องทอดยาวไม่จบสิ้น - เผยหลักฐานเด็ดชี้ชัด ‘บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์’ หวยล็อกชื่อโผล่มาตั้งแต่แรก อัด ไว้ใจแทงม้าตัวเดียวได้อย่างไร

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี โดยเน้นไปที่ประเด็นการบริหารจัดการวัคซีนที่ผิดพลาด เอาประชาชนไปกระจุกเสี่ยงจากวัคซีนแหล่งเดียว ไม่สนใจคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ ขาดความโปร่งใส ขัดขวางกลไกการตรวจสอบ ทั้งที่เงินทุกบาทที่ซื้อวัคซีนล้วนเป็นเงินภาษีที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชน ย้ำการฉีดวัคซีนล่าช้าจะส่งผลให้ปัญหาปากท้องลากยาวไม่จบสิ้น ประชาชนทุกข์ยากแสนสาหัส คนตกงาน สูญเสียอาชีพ รายได้ฝืดเคือง และทำมาหากินด้วยความยากลำบาก

นายวิโรจน์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน รู้อยู่ตลอดเพราะรัฐบาลนี้เป็นคนคาดการณ์ว่า หากฉีดวัคซีนล่าช้า 1 เดือน ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะเท่ากับ 2.5 แสนล้านบาท ดังนั้นทุกวันที่ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศ ประเทศชาติจะเสียหายเป็นมูลค่า 8,300 ล้านบาท คิดเป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ 347 ล้าน จนถึงวันนี้ช้าไปมากแล้วจึงเป็นความผิดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของการป้องกันโรค แต่ความสำคัญของมันก็คือ การกอบกู้เศรษฐกิจ และเยียวยาปัญหาปากท้องของคนไทยทั้งประเทศ จึงไม่แปลกใจที่เห็นประเทศอื่นเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของเขา ประเทศในอาเซียนก็เริ่มฉีดวัคซีนกันแล้ว อาทิ อินโดนีเซีย เริ่มฉีดไปแล้วเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 64 เมียนมาร์ และลาว เริ่มฉีดไปแล้วเมื่อวันที่ 27 ม.ค.64 กัมพูชา เริ่มฉีดไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 64 หรือตัวอย่างในกรณีของประเทศอิสราเอล ได้เริ่มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 63 และฉีดได้ถึง 1 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 9 ล้านคน ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน จนได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก และประเมินกันว่าเศรษฐกิจของอิสราเอลจะฟื้นตัวทันทีในไตรมาสที่ 2 และจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตถึง 7% เลยทีเดียว

“แต่พอมาดูแผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แต่ถอนหายใจ น้อยใจในความซวยที่ต้องมาเกิดร่วมอากาศหายใจกับคนๆ นี้ จากการนำเสนอของกรมควบคุมโรค ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2563 ได้กำหนดแผนการจัดหาวัคซีนเอาไว้ 65 ล้านโดส ภายใน 3 ปี ฟังไม่ผิดหรอกครับ ‘3 ปี’ นี่คือแผนเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์ วางเอาไว้ ให้กับประชาชนคนไทย งามไส้ไหมครับ ตามแผนเดิม ปี 64 จะฉีดให้กับประชาชนแค่ 11 ล้านคน ปี 65 ฉีดอีก 11 ล้านคน และปี 66 ฉีดอีก 10 ล้านคน นี่แสดงว่าความตั้งใจเดิมของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นวางแผนการฉีดวัคซีนได้ล่าช้ามากๆ กว่าจะครอบคลุมประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศ หรือ 32.5 ล้านคน นี่ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี แล้วอย่างนี้จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ คืนปากท้อง และการดำเนินชีวิตที่ใกล้เคียงกับปกติให้กับประชาชนได้อย่างไร เรื่องสำคัญที่ทั่วโลกตื่นตัว เป็นความอยู่รอดของประชาชนทั้งประเทศ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ ผอ.ศบค. กลับทำงานหวานเย็น เช้าช้อนเย็นช้อน แถมยังเป็นช้อนกาแฟ ประชาชนจะเป็นจะตาย ไม่คิดจะสนใจ คนแบบนี้ เราจะปล่อยให้ลอยหน้าลอยตาเป็นนายกฯ ต่อไปได้ยังไง จากแผนหวานเย็นเดิม ที่รัฐบาลนี้วางแผนที่จะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนร้อยละ 50 ณ สิ้นปี 66 เพิ่งจะเร่งขึ้นมาเป็นสิ้นปี 64 ในวันที่ 5 ม.ค. 64 นี้เอง ถ้าประชาชนไม่ด่า ถ้าไม่เห็นว่าประเทศอื่นเขาเร่งฉีดกัน และถ้าเรื่องการค้าแรงงานต่างชาติ และเรื่องบ่อนไม่แดงขึ้นมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงจะไม่ปรับแผนอะไร แต่ต่อให้มีการปรับแผน ผมก็ต้องตั้งคำถามให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบอยู่ดีว่า มาปรับแผนแบบปุ๊บปั๊บแบบนี้ จะหาวัคซีนมาได้อย่างไร ” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ ได้อภิปรายต่อไปว่า ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน จะมีการปรับแผนการฉีดวัคซีนแล้ว แต่ทุกอย่าง ในทางปฏิบัติก็ยังล่าช้าอยู่ดี เพราะจากการนำเสนอของกรมควบคุมโรค เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการให้วัคซีนโควิด-19 ต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้มีการระบุว่า กระทรวงสาธารณสุข ที่มีนายอนุทินเป็นรัฐมนตรี จะมีการแบ่งฉีดวัคซีนออกเป็น 3 ระยะ โดยระยะที่ 1 จะฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนที่มีโรคประจำตัว และผู้สูงอายุ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 19 ล้านคน ซึ่งต้องใช้วัคซีนถึง 38 ล้านโดสแต่ประชาชนไทย ยังคงต้องรอวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่จะผลิตเองในไทย ทั้งที่สั่งไป 26 ล้านโดส และที่สั่งเพิ่มไปอีก 35 ล้านโดส โดยมีแผนที่จะทยอยส่งมอบได้ในเดือนมิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นเพียงแค่แผน เพราะในสถานการณ์จริงอาจส่งมอบไม่ได้

“ผมสงสัยว่านายอนุทิน คงจะรู้ตัวดีว่าตกเลข เพราะวันที่ 4 ก.พ. 64 บอกว่าฉีดได้เดือนละ 5 ล้านโดส ตกวันละ 170,000 โดส นี่คนยังสงสัยนะครับว่าทำได้จริงหรือเปล่า อยู่ดีๆ วันที่ 8 ก.พ. ในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ นายอนุทิน คนเดียวกัน มาบอกว่าจะฉีดได้เดือนละ 10 ล้านโดส แค่ผ่านมา 4 วัน ศักยภาพในการฉีดเพิ่มขึ้นเท่าตัว เป็นวันละ 340,000 โดส เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็มาพูดเพิ่มตัวเลขกันดื้อๆ ได้นะครับ ผมต้องถามนายอนุทินว่า นายอนุทิน ได้เตรียมระบบการแจกจ่ายวัคซีน เตรียมสถานที่ฉีดวัคซีน เตรียมบุคลากรเจ้าหน้าที่ผู้ฉีดวัคซีน เตรียมเข็มฉีดยา เตรียมระบบการลงทะเบียน และระบบการติดตามผล ไว้พร้อมหรือยัง ชี้แจงมา ผมยืนยันว่า ที่ผ่านมา นายอนุทินคนนี้ เป็นคนกลับกลอกเชื่อไม่ได้อยู่แล้ว ต้องถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่ากล้าเชื่อที่นายอนุทินพ่นว่า จะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเดือนละ 10 ล้านโดส หรือเปล่า ประชาชนเขาอยากรู้ใจจะขาดแล้วว่า เมื่อไหร่เขาจะสามารถกลับมาทำมาหากินได้เหมือนเดิม เขาจะได้มีเงินไปใช้หนี้ที่สุมท่วมหัวเสียที ถ้าเชื่อนายอนุทิน ก็ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้คำมั่นกลางสภาเลย ถ้าทำไม่ได้จะได้ลาออกไปด้วยกันทั้งคู่ ทั้งหัวหน้า และลูกสมุน” นายวิโรจน์ ระบุ

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงกรณีการสั่งซื้อวัคซีน Sinovac ของรัฐบาลด้วยว่า เมื่อรัฐบาลเลือกที่จะเอาเงินภาษี 1,228 ล้านบาท ไปซื้อวัคซีนจากจีน มาแก้ขัดแล้วเหตุใดถึงไม่ตัดสินใจซื้อวัคซีนจาก Sinopharm ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเดียวกัน และได้รับการขึ้นทะเบียนสำหรับใช้งานทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 63 และมีผลการทดสอบเฟส 3 ในคน สูงถึง 79.34% และมีผลการทดสอบที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต มีประสิทธิภาพสูงถึง 86% และเป็นวัคซีนหลักที่ประเทศจีนใช้ฉีดให้กับประชาชน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเลือกซื้อวัคซีน Sinovac ที่ปรากฏเป็นข่าวว่า มีนายทุนรายหนึ่งเข้าไปลงทุนด้วยเม็ดเงิน 1.54 หมื่นล้านบาท เพื่อถือหุ้น 15% ซึ่ง ณ ขณะที่มีมติ ครม. ให้ซื้อวัคซีน Sinovac ในวันที่ 5 ม.ค. 64 วัคซีน Sinovac ยังไม่ได้มีผลการทดสอบในเฟส 3 แต่อย่างใด

นายวิโรจน์ อภิปรายด้วยว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของรัฐบาลนี้คือการจัดหาวัคซีนจาก COVAX โดยประเทศไทยได้ส่งหนังสือแสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมกับ COVAX ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 63 กว่าที่จะมีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำข้อตกลงและเจรจาเพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19 กับ COVAX และทวิภาคี ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 23 ก.ย.63 และหลังจากนั้น ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรเลย จนกระทั่งวันที่ 5 ต.ค. 63 จากรายงานการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2563 ซึ่งมีนายอนุทินเป็นประธานในที่ประชุม ก็ได้ปรากฎข้อความที่แสดงถึงความกังวลเอาไว้ว่า มีข้อกังวลเกี่ยวกับเรื่องของระยะเวลาที่จะต้องดำเนินการร่วมกับ COVAX ซึ่งไทยขอเลื่อนทำความตกลงมา 2 เดือนแล้ว สถาบันฯ ควรพิจารณาระยะเวลาการดำเนินการต่างๆ ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการได้มาซึ่งวัคซีน ซึ่งวันนั้นนายอนุทินเป็นประธานในที่ประชุม จะอ้างว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้ เว้นแต่ว่ามาเซ็นชื่อเอาเบี้ยประชุม แล้วหนีกลับบ้าน

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ กล่าวว่า การที่นายอนุทินออกมาอ้างว่าที่ประเทศไทยไม่เข้าร่วม COVAX เป็นเพราะประเทศไทยเป็นประเทศฐานะปานกลาง คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วเหตุใดประเทศมาเลเซีย ที่มีรายต่อต่อประชากรสูงกว่าประเทศไทย ถึงตัดสินใจเข้าร่วม COVAX ประเทศที่ร่ำรวยอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ ประเทศในสหภาพยุโรปเกือบทั้งหมด แม้แต่จีนก็ยังเข้าร่วม ขนาดสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็ยังตัดสินใจเข้าร่วม อะไรทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ใจกล้าขนาด ที่จะไม่ให้ประเทศไทยเข้าร่วม COVAX ยังไงก็จะพาคนไทย ไปกระจุกความเสี่ยง รอการผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกา จากบริษัทเอกชน ที่ไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน

“ผมอยากให้นายอนุทิน เข้าไปดูที่เว็บไซต์ของ องค์การอนามัยโลก เขาเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “COVAX เป็นโครงการจัดหาวัคซีนระดับโลก ที่มุ่งทำให้ทุกๆ ประเทศเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็ว และเท่าเทียมกัน โดยไม่จำกัดระดับรายได้ของประเทศ” ปัจจุบันมีประเทศที่เข้าร่วม COVAX ไปแล้วถึง 172 ประเทศ โดยมีประเทศในอาเซียนเข้าร่วมถึง 9 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน กัมพูชา พม่า ลาว อินโดนีเซีย ประเทศในอาเซียน ที่ไม่เข้าร่วมกับ COVAX มีอยู่ประเทศเดียว นั่นก็คือ ประเทศไทย ประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ชื่อว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า ข้ออ้างที่ออกมาบอกกันว่าหากประเทศไทยจะเข้าร่วม COVAX จะต้องนำเงินไปจ่ายล่วงหน้า ถ้าวัคซีนไม่สำเร็จก็จะไม่ได้เงินคืน จึงเกิดคำถามว่า เหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ ถึงได้กล้าอนุมัติให้นำเอาเงิน 2,379 ล้านบาท ไปจองวัคซีนล่วงหน้ากับแอสตราเซเนกา เงื่อนไขก็เหมือนกันคือ ถ้าวัคซีนไม่สำเร็จก็จะไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งในเวลานั้น แอสตราเซเนกา ยังไม่ทราบผลการทดลองของวัคซีนในเฟส 3 เลยด้วยซ้ำ กว่าแอสตราเซเนกาจะประกาศความสำเร็จในการทดลองในเฟส 3 ก็ต้องรออีก 6 วัน ซึ่งก็คือวันที่ 23 พ.ย. 63 และข้ออ้างที่นายอนุทินอ้างว่าหากจองวัคซีนกับ COVAX แล้ว จะเลือกวัคซีนไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วเพราะ COVAX จะมีหน้าที่ในการกระจายความเสี่ยงวัคซีนที่จะส่งมอบให้มาหลายๆ ยี่ห้อ และในกรณีที่ต้องการที่จะเลือกวัคซีน ก็สามารถเลือกได้ ซ้ำร้ายแถลงการณ์ของกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาหลอกลวงประชาชนโดยบอกว่าเงินจองซื้อวัคซีนกับ COVAX แบบเลือกผู้ผลิตไม่ได้ 1.6 เหรียญสหรัฐต่อโดส นั้นเป็นค่าธรรมเนียมกินเปล่า ทั้งๆ ที่ทาง COVAX ประกาศชัดว่า 1.6 เหรียญสหรัฐต่อโดส นั้นเป็นเงินจ่ายล่วงหน้าหรือ Upfront Payment ซึ่งแปลว่าเงินจ่ายล่วงหน้า หมายความว่าถ้าวัคซีนของจริงมาแพงกว่า ก็จ่ายส่วนต่างเพิ่มเติม และถ้าจะจองแบบเลือกวัคซีนได้ ก็จ่ายล่วงหน้าแพงสักหน่อยคือ 3.1 เหรียญสหรัฐต่อโดส ที่เสียเปล่ามีแต่ค่าประกันความเสี่ยงในกรณีนี้แค่ 0.4 เหรียญสหรัฐต่อโดสเท่านั้น

“นายอนุทินอย่ามาอ้างว่า COVAX จะส่งมอบวัคซีนล่าช้า เพราะองค์การอนามัยโลก ได้ประกาศเอาไว้ที่หน้าเว็บไซต์ เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 64 ว่าได้เตรียมส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนกา ประมาณ 150 ล้านโดส ประเทศในอาเซียนต่างได้รับการแจกจ่ายวัคซีนจาก COVAX กันถ้วนหน้า ผมอยากบอกให้นายอนุทินเข้าไปที่เว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกบ้าง COVAX เขามีประมาณการเอาไว้อย่างชัดเจน ช้าตรงไหนไม่ทราบ โดย บรูไน 100,800 โดส ,มาเลเซีย 1,624,800 โดส ,สิงคโปร์ 288,000 โดส ,กัมพูชา 1,296,000 โดส ,อินโดนีเซีย 13,708,800 โดส ,ลาว 564,000 โดส ,เมียนมา 4,224,000 โดส ,ฟิลิปปินส์ 5,617,800 โดส ,เวียดนาม 4,886,400 โดส ส่วนประเทศไทย “ศูนย์ครับ” เพราะนายอนุทิน และพล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจไม่เข้าร่วม COVAX กะจะพาประชาชนไปกระจุกความเสี่ยงที่วัคซีนแอสตราเซเนกา ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชน ที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน” นายวิโรจน์ ระบุ

นายวิโรจน์ ยังอภิปรายย้ำด้วยว่า เจตนาของตนเองไม่ใช่ต้องการให้ประเทศไทยไปพึ่งพา COVAX ทั้งหมด แต่การที่ปฏิเสธ COVAX ไปเลย ทั้งๆ ที่มีถึง 172 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมกัน แต่รัฐบาลกลับเอาประชาชนทั้งประเทศไปเดิมพันกับวัคซีนแอสตราเซเนกา จะเอาแต่แอสตราเซเนกาเจ้าเดียว แถมเป็นแอสตราเซเนกา Made in Thailand ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชน ที่เพิ่งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมา และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อนเสียด้วย เป็นการกระทำที่เสี่ยงมากๆ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ไม่ควรอ้างว่าถ้ากระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณมาก เพราะกองทัพบกยังคงยืนยัน ว่าจะยังคงจัดซื้ออาวุธในปีงบประมาณหน้าเป็นเงินสูงถึง 6,152 ล้านบาท จึงเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็น ผอ.ศบค. ชวน พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ชวน พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ไปเจรจาตัดงบประมาณจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงกล่าวได้ว่า งบประมาณมีแต่ไม่ยอมนำมาใช้กระจายความเสี่ยงทางด้านวัคซีนให้กับประชาชน

นายวิโรจน์ ระบุ รัฐบาลยังให้ประชาชนที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา อยู่หรือไม่ เพราะที่ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส และสวีเดน ประกาศไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนแอสตราเซเนกากับผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และโปแลนด์กำหนดไว้ที่อายุ 60 ปี ด้วยเหตุผลที่ว่า วัคซีนแอสตราเซเนกามีจำนวนผลการทดสอบวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่มากพอ โดยพบว่ามีข้อมูลการทดสอบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี แค่ 12% เท่านั้น และมีการนำเอาผลการทดสอบในกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีวิธีการฉีดวัคซีนต่างกัน มาประมวลผลรวมกัน ถึงขนาดที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ประเทศเยอรมนี มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลเยอรมนี ไม่อนุญาตให้ใช้วัคซีนแอสตราเซเนกา กับผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และประเทศอื่นในยุโรป อาทิ เดนมาร์ก เบลเยียม และเนเธอแลนด์ ต่างก็ทยอยกันออกมาประกาศจำกัดการใช้วัคซีนแอสตราเซเนกา ในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยประเทศไทย มีผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป ถึง 11.82% หรือจำนวน 7.87 ล้านคน ซึ่งต้องใช้วัคซีนถึง 15.74 ล้านโดส

“ถ้าไม่เอาแอสตราเซเนกา จะไปเอาวัคซีนอื่นที่ไหน Sinovac ก็มีแค่ 2 ล้านโดส COVAX ก็ไม่เข้าร่วม คือ พล.อ.ประยุทธ์ จะบังคับให้ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ต้องฉีดแอสตราเซเนกาเท่านั้นใช่หรือไม่” นายวิโรจน์ กล่าว

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ยังระบุด้วยว่า มีเรื่องที่ทางบุคลากรทางการแพทย์ฝากมาถาม นายอนุทินกลางสภา เนื่องจาก แพทย์ และผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่ง ได้เคยเสนอแนะกับนายอนุทินไปแล้วว่า สถานการณ์ของประเทศไทย ที่มีการระบาดไม่รุนแรงนัก จาก SEIR Model แนะนำว่า ควรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มคนอายุ 20-49 ปีก่อน เพราะคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สัญจรไปมา และจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีโอกาสที่จะเป็นผู้แพร่เชื้อ ที่สำคัญคนกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะได้รับอันตรายจากผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนที่ต่ำกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุ โดยปกติแล้ว จะไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน การติดเชื้อ ก็มักจะติดจากคนในวัยหนุ่มสาวในครอบครัว แต่เหตุใด นายอนุทิน และ พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่เชื่อแพทย์ ไม่เชื่อผู้เชี่ยวชาญ กลับเอาความคิดของฝ่ายความมั่นคงที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ มาชี้นำยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีน และยืนกรานว่าจะให้ฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุก่อนให้ได้

นายวิโรจน์ กล่าวว่า การฉีดวัคซีนล่าช้า มาจากการบริหารราชการที่บกพร่อง วางแผนผิดพลาด และการเอาชีวิตของประชาชนไปกระจุกความเสี่ยงไว้ที่วัคซีนเจ้าเดียว ของ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน อย่างชัดเจน แทนที่นายอนุทิน จะสำนึกผิดออกมาขอโทษประชาชน กลับมาอ้างว่าที่ล่าช้า มาจากระบบกฎหมายไทย คือ จะโทษไปที่ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง เพื่อเอาตัวรอด

“สิ่งที่ประชาชนสงสัยกันนักหนา ก็คือ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน หัวเด็ดตีนขาด ก็ต้องเอาชีวิต และปากท้องของประชาชนทั้งประเทศไป กระจุกความเสี่ยง และรอคอย วัคซีนแอสตราเซเนกา ที่จะผลิตโดยบริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ชื่อของ สยามไบโอไซเอนซ์ ได้เริ่มปรากฎขึ้น เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 63 ในที่ประชุม ศบค. ครั้งที่ 10/2563 ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษา ศบค. ได้กล่าวถึงบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ที่มีศักยภาพในการผลิตวัคซีน และสามารถรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เพื่อผลิตวัคซีนโควิด-19 ชนิด Viral Vector ได้ และขอให้รัฐบาลพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม

และขอให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นตัวแทนรัฐบาลในการเจรจาความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และ ศ.นพ.ปิยะสกล ได้เอ่ยถึงชื่อ สยามไบโอไซเอนซ์ ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 63 หรือในอีก 2 วันถัดมา และมีการพูดถึงตัวเลขงบประมาณ 600 ล้านบาท ที่จะถูกใช้เพื่อการพัฒนาศักยภาพในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีวัคซีน ซึ่งนายอนุทิน ได้ยอมรับว่าเป็นงบที่ใช้ในการสนับสนุนในเรื่องวัคซีนจริง โดยมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นผู้ดูแล” นายวิโรจน์ กล่าว

อีกทั้ง นายวิโรจน์ ยังเผยด้วยว่า จากการแถลงของ ศ.นพ.ปิยะสกล ที่ปรึกษา ศบค. ที่ขอให้กระทรวงการต่างประเทศไปเป็นตัวแทนรัฐบาลในการเจรจา เพื่อให้สยามไบโอไซเอนซ์ รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยมีการพูดถึงงบประมาณในการสนับสนุน 600 ล้านบาท จึงเป็นหลักฐานที่เชื่อได้ว่า ศบค. ได้ตั้งธงไว้ตั้งแต่แรก ที่จะใช้งบประมาณแผ่นดิน ที่มาจากภาษีของประชาชน ผลักดันให้ บริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเป็นผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 โดย โดยมีนายอนุทิน ร่วมรับรู้ด้วยและต่อมาในเดือน สิงหาคม งบประมาณ 600 ล้านบาท ก็ได้รับการอนุมัติเงินงบประมาณจากภาษีของประชาชน รวมทั้ง การตัดสินใจของรัฐบาล ในการนำเอาเงินภาษีของประชาชน ไปสนับสนุน หรือไม่สนับสนุน นั้นมีผลต่อการตัดสินใจเลือก สยามไบโอไซเอนซ์ ของ AstraZeneca ถ้ารัฐบาลไม่สนับสนุน ก็เป็นไปได้ที่ AstraZeneca จะไม่เลือก สยามไบโอไซเอนซ์ ดังนั้น คำชี้แจงที่ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน พูดมาโดยตลอดว่า AstraZeneca เลือก สยามไบโอไซเอนซ์ เอง โดยที่รัฐบาลไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงเป็นการโกหกประชาชนทั้งสิ้น

“จากการแถลงของ พญ.สุชาดา เจียมศิริ ต่อคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 63 ที่ระบุเอาไว้ว่า “ในการที่เขาบอกว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เรา เขาเหมือนกับว่าผูกมัดไว้ว่าคุณจะต้องซื้อวัคซีนจากเขาด้วย ...” เขา คือ แอสตราเซเนกา “เรา” นี่ไม่ใช่รัฐบาลไทยนะครับ แต่เป็นบริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ส่วนประโยคที่บอกว่า คุณจะต้องซื้อวัคซีนจากเขาด้วย ก็คือ รัฐบาลต้องเอาเงินภาษีของประชาชนไปซื้อวัคซีนจากแอสตราเซเนกา” นายวิโรจน์ เผย

นายวิโรจน์ ย้อนถาม นายกรัฐมนตรี รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรงว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่า บริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ที่พึ่งจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนชนิด Viral Vector จะสามารถผลิตวัคซีน และส่งมอบตามจำนวนที่ได้วางแผนเอาไว้

“จากการประชุมคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 64 ผมช็อคมากๆ ที่ผู้แทนจากทาง อย. เภสัชกรหญิง กรภัทร ตรีสารศรี ได้แจ้งกับที่ประชุมกรรมาธิการการสาธารณสุขว่า ชุดตรวจโควิด RT-PCR ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ สยามไบโอไซเอนซ์ ร่วมกันผลิต อย. ได้ตรวจประเมินไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วพบว่า “ไม่ผ่าน” ทั้ง ๆ ที่ชุดตรวจโควิด RT-PCR เป็นเครื่องมือแพทย์ที่มีการผลิตใช้กันมานานแล้ว และไม่ได้มีเทคโนโลยีการผลิตที่ซับซ้อนอะไร ขนาดร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการผลิต ก็ยังไม่ผ่าน อย. แล้วถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ไปเอาอะไรมามั่นใจ ถึงกับเอาคนไทยทั้งประเทศ 67 ล้านคน ไปฝากความหวังไว้ที่บริษัทเอกชนรายเดียวกันนี้ ตกลง อย. นี่ย่อมาจาก อันตรายเยอะ หรือเปล่า”

นายวิโรจน์ ยังได้อภิปรายด้วยว่า งบประมาณ 600 ล้านบาท ที่วางแผนว่าจะเอาไปใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมวัคซีน ประชาชนเขาก็คิดว่า เงินส่วนใหญ่คงถูกเอาไปลงทุนในด้านเทคโนโลยี เครื่องจักร และบุคลากร แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า เงินลงทุนในครุภัณฑ์นั้นมีแค่ 80 ล้านบาท ค่าจ้างบุคลากร 12 ล้านบาท แต่ 430 ล้านบาท เป็นการนำไปซื้อสารเคมี สารชีวเคมี ตัวทำละลาย สารชีวภัณฑ์ และวัสดุสิ้นเปลือง ทั้งๆ ที่การซื้อวัตถุดิบในการผลิตเหล่านี้ ควรเป็นหน้าที่ของบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นผู้ผลิต เหตุใดรัฐบาลต้องเอาเงินภาษี ไปซื้อวัตถุดิบให้กับบริษัทเอกชนด้วย และที่มีการชี้แจงมาว่า สยามไบโอไซเอนซ์ และ AstraZeneca จะขายวัคซีนให้กับประเทศไทย ด้วยนโยบายราคาที่ไม่กำไร หรือ No profit No Loss โดยข้อเท็จจริงคือ นโยบายที่ไม่ทำกำไร นั้นเป็นนโยบายเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดเท่านั้น

ซึ่ง นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ยืนยันกับที่ประชุมคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 64 ว่า นโยบาย No Profit No Loss คาดว่าจะใช้ได้จนถึงปี 65 เท่านั้น หลังจากปี 65 หากการระบาดสามารถควบคุมได้แล้ว บริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ก็จะสามารถทำกำไรจากการขายวัคซีนได้ และเมื่อถูกตั้งคำถามมากขึ้นก็ได้มีการออกมาชี้แจงว่า สยามไบโอไซเอนซ์ จะคืนเงินงบประมาณ 600 ล้านบาทกลับมาเป็นวัคซีน จะคืนหลังจากที่ผลิตและจำหน่ายไปแล้ว 200 ล้านโดส โดยสยามไบโอไซเอนซ์ จะซื้อวัคซีนจากแอสตราเซเนกา เพื่อคืนให้แก่รัฐบาลไทย แต่ถ้าเป็นการซื้อคืนหลังจากที่การระบาดสามารถควบคุมได้แล้ว ก็คงต้องซื้อในราคาตลาด ซึ่งยังไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ แต่เป็นไปได้ที่จะแพงกว่าราคา 5 เหรียญสหรัฐอย่างแน่นอน

“ในเมื่อเงิน 600 ล้านบาท ที่รัฐบาลนำเอาไปอุดหนุนบริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นเงินภาษีที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงาน และคราบน้ำตาของประชาชน ประชาชนต้องตรวจสอบได้ สยามไบโอไซเอนซ์ เขาไม่ได้ผลิตวัคซีนมาแจกให้ประชาชนฟรีๆ นะครับ รัฐบาลก็ต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปซื้อ แม้ว่าจะไม่มีกำไร แต่ก็มีรายได้เป็นกระแสเงินสดเข้าบริษัท และเมื่อการระบาดควบคุมได้แล้ว น่าจะเป็นปี 66 เป็นต้นไป

ทั้งเครื่องจักร และ Know How ที่บริษัทเอกชนรายนี้ได้รับไป เขาก็ไปผลิตวัคซีนขายทำกำไรได้ บริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ นี่ไม่ได้มีบุญคุณอะไรกับประชาชนเลยนะครับ แต่ถ้าจะนับกันจริง ๆ ว่าใครมีบุญคุณกับใคร ผมก็ต้องบอกว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ไม่ได้มีบุญคุณกับประชาชน แต่ประชาชนต่างหาก ที่มีบุญคุณกับบริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ที่ทำให้เขาได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ และสามารถตั้งตัวได้ ดังนั้นประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบสัญญา มีสิทธิที่จะขอดูข้อตกลง ตลอดจนเงื่อนไขต่างๆ ที่รัฐบาลไปทำกับทั้ง AstraZeneca และสยามไบโอไซเอนซ์” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ ได้อภิปรายว่า เรื่องที่ประชาชนคนไทย จะให้อภัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้โดยเด็ดขาด คือรู้ทั้งรู้ว่า บริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ นั้นมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แทนที่จะดำเนินการให้มีรอบคอบ ประณีต โปร่งใส จัดให้มีกระบวนการกำกับตรวจสอบอย่างเข้มข้น เพื่อปกป้องพระเกียรติยศ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แต่กลับดำเนินการอย่างรวบรัด ขาดความโปร่งใส อำพรางข้อมูลสาธารณะ

จนเกิดความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน ทำให้ความหวังที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจพังทลายลง ซ้ำเติมปัญหาปากท้องให้กับประชาชนให้ได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส แถมยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ แทนที่จะสำนึกในความผิดของตน ขอพระราชทานอภัยโทษ กลับตัวกลับใจเป็นคนดี คืนสู่สังคม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับปิดบังข้อมูลความผิดของตน ใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฟ้องร้องปิดปากคนที่ตั้งคำถามพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน พฤติกรรมลุแก่อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ เช่นนี้ กลับสร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทให้หนักเพิ่มขึ้นไปอีก นี่หรือคนที่อ้างตนเองว่ามีสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายอนุทินชาญวีรกูล วันๆ มีแต่ทำตัวหิวแสง กระหายแฟลช เสี้ยนไมโครโฟน มักใหญ่ใฝ่สูงหมายจะเอาเงินภาษีของประชาชนไปสร้างซีนให้กับตนเอง คุยโม้คุยโต โง่แล้วอยากนอนเตียง เอาชีวิตของราษฎรไปขึ้นเขียง เอาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนไปเสี่ยงกับบริษัทเอกชนที่เพิ่งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน ประชาชนเขาหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเพราะวัคซีน

แต่สุดท้ายต้องสิ้นอนาคตได้ฟอร์มาลีนมาแทน คนคู่นี้ แค่เดินเฉียดเงาผมยังรู้สึกรังเกียจ แค่คิดว่าต้องหายใจเอาอากาศร่วมกันกับคนสองคนนี้ ก็รู้สึกขยะแขยง ผมจึงไม่อาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้อีกต่อไป และไม่อาจไว้วางใจ ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลูกกระจ๊อก สมุนคู่ใจ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้วยเช่นกัน” นายวิโรจน์ อภิปรายทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top