Saturday, 10 May 2025
NEWS

คลังเตรียมทบทวนสิทธิคนถือบัตรคนจน 13.8 ล้านปีนี้

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมทบทวนสิทธิของผู้ถือ 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ'​ ใหม่ในปีนี้ อัพเดตข้อมูลของประชาชน หลังจากที่ผ่านไม่ได้มีการเปิดทบทวนสิทธิผู้ถือบัตรสวัสดิการมานานกว่า 2 - 3 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 13.8 ล้านคน 

ทั้งนี้​ คลังจะมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียนโครงการเราชนะ​ ช่วงเดือนมี.ค.64 ไปแล้ว โดยจะเปิดให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการเดิม และประชาชนทั่วไป เข้ามาสมัครเข้าร่วมโรงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ได้ และหลังจากนั้นคลังจะมีการทบทวนข้อมูลผู้ถือบัตรสวัสดิการทุกๆ ปี

สำหรับการทบทวนเรื่องนี้ กระทรวงการคลังจะกำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขการรับสิทธิใหม่ โดยดูเรื่องเกณฑ์รายได้ครัวเรือนเป็นหลัก ต่างจากการรับสิทธิบัตรสวัสดิการที่ผ่านมา ที่พิจารณาเกณฑ์รายได้เป็นรายบุคคล เช่น ภรรยาในครอบครัวนั้น เป็นผู้ไม่มีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สามีเป็นผู้มีเงินได้จำนวนมาก​ ก็อาจจะไม่ได้รับ ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมาเมื่อภรรยาไม่มีรายได้ก็จะได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่วนเกณฑ์ขั้นต่ำที่พิจารณารายได้ของครอบครัวนั้น ยังไม่สรุปจะมีการหารือเพื่อสรุปต่อไป

“เมื่อปรับเกณฑ์ดูรายครอบครัวแล้ว จะทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการน้อยลงหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ โดยจะต้องมาพิจารณาอีกครั้ง เพราะการเปิดลงทะเบียนที่ผ่านมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ก็จะมีทั้งคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น และคนที่ได้รับผลกระทบแล้วทำให้รายได้ลดลงก็มี ซึ่งจะต้องมาดูกันอีกครั้ง"

กลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่ขำไม่ออก กับประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตวัคซีนของโลกอีกแห่งอย่างอินเดีย

โดยปัจจุบันอินเดียก้าวหน้า​ จนสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 เป็นของตัวเอง และกำลังผลิตพร้อมประกาศเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนให้ชาวอินเดียได้ถึง 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งถือเป็นโครงการฉีดวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไปๆ​ มาๆ​ กลายเป็นว่าชาวอินเดียส่วนใหญ่กลับเมิน ไม่ยอมมาฉีดกันสักเท่าไหร่

มันเกิดอะไรขึ้น?

อินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด Covid-19 ระดับรุนแรง แซงหน้าหลายประเทศขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกหากนับจากยอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศ

ทว่าตอนนี้ประเทศอินเดียก็ได้พัฒนาตนเอง​ จนจัดกลายเป็นผู้ผลิตยา และวัคซีนรายใหญ่ของโลก โดยมีข้อมูลว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 วัคซีนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกกว่า 60% ผลิตในอินเดีย และยังเป็นฐานการผลิตให้กับบริษัทยาชั้นนำของโลกอีกมากมาย ดังนั้นหากถามเรื่องศักยภาพในการผลิตยา และวัคซีนของอินเดียก็บอกได้เลยว่าหายห่วง

นอกจากนี้ อินเดียยังก้าวหน้าถึงขนาดสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 เป็นของตัวเองได้สำเร็จอีกด้วย นับเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าด้านการแพทย์ที่น่าจับตามองมาก

และทันทีที่มีข่าวว่ามีวัคซีน Covid-19 ในเวอร์ชั่นของอินเดีย รัฐบาลก็ไม่รอช้า ประกาศรับรองวัคซีน Covid-19 ให้ใช้ได้ทันทีถึง 2 ตัว คือ

- Covishield ที่เป็นชื่อเรียกของ วัคซีน Oxford-AstraZeneca ที่ผลิตในบริษัทยาของอินเดีย

- Covaxin วัคซีนของอินเดียแท้ ๆ ที่พัฒนาโดยบริษัท Bharat Biotech

และได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อกลางเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลอินเดียประกาศเป้าหมายว่าจะต้องฉีดวัคซีนในได้ 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคม นับว่าเป็นโครงการวัคซีนใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงเวลานั้น

แต่หลังจากที่เดินหน้าโครงการไปได้เพียงแค่เดือนเดียว กลับพบว่าชาวอินเดียมารับวัคซีนเพียงแค่ 8.4 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 1 ใน 4 ที่คาดว่าต้องฉีดให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 37.5 ล้านคน เพื่อบรรลุเป้าหมายในเดือนสิงหาคม

แม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะสร้างแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อแจ้งเตือนและติดตามกลุ่มเป้าหมายให้มารับวัคซีน ทำแคมเปญเชิญชวนสารพัด แต่ก็ยังมีคนมาไม่ถึงเป้า และที่รัฐบาลต้องกลุ้มใจหนักกว่านั้นคือ หลังจากที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว มีเพียง 4% เท่านัันที่กลับมารับวัคซีนเข็มที่ 2

สาเหตุดังกล่าง​ เมื่อถามจากความเห็นของกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องเข้ารับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ที่เป็นบุคลากรการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่ต้องสัมผัสกลุ่มเสี่ยงนั้น หลายคนยังลังเลที่จะไปรับวัคซีน ผลัดไปก่อน ไม่รีบ ไม่ร้อน โดยอ้างว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดียก็ลดลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์คงไม่น่ากลัวแล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้ ซึ่งจุดนี้อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ชาวอินเดียตื่นตัวที่จะไปฉีดวัคซีนน้อยลง

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ​ ความเชื่อมั่นในวัคซีนที่ผลิตในอินเดียเอง ที่หลายคนยังกังขาในประสิทธิภาพ เนื่องจากการพัฒนาวัคซีน Covaxin ทำอย่างเร่งรีบ และมีตัวเลขผลการวิจัยออกมาค่อนข้างน้อย บางกระแสบอกว่าวัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในเฟส 3 อยู่เลย รัฐบาลอินเดียก็เซ็นอนุมัติรับรองให้ใช้วัคซีนได้แล้ว

นิตยการ Time ได้สำรวจความเห็นของบุคลากรการแพทย์ในอินเดีย และพบว่าหลายคนยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในวัคซีนของอินเดีย ยิ่งศูนย์วัคซีนบางแห่งมีเพียงวัคซีนในประเทศให้เลือก บางคนก็ขอเลือกที่จะไม่ฉีด เมื่อชาวบ้านทั่วไปเห็นว่าขนาดหมอ พยาบาล ยังไม่ยอมไปฉีด ก็ยิ่งสร้างความไม่เชื่อมั่นในตัววัคซีนยิ่งขึ้นไปอีก

เลยทำให้ตอนนี้อินเดียกลายเป็นประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหาที่ไม่เหมือนใครในโลก คือ มีวัคซีน Covid-19 เหลือเฟือ​ แต่ไม่มีคนยอมมาฉีด

สถานการณ์เช่นนี้​ อาจจะเกิดขึ้นในหลายประเทศในอนาคต​ เมื่อวัคซีนเริ่มมีเพียงพอกับความต้องการในท้องตลาด แต่พอตัวเลขการติดเชื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ก็จะทำให้คนมีความตื่นตัวที่จะไปฉีดน้อยลง เพราะเข้าใจว่าว่าการระบาดกำลังจะจบลงในไม่ช้า ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด และยังมีโอกาสที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ได้ทุกเมื่อ

ตอนนี้รัฐบาลหลายประเทศกำลังเร่งกว้านซื้อวัคซีนในท้องตลาด​ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์ในอินเดีย​แล้ว อาจพบว่า​ การสร้างความเชื่อมั่น และจูงใจให้คนออกมารับวัคซีนให้ครบตามจำนวน​ อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่าก็ได้


ที่มา: https://time.com/5940963/india-covid-19-vaccine-rollout/

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-55748124

'ก้าวไกล'​ ไปต่อ เดินหน้ายุทธการกรีดแผลโรยเกลือ 'นายกฯ-รมต.'​ ไม่ให้มีชีวิตรอดหลังซักฟอก จ่อส่ง ปปช.ถอดถอน 'นิพนธ์'​ คนแรก หลักฐานชัด ผิดจริยธรรมการเมืองร้ายแรง รมต.คนอื่นรอคิวต่อไป

ที่รัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงว่า เรายืนยันว่าเราตั้งใจทำใน 4 วันนี้ให้ออกมาอย่างสุดความสามารถ​ แม้ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างที่เห็น 

แต่อย่างไรก็ตาม​ เราได้กรีดแผลไปในสภา ซึ่งแผลที่เกิดขึ้น​ ก็ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือแรงงาน ต่อไปปีนี้จะไม่เหมือนปีที่แล้ว ซึ่งปีนี้ยืนยันจะมียุทธการโรยเกลือย้ำแผลที่เราได้กรีดไว้ โดยจะมีกระบวนการทำงานต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยื่นต่อปปช. ต่อศาลในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน 

ด้าน​ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเตรียมข้อมูลของการอภิปรายพรรคก้าวไกล รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แม้เราสร้างแผล​ ไม่ว่าจะเป็นแผลข่วน ไฟไหม้ และแผลฉกรรจ์ โดยเฉพาะนายกฯ​ ที่หนีภาษีไปจนถึงคอร์รัปชั่นในระดับนโยบาย รถไฟฟ้า อุตสาหกรรม พลังงาน รวมทั้งการเอื้อประโยชน์นายทุนหลายรายให้เข้ามาใช้ทรัพยากรของชาติแบ่งปันผลประโยชน์เพื่อพวกพ้องตัวเองและเครือข่าย แต่อย่างไรก็ตามผลการลงมติครั้งนี้อาจจะสะท้อนว่าเราทำงานยังไม่หนักพอ เพราะคนที่จะตัดสินคือประชาชน ว่าจะยังไว้ใจให้คณะรัฐมนตรี รวมถึงนายกฯ​ ชุดนี้ให้ทำงานต่อไปหรือไม่ 

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า มาตรการโรยเกลือที่เราจะทำต่อคือจะมีการยื่นจดหมาย หนังสือร้องเรียนต่างๆ​ ไม่ว่าจะเป็นการยีนถอดถอนรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดิน กรณีของการผิดจริยธรรมนักการเมืองไปที่​ ป.ป.ช.โดยจะมีการยื่นขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนในหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูลกองทัพบก กรณีการใช้ที่ดินราชพัสดุ เพื่อการปฏิรูปกองทัพ และยื่นตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างทุกกระบวนการโดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม สำหรับกระทรวงศึกษาเราจะยื่นตรวจสอบการกลับมติครม. กรณีการลดงบประมาณกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นี่คือกระบวนการโรยเกลือเพื่อให้แผลที่เราเปิดไว้ในสภาออกไปสู่นอกสภา เพื่อติดตามผลว่านายกฯ​ และรัฐมนตรีต่างๆ​ จะยังมีชีวิตรอดหลังจากอภิปรายไว้ต่อไปหรือไม่ จึงขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ส่งข้อมูลและสนับสนุนพรรคก้าวไกล เพื่อเป็นเบาะแสในการตรวจสอบนำมาสู่การอภิปรายในครั้งนี้ 

“รัฐมนตรีที่จะยื่นให้ป.ป.ช.​ ถอดถอนคือนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ซึ่งเป็นคนที่มีหลักฐานพร้อมที่จะยื่นเป็นคนแรก กรณีผิดจริยธรรมของนักการเมืองอย่างร้ายแรง

นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีนายบอส อยู่วิทยา ที่นายกฯ​ และรองนายกฯ​ ที่มีส่วนแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายงานข้อเท็จจริงที่นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งมีรายชื่อและรายละเอียดชัดเจนว่ามีใครบ้างที่พัวพันกับคดีนี้”  น.ส.ศิริกัญญา กล่าว 

เมื่อถามว่าจะดำเนินการลงโทษส.ส.​ ที่โหวตลงมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข อย่างไร? นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคมีคณะกรรมการที่ตรวจสอบวินัยสมาชิกพรรคอยู่แล้ว ซึ่งเราไม่อยากเตะหมูเข้าปากหมา อย่างการไล่ส.ส.​ ออกไปตอนนี้ มีแต่จะไปเข้าทางของผู้มีอำนาจ แต่เราจะมีกระบวนการลงโทษที่ชัดเจน เช่น ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคทั้งหมด รวมถึงการทำงานในสภาในนามพรรคทั้งหมด เราไม่นิ่งนอนใจ ซึ่งยอมรับว่าหากมีส.ส.​ ในพรรคแหกมติจริง ก็ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนทุกคะแนนเสียงที่เลือกเรามาแล้วผิดหวัง ประสบการณ์ครั้งนี้จะนำมาสู่การปฏิรูปพรรคอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการทำงานที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราทำงานเต็มที่ 

เมื่อถามผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่ามีการประสานงานกันกับคนในพรรคเพื่อให้ลงมติให้นายอนุทิน เพราะเมื่อครั้งยุบพรรคก็เสียส.ส.​ ไปหลายคน นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ถ้าเป็นความจริงตนในฐานะหัวหน้าพรรคก็ผิดหวัง แต่ไม่ผิดคาด เพราะเรามีกระบวนการในพรรคเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่นายกฯ​ ได้คะแนนโหวตไม่มาก นายชัยธวัช กล่าวว่า สะท้อนว่าเป็นระบบการเมืองแบบเก่า ที่ยังมีอิทธิพลและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัญหาสภาพแวดล้อมที่เราเคยอยู่พรรคอนาคตใหม่ ก็พยายามต่อสู้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เฉพาะเราที่เป็นพรรคการเมืองเท่านั้นที่ไม่อยากเห็น แต่ประชาชนก็ไม่อยากเห็นการเมืองแบบนี้ ซึ่งถอยย้อนหลังมาเรื่อยๆ ตั้งแต่รัฐประหาร 

'บิ๊กตู่' ขอบคุณสภาฯ​ ผ่านซักฟอกด้วยดี ขอความรัก สามัคคีกลับคืนมา เตรียมนำข้อมูลในสภาไปใช้ทำงานต่อ ย้ำไม่ใช่ศัตรูใคร​ พร้อมยันยังไม่คิดปรับครม. ขอประเมินที่ผลงานก่อน

วันนี้ (20 ก.พ.2564) ภายหลังที่ประชุมสภาผ่านมติไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางกลับว่า ขอบคุณสื่อมวลชนที่ได้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อย่างเข้มข้น 

หลายเรื่องก็เป็นประโยชน์หลายเรื่องก็เรื่องเดิมๆ เป็นแบบนี้มาตลอด แต่เรื่องไหนเป็นสิ่งที่ดี รัฐบาลจะไปดำเนินการต่อ รวมทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกทุกคน ซึ่งเราไม่ใช่ศัตรูกันอยู่แล้ว ส่วนวิถีทางทางการเมืองก็ว่ากันไป 

“ขอขอบคุณที่ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ขอความรักความสามัคคีกลับคืนมาเป็นของพวกเราให้มากที่สุด”

เมื่อถามว่าจะปรับขณะนี้คณะรัฐมนตรีเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดอะไรตอนนี้ โดยประเมินด้วยผลงาน ถึงเวลาก็จะดำเนินการอยู่แล้ว 

“ไม่มีการปรับครม.​ ผมยังไม่ได้คิดอะไรตอนนี้ ผมประเมินด้วยผลงาน และการอภิปรายครั้งก็จะรวบรวมเพื่อไปใช้ประโยชน์ ส่วนการทำงานของพรรคร่วม เป็นมติความเห็นส่วนตัวของแต่ละคน”

เมื่อถามว่าหลังอภิปรายเสร็จแล้ว จากนี้รัฐบาลเดินหน้าทำงานโดยปราศจากข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านใหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า​ "ไม่เคยหยุดงาน ผมก็ทำงานทุกวันแล้ว และไม่ว่าจะอภิปรายไม่อภิปรายก็ทำงานตลอด ส่วนสถานการณ์ภายนอกจากการชุมนุม ได้มีการพูดคุยกับผบ.ตร.​ ถึงสถานการณ์แล้ว"

กลาโหมย้ำจุดยืนทำหน้าที่ พร้อมขอบคุณและน้อมรับข้อคิดเห็นของสภาฯ ร่วมเสริมสร้างกองทัพ​ นำไทยเดินหน้าพัฒนาทุกมิติ

กลาโหมย้ำจุดยืนทำหน้าที่ พร้อมขอบคุณและน้อมรับข้อคิดเห็นของสภาฯ ร่วมเสริมสร้างกองทัพ​ นำไทยเดินหน้าพัฒนาทุกมิติ

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำ หลังปิดการอภิปรายในสภาว่า  กองทัพเป็นของประชาชนและยังดำรงจุดยืนอันมั่นคงในการทำหน้าที่ ร่วมปกป้องการดำรงอยู่ของสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ รวมทั้งผลประโยชน์ของชาติเคียงข้างกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

โดยที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ย้ำสั่งการในที่ประชุมสภากลาโหม ให้ทุกเหล่าทัพดำรงจุดยืนอันสำคัญนี้เคียงข้างกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ร่วมสร้างความรัก ความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ เพื่อเป็นกำลังหลักสำคัญ “รวมไทยสร้างชาติ” ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในทุกมิติไปข้างหน้า  

โดยย้ำให้ความสำคัญในการติดตาม ศึกษาและวิเคราะห์ ถึงสถานะการดำรงอยู่ของประเทศอย่างสมดุลและมั่นคง ท่ามกลางการเผชิญหน้าของมหาอำนาจโลกในภูมิภาค ที่เชื่อมโยงต่อสถานการณ์ภายในประเทศ โดยเราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ เข้าใจและเท่าทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างความแตกแยกกันเองภายในชาติ ที่อาจส่งผลให้การพัฒนาผลประโยชน์ของประเทศต้องชะลอตัวหรือหยุดชะงัก

โฆษก กห.กล่าวอีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ทางสังคมที่มีมาต่อเนื่อง การดำเนินงานของหน่วยงานความมั่นคง และ กระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องประสานและทำหน้าที่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทั้งการติดตาม การทำความเข้าใจและบังคับใช้กฎหมาย เฉพาะกับการปฏิบัติของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี อันส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศโดยรวม  

“ขอยืนยันว่ากระทรวงกลาโหม ไม่เคยมีนโยบายในการไปบิดเบือน ให้ร้ายกับกลุ่มบุคคลใด อันนำมาซึ่งความแตกแยกของคนในชาติ ท่ามกลางสถานการณ์การบิดเบือนข้อมูลและการเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) ที่มีในสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น” พล.ท.คงชีพ กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพ ขอขอบคุณและน้อมรับความคิดเห็นของฝ่ายนิติบัญญัติทุกท่าน จากการอภิปรายที่ผ่านมา เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลประกอบการพัฒนาและเสริมสร้างกองทัพ ให้สามารถเป็นกลไกหลักของรัฐบาลในการทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพเคียงข้างกับประชาชนต่อไป

หัวเว่ย บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และผู้จำหน่ายรายใหญ่ที่สุดของจีน ประกาศข่าวเซอร์ไพรส์วงการ​ ด้วยการหันไปจับธุรกิจเกี่ยวกับหมู

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ และ​ บีบีซี​ รายงานว่าบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมและผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของจีนกำลังเปิดตัวโครงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับใช้ในฟาร์มหมูเพื่อมองหารายได้แหล่งอื่นๆ หลังยอดขายสมาร์ทโฟนลดลงภายใต้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าของสหรัฐฯ

โดยจีนมีอุตสาหกรรมฟาร์มหมูที่ใหญ่ที่สุดในโลก และหมูในประเทศจีนคิดเป็นถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนหมูทั้งโลก หัวเว่ยจึงหันมาผลิตเทคโนโลยีเพื่อช่วยปรับปรุงฟาร์มหมูให้ทันสมัย เช่น การนำ AI มาใช้ในการตรวจหาโรค ติดตามและจดจำใบหน้าหมู รวมถึงการตรวจสอบน้ำหนัก อาหาร และการออกกำลังกาย

นอกจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้เลี้ยงหมูแล้ว หัวเว่ยยังทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินอีกด้วย 

โดยเหริน เจิ้งเฟย ประธานกรรมการบริหารของหัวเว่ย ได้ประกาศเปิดตัวห้องปฏิบัติการนวัตกรรมการขุดอัจฉริยะในไท่หยวนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมถ่านหิน 

ทั้งนี้ ยอดขายสมาร์ตโฟนของหัวเว่ยลดลง 42% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 ท่ามกลางปัญหาไมโครชิปที่มีอยู่อย่างจำกัด 

นอกจากนี้​ ยังถูกปิดกั้นการพัฒนา 5G ในหลายประเทศรวมถึงสหราชอาณาจักรท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งยังมีรายงานว่าหัวเว่ยจะลดการผลิตสมาร์ตโฟนลงถึง 60% ในปีนี้ 

หัวเว่ยจึงต้องมองหาแหล่งรายได้อื่นโดยหันไปสู่บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง ยานพาหนะอัจฉริยะ และเทคโนโลยีสวมใส่ ตลอดจนมีแผนที่จะสร้างรถยนต์อัจฉริยะด้วย 

โดยเหริน เจิ้งเฟย กล่าวว่าหัวเว่ยยังสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการจำหน่ายสมาร์ตโฟน ขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น 

เจดีดอทคอม เน็ตอีส และอาลีบาบา ก็กำลังพยายามที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าสู่อุตสาหกรรมฟาร์มหมูเช่นเดียวกัน

'เสี่ยหนู'​ มั่นใจ 'ภท.'​ ไม่แหกมติพรรค บอกเล่า 'บิ๊กตู่'​ ยังไม่ส่งสัญญาณปรับครม.ใด ๆ

ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ​ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการลงคะแนนโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยจะมีการประชุมหารือร่วมกันก่อน เพื่อขอมติพรรคในการโหวตให้กับรัฐมนตรีแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งการหารือในที่ประชุมครั้งนี้จะให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น 

เมื่อถามว่า หากสิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปรายเป็นข้อมูลความจริง จะมีการโหวตอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องมีการประชุมหารือร่วมกันว่ามีความคิดเห็นอย่างไรในแต่ละคน 

สำหรับการโหวตเชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยจะโหวตเหมือนกันหมด โดยคะแนนจะเท่าๆ​ กันหมด หากทุกคนชี้แจงได้ดี การประชุมพรรคเช้านี้ก็อยากให้​ ส.ส.พรรคได้ชี้แจง เพราะตนเป็นหัวหน้าพรรคก็ต้องรับฟังว่าคิดเห็นว่าเหมือนเราหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนกันก็ต้องหารือกันให้ตกผลึก เพราะพรรคเราต้องฟังความคิดเห็นของแต่ละคนก่อนโหวตและทำแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งนี้ที่ผ่านมาพรรคก็เคยโหวตไม่เหมือนกัน ซึ่งเราก็ไปทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะเป็นเอกสิทธิ์ 

เมื่อถามว่า แสดงว่าให้เอกสิทธิ์​ ส.ส.แต่ละคนใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถูกต้อง แต่ต้องบอกว่าอันนี้​ คือ​ มติพรรค และต้องดูความรู้สึกของแต่ละคนด้วย เช่น​ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปบังคับว่าเอาแบบนี้แบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะส.ส.มีวุฒิภาวะ ต้องให้เกียรติกัน 

เมื่อถามว่า มติพรรคจะออกมาอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ประชุมจะมีมติได้อย่างไร เมื่อถามต่อว่า ถ้าจะต้องลงมติไว้วางใจ แต่มีส.ส.พรรคเห็นต่างนั้นจะให้เอกสิทธิ์อย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ส.ส.ทุกคนควรทำตามมติพรรค เพราะหากแหกมติพรรคก็ต้องมานั่งคุยกัน เนื่องจากเราผ่านการประชุมพูดคุยรับฟังความคิดเห็นร่วมกันแล้ว ซึ่งต้องให้แสดงคิดเห็นได้ แต่จะไปล้อมคอกไม่ให้แสดงความคิดเห็นคงเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยทำ และไม่คิดจะทำ ทุกคนต้องเคารพมติพรรค และต้องมีวินัยพรรรคด้วย หลายอย่างรวมกันรับรองว่าออกมาดี สามารถอธิบายได้หมด ถามต่อว่าในส่วนของผลคะแนนโหวตของรมว.สาธารณสุขจะเป็นอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ต้องมาดูกัน

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีการส่งสัญญาณเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังการอภิปรายฯ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตอบไปแล้วว่าไม่มีอะไร ถ้านายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณมา​ ก็ต้องประเมินรัฐมนตรีของเรา ถามว่า ถ้ามีการปรับจริง เก้าอี้ของพรรคภูมิใจไทยจะลดลงหรือไม่ นายอนุทิน หัวเราะและย้อนถามว่า “มีเหรอ” เมื่อถามต่อว่า จะรับได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “มีแต่จะขอเพิ่ม” เมื่อถามว่า แสดงว่ารักษาเสถียรภาพได้ดี นายอนุทิน กล่าวว่า “ไม่เกี่ยว อย่าพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิด”

'สิระ' ซัดฝ่ายค้าน 4 วันพิสูจน์ไร้ข้อมูลทุจริตแหกรัฐบาล แต่กลับพยายามโยงสถาบัน ลั่น!! ขอจองเวร 'เสรีพิศุทธ์' ทั้งชาติ บอกทำอะไรไว้ให้รับกรรม เตรียมลุยฟ้อง 3 คดี และเชื่อยังมีอีกเพียบ

ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวก่อนการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอด 4 วันที่ผ่านมา เห็นชัดกันแล้วว่าฝ่ายค้านพยายามโยงสถาบันเข้าสภาและแสดงให้เห็นว่าฝ่ายค้านไม่มีข้อมูลอภิปรายประเด็นการทุจริตนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี​ (ครม.) มีแต่การจาบจ้วง ไม่มีเรื่องทุจตริตเลย ซึ่งขอถามว่ายังต้องการเป็นส.ส.เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย และเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่อีกหรือไม่

ดังนั้นให้ประชาชนตัดสินว่าคนเหล่านี้สมควรเป็นข้าราชการและตัวแทนประชาชนอยู่หรือไม่ ทั้งนี้มองว่าที่ผ่านมา 4 วันเสียเวลาเป็นเหมือนการยื่นกะทู้ถามสด ซึ่งสามารถทำได้อยู่แล้วไม่ต้องขอเปิดอภิปราย

นายสิระ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันสมาชิกฝ่ายค้านซึ่งเป็นผู้ยื่นญัตติกลับไม่อยู่ฟัง แต่ไปหาเสียงที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงขอให้ชาวนครฯ ตัดสินเองว่าคนที่เป็น​ ส.ส.​ แต่กลับไปหาเสียงให้ผู้สมัครในเวลานี้สมควรแล้วหรือ ที่คนยื่นญัตติไม่มาฟังการอภิปราย ฉะนั้นควรเลือกบุคคลดังกล่าวหรือไม่

อย่างไรก็ตาม​ ในวันที่ 22 ก.พ.นี้​ เวลา 10.00​ น. ตนเองจะไปยื่นฟ้อง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในคดีหมิ่นประมาท 3 คดี ซึ่งทำอะไรไว้ก็รับกรรมไป และเชื่อว่าชาตินี้คงยังมีอีกหลายคดี

อเมริกาวิตก!! จีนใช้กฎหมายใหม่ อนุญาตชัดครั้งแรกให้ยามชายฝั่งยิงเรือต่างชาติ

สหรัฐอเมริกามีความกังวลต่อความเคลื่อนไหวของจีนที่เพิ่งบังคับใช้กฎหมายยามชายฝั่งฉบับใหม่เมื่อเร็วๆ​ นี้ ซึ่งอาจขยายข้อพิพาททางทะเล และนำมาซึ่งการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ที่ไม่ชอบธรรม จากความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาเมื่อวันศุกร์​ (19 ก.พ.)

จีน ซึ่งมีข้อพิพาทด้านอำนาจอธิปไตยทางทะเลกับญี่ปุ่นในทะเลญี่ปุ่น และกับหลายชาติเอเซียนในทะเลจีนใต้ ผ่านกฎหมายใหม่ฉบับหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอนุญาตอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ให้ยามชายฝั่งมีอำนาจยิงเรือต่างชาติ

เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวระหว่างแถลงสรุปว่า วอชิงตัน "รู้สึกกังวลต่อภาษาในกฎหมาย ซึ่งสัมพันธ์อย่างโจ้งแจ้งเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการใช้กำลัง ในนั้นรวมถึงกำลังติดอาวุธ โดยยามชายฝั่งจีน เพื่อเสริมคำกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ของจีน และสหรัฐฯยังคงรู้สึกกังวลต่อข้อพิพาททางอาณาเขตและทางทะเลที่กำลังดำเนินอยู่ ทั้งในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้"

เขาบอกว่าภาษาที่ใช้ในกฎหมายนี้​ อาจถูกใช้ข่มขู่บรรดาเพื่อนบ้านทางทะเลของจีน​ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ​ ยังระบุอีกว่า "เรากังวลยิ่งขึ้นว่าจีนอาจใช้กฎหมายใหม่นี้เพื่อเน้นย้ำคำกล่าวอ้างทางทะเลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในทะเลจีนใต้ ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการในปี 2016" อ้างถึงคำพิพากษาระหว่างประเทศ ที่ให้ฟิลิปปินส์เป็นฝ่ายชนะ กรณีข้อพิพาทในทะเลจีนใต้กับจีน

ไพรซ์ ระบุว่า​ สหรัฐฯ​ ขอย้ำถึงคำแถลงเมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน ซึ่ง ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ณ ขณะนั้น ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของจีน โดยบอกว่าคำกล่าวอ้างของปักกิ่งในการเป็นเจ้าของทรัพยากรนอกชายฝั่งเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้นั้น "ไม่ชอบธรรมโดยสิ้นเชิง"

โฆษกรายนี้บอกว่า "สหรัฐฯ​ ยืนหยัดอย่างหนักแน่นในพันธสัญญาที่มีต่อพันธมิตร ทั้งกับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์"

สหรัฐฯ​ มีสนธิสัญญากลาโหมร่วมกับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์หลายฉบับ และบ่อยครั้งที่ลาดตระเวนทางเรือในภูมิภาคแถบนี้ ในการแสดงจุดยืนท้าทายคำกล่าวอ้างทางทะเลอันเลยเถิดของจีน


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000016907

(รอยเตอร์ส)

ท้องไม่แท้ง ทางออกมีอยู่มากอย่าคิดสั้น กรมอนามัยช่วยได้

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมอนามัยได้ยึดหลักการยุติตั้งครรภ์ที่ถูกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาหญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อมและการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย ภายใต้หลัก 4S คือ Safe Virgin โดยผลักดันเพศสุขภาพวิถีศึกษา Safe Sex โดยเข้าถึงยาคุมกำเนิดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายตามสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพ Safe Abortion คือยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยผ่านเครือข่ายอาสาส่งต่อเพื่อการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย (RSA) และ Safe Mom คือให้คำปรึกษาหญิงที่เปลี่ยนใจเห็นว่าควรตั้งครรภ์ต่อ

“กรมอนามัยร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้บริการยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัยในวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่อยู่ในภาวะหลังคลอดหรือแท้ง หรือต้องการคุมกำเนิดในทุกสิทธิสุขภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ยังพร้อมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 และมาตรา 305 โดยสามารถเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย รวมทั้งเพื่อป้องกันหญิงที่มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 12 สัปดาห์ไปทำแท้งเถื่อน และเสริมสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยด้วย” นพ.สุวรรณชัย กล่าวและว่า

"สำหรับหญิงบางรายที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมและยังหาทางออกกับปัญหาไม่ได้สามารถโทร.ไปปรึกษาสายด่วน 1663 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 21.00 น. ได้ทุกวัน เพื่อจะได้รับบริการที่เป็นมาตรฐาน ไม่หลงไปทำแท้งเถื่อน ซึ่งผิดกฎหมายและอาจ ทำให้ตกเลือด ติดเชื้อจนถึงขั้นเสียชีวิตได้"


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/society/2036304

เทศบาลกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย งัดไม้แข็ง หากประชาชนปฏิเสธรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพราะอาจต้องเสียค่าปรับสูงถึง 10,000 บาท

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เผยว่า นายอาหมัด ริซา ปาเตรีย รองผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตา ได้แถลงถึงการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของประชาชนชาวอินโดนีเซียว่า “เป็นเรื่องที่จำเป็น” หลังพบสถิติผู้ป่วยสะสมสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือมากกว่า 1.2 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วเกือบ 34,000 คน

ทั้งนี้คำแถลงดังกล่าวได้มาพร้อมอำนาจตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ‘โจโค วิโดโด’ ซึ่งลงนามเมื่อต้นเดือนก.พ.ว่า ชาวอินโดนีเซียที่ปฏิเสธเข้ารับการฉีดวัคซีน อาจไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐบางส่วนได้ หรืออาจต้องชำระค่าธรรมเนียม โดยผู้นำอินโดนีเซียให้อำนาจรัฐบาลท้องถิ่นในการกำหนดบทลงโทษเองนั้น ชาวกรุงจาการ์ตาที่ฝ่าฝืน อาจต้องชำระค่าปรับสูงสุด 5 ล้านรูเปียห์ (ราว 10,715.68 บาท) แต่ ปาเตรีย ยืนยันว่า “จะเป็นทางเลือกสุดท้าย”

ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียต้องการให้จำนวนประชากรเข้ารับการฉีควัคซีนเป็นไปตามเป้าหมาย คือไม่ต่ำกว่า 181.5 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศซึ่งมีอยู่ราว 270 ล้านคน ภายในระยะเวลา 15 เดือน นับตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนที่แล้ว คิดเป็นประมาณ 67% เพื่อให้เพียงพอสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างชาวอินโดนีเซีย 1,202 คน โดยสำนักวิจัยไซฟุล มูจานี เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ปรากฏว่ามีเพียง 37% ยืนยันจะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ส่วน 17% ปฏิเสธ แต่กลุ่มตัวอย่างมากถึง 40% ยังตัดสินใจไม่ได้


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/foreign/826313

พิธาปลุกสภาใช้อำนาจในมือโหวต เลือกประเทศไม่เลือกประยุทธ์ พอกันทีกับ 7 ปีที่ผ่านมา

เมื่อวานนี้ (19 ก.พ. 64)​ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมุ่งเป้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

นายพิธา กล่าวว่า "ถ้าเราเลือกประเทศ เท่ากับสภาของเรายืนยันในหลักธรรมเนียมการปกครองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ว่านายกนำพระราชกระแสมาแอบอ้างต่อไม่ได้ เพราะเป็นการเสื่อมเสียต่อพระเกียรติอย่างยิ่ง และเป็นการทำลายหลักการ อันสำคัญว่า “กษัตริย์ทรงทำผิดมิได้”

"ถ้าเราเลือกประเทศ เท่ากับว่าสภาของเราได้ร่วมกันยกเลิกเส้นแบ่งความขัดแย้งของประเทศ ที่มีคนพยายามทำให้คนไทยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายโดยการแอบอ้างสถาบัน และเมื่อเราได้เปิดม่านมายาคตินี้ออกไป เราจะเห็นได้ถึงโจทย์ที่แท้จริงของประเทศไทย ว่าเราจะจัดวางและเชิดชูสถาบันอย่างไร เพื่อให้สถาบันมั่นคงสถาพร และวิวัฒน์ควบคู่ไปกับสังคมไทย ในโลกและจิตสำนึกแห่งยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลง

"ตอนโหวตเลือกนายกและตอนแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อนสมาชิกหลายท่านยังตัดสินใจโดยเกรงอำนาจของ ส.ว. ขอบเขตอำนาจของสภาหลายประการถูกลดทอนไปโดยศาลรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรียังคงเป็นอำนาจเต็มของสภาแห่งนี้ และถ้าพวกเรากล้า กล้าที่จะร่วมไปกับผม พวกเรามีอำนาจเต็มมือที่จะโหวตเอาชื่อประยุทธ์ออกไปจากสารบบการเมืองไทย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ในสภาแห่งนี้เคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้กับประชาชนของท่าน ตอนที่หาเสียงเลือกตั้ง

"เวลานี้ชะตาของประเทศอยู่ในมือของสภาผู้แทนราษฎรอย่างสมบูรณ์ อยู่ที่การลงคะแนนของเพื่อนสมาชิกทั้งสิ้น ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีอำนาจใดที่สูงกว่า นี่เป็นวันเดียวในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาที่สภาผู้แทนราษฎรจะได้ยืนยันอำนาจตนเอง ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะได้ประกาศให้ประชาชนเห็นว่า

"นี่คือผู้แทนของราษฎร ไม่ใช่ผู้แทนของคุณประยุทธ์ ที่ทำหน้าที่เป็นนั่งร้านให้กับการสืบทอดอำนาจ พอกันทีครับกับ 7 ปีที่ผ่านมา มาร่วมกันยุติฝันร้ายของประเทศไทยไปด้วยกัน ถึงเวลาแล้วที่ทุกท่านจะต้องเลือกประเทศของเรา ร่วมกันถอดถอน พล.อ.ประยุทธ์ด้วยการโหวตไม่ไว้วางใจจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ให้บริหารประเทศอันเป็นที่รักของเราอีกต่อไปแม้แต่นาทีเดียว​" พิธา​ กล่าว

'ชวน' ยัน โหวตเสร็จก่อนเที่ยง ประชาธิปัตย์ไม่แตกแถวมติพรรค

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมสภาว่า ในวันนี้ใช้วิธีเสียบบัตรโหวตทีละคนทั้ง​ 10 คนตั้งแต่นายกรัฐมนตรี แต่จะใช้วิธีการนับองค์ประชุมก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่ครบองค์ประชุมก็ตาม แล้วจึงจะให้ลงมติได้ โดยวิธีเสียบบัตรพร้อมกันทั้ง 487 คน และใช้เวลาไม่นานเสร็จก่อนเที่ยง

ขณะเดียวกัน ที่รัฐสภา นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงกรณีมีกระแส ส.ส.ภายในพรรคประชาธิปัตย์เสียงแตก ว่า ทุกคนต้องทำตามมติพรรคอย่างแน่นอน เมื่อถามย้ำว่า ใช่หรือไม่ที่ทุกคนจะทำตามมติพรรค นายเฉลิมชัยยิ้มและกล่าวว่าก็รอดูแล้วกัน
 

พรุ่งนี้อย่าลืม ! 21 กุมภา 64 ลงทะเบียน 'ม33 เรารักกัน' รับเงินเยียวยา 4,000 บาท ไม่ได้รับสิทธิ์ขอทบทวนสิทธิ์ได้

พรุ่งนี้แล้ว​ (21 ก.พ.64)​ ที่โครงการ 'ม.33 เรารักกัน'​ จะเปิดให้ลงทะเบียน​ โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 จากผลกระทบของการระบาดโควิด-19​ คาดว่า​ จะมีผู้เข้าข่ายมีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาในครั้งนี้ 9.27 ล้านคน โดยรัฐบาลจะจ่ายเยียวยารายละ 4,000 บาท ใช้วงเงินประมาณ 37,100 ล้านบาท

สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจในขั้นตอนการลงทะเบียนและทบทวนสิทธิ์ 'โครงการ ม.33 เรารักกัน'​ นั้น​ สามารถติดตามได้ดังนี้...

***การลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์...

วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค. 2564​ >> ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com

วันที่ 8-14 มี.ค. 2564​ >> ธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลคัดกรอง

วันที่ 15-21 มี.ค. 2564​ >> ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน 'เป๋าตัง'

วันที่ 22, 29 มี.ค. และ 5, 12 เม.ย. 2564 >>

ผู้ได้รับสิทธิ์ จะได้วงเงินผ่าน 'เป๋าตัง'​ ครั้งละ 1,000 บาท

วันที่ 22 มี.ค. - 31 พ.ค. 2564​ >> เริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ ผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ ภายใต้ร้านธงฟ้าที่ใช้แอปฯ 'ถุงเงิน'​/ โครงการ '​คนละครึ่ง'​ / โครงการ 'เราชนะ'​

***การขอทบทวนสิทธิ์

วันที่ 15 - 28 มี.ค. 2564​ >> เปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com

วันที่ 29 มี.ค. - 4 เม.ย. 2564​ >> ธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลคัดกรอง

วันที่ 5-11 เม.ย. 2564​ >> ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน 'เป๋าตัง'​

วันที่ 12, 19 เม.ย. 2564 >> ผู้ได้รับสิทธิ์ จะได้วงเงินผ่าน 'เป๋าตัง'​ ครั้งละ 2,000 บาท

วันที่ 12 เม.ย. - 31 พ.ค. 2564​ >> เริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ ผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ ภายใต้ร้านธงฟ้าที่ใช้แอปฯ 'ถุงเงิน'​/ โครงการ 'คนละครึ่ง' / โครงการ 'เราชนะ'​


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/2036116

เลขาธิการสหประชาชาติร้อง ตั้งคณะทำงานพิเศษ แจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ให้เข้าถึงได้ทั่วโลก ไม่ผูกขาดอยู่เพียงประเทศร่ำรวย แฉ วัคซีน 3 ใน 4 ของโลกอยู่ในมือ 10 ประเทศร่ำรวย มีอีกถึง 130 ประเทศ ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกด้วยซ้ำ

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติระบุว่า มีอยู่ 10 ประเทศที่ฉีดและสำรองวัคซีนโควิด-19 รวมกันไปแล้วถึงร้อยละ 75 ของวัคซีนทั้งหมดที่มีในปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศอีกมากกว่าครึ่งโลก คือ 130 ประเทศยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกด้วยซ้ำ

กูเตอร์เรสกล่าวว่า นี่เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ที่ประเทศไม่กี่ประเทศควบคุมปริมาณวัคซีนโควิด-19 จำนวนมากของโลกไว้ เพื่อจัดการกับความไม่เท่าเทียมกันนั้น เลขาธิการเสนอให้สมาชิก G20 ตั้งหน่วยงานฉุกเฉินเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก

“ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงวัคซีนเป็นการทดสอบศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เขากล่าวในการประชุมกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ทั่วโลกมีผู้ได้รับวัควีนไปแล้วประมาณ 188 ล้านคน กูเตอร์เรสไม่ได้ระบุชื่อ 10 ประเทศที่ถือครองวัคซีนโควิด-19 ถึง 3 ใน 4 ของวัคซีนทั้งหมด แต่คาดว่าบางส่วนคงเป็นประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงอย่างแน่นอน เช่น สหรัฐอเมริกา

คณะทำงานที่เสนอจะประกอบด้วยสมาชิกของกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะสนับสนุนเงินและความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศใน “Global South” หรือประเทศแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา และอเมริกาใต้

หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่คล้าย ๆ กับ COVAX ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มจากองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน Gavi และองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยซื้อวัคซีนโควิด-19 จำนวนมาก และส่งไปยังประเทศยากจนซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่ร่ำรวยในการทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทยารายใหญ่ได้

ปัจจุบัน 10 ประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงสุดได้แก่ สหรัฐอเมริกา 56.28 ล้านคน, จีน 40.52 ล้านคน, อังกฤษ 16.5 ล้านคน, อินเดีย 9.42 ล้านคน, อิสราเอล 6.88 ล้านคน, บราซิล 5.88 ล้านคน, ยูเออี 5.28 ล้านคน, ตุรกี 5.22 ล้านคน, รัสเซีย 3.9 ล้านคน และอิตาลี 3.21 ล้านคน

หนึ่งใน 130 ประเทศที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ยังรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน


ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/142416

https://edition.cnn.com/2021/02/18/world/united-nations-130-countries-no-vaccine-trnd/index.html

https://ourworldindata.org/covid-vaccinations


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top