Tuesday, 1 July 2025
NEWS

ราชกิจจานุเบกษา ตีพิมพ์แบบหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ใช้สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว แต่ต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในไทย หรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเท่านั้น

ราชกิจจานุเบกษาตีพิมพ์เอกสาร 2 ฉบับ เกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค หรือ วัคซีนพาสปอร์ต (Vaccine Passport) ได้แก่ ประกาศกรมควบคุมโรค เรื่อง แบบหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) พ.ศ. 2564 และคำสั่งกรมควบคุมโรค ที่ 587/2564 เรื่อง มอบหมายผู้ที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) เอกสารทั้งสองฉบับลงนามโดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค

สาระสำคัญ คือ ให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จัดทำวัคซีนพาสปอร์ต โดยมีหน้าปกระบุข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “DEPARTMENT OF DISEASE CONTROL, MINISTRY OF PUBLIC HEALTH THAILAND” (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข” เครื่องหมายตราครุฑ ระบุข้อความ “COVID-19 CERTIFICATE OF VACCINATION” (หนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) พร้อมเลขที่หนังสือ ขึ้นต้นด้วย ค.ศ. ด้านล่างระบุว่า Issue to ... (ออกให้กับ) Passport No. ... (เลขที่หนังสือเดินทาง) or National identification ... (หรือ เลขประจำตัวประชาชน)

เนื้อหาในหนังสือรับรอง จะมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ โดยมีเงื่อนไขคือ เอกสารรับรองนี้เป็นการรับรองเฉพาะการได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 โดยต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาของราชอาณาจักรไทย หรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก จะต้องมีลายมือชื่อของอธิบดีกรมควบคุมโรค หรือผู้ที่อธิบดีกรมควบคุมโรค มอบหมายให้ออกเอกสารรับรอง พร้อมประทับตราหน่วยงานของผู้ที่ออกเอกสารรับรองนั้น เจ้าหน้าที่อาจไม่รับพิจารณาเอกสารรับรองที่มีรอยแก้ไข ขูดลบ ขีดฆ่า หรือมีข้อความไม่สมบูรณ์

โดยให้กรอกข้อมูลในเอกสารรับรองเป็นภาษาอังกฤษอย่างครบถ้วน ทั้งนี้ จะมีข้อความภาษาอื่น ๆ ควบคู่กับภาษาอังกฤษด้วยก็ได้ เอกสารรับรองนี้รับรองเป็นรายบุคคลเท่านั้น ไม่ให้ใช้ร่วมกันเป็นหมู่คณะ และต้องออกเอกสารรับรองแยกสำหรับเด็กด้วย ให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองลงลายมือชื่อในเอกสารรับรองแทน หากเด็ก (อายุต่ำกว่า 7 ปี) ยังเขียนหนังสือไม่ได้ สำหรับผู้ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ให้ผู้นั้นพิมพ์ลายนิ้วมือแทน (ปกติให้ใช้นิ้วหัวแม่มือขวา)

ส่วนคำสั่งกรมควบคุมโรค มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สังกัดกรมควบคุมโรค ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร หรือ ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) เป็นผู้ที่มีอำนาจออกหนังสือรับรอง และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สังกัดกรมควบคุมโรค 6 ราย เป็นผู้ที่มีอำนาจออกหนังสือรับรอง ได้แก่

1.) นายโรม บัวทอง นายแพทย์เชี่ยวชาญ กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค

2.) น.ส.สิริรักษ์ ธนะสกุลประเสริฐ นายแพทย์ชำนาญการ กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค

3.) นายรวินันท์ โสมา นายแพทย์ชำนาญการ กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค

4.) นางรณิดา เตชะสุวรรณา นายแพทย์ชำนาญการ กองโรคติดต่อทั่วไป

5.) น.ส.กมลทิพย์ อัศววรานันต์ นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และ

6.) น.ส.ปริณดา วัฒนศรี นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันเวชศาสตร์ป้องกันศึกษา กรมควบคุมโรค

โดยให้ปฏิบัติตาม ประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง การออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) พ.ศ. 2564 (ลงในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 31 มี.ค. 2564)


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ลือหึ่ง!! ห้ามนำเข้า 5 กลุ่มสินค้าไทยทางด่านเมียวดี เหตุบริษัทใต้เงากองทัพ หวังฮุบโอกาสทางการค้าเอง

เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีประกาศว่าห้ามนำเข้า 5 กลุ่มสินค้าจากไทยผ่านทางด่านเมียวดี อันได้แก่ น้ำอัดลม, กาแฟปรุงสำเร็จ, ชาปรุงสำเร็จ, กาแฟปรุงสำเร็จ, นมข้นหวานและนมข้นจืด

หลังจากออกข่าวมาได้วันสองวัน ก็มีกระแสบอกออกมาว่า การที่รัฐบาลทหารประกาศแบบนี้เพราะว่าต้องการให้คนเมียนมาหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพเป็นเจ้าของบ้างล่ะ หรือมีข่าวถึงขั้นประกาศห้ามส่งออกสินค้าจากไทย 5 กลุ่มนี้ไปยังเมียนมาบ้างล่ะ เอย่าก็อยากจะแถลงไขเป็นข้อๆ ดังนี้นะคะ

1.) ประกาศนี้ประกาศไปยังด่านศุลกากรเมียวดี เพราะสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่มีการนำเข้ามายังเมียนมาแต่ละปีเป็นจำนวนมาก เช่น มูลค่าของกลุ่มสินค้าน้ำอัดลมในปี 2563 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 552 ล้านบาท ดังนั้นหากมีการขนส่งที่ไม่ทำให้สินค้าไม่เน่าเสียหาย แล้วยังผ่อนถ่ายความแออัดของการขนสินค้าที่เมียวดีออกไปได้ดี ก็คือทางเรือนั่นเอง

2.) ในเมียนมาเอง นอกจากสินค้าของบริษัทที่มีกองทัพเป็นหุ้นส่วนแล้ว ก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่มีสินค้าที่ผลิตในประเทศโดยเฉพาะชา, กาแฟปรุงสำเร็จ, น้ำข้นหวานและนมข้นจืด ซึ่งมีผู้ประกอบการชาวเมียนมาหลายรายที่เป็นเจ้าตลาดในเมียนมาอยู่ อาทิเช่น One Tea หรือ PEP รวมถึงน้ำอัดลมบางยี่ห้อ ก็ตั้งฐานการผลิตในเมียนมาแล้ว เช่น เป็ปซี่ และ โค้ก ก็มีฐานการผลิตในเมียนมาแล้วตอนนี้

3.) ในประกาศได้มีประกาศชัดเจนว่าให้ปรับเปลี่ยนการขนส่งจากทางรถเป็นทางเรือแทน ซึ่งผลกระทบน่าจะเกิดกับผู้ลงทุนที่จำเป็นต้องสั่งสินค้าให้เต็มตู้หากอยากได้สินค้าเข้าตามเวลา แต่หากไม่สั่งเต็มตู้ ก็ต้องรอขนพร้อมกับสินค้าอื่น ๆ ซึ่งอาจจะส่งผลถึงยอดขายได้ แต่เอย่าเชื่อว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่น่าจะกระทบ โดยเขาเหล่านั้นน่าจะเลือกนำเข้าสินค้ามาเต็มคอนเทนเนอร์มากกว่าการจะรอรวมคอนเทนเนอร์กับสินค้าอื่น ๆ

4.) หากต้องการจะแบนสินค้ากลุ่มนี้จริง ๆ ทำไมต้องทำแค่ที่ไทยและที่ด่านแม่สอดเท่านั้น ทำให้ไม่ห้ามนำเข้าทุกด่าน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลทหารจะทำให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพถือหุ้นอยู่ อย่างว่าเงินอยู่ในมือผู้ซื้อมันเป็นสิทธิ์ของผู้ซื้อที่จะซื้อสินค้าหรือต่อให้มีแบรนด์เดียว ผู้บริโภคก็มีสิทธิ์เลือกจะไม่ซื้อหาหรือบริโภคก็ได้

ฉะนั้นข่าวเรื่องรัฐบาลทหารต้องการให้คนเมียนมาหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพเป็นเจ้าของ จึงเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นและยิ่งถ้าเรื่องแบนสินค้าไทยนี่ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เพราะในประกาศระบุชัดเจนว่าให้ส่งทางเรือ!!

เอย่าวิเคราะห์ว่าจากเหตุการณ์ประท้วงและการประทะกันระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่ม KNU ทำให้ข้าราชการชายแดนส่วนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวกะเหรี่ยง ทำการอารยะขัดขืนไม่มาทำงาน รวมถึงความไม่ปลอดภัยหากส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางมาประจำที่นี่

ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้น่าจะเป็นมาตรการชั่วคราวที่ทางรัฐบาลทหารพยายามหาทางออกให้ผู้ประกอบการไทยในเมียนมาหรือแม้กระทั่งผู้ประกอบการเมียนมาเองที่รับสินค้าไทยเข้ามาจำหน่ายให้สามารถนำสินค้าเข้ามาขายเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อไปได้ ในยุคที่ Fake News ยังกลายเป็นข่าวได้อะไรก็เกิดขึ้นได้

ในตอนนี้การหาข้อมูลรอบด้าน จึงมีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นนักธุรกิจหรือทำธุรกิจในเมียนมา

การฟังความข้างเดียวแล้วจับมาแปลผล อาจจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของคุณได้ โดยเฉพาะเมียนมาในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่โอกาสพร้อมจะเป็นของคนที่ไม่ท้อแท้ และรู้จริงในสถานการณ์ปัจจุบันอย่างที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เพราะเศรษฐกิจเป็นเรื่องปากท้อง...ไม่ใช่การเมือง!!

 

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

อินเดียดำดิ่งกลับสู่วิกฤติ Covid-19 ระบาดรุนแรงอีกครั้ง ตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อทะลุ 2.7 แสนรายภายในวันเดียว ทำให้อินเดียมีผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 2 แสนรายติดต่อกันเป็นวันที่ 5 แล้ว นับเป็นสถิติการติดเชื้อ Covid-19 ที่น่ากลัวที่สุดในโลกแล้วในขณะนี้

ล่าสุดรัฐบาลอินเดียประกาศล็อคดาวน์กรุงนิว เดลี เมืองหลวงของอินเดียนาน 1 สัปดาห์เต็ม เริ่มตั้งแต่คืนนี้ จันทร์ที่ 19 เมษายน ไปจนถึงวันที่ 26 เมษายนนี้ โดยมีคำสั่งให้ชาวนิว เดลี งดออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 5 บริษัทเอกชนทุกแห่งปิด และทำงานเฉพาะที่บ้านเท่านั้น งดอิเว้นท์ กิจกรรมทุกประเภทในช่วงนี้ การแข่งขันกีฬาสามารถทำได้แต่ไม่ให้มีคนดู วัด โบสถ์ สุเหร่า เปิดได้ แต่ห้ามบุคคลภายนอกเข้า

สิ่งที่ยังอนุญาตคือ ธนาคาร งานด้านสาธารณสุข โรงพยาบาล ยังคงต้องเปิดตลอด ซุปเปอร์มาร์เกต ร้านอาหารเปิดได้ แต่เฉพาะซื้อกลับได้ งานรับส่งอาหาร และพัสดุยังสามารถทำได้ตามปกติ

แต่ก็นับเป็นการปิดเมืองโดยสมบูรณ์แบบอีกครั้งหลังจากที่รัฐบาลอินเดียเคยพยายามล็อคดาวน์มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้นานเพราะผลกระทบกับชาวอินเดีย ผู้ใช้แรงงาน รับค่าจ้างรายวันมีจำนวนมากมายมหาศาล ที่จำเป็นต้องเดินเท้าหลายร้อย หลายพันกิโลเพื่อกลับภูมิลำเนา

Arvind Kejriwal หัวหน้าคณะรัฐบาลอินเดียยอมรับว่า ระบบสาธารณสุขของอินเดียมาถึงจุดขีดสุดแล้ว การระบาดรอบนี้หนักมาก ถ้าเราไม่ตัดสินใจล็อคดาวน์จำกัดการแพร่ระบาด อาจจะเลวร้ายหนักกว่านี้ แม้การล็อคดาวน์แค่เพียงสัปดาห์เดียวจะหยุดการแพร่ระบาดไม่ได้ แต่ช่วยให้การระบาดช้าลงสักหน่อยก็ยังดี

ตอนนี้ชาวอินเดียกำลังตื่นตระหนกกับคลื่นการระบาดระลอกใหม่ ที่มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าทั้งเตียง ทั้งยา และถังอ็อกซิเจนสำหรับผู้ป่วย ICU หมดแล้ว

แต่ข่าวลือนั้น ไม่ได้ไกลเกินจริงมากนัก เพราะโรงพยาบาลหลายแห่งขาดแคลนเตียงจริง ๆ จนต้องให้คนไข้ 2 คน แชร์เตียงร่วมกัน ส่วนอ็อกซิเจนก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

การระบาดระลอกใหม่ เป็นผลพวงจากงานเทศกาลกุมภเมลา พิธีจุ่มศีลล้างบาปในแม่น้ำคงคงที่จัดขึ้นทุก ๆ 12 ปี และมีผู้มาร่วมชุมนุมอย่างหนาแน่นเกินล้านคน ที่กลายเป็น Super Spreader ล่าสุดของอินเดีย

แม้อินเดียจะเป็นประเทศศูนย์กลางที่ผลิตวัคซีน Covid-19 และได้ฉีดวัคซีนในประเทศแล้วถึง 122 ล้านเข็ม แต่การระบาดที่รุนแรงจนเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดีย ที่แพร่ระบาดง่ายกว่าเดิม แถมทนต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายคนยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

Covid is no joke. กลายเป็นเชื้อโรคฆ่ายาก เดนตายไปซะแล้ว

 

ที่มา: หรรสาระ By Jeans Aroonrat https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=284522323172993&id=104132041212023

แหล่งข้อมูล:

https://www.straitstimes.com/asia/south-asia/new-delhi-to-impose-week-long-lockdown-as-cases-soar-chief-minister

https://www.straitstimes.com/asia/south-asia/two-to-a-bed-in-delhi-hospital-as-indias-covid-crisis-spirals

https://www.ndtv.com/delhi-news/delhi-announces-6-day-lockdown-see-whats-open-whats-not-2416895

https://www.france24.com/en/asia-pacific/20210419-calls-for-more-oxygen-hospital-beds-as-india-s-covid-19-crisis-deepens

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-56798255

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-56507988


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ร่วมโลกกันไม่ได้!! คนไทยในสหรัฐฯ ถูกกระทำไม่เลิก หลังกลุ่มคนเถื่อนมะกันทำร้ายแมวคนไทยตาย ซ้ำกระทืบเจ้าของ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจนิ่งเฉย สังเวย ‘แอนตี้เอเชีย’ อย่างเจ็บปวด

เรื่องของการเหยียดและรังเกียจคนเอเชียและคนไทยในสหรัฐอเมริกา ยังเป็นปมปัญหาใหญ่ที่เริ่มลุกลามต่อชีวิตคนหัวดำที่นั่นอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดจากเฟซบุ๊ก Nampeung Schaeffer ได้มีการอัปเดตอีกเหตุการณ์ที่คนไทยในสหรัฐฯ ถูกกระทำ จนชาวเน็ตต่างออกทรงแค้นแทนว่า…

อัพเดท : ขอขอบคุณรุ้งเจ้าของเรื่องและเจ้าทุกข์ที่อนุญาตให้นำเรื่องมาลงนะคะ สำหรับท่านใดที่อยากจะเห็นภาพเหตุการณ์ สามารถตามฮัชแท็กด้านล่างสุดของโพสต์ไปได้เลยนะคะ

กำลังตามข่าวเคสของคุณผู้หญิงคนหนึ่งในห้องกฎหมาย คือ น่าเศร้ามาก และน่าโกรธมาก เรื่องคือ คุณผู้หญิงคนไทยคนนี้ เขาพาน้องหมาชิบะ กับน้องแมวสองตัว และนกแก้วไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแถวบ้าน แถบ Brooklyn, NY อยู่ ๆ ก็มีเด็กอายุสิบกว่าขวบชาวผิวสีน้ำตาลที่มาจากแถบอเมริกาใต้มาวิ่งมาลากและกระชากสายจูงแมวเขาไป และโยนแมวขึ้นฟ้า แมวตกลงมาที่พื้น แล้วโดนเด็กเปรตลากไปอีกประมาณ 3-4 ก้าว

พอแมวตั้งตัวได้ตกใจวิ่งหนี และมาชักดิ้นชักงอและตาย ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของแมวเลยถามเด็กว่าทำอะไรลงไป (คิดว่าเขาคงจะตะคอกไม่ก็ใช้เสียงดังใส่เด็กด้วยละ นาทีนั้นนี่เนอะ เป็นเราก็คงสติหลุด) และจากนั้นเขาก็ไปบอกแม่ว่า "ลูกคุณมารังแกแมวฉัน" แต่คำตอบที่ได้จากแม่เด็ก คือ "ก็นี่ละเพราะแกพาแมวมาเดินเล่น อิบิช!”

จากนั้นคนในครอบครัว ก็พากันมารุมเถียงผู้หญิง (ไทย) คนนั้น และผู้ชายในกลุ่มอีกคนก็เดินมาตบนกที่ไหล่ของสามีเขา จนบินตกไปอยู่กลางถนน แล้วพวกนั้นก็หัวเราะใส่ทั้งครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายในครอบครัวนั้นก็ไปรังแกหมาเขา ดึงหางหมาเขาจนยกลอย คุณผู้หญิงเขาเลยสวนกลับ เถียงกันไปเถียงกันมา เลยกลายเป็นครอบครัวนั้นพากันรุมกระทืบผู้หญิงคนไทยคนนั้น ทั้งตบ ทั้งนั่งทับเขา แถมจะเอามือจกตาเขา เด็กเล็กก็มีโวยวายชูนิ้วกลางใส่ โวกเวกทั้งครอบครัว

ส่วนสามีของผู้หญิงคนไทยเจ้าของแมว ก็ได้เข้าไปห้ามคนพวกนั้นก็ถูกต่อยเข้าหน้าจนจมูกหัก เลือดสาด จนมีชายผิวสีที่เห็นเหตุการณ์สองคนเข้ามาช่วยห้าม พร้อมทั้งถามฝั่งนั้นว่าต้องรุมทำเขากันขนาดนี้เชียวหรือ แต่ครอบครัวพวกนั้นกลับบอกว่าโดนผู้หญิงเขาทำร้ายลูกพวกมันก่อน และขึ้นรถหนีออกไปจากเหตุการณ์ ชาวประชาแถวนั้นที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้ว่ามันไม่จริง และยังมีคนที่จะไปเป็นพยานให้คุณเขาด้วย

แต่ที่พีค คือ พอไปแจ้งตำรวจ ว่าโดนทำร้ายร่างกาย แถมแมวก็โดนฆ่าตาย ตำรวจก็อิดออดบอกหลักฐานไม่พอ แถมขู่ต่าง ๆ นานา ว่าผู้หญิงคนไทยคนนั้นเป็นฝ่ายรังแกเด็กก่อนให้ยอมรับ และหาว่าเพราะเขาเอาแมวออกไปเดินเล่นเอง เป็นความผิดเขาเองอีกที่เอาสัตว์เลี้ยงตัวเองไปเดินเล่น! เผลอ ๆ ตัวเขาเองจะติดคุกถ้ายังตามเอาเรื่อง สองอาทิตย์กว่าแล้วคดีไม่ขยับ เปลี่ยนนักสืบไปสามคนก็ไม่ได้เรื่อง แต่พอมีสำนักข่าวติดต่อผู้หญิงเจ้าของแมวไป เพื่อขอข้อมูลจะเอามาทำข่าว ตำรวจกลับรีบบอกผู้เสียหายว่า อย่า! อย่าเพิ่งให้ข้อมูล ขอให้นักสืบเขาทำงานก่อน เรานี่ถึงกับอุทานในใจเบา ๆ ว่าเห้! สองอาทิตย์ที่ผ่านมามรุงทำอะไรกันอยู่ พอนักข่าวจะลงนี่เกิดให้ความสำคัญมาทันที

โอ้ย!! อ่านจบเมื่อคืนนี้จิตตกเลย นึกภาพใครมาทำหมาเราแบบนี้ ถึงแม้ว่าตามกฏหมายที่นี่จะกำหนดว่า สัตว์เลี้ยงมีค่าแค่เท่ากับทรัพย์สินก็เถอะ ใครก็ไม่รู้อยู่ ๆ พุ่งเข้ามาใส่ แค่มาดึงหางหมาเรา เรานี่คงตบมันให้หัวคลอนไปละ เอาเรื่องแน่ละยิ่งมารุมทำร้ายร่างกายด้วย

ไม่รู้เรื่องนี้จะจบยังไง แต่อยากให้เรื่องนี้ได้ออกข่าวที่นี่มาก ครอบครัวที่ทำกับผู้หญิงคนนี้นี่เข้าข่ายอันตรายต่อสังคมคนรอบข้างทีเดียว ครั้งนี้ทำได้ครั้งหน้ามันจะทำอีกไหม โดยเฉพาะเด็กเปรตนั่นวันนี้ฆ่าแมวได้หน้าตาเฉย วันหน้าโตขึ้นมาจะเป็นแบบไหน

ปล. น้องแมวที่เสียชีวิตเขามีเพจเขานะ เข้าไปแสดงความเสียใจ หรือไปดูภาพเก่า ๆ ความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแมวได้

Ponzucoolcat

IG : https://instagram.com/ponzucoolcat?igshid=8ifquaddc6x6

มีคลิปสารคดีสั้นที่เคยมาถ่ายทำเกี่ยวกับน้องแมวและนกแก้วเพื่อนรักด้วย https://youtu.be/JssUogfgirE

#justiceforponzu

 

ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10165258341600602&id=833860601


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

หากย้อนหลังกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2014 เป็นช่วงปีแรก ๆ ที่ท่านประธาน สี จิ้นผิง เพิ่งก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำจีนได้ไม่นาน และได้ไปเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการ

การเยือนมองโกเลียคราวนั้น สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์กลางสภาผู้แทนมองโกเลีย ซึ่งถือเป็นไฮไลท์สำคัญของการมาเยือนครั้งนั้น และมักมีการหยิบยกขึ้นมาอ้างอิง และตีความจนถึงปัจจุบัน ถึงนโยบายของจีนต่อประเทศเล็กๆ หลังเทือกเขาอย่างมองโกเลียว่าจะมีความสัมพันธ์เช่นใด ในยุคของสี จิ้นผิง

ในคำพูดของสี จิ้นผิง ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีน - มองโกเลีย ที่ยาวนานนับร้อย ๆ ปี และสำหรับจีนแล้ว มิตรประเทศเพื่อนบ้านอันมีค่ายิ่งกว่า "ทองคำ" ที่พร้อมจะจับมือร่วมกันด้วยความจริงใจ เพื่อบรรลุถึงสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาคนี้

นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ยังย้ำในเรื่องของการไว้ใจซึ่งกันและกัน และการเคารพในความต่าง ลดความขัดแย้ง และหาจุดสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ดินแดน ซึ่งจะเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่าง จีน-มองโกเลียไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่จะกลายเป็นชัยชนะร่วมกันของทั้งจีน และ มองโกเลียนับจากนี้

หลังจากวันนั้นผ่านมานาน 8 ปีที่มองโกเลียได้เปลี่ยนผ่านผู้นำประเทศไปแล้ว 1 คน แต่ท่านประธาน สี จิ้นผิง ยังดำรงตำแหน่งอยู่ และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเมื่อมาการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจีนมอบสิทธิ์ให้ผู้นำจีนสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ตลอดชีพ

นิตยสาร Time ได้สัมภาษณ์ นายซักเคีย แอลแบค ดอร์จ อดีตประธานาธิบดีมองโกเลียในสมัยที่สี จิ้นผิง มาเยือนมองโกเลียในฐานะผู้นำจีนเป็นครั้งแรก และได้พูดคุยอย่างสนิทสนมกันถึงเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมร่วมกันระหว่าง 2 ชาติ ที่นายซักเคีย เคยมองว่าน่าจะเป็นนิมิตรหมายอันดีสำหรับการพัฒนาประเทศมองโกเลีย

แต่มาถึงวันนี้ นายซักเคีย แอลแบคดอร์จ กลับมองไม่เห็นท่าทีที่แสดงถึงความเป็นมิตร และเคารพในสิทธิ์ และความต่างของชนชาติมองโกเลีย อย่างที่สี จิ้นผิง ได้กล่าวในวันนั้น เมื่อจีนได้รุกคืบอย่างแข็งกร้าว เพื่อผสานกลืนวัฒนธรรมในดินแดนมองโกเลีย ที่เป็นส่วนหนึ่งในเขตปกครองตนเองของจีน ด้วยการบังคับให้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษากลางในการเรียนการสอนในมองโกเลียในทุกแห่ง ลดชั่วโมงการเรียนภาษามองโกเลีย และสนับสนุนให้ครอบครัวชาวจีนฮั่น ส่งบุตรหลานเรียนในโรงเรียน 2 ภาษาในเขตมองโกเลียมากขึ้น

และเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 เป็นต้นมา ทางการจีนจะบังคับให้วิชาหลัก วรรณคดี ประวัติศาสตร์ สังคมและการปกครอง ต้องเรียนเป็นภาษาจีนทั้งหมด ซึ่งนโยบายนี้ถูกใช้ในเขตปกครองตนเองในซินเจียง และ ธิเบต เพื่อให้ภาษาจีนเป็นส่วนหนึ่งในการส่งผ่านค่านิยม และการดำเนินชีวิตแบบจีนสู่ชนกลุ่มน้อย ซึ่งทางจีนมองว่าเป็นการสนับสนุนให้เกิดโอกาสทางการศึกษา และตลาดแรงงานอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อไม่มีเรื่องภาษามาเป็นอุปสรรค

แต่สำหรับชาวมองโกเลียมองว่า นี่คือการกลืนกินรากเหง้าด้านภาษา และวัฒนธรรมของชาวมองโกเลีย และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็มีความเสี่ยงที่ภาษามองโกเลียจะสูญพันธุ์ไม่เกินรุ่นลูก รุ่นหลานของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ของชาวมองโกเลียใน ซึ่งผู้ปกครอง และนักเรียนเชื้อสายมองโกเลียกว่า 3 แสนคนประท้วงไม่ยอมไปลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรภาคบังคับใหม่ จนทางการจีนต้องออกหมายจับแกนนำผู้ประท้วง และกลุ่มผู้ปกครองในข้อหาละเมิดกฎหมาย ที่ขัดขวางเด็กไม่ให้เข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับของรัฐ จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนถึงวันนี้

และนอกจากเขตมองโกเลียใน ที่เป็นส่วนหนึ่งของจีน ยังมีคำสั่งตรงจากรัฐบาลจีนถึงสถานฑูตจีนประจำกรุงอูลานบาตอร์ ให้ย้ำการใช้นโยบายภาษาจีนในโรงเรียนมองโกเลีย เพื่อขัดขวางแนวความคิดเรื่องการแยกดินแดนในเขตมองโกเลียใน และการรวมตัวกันระหว่างชาวมองโกเลียฝ่ายเหนือและใต้

อดีตประธานาธิบดีมองโกเลีย จึงได้ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์นโยบายกลืนวัฒนธรรมของจีนอย่างเปิดเผยในวันนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าประเทศมองโกเลียไม่สามารถปิดกั้นอิทธิพลจากจีนได้

เนื่องจากภูมิประเทศที่ถูกปิดล้อมด้วยชาติมหาอำนาจใหญ่ถึง 2 ชาติ จีน และ รัสเซีย ที่ล้วนแต่มีอิทธิพลทั้งในด้านความมั่นคง และ การเมืองของมองโกเลีย ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้น จีนก็เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของมองโกเลีย ดูจากตัวเลขการส่งออกสินค้าจากมองโกเลียกว่า 90% ไปสู่ตลาดของจีนเพียงที่เดียวเท่านั้น

แม้ผู้นำปัจจุบันของมองโกเลียอย่าง นายคัลต์มา บัตทุลกา จะพยายามสานสัมพันธ์กับรัสเซียมากขึ้น แต่ก็ไม่อาจลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับจีนไปได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ Covid-19 ที่รัฐบาลมองโกเลียก็ได้รับความช่วยเหลือ และวัคซีนบริจาคของจีนเป็นจำนวนมาก ยังไม่นับแผนการลงทุนร่วมกันในระยะยาวอีกหลายโครงการ

ดังนั้น มองโกเลียจึงอยู่ในสถานะที่ถูกบีบอยู่ระหว่างประเทศมหาอำนาจ ที่แผ่อิทธิพลเข้าสู่ดินแดนนี้อย่างเข้มข้น แม้ว่าชาวมองโกเลียส่วนใหญ่จะยอมรับในคุณค่าของสังคมอุดมเสรีภาพ และประชาธิปไตยตามแบบแผนตะวันตก แต่ประเทศมองโกเลียในตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะ "เลือกข้าง" และเปราะบางเกินกว่าที่จะเป็นสนามรบของสงครามตัวแทนระหว่างฟากเสรีนิยม และ สังคมนิยม ซึ่งสุดท้ายฝ่ายที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุด ก็คือชาวมองโกเลียด้วยกันเอง

การต่อสู้เพื่อรักษาสมดุลระหว่างขั้วอำนาจจากต่างประเทศ และปกป้องอัตลักษณ์ วัฒนธรรมของชาวมองโกเลียให้ได้ จึงกลายเป็นโจทย์สำคัญผู้นำมองโกเลีย ที่ต้องหาจุดร่วม และจุดต่างที่ลงตัว ร่วมกับผู้นำอย่าง สี จิ้นผิง ผู้ซึ่งเมื่อตัดสินใจเดินหน้าสิ่งใด จะต้องทำให้สุดทาง

และเชื่อว่าท่านประธานสี จิ้นผิง ไม่ได้ลืมคำพูดของตนที่เคยพูดไว้กลางสภาในมองโกเลียเมื่อ 8 ปีก่อน เพียงแต่คำพูดนั้น อาจไม่ได้หมายถึงจีน แต่หมายถึงมองโกเลียต่างหากนั่นเอง

 

อ้างอิง:

https://time.com/5953518/mongolia-china-russia-problems/

https://thediplomat.com/2020/09/chinas-crackdown-on-mongolian-culture/

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-53981100


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า...

รพ.สนามราชโยธิน ปตอ. (หรือ รพ.สนาม ปตอ.1 แจ้งวัฒนะ) ขอกราบขอบพระคุณ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ติดตั้งทั้งระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง [WIFI] และระบบสัญญาณมือถือ [ทั้ง 4G และ 5G] เพื่อระบบปฏิบัติการทางการแพทย์หรือที่เรียกว่าเทเลเมดิซีน [Telemedicine] ให้แก่ รพ.สนาม ปตอ.1 อย่างทุ่มเทจนดึกดื่น ทำให้ รพ.สนาม ปตอ.1 สามารถรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ รพ.สนาม ปตอ.1 ได้ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่ได้รับทราบภารกิจจาก ศบค.และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

เมื่อคืนนี้เป็นคืนแรก รถพยาบาล รพ.มงกุฎวัฒนะไปรับตัวผู้ติดเชื้อที่ไม่สามารถเข้า รพ.สนาม จนถึงตี 4 กำลังพลทุกนายของ รพ.มงกุฎวัฒนะยังคงฮึกเหิมในสงครามต่อสู้โควิด-19 อย่างเต็มใจ พร้อมใจ เป็นปึกแผ่น...พูดง่าย ๆ แบบทหารว่า กำลังพลทุกนายมีจิตใจรุกรบครับ

คืนแรกของ รพ.สนามราชโยธิน ปตอ. หรือ รพ.สนาม ปตอ.1 ขลุกขลักและเช้านี้ก็ยังขลุกขลักต่อตามที่ผมเรียนให้ทราบทั่วกันไปแล้ว แต่ทีมงาน รพ.มงกุฎวัฒนะ กำลังแก้ไขเพื่อให้ระบบงานราบรื่นที่สุดโดยเร็ว อย่างไรก็ตามเราต้องใช้เวลาในการแก้ไข ไม่สามารถดีดนิ้วแล้วเห็นผลทันตานะครับ

วันนี้ที่ 20 เม.ย. 64 รพ.สนาม ปตอ.1 จะรับผู้ติดเชื้อที่คงค้างมาหลายวันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ไม่สามารถรับตัวเข้า รพ.สนามได้ ทั้งนี้หัวหน้าพยาบาลศูนย์ควบคุมโรคติดเชื้อ รพ.มงกุฎวัฒนะจะติดต่อไปยังผู้ติดเชื้อแต่ละรายให้เตรียมตัวและรอรถพยาบาลจาก รพ.มงกุฎวัฒนะไปรับ และจะเริ่มขยายผลปฏิบัติการรับการส่งต่อในฐานะหน่วยสมทบขึ้นตรงต่อกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขโดยเร็วที่สุด

จีงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอประทานอภัยในความไม่สะดวกทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นและขอกราบขอบพระคุณ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ไว้ ณ ที่นี้

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา

ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ และ รพ.สนามราชโยธิน ปตอ.

20 เม.ย.64 เวลา 10.01 น.

หมายเหตุ 1] ตามที่ผมประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.64 นี้ รพ.มงกุฎวัฒนะจะจัดตั้ง ไอ ซี ยู สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขนาด 12 เตียง โดยไม่ใช้ร่วมกับ ไอ ซี ยู สำหรับผู้ป่วยทั่วไป (แยกอาคารสถานที่อย่างเด็ดขาด) แต่ด้วยความจำกัดของพื้นที่จึงดำเนินการได้เพียง 6 เตียงเท่านั้น ซึ่งเพียงพอกับการพึ่งตนเองของ รพ.มงกุฎวัฒนะและเครือข่าย รพ.สนามระดับ 1-2 ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบ

หมายเหตุ 2] "ราชโยธิน ปตอ" แปลตรง ๆ ว่า "ทหารพระราชา ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน" โดยคำว่า ราช แปลว่า พระราชา , โยธิน แปลว่า ทหาร , ปตอ ย่อมาจาก ปืนใหญต่อสู้อากาศยาน...ผมตั้งชื่อ รพ.สนามราชโยธิน เพราะเป็นชื่อที่สง่างามสมเกียรติของกองทัพและทหารทุกนายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้กรุณาจัดตั้ง รพ.สนามขึ้นในค่ายทหารเพื่อพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/100000491468200/posts/6097362783623377/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ผู้นำจีน ‘สีจิ้น ผิง’ ประกาศเป้าหมายต่อไปจะสร้าง “มหัศจรรย์เศรษฐกิจเซินเจิ้น” ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าหลายประเทศ และในห้าปีข้างหน้านี้จะมุ่งทุ่มเทให้กับโครงการใหญ่เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

เซินเจิ้น ซึ่งมีฉายาเป็น “ซิลิคอนวัลเลย์แห่งจีน” เป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในกว่างตง หรือกวางตุ้งซึ่งเป็นมณฑลยักษ์แห่งภาคใต้จีน จีดีพีเมืองเซินเจิ้นได้แซงหน้าฮ่องกง และสิงคโปร์ไปเมื่อสองปีที่แล้ว

ผู้นำจีนยังตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2025 เศรษฐกิจเซินเจิ้นจะมีมูลค่าสูงถึง 4 ล้านล้านหยวน (611 พันล้านเหรียญสหรัฐ) สูงกว่าประเทศโปรตุเกส อิสราเอล และไอร์แลนด์ เป็นต้น สำหรับจีดีพีเซินเจิ้นปี 2020 ขยายตัวในอัตรา 3.1 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 2.77 ล้านล้านหยวน

เป็นที่ทราบกันดีในวงการที่ติดตามเรื่องจีนว่า ก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศปลายทศวรรษที่ 1970 สมัยผู้นำเติ้งเสี่ยวผิงนั้นเซินเจิ้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆที่ล้าหลัง สีจิ้นผิงได้ประกาศในพิธีฉลองวาระครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสี่แห่งของประเทศ (จูไห่ ซั่นโถว (ซัวเถา) เซี่ยเหมิน และเซินเจิ้น) ในเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว ว่าเซินเจิ้นเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และจะได้รับอำนาจการปกครองบริหารตัวเองสูงขึ้นเพื่อสร้าง “มหัศจรรย์อีกครั้ง”

ภายใต้แผนพัฒนาฯห้าปีของจีน (2021-2025) นี้ เซินเจิ้นตั้งเป้าหมายอีกว่าจะขึ้นมาเป็น “พลังขับเคลื่อนหลัก” ในการปฏิรูปของประเทศ พร้อมกับเป็นขุมพลังผลักดันการเจริญเติบโตและศูนย์กลางนวัตกรรมในภูมิภาคเกรทเตอร์เบย์แอเรีย (Greater Bay Area) ที่ประกอบด้วย 9 เมืองในมณฑลกว่างตง มาเก๊า และฮ่องกง โดยเงื่อนไขปัจจัยที่จะทำให้เซินเจิ้นบรรลุเป้าหมายนี้อยู่ที่กลุ่มบริษัทชั้นนำของโลก อย่าง เทนเซ็นต์ (Tencent Holdings) และหัวเหวย เทคโนโลยีส (Huawei Technologies)

หลิว กัวหง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่และการเงินของสถาบันการพัฒนาแห่งจีนในเมืองเซินเจิ้น ชี้ว่าความสำเร็จของเซินเจิ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะอานิสงส์จากเหล่าผู้เล่นในหลายภาคธุรกิจ โดยบริษัทชั้นนำในหลายอุตสาหกรรมของประเทศหลายๆรายที่อยู่ในเมืองเซินเจิ้นไล่เรียงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็มี China Vanke และ Poly Group, บริษัทเทนเซ็นต์แห่งภาคไอที, ผิงอัน อินชัวรันส์ แห่งภาคอุตสาหกรรมการประกันภัย, ภาคการผลิตก็มี หัวเว่ย, และยักษ์ใหญ่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD

จากการจัดอันดับของหูรุ่น รีพอร์ต (Hurun Report) ในปี 2020 กลุ่มบริษัทเอกชนในเซินเจิ้นที่ได้ขึ้นทำเนียบบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงสุด 500 รายของประเทศจีนนั้นมีจำนวนมากเป็นอันดับที่สาม ในจำนวนนี้สามรายติดอันดับบริษัทมูลค่าสูงสุดสิบอันดับ “ท็อปเทน” ขณะที่ 59 ราย ติดอันดับสูงสุด100 อันดับ ทั้งนี้จากข้อมูลอัปเดทเมื่อเดือน ต.ค.2020

ขณะที่ 60 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในเซินเจิ้นอยู่ในภาคไอที อสังหาฯ และการเงิน แผนพัฒนาห้าปีจีนยังมุ่งทุ่มเทให้กับโครงการยักษ์ใหญ่เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืน

มาดูกลุ่มบริษัทชั้นนำที่เป็นเสมือน “ขุนพลใหญ่” ที่จะทำให้เซินเจิ้นบรรลุการเติบโตตามเป้าหมาย และมีบทบาทสำคัญในเกรทเตอร์เบย์ แอเรีย

 

Tencent Holdings

เทนเซ็นต์ ยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ต มี Market Cap (มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด) ที่ราว 6 ล้านล้านเหรียญฮ่องกง (จากข้อมูล ณ วันที่ 16 เม.ย. 2021) แซงหน้าอาลีบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง และกลายเป็นบริษัทเอกชนจีนที่มูลค่าสูงที่สุดในปี 2020 จากการจัดอับดับโดยหูรุ่น

เทนเซ็นต์ เจ้าของแอปข้อความสั้น WeChat และมีหุ้นในบริษัทเกมหลายราย เป็นต้นนั้นติดอันดับที่ 197 ของทำเนียบ Fortune Global 500 List นอกจากนี้ บริษัทในเครือ คือ Tencent Music ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กตั้งแต่ปีเดือนธ.ค. 2018

โพนี่ หม่า ผู้ก่อตั้งเทนเซนต์ วัย 49 ปี มีสินทรัพย์สุทธิ 60.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูล Forbes, อัปเดท 14 เม.ย.2021) แซงหน้าแจ๊ค หม่าแห่งอาลีบาบาผู้ร่ำรวยที่สุดในจีนเมื่อปี 2020 ปัจจัยที่ทำให้โพนี่ หม่า ขึ้นมารวยกว่าแจ๊ค หม่า มาจากความต้องการเกมมือถือที่พุ่งกระฉูดในช่วงล็อกดาวน์ควบคุมโควิด-19

 

Ping An Insurance

ผิงอัน ชื่อที่แปลว่า “ปลอดภัยและอยู่ดี” ให้บริการด้านประกันภัย การเงินและธนาคาร เป็นบริษัทประกันภัยใหญ่สุดของจีน มี Market Cap อยู่ที่ 1.65 ล้านล้านเหรียญฮ่องกง ติดอันดับที่ 21 ในทำเนียบ Fortune Global 500 List

 

Huawei Technologies

ก่อตั้งเมื่อปี 1987 โดยเหริน เจิ้งเฟย หัวเหวยทะยานขึ้นมาเป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกในภาคอุปกรณ์โทรคมนาคม และสมาร์ทโฟน

อย่างไรก็ตาม เครือข่าย 5G ได้กลายเป็นชนวนศึกการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผู้นำแดนพญาอินทรีปัดแข้งปัดขาหัวเหวยโดยจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีสหรัฐฯและยังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆบอยคอตเครือข่าย 5G จีน

รายได้หัวเว่ยในปีที่แล้ว (2020) ขยายเพิ่มที่ 3.8 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 891.4 พันล้านหยวน ถือเป็นการขยายตัวที่เชื่องช้าที่สุดในรอบสิบปี นอกจากนี้อัตราขยายตัวในตลาดต่างแดนยังติดลบ โดยยอดขายร่วงไป 12.2 เปอร์เซ็นต์ทั่วยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ส่วนยอดขายในตลาดเอเชีย-แปซิฟิกก็ตก 8.7 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม กิจการหัวเหวยพึ่งพิงตลาดภายในประเทศเป็นหลักโดยมีสัดส่วนเป็น 65.6 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด

 

Shenzhen Mindray

บริษัทนี้มีฐานประกอบการในเซินเจิ้น เป็นผู้ให้บริการด้านอุปกรณ์การแพทย์และน้ำยาใสรายใหญ่สุดของจีน การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ความต้องการจากระบบติดตามคนผู้ป่วยและเครื่องช่วยหายใจพุ่งสูง Market Cap ของ Shenzhen Mindrayจึงดีดตัวสูงถึง 493 พันล้านหยวน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 เม.ย.2020) เป็นที่คาดว่าความต้องการจากระบบฯจะยังสูงต่อไปหลังจากที่โรคระบาดซาลงแล้วก็ตาม

 

BYD

ผู้ผลิตรถยนต์จีนรายนี้ได้รับการสนับสนุนจากอภิมหาเศรษฐีแห่งสหรัฐฯวอร์เร็น บัฟเฟตต์ตั้งแต่ปี 2008 BYD เริ่มกิจการด้วยการผลิตแบตเตอรี่ในปี 1995 จนกลายเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่สุดในจีน ข้อมูลเมื่อปลายปี 2020 ระบุว่า BYD ครองสัดส่วนตลาด 12.9 เปอร์เซ็นต์ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน และข้อมูลอัปเดทในวันที่ 16 เม.ย. ระบุ Market Cap เท่ากับ 548 พันล้านเหรียญฮ่องกง

ในปีโรคระบาด รายงานกำไรสุทธิดีดตัวขึ้น 162 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับ 4.23 พันล้านหยวน BYD ได้หันมาผลิตหน้ากากอนามัยโดยข้อมูลในเดือนพ.ค.ปีที่แล้วระบุว่าผลิตได้ถึงวันละ 50 ล้านชิ้น

ด้วยผลกระทบจากโควิด-19 ยอดขายรถ BYD ตกลงไป 11 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับ 130,970 ยูนิตในปีที่แล้ว ในเดือนนี้ BYD ออกรถสองโมเดลโดยตั้งราคาระหว่าง 129,800 หยวน และ 166,800 หยวน เพื่อดึงดูดลูกค้ารายได้ปานกลางและรายได้ต่ำกว่า

ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000037158


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘สรยุทธ’ คืนจอ ช่อง 3 เริ่มพฤษภาคมนี้ ผนึกกำลัง 5 พิธีกรข่าว จัดทัพครอบครัวข่าว 3 ลุยสู้ศึกทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง New Media และ Old Media

หลังจากช่อง 3 ได้แต่งตั้ง ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ เป็นที่ปรึกษาฝ่ายข่าว เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายสรยุทธได้เข้าร่วมวางแผนปรับเพิ่มศักยภาพรายการข่าวของสถานี โดยนำเสนอจุดเด่นของแต่ละรายการข่าวที่ช่อง 3 มีพิธีกรข่าว ซึ่งมีเอกลักษณ์การนำเสนอโดดเด่นแตกต่างกัน นำเสนอให้ผู้ชมเห็นว่า นอกจากข่าวสารและความคืบหน้าที่แตกต่างกันแล้ว แต่ละช่วงเวลา ผู้ชมยังสามารถติดตามข่าวสารและความคืบหน้าในรสชาติที่แตกต่างกัน และเหมาะสมกับผู้ชมในแต่ละช่วงเวลาจนเป็นที่มาของการเปิดตัวโฆษณา “ครอบครัวข่าว 3... 5 พิธีกรข่าว 5 คาแรคเตอร์ 5 การนำเสนอ” ที่คุณสรยุทธได้เข้ามาควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน และได้เริ่มปรากฏให้เห็นทางหน้าจอแล้ว

นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเปิดตัวโฆษณา "5 พิธีกรข่าว" ในครั้งนี้ว่า “ช่อง 3 มีบุคลากรด้านข่าวที่ได้รับการยอมรับกันอย่างสูง แต่ละท่านมีความแข็งแกร่งในวิธีการนำเสนอข่าวที่แตกต่างกัน เท่าที่เห็นมีเฉพาะที่ช่อง 3 เท่านั้น แต่ที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้ถูกนำเสนอให้เห็นภาพรวมว่าเรามีพิธีกรข่าวที่โดดเด่นเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการในทุกรูปแบบการนำเสนอแต่ละด้านผมยินดีที่นอกจากคุณสรยุทธจะกลับมาทำรายการเรื่องเล่าเช้านี้และเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์แล้ว คุณสรยุทธยังมาเติมเต็มให้คำว่า “ครอบครัวข่าว 3” เด่นชัดมากยิ่งขึ้น จากนี้ไปทุกรายการข่าวจะนำเสนอตามความถนัดเฉพาะและศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่ และผู้ชมจะได้ประโยชน์และความสนุกสนานจากความหลากหลายของการเสนอข่าวของเราอย่างแน่นอน”

นายสุรินทร์ กล่าวด้วยว่า “ในระยะต่อไป ช่อง 3 จะออกอากาศรายการข่าวในทุกแพลตฟอร์ม นอกเหนือจากหน้าจอช่อง 3 เราไม่คิดว่าจะมุ่งให้ความสำคัญเฉพาะไปในสื่อทางหนึ่งทางใด ไม่ว่าจะเป็น New Media หรือ Old Media แต่ช่อง 3 จะอยู่ในทุกสื่อ ทั้งสื่อออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ แม้กระทั่งสื่อวิทยุ ที่ยังมีผู้ชมจำนวนหนึ่งชอบฟังวิทยุ ตัวอย่างรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ก็มีผู้ฟังประจำจำนวนมากจนสร้างรายได้หล่อเลี้ยงธุรกิจได้ ไม่ว่าผู้ชมของเราจะอยู่ในแพลตฟอร์มไหน สื่อใหม่หรือสื่อเก่า ช่อง 3 จะอยู่กับผู้ชมเสมอ และแต่ละสื่อจะส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน” นี่เป็นที่มาของ “ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ช่อง 3 อยู่กับคุณ”

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ปรึกษาฝ่ายข่าวช่อง 3 กล่าวเพิ่มเติมว่า “ช่อง 3 มีทรัพยากรด้านข่าวที่แข็งแรงอยู่แล้ว เราเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีพิธีกรข่าวที่มีบุคลิกไม่เหมือนกันเลย ไม่นับประสบการณ์ของแต่ละคน ลักษณะแบบนี้มีเฉพาะที่ช่อง 3 เท่านั้น”

“คุณกิตติ ข่าวสามมิติ มีบุคลิก จริงจัง ลุ่มลึก หาตัวจับยาก คุณไก่ ภาษิต เรื่องเด่นเย็นนี้ เป็นผู้ประกาศข่าวรุ่นใหม่ พูดจากระฉับกระเฉงฉับไว นำเสนอแบบจัดจ้าน คุณหนุ่ม กรรชัย เที่ยงวันทันเหตุการณ์ เกาะติดเคสดราม่า และเอามาขยี้ ไม่มีใครสู้เขาได้ คุณเอ ดนยกฤต ขันข่าวเช้าตรู่ ข่าวก่อนสว่างไม่มีอะไรดีไปกว่าลีลาคุยข่าวชาวบ้านแบบลูกทุ่ง ส่วนผม เรื่องเล่าเช้านี้ ข่าวเข้มข้นยามเช้า ทุกข่าวที่เกี่ยวกับคนดูแต่เข้าใจง่ายๆ เข้าถึงทุกคน นี่คือความแตกต่างที่ผมว่าลงตัว”

นายสรยุทธ กล่าวด้วยว่า การเริ่มโปรโมทแค่ 5 คน เป็นเพียงการเริ่มต้น ถ้าเรารวม ผู้ประกาศหลายสิบคนที่เรามีอยู่ ภาพมันจะไม่ชัด เราจะดึงจุดเด่นให้เห็นเป็นชุด เราไม่ได้มีแค่ 5 คนนี้ เรายังมีของดีอีกมาก และเราจะมีบอร์ดข่าวส่งต่อการนำเสนอกันในแต่ละรายการและแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทยอยนำเสนอต่อไป เป้าหมายของช่อง 3 เราอยากเป็นอันดับ 1 ในทุกแพลตฟอร์มข่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

JP Morgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอัดงบหนุน 'ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์ลีก' กว่า 1.5 แสนล้านบาท จบปัญหาด้านเงิน ๆ ทอง ๆ ของลีกพลิกโลก

ข่าวใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลช่วงนี้น่าจะหนีไม่พ้นการที่ 12 สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ร่วมกันจัดตั้ง European Super League ท่ามกลางการคัดค้านเต็มที่จากทั้งสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) และสมาคมฟุตบอลของแต่ละประเทศ รวมถึงพรีเมียร์ลีกอังกฤษด้วย

สำหรับ 12 สโมสร ที่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมกับโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่นี้ ประกอบไปด้วย...

6 ทีมจากอังกฤษ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล

3 ทีมจากอิตาลี ได้แก่ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน

3 ทีมจากสเปน ได้แก่ เรอัล มาดริด, แอตเลติโก้ มาดริด และ บาร์เซโลน่า

อย่างไรก็ตาม มีคำถามอยู่ว่า ใครจะเป็นผู้สนับสนุนเม็ดเงินเพื่อจัดตั้งลีกดังกล่าว?

คำตอบเผยแล้ว โดยตัวละครลับที่จะมาหนุนลีกนี้ คือ JP Morgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ได้ออกมาประกาศให้เงินสนับสนุนหรือเป็นสปอนเซอร์หลักด้านการเงินให้การแข่งขันนี้เกิดขึ้นได้ ผ่านเงินอุดหนุนกว่า 4 พันล้านยูโร หรือ 1.5 แสนล้านบาท

แน่นอนว่าปัญหาของการจัดลีกนี้ จะไม่ใช่เรื่องของเงินอีกต่อไป!!

แต่ตอนนี้ความเห็นของแฟนบอลกำลังแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนว่าจะ ‘สนับสนุน’ ให้ทีมเหล่านี้แยกตัวออกมาจัดลีกกันเอง หรือฝ่ายที่ ‘ต่อต้าน’ และอยากให้ทุกอย่างกำลังเป็นเหมือนระบบปัจจุบัน

เลือกฝ่ายไหนดี?

ที่มา: https://www.facebook.com/108586193028066/posts/751542252065787/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เจ้าแม่นาคี ‘แต้ว ณฐพร’ โชคช่วย? แชร์ 5 สูตรเด็ดสู้โควิด เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ ฝากทุกคนดูแลสุขภาพ

ไม่รู้ว่าบุญบาปแต่อย่างใด? แต่ที่แน่ “แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์” ถือว่าเป็นบุคคลที่รอดโควิด-19 ในทุก ๆ รอบที่เกิดการระบาด เพราะไม่ว่าจะใกล้ชิดกับกลุ่มความเสี่ยงสูงแค่ไหน แต่ “เจ้าแม่นาคี” อย่าง “สาวแต้ว” ก็สามารถรอด ปลอดภัย สุขภาพดีสมบูรณ์เรื่อยมา ล่าสุดเจ้าตัวได้โชว์ผลการตรวจรอบที่ 3 หลังจากการกักตัวครบ 14 วัน ก็ยังไม่พบเชื้อ

หลังคนบอกเพราะบุญกรรมที่ทำมา นั่นก็ส่วนนึง แต่การที่ "เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ" นั้นนอกจากบุญที่ทำมาแล้ว นางเอกสาวยังเผย 5 ข้อสำคัญในการปฏิบัติตัวให้รอดพ้นจากโรคระบาดโรคนี้แบบไม่มีกั๊กอีกด้วย

“3rd time in a row of 14 days quarantine”

“ถึงจะกักตัวครบแล้ว แต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาดเพราะเชื้อโรคอยู่รอบตัว...รอบตัวจริงๆ ค่ะ ยิ่งตอนนี้อยู่ในช่วงที่ยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นทุกวัน ยิ่งต้องมีสติและระมัดระวังในการใช้ชีวิตเป็นพิเศษค่ะ

หลายคนถาม...ว่าแต้วดูแลตัวเองยังไงให้ปลอดภัย เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ แต้วเลยขออนุญาตแชร์ ประสบการณ์การดูแลตัวเองของแต้วเผื่อจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ”

1.) พยายามไม่เอามือมาสัมผัสหน้าตัวเองค่ะ เพราะเราคงเลี่ยงที่จะใช้มือหยิบจับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งเชื้อ COVID-19 เป็นเชื้อโรคที่สะสมและติดได้ง่ายบนผิวสัมผัส มากกว่าการไอจามกันตรง ๆ ในอากาศ (แต่ก็ไม่ใช่จะติดจากการฟุ้งในอากาศไม่ได้เลย) และพยายามล้างมือให้เป็นนิสัยทุกครั้งที่นึกได้เลยค่ะ

2.) อีกหนึ่งสิ่งสำคัญมาก ๆ คือ ไม่ใช่แค่ใส่มาสก์นะคะ แต่เราต้องรักษาสุขอนามัยให้มาสก์สะอาดอยู่ตลอดด้วย เพราะมาสก์ควรเป็นสิ่งที่ป้องกันเราจากเชื้อโรคภายนอก แต่ถ้าเราไม่รักษาความสะอาดให้ดี มาสก์จะกลายเป็นตัวพาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเราได้ง่ายที่สุดเลยค่ะ

เลือกใช้มาสก์แบบมีสายคล้องเพื่อความสะดวก หมดกังวลที่จะต้องถอดเข้าออกและหาที่เก็บ

ถ้าเป็นมาส์ปกติ อย่าวางมาสก์ไว้บนโต๊ะ หาที่เก็บเป็นถุงหรือกระดาษทิชชู่ที่สามารถป้องกันมาสก์สัมผัสกับพื้นผิวภายนอก

ถ้าต้องไปในที่ชุมชน ที่ทำงาน โดยเฉพาะโรงพยาบาล ให้เลือกใช้มาสก์แบบใช้แล้วทิ้ง อย่าใช้มือสัมผัสแมสทั้งด้านนอก-ใน เวลาถอดเข้าออกให้จับที่สายรัดเกี่ยวหูทุกครั้ง ถ้าต้องขยับมาสก์ก็ขยับจากด้านข้าง

3.) การพ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ก็ควรใช้ในปริมาณที่จะทำความสะอาดมือได้ทั่วไม่ต่างจากตอนล้างมือ อย่าแค่พ่น 1-2 ครั้ง แต่ต้องถูให้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อให้ทั่วด้วยนะคะ

4.) พยายามรักษาระยะห่างของตัวเองกับผู้อื่น โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก แต้วหมายถึงกับทุกคนจริง ๆ โดยเฉพาะกับครอบครัว คนสนิทที่เรามักจะประมาทได้ง่าย ให้จินตนาการเสมอว่า ทุกคนอาจเป็นพาหะของเชื้อโรค ไม่ใช่ให้วิตกนะคะ แต่เพื่อเป็นการเตือนให้ตัวเองมีสติมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเองค่ะ

5.) รักษาภูมิคุ้มกันของตัวเองจากภายในให้ดีอยู่เสมอ จากการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่จะส่งเสริมให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี และการพักผ่อนให้เพียงพอ ข้อนี้สำคัญมากๆๆๆ เพราะถือเป็นด่านสุดท้ายที่เราจะป้องกันตัวจากเชื้อโรคได้ ข้อนี้ต้องอาศัยวินัยและความสม่ำเสมอ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าในเวลานี้มันคุ้มค่าจริง ๆ

ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพ และปลอดภัยจากโรคภัยทุก ๆ อย่างนะคะ”

ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000037243


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

อย. เตือน! อย่าซื้อชุดตรวจโควิด มาตรวจเอง เสี่ยงแปลผลผิด กลายเป็นผู้แพร่เชื้อไม่รู้ตัว

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้เสนอให้รัฐบาลจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเอง (Self- test) เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจเชื้อได้ด้วยตนเอง เหมือนในประเทศอังกฤษ พร้อมเสนอให้ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักรักษาตัวที่บ้านได้นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า ชุดตรวจโควิด-19 โดยการหาเชื้อจากโปรตีนดังกล่าว เรียกว่า Rapid Ag test มีลักษณะเป็นแถบตรวจ ให้หยดน้ำยาที่มีเนื้อเยื่อจากการแยงจมูก (swab) ชุดทดสอบนี้หากตรวจในช่วงแรกหลังรับเชื้อ หรือเลยช่วง 7-10 วันหลังมีอาการ อาจให้ผลลบปลอม จนนำไปสู่การแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นได้

ดังนั้น การแปลผลต้องอาศัยความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ซึ่งต่างจากการตรวจหาเชื้อจากสารพันธุกรรมด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR ที่สามารถตรวจพบเชื้อได้แม้มีปริมาณเชื้อไม่มาก นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยวิธีอื่น ได้แก่ RT-LAMP ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.แล้ว เช่น COXY-AMP ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือและอุปกรณ์ทางห้องปฏิบัติการในการตรวจ ประชาชนทั่วไปไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง

รองเลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า การใช้ชุดตรวจมาตรวจเอง มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ขั้นตอนและเทคนิคในการเก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก หากเก็บไม่ถูกวิธีจะเสี่ยงต่อการแปลผลที่คลาดเคลื่อนและให้ผลลบปลอมได้ หากผู้ใช้แปลผลไม่ถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงการกระจายการติดเชื้อในวงกว้าง ประสิทธิภาพของชุดตรวจด้วยตัวเอง มีความแม่นยำน้อยกว่าวิธีมาตรฐาน RT-PCR ที่ตรวจโดยห้องปฏิบัติการโดยตรง ส่งผลให้มีโอกาสเกิดผลลบปลอมที่สูงกว่า และถึงแม้ว่าผลทดสอบจะปรากฏผลลบ ยังจำเป็นต้องประเมินอาการและปัจจัยอื่นร่วมด้วย ซึ่งต้องอาศัยการให้คำแนะนำโดยบุคลากรทางการแพทย์ ที่สำคัญหากพบผลบวกต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่สามารถกักตัวที่บ้าน เพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที และป้องกันกรณีไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสม อาจแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว จนนำไปสู่การแพร่ระบาดรอบใหม่

ปัจจุบัน อย. ได้อนุญาตน้ำยาที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก มีความแม่นยำมากที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ โดยจำนวนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ได้รับอนุญาตแล้ว มีมากกว่า 80 ผลิตภัณฑ์ จากหลากหลายบริษัท เพียงพอสำหรับการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ซึ่งมีมากกว่า 270 แห่งทั่วประเทศ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

คดีพลิก!! Elon Musk เฉลยผู้เสียชีวิต 2 รายจากอุบัติเหตุบนรถ Tesla เหตุไม่ได้ซื้อบริการ ‘ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ’

เพจ ทันโลกกับ Trader KP ได้เผยข่าวใหญ่ในวงการรถยนต์เมื่อวานนี้ หลังจากมีผู้โดยสารรถเทสล่า เปิดใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot) แต่รถเกิดเสียหลัก พุ่งเข้าชนต้นไม้ในเมือง Houston จนเกิดไฟลุกท่วม เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามเข้าช่วยเหลือ แต่เนื่องจากการดับไฟที่ลุกจากแบตเตอรี่ของรถ Tesla นั้น ต้องใช้วิธีการดับไฟที่แตกต่างจากไฟปกติ ทำไม่ให้สามารถคุมไฟไว้ได้ จนเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต 2 ราย"

ข่าวนี้ได้ส่งผลให้หุ้น Tesla ร่วงลงทันที -7% คืนนี้ จากระดับ 740 เหรียญลงมา -50 เหรียญจนเหลือ 690 เหรียญไปเลยทันที เพราะตลาดมองว่าระบบ Autopilot ของ Tesla มีช่องโหว่

อย่างไรก็ตามคดีนี้ อาจพลิกอีกครั้ง หลังจากเช้านี้ทาง Elon Musk ได้ออกมาทวีตเฉลยว่า “จากการกู้ข้อมูลจากระบบบันทึกของรถ (Data Logs) เราพบว่ารถคันนี้ไม่ได้เปิดใช้งานเทคโนโลยี Autopilot เพราะรถคันนี้ไม่ได้ทำการซื้อบริการไว้ด้วยซ้ำ”

โดยรถของ Tesla นั้นไม่ต่างอะไรกับ App Store ของ Apple เลยที่หลังจากซื้อรถยนต์ไปแล้วหากผู้ใช้ต้องการใช้บริการเทคโนโลยีอะไรเพิ่มเติมก็สามารถจ่ายเงินซื้อได้ แต่รถคันนี้ไม่ได้ทำการซื้อไว้ และ Elon กล่าวต่อว่า

“ด้วยระบบ Autopilot ปัจจุบัน ทาง Tesla กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าต้องใช้บนถนนที่ต้องมีเส้นปะแยกระหว่างเลน ซึ่งถนนดังกล่าวไม่ได้มี”

ทาง Elon อธิบายว่าด้วยการที่ระบบ Autopilot ปัจจุบันยังไม่ถึงระดับ 5 ทำให้ตอนนี้หากจะใช้ระบบนี้รถ Tesla ต้องวิ่งบนถนนที่มีเส้นปะแยกเลน แต่ผู้ขับไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น

แต่คำถามที่หลายฝ่ายตั้งตามมาก็คือ ถ้าพวกเขาไม่ได้ซื้อระบบ Autopilot ไว้ ทำไมพวกเขาถึงไม่มีใครนั่งอยู่บนที่คนขับเลย เพราะสิ่งที่ตำรวจพบหลังจากมาถึงที่เกิดเหตุคือ #ผู้โดยสารที่เสียชีวิตทั้งคู่ไม่มีใครนั่งอยู่ที่พวงมาลัยเลย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า พบศพชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้า (ที่นั่งข้างคนขับ) และศพชายคนที่สอง นั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลัง

ทำให้หลายฝั่งตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือชายทั้ง 2 พยายามที่จะขยับตัวหลังจากที่รถได้ชนไปแล้ว?

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจาก Elon ได้ทวีตข้อความดังกล่าว ก็ทำให้หุ้น Tesla ดีดขึ้นกลับไปที่ระดับเดิม โดยราคาหุ้น Tesla ช่วงหลังตลาดปิด (Post Market Trade) ได้ดีดกลับขึ้นไปที่ระดับ 730 เหรียญต่อหุ้น หลังจากทาง Elon ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง

ถึงกระนั้น ตัวแปรของมูลเหตุความจริงทั้งหมด ก็คือรถยนต์ Tesla ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลทุกอย่างได้ผ่านระบบ Online ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการขับขี่หรือการเปิดปิดอุปกรณ์ต่างๆบนเครื่องยนต์ ซึ่งทางบริษัทย่อมต้องมีข้อมูลทุกอย่างและง่ายต่อการสืบสวนอุบัติเหตุ และตรงนี้เองจะแสดงให้เห็นว่า ดราม่า Tesla รอบนี้ อันไหนจริง อันไหนเท็จต่อไป

ที่มา: https://www.facebook.com/108586193028066/posts/751807305372615/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘หมอยง’ ชี้!! ติดโควิดแล้ว ‘ติดได้อีก’ แต่ติดได้ยากขึ้นกว่า ‘คนไม่เคยติด’

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการติดเชื้อโควิด-19 ในรายของผู้ที่เคยติดมาก่อนหน้านี้แล้วว่า…

โควิด-19 ผู้ที่ติดเชื้อมาแล้ว ติดเชื้อซ้ำได้หรือไม่ ต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่?

จากการติดตามบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศอังกฤษ เปรียบเทียบกลุ่มที่ติดเชื้อมาแล้วกับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อนเป็นระยะเวลา 7 เดือน พบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว โอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำใหม่น้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อนร้อยละ 84 จากข้อมูลก็เปรียบเสมือนว่าคนที่เคยติดเชื้อมาแล้วมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยละ 84 (Hall VJ et al, Lancet 2021; 397: 1459–69)

น่าจะพูดง่าย ๆ ให้เข้าใจว่า ถ้าการติดเชื้อจริงหรือเอาไวรัสจริงมาเป็นวัคซีน ทำให้เกิดโรค ยังป้องกันได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้มีประสิทธิภาพร้อยละ 84 วัคซีนถ้าสร้างภูมิต้านทานให้ได้เท่ากับการติดเชื้อจริงในธรรมชาติจะป้องกันได้ร้อยละ 84 การติดเชื้อซ้ำถึงแม้ว่าเคยติดเชื้อมาแล้วก็เกิดขึ้นได้ แต่ก็น้อยกว่าคนที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ในระยะยาวถึงแม้ว่าติดเชื้อมาแล้ว ภูมิต้านทานไม่ได้ปกป้องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนโรคบางโรค เช่น โรคหัด โรคสุกใส ที่เป็นแล้วจะไม่เป็นอีกในชีวิตนี้

จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า การที่เคยเป็นโรคแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก ทำนองเดียวกันการฉีดวัคซีนก็เหมือนกับการกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานแบบการติดเชื้อ วัคซีนจึงไม่สามารถป้องกันได้ 100% วัคซีนที่ป้องกันได้เกินกว่า 84% ก็ถือว่าเหนือกว่าการติดเชื้อโดยธรรมชาติแล้ว

ในอนาคตการให้วัคซีน จำเป็นต้องมีการให้ซ้ำอีกแน่นอน ในวัคซีนทุกชนิดจะต้องมีการกระตุ้นน่าจะเป็นหลัง 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันในระยะยาวหรืออาจจะต้องกระตุ้นทุกปีหรือทุก 2-3 ปีก็คงขึ้นอยู่กับข้อมูล

ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ติดเชื้อมาแล้วก็ยังคงต้องให้วัคซีนในการป้องกันโรค ระยะเวลาในการให้วัคซีนหลังติดเชื้อควรจะอยู่ในระยะ 3-6 เดือนหลังจากติดเชื้อ จำนวนครั้งในการให้วัคซีนในผู้ติดเชื้อมาแล้ว เป็นที่น่าสนใจเพราะเชื่อว่าการกระตุ้นเพียงครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอ แต่ถ้าติดเชื้อมาแล้วเป็นปี การให้วัคซีนก็อาจจะต้องให้แบบคนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นโอกาสทองของบริษัทวัคซีนแน่นอน

ที่มา: https://www.facebook.com/108692177438990/posts/290843352557204/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รัฐบาลลาว เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายแล้ว 85% และคาดว่า อีก 22% ของประชากร จะได้ฉีดภายในปีนี้

รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กำลังดำเนินการตามแผนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยขณะนี้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว

รายงานระบุว่า รัฐบาลลาววางแผนที่จะฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างน้อย 150,000 รายในขั้นตอนแรกของโครงการ

หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทมส์ รายงานโดยอ้างคำพูดของนายพอนปะเสิด อุ่นพม อธิบดีกรมอนามัยและส่งเสริมสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขลาว โดยระบุว่า 85% ของประชากรกลุ่มเป้าหมายในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนั้น ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการเฉพาะกิจแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 เปิดเผยข้อมูล ณ วันที่ 4 เม.ย. ว่า ลาวได้ฉีดวัคซีนโดสแรกให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงประมาณ 103,000 ราย ส่วนโดสที่ 2 จำนวน 6,171 ราย การฉีดวัคซีนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขกำลังเร่งดำเนินการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลลาวได้ขยายโครงการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น นอกเหนือจากผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข

นอกจากนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากกระทรวง, องค์กรเทียบเท่ากระทรวง, หน่วยงานท้องถิ่น, สถานทูตต่างประเทศ, องค์กรระหว่างประเทศ และครอบครัวตลอดจนธุรกิจบางประเภทที่มีความความเสี่ยง ได้ถูกผนวกรวมเข้ากลุ่มเป้าหมายภายใต้โครงการเพิ่มเติมด้วย

รายงานก่อนหน้านี้ ยังระบุว่า ประมาณ 22% ของจำนวนประชากรลาว หรือประมาณ 1.6 ล้านคน จะได้รับการฉีดวัคซีนในปี 2564

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของจำนวนประชากร ภายในปี 2565 และจะมีผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป

ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/foreign/464176


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รมช.แรงงาน มอบ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ปรับแผนการประชุมสัมมนาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทำงานต่อเนื่องไม่หวั่นพิษโควิด-19 เดินหน้าจัดงานหาแนวร่วมช่วยคนพิการ

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากมาตรการที่รัฐบาลได้ประกาศขอความร่วมมือให้หน่วยงานภาครัฐ จัดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ จนถึง 30 เมษายน พ.ศ.2564 และงดการจัดงานประชุม สัมมนา ที่มีการรวมคนเกินกว่า 50 คน นั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ควรมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน มีกำหนดจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ภายใต้ชื่องาน “เสริมฝีมือ สร้างสุข ให้อาชีพคนพิการ” และเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการให้ความร่วมมือดำเนินการมาตรา 33 และมาตรา 35 ให้มากยิ่งขึ้น จึงมีการปรับแผนการสัมมนาเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2564

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อว่า การจัดงานในครั้งนี้ต้องการเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการจ้างคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 และดำเนินการตามมาตรา 35 ให้มากขึ้น ซึ่งการปฏิบัติตามมาตรา 35 มีหลายกิจกรรมที่สถานประกอบกิจการสามารถทำได้ เช่น จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน จัดให้มีอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ เป็นต้น เพื่อลดการจ่ายเงินมาตรา 34 ให้น้อยลง

ปัจจุบัน มีสถานประกอบกิจการที่กระทรวงแรงงานมีข้อมูลหรือดำเนินการตามมาตรา 34 มีประมาณ 10,000 กว่าแห่ง จึงต้องการเชิญชวนสถานประกอบกิจการในกลุ่มนี้ ดำเนินการตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 35 นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับมูลนิธิฯ สมาคมคนพิการทั้งหลายในการขับเคลื่อนการทำงานในครั้งนี้ด้วย

การสัมมนาในครั้งนี้ จัดสัมมนาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ดังนั้นสถานประกอบกิจการที่สนใจเข้าร่วมรับฟังข้อมูล สามารถแจ้งเข้าร่วมงานดังกล่าวได้ที่กองพัฒนาศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบกิจการ 022453705 และติดตามการไลฟ์สด ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

“ปัจจุบันมีหลายบริษัทดำเนินการแล้ว แต่ต้องการกระจายความร่วมมือนี้ออกไปให้มากยิ่งขึ้น ตามแนวทาง “เพิ่มการจ้าง มีการจัดและลดการจ่าย” เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิตคนพิการได้อย่างยั่งยืน การช่วยเหลือคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ 1 คน ถือว่าได้ช่วยคนในครอบครัวนั้นได้ 3-4 คน และจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top