Saturday, 10 May 2025
NEWS

สมศักดิ์ ย้ำ! 4 แกนนำม็อบ 3 นิ้ว ไม่มีมือถือ ไม่มีสิทธิพิเศษ ยัน! ผิดเงื่อนไขเสียสิทธิลดโทษ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้สัมภาษณ์กรณีมีการตั้งข้อสังเกตทำไม 4 แกนนำกลุ่มราษฎรที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ยังแสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊กส่วนตัวได้ ว่า

“เราต้องเข้าใจว่าทั้ง 4 คน มีแอดมินเพจเป็นของตัวเอง หากทั้ง 4 คน มีโทรศัพท์มือถือก็จะถูกตัดสิทธิบางอย่าง เพราะการมีโทรศัพท์มือถือเป็นการผิดเงื่อนไข เช่น การใช้เงินในเรือนจำ การขึ้นชั้นนักโทษจากชั้นกลางเป็นชั้นดี จากชั้นดีเป็นชั้นดีมาก จากชั้นดีมากเป็นชั้นเยี่ยม เหมือนกรณีแค่การส่งจดหมายออกมา 1 ฉบับก็ถูกตัดสิทธิหลายอย่างเช่นติดคุก 1 เดือน จากได้ลดโทษ 5 วันก็จะไม่ได้ลดโทษเรียกว่าเป็นการเสียค่าโง่"

เมื่อถามย้ำว่า 4 แกนนำ ไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัวใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ไม่มี ถ้ามีแล้วถูกจับได้ก็จะให้รางวัลกับคนที่จับได้ ยืนยันว่าไม่มีโทรศัพท์ 1,000 เปอร์เซ็นต์

เมื่อถามว่า 4 แกนนำสามารถสั่งและนำอาหารมารับประทานเองได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในเรือนจำมีครัวเล็กอยู่ มีร้านค้าสวัสดิการของผู้ต้องขังที่จะทำเป็นอาหารถุงวางขายให้นักโทษ ส่วนกรณีนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มราษฎร ในวันที่เข้าเรือนจำวันแรกนั้น ก่อนหน้านั้นเขาต้องไปศาลและทำเรื่องมากมาย พอถึงห้องขังก็หิว มื้อแรกเลยให้สั่งอาหารได้เต็มที่ ซึ่งผู้ปกครองเป็นผู้สั่งอาหารให้

วัคซีน Sinovac มาแล้ว ไปดูกันว่า ใคร? ที่ไหน? จะได้ฉีดวัคซีน 200,000 โด๊สแรกกันบ้าง?

เป็นภาพข่าวที่ชิงพื้นที่สื่อทุกสำนักไปเมื่อวาน สำหรับการรับมอบ ‘วัคซีน Sinovac’ จากประเทศจีน ที่ขนส่งมาถึงประเทศไทยเมื่อสายวานนี้ สเต็ปต่อไป คงไม่ต้องถามกันอีกแล้วว่า ‘เมื่อไรจะมีวัคซีน’ แต่จุดนี้ สิ่งที่ควรรู้ต่อไปคือ จะแจกจ่ายทำการฉีดเมื่อไร กระจายไปที่ไหน ใครได้ฉีดกันบ้าง เราสรุปมาให้อ่านกันดังนี้

1. วัคซีนป้องกันโควิด -19 ของบริษัท Sinovac ล็อตแรกนี้ จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคุณภาพวัคซีนเสียก่อน คาดว่าไม่เกินวันที่ 27 ก.พ. จะเสร็จสิ้นในกระบวนการ

2. วัคซีนจำนวน 2 แสนโด๊สนี้ จะกระจายไปตามพื้นที่ 13 จังหวัด แบ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด 1 จังหวัด พื้นที่ควบคุม 8 จังหวัด และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอีก 4 จังหวัด

3. พื้นที่ควบคุมสูงสุด ได้แก่ จ.สมุทรสาคร ได้รับวัคซีน 70,000 โด๊ส โดยมี 4 กลุ่มที่จะได้รับการฉีด คือ

    - กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า 8,000 โด๊ส

    - กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย 6,000 โด๊ส

   - ประชาชนผู้ที่มีโรคประจำตัว 46,000 โด๊ส

   - ประชาชนทั่วไปและแรงงาน 10,000 โด๊ส

4. พื้นที่ควบคุม 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (ฝั่งตะวันตก) ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ตาก (อ. แม่สอด) นครปฐม สมุทรสงคราม และราชบุรี ทั้งหมดจะได้รับวัคซีน 99,000 โด๊ส จัดแบ่งการฉีดออกเป็น

   - กรุงเทพมหานคร (ฝั่งตะวันตก) 66,000 โด๊ส

     12,400 โด๊ส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

     1,600 โด๊ส ฉีดให้เจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย

     47,000 โด๊ส ฉีดให้ประชาชนผู้ที่มีโรคประจำตัว

     5,000 โด๊ส ฉีดให้ประชาชนทั่วไปและแรงงาน

  - ปทุมธานี 8,000 โด๊ส

    3,000 โด๊ส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

    2,000 โด๊ส ฉีดให้เจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย

    2,000 โด๊ส ฉีดให้ประชาชนผู้ที่มีโรคประจำตัว

    1,000 โด๊ส ฉีดให้ประชาชนทั่วไปและแรงงาน

  - นนทบุรี 6,000 โด๊ส

    2,000 โด๊ส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

   1,000 โด๊ส ฉีดให้เจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย

   2,000 โด๊ส ฉีดให้ประชาชนผู้ที่มีโรคประจำตัว

   1,000 โด๊ส ฉีดให้ประชาชนทั่วไปและแรงงาน

 - สมุทรปราการ 6,000 โด๊ส

   2,000 โด๊ส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

   1,000 โด๊ส ฉีดให้เจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย

   2,000 โด๊ส ฉีดให้ประชาชนผู้ที่มีโรคประจำตัว

  1,000 โด๊ส ฉีดให้ประชาชนทั่วไปและแรงงาน

 - ตาก (อ. แม่สอด) 5,000 โด๊ส

   3,000 โด๊ส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

   2,000 โด๊ส ฉีดให้เจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย

- นครปฐม 3,500 โด๊ส

  2,500 โด๊ส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

  1,000 โด๊ส ฉีดให้เจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย

 - สมุทรสงคราม 2,000 โด๊ส

   1,500 โด๊ส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

   500 โด๊ส ฉีดให้เจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย

 - ราชบุรี 2,500 โด๊ส

    2,000 โด๊ส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

   500 โด๊ส ฉีดให้เจ้าหน้าที่ที่สัมผัสผู้ป่วย

5. พื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม มีทั้งสิ้น 4 จังหวัด คือ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (อ.เกาะสมุย) และเชียงใหม่ จะได้รับวัคซีนทั้งหมด 14,700 โด๊ส โดยแบ่งฉีดให้ตามกลุ่มประชาชนต่าง ๆ โดยทางคณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัดแต่ละจังหวัด จะพิจารณาจัดสรรจำนวนวัคซีนให้แต่ละกลุ่มเป้าหมาย ตามสถานการณ์และบริบทของแต่ละพื้นที่เอง ทั้งนี้แต่ละจังหวัดจะได้รับจำนวนวัคซีนที่แตกต่างกัน เช่น

  - ชลบุรี 4,700 โด๊ส

  - ภูเก็ต 4,000 โด๊ส

  - สุราษฎร์ธานี (อ.เกาะสมุย) 2,500 โด๊ส

  - เชียงใหม่ 3,500 โด๊ส

สรุปวัคซีน Sinovac ที่ถูกแจกจ่ายในครั้งนี้ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 183,700 โด๊ส ส่วนที่เหลือจำนวนอีกกว่า 16,300 โด๊ส จะถูกเก็บสำรองเอาไว้ เพื่อกรณีการควบคุมการระบาด และฉีดให้บุคลากรในโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วย COVID-19 ต่อไป

ส่วนการฉีดวัคซีน จะถูกใช้ 2 โด๊ส ต่อประชาชน 1 คน ที่ได้รับการฉีดวัคซีน โดยกลุ่มเป้าหมายที่ถูกฉีด จะได้รับวัคซีนเข็มแรกกับเข็มที่สอง ห่างกันเป็นเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์

โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรม ต้นเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป...

‘แก้วสรร อติโพธิ’ เชื่อ กปปส.สามารถชี้แจงและพลิกคดีได้ในชั้นอุทธรณ์ ชี้การชุมนุมเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ยันไม่ได้ทำผิด เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ พร้อมเปรียบการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดังเช่น การไล่งูเห่าออกจากห้องนอน

นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง "รายงานจากศาลอาญา คดี กปปส." ผ่าน www.thaipost.net โดยมีรายละเอียดว่า

ถาม : อาจารย์หลุดเข้าไปเป็นจำเลยใน คดี กปปส.ได้อย่างไร ทำแค่ขึ้นเวทีเท่านั้น

ตอบ : ทฤษฎีของดีเอสไอและอัยการภายใต้บัญชาการทางการเมืองขณะนั้น ใช้ทฤษฎีเหมาเข่ง ใครมีการกระทำเป็น พันธมิตร กปปส. ต้องหาทางจับขึ้นศาลให้หมดขนาดนักดนตรีขึ้นเวทีพันธมิตรที่สุวรรณภูมิ ยังโดนฟ้องสนับสนุนก่อการร้ายเลย ผมเองโดนสนับสนุนแกนนำ กปปส.กระทำผิด เพราะปราศรัยทำให้ลุงกำนันสุเทพมีกำลังใจ

ถาม : ศาลท่านตัดสินอย่างไรในปัญหานี้

ตอบ : เมื่อศาลไม่ยอมเหมาเข่งตามที่ฟ้อง ผมก็ต้องรับผิดในส่วนการขึ้นเวทีของผมเท่านั้นก็เลยหลุดคดีไป ส่วนแกนนำเองก็รับผิดต่างกรรมกันไปเฉพาะส่วนที่ตนทำ คุณถึงเห็นโทษไม่เท่ากันซักคนต่างกันไป ก็ถูกต้องแล้วครับที่ศาลท่านปฏิเสธทฤษฎีเหมาเข่งแบบนี้ พนักงานสอบสวนกับอัยการช่วยจำไว้ด้วย คดีม็อบสามนิ้ว ต้องอย่าทำอย่างนี้อีก

ถาม : อาจารย์รู้สึกไหมครับว่า ทำเพื่อชาติไล่ความชั่วออกจากบ้านเมืองแล้ว ทำไมถึงติดคุกกันอย่างนี้

ตอบ : ผมสงสารเพื่อนจำเลยที่เป็นแกนนำมากๆ ส่วนตัวผมเองไม่ดีใจอะไรที่ศาลยกฟ้องเพราะรู้อยุ่แล้วว่า ไม่มีอะไรให้ลงโทษผมได้ ผมทำแค่ปราศรัยด้วยเหตุด้วยผลเท่านั้น ในส่วนความคิดทางกฎหมายนั้น ผมยังเชื่อว่าคดีพลิกในชั้นอุทธรณ์ได้ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับ “ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญของ กปปส.” ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๙ ว่า

มาตรา ๖๙ บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

ถาม : เห็นในคำพิพากษาก็รับไว้แล้วมิใช่หรือว่า เรากำลังใช้สิทธิชุมนุมโดยสงบ และสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ

ตอบ : ท่านขึ้นต้นไว้ก่อนเลยสั้นๆว่าเรามีสิทธิ แต่หลังจากนั้นท่านยืนยันทุกครั้งที่วินิจฉัยความผิดแต่ละกระทงว่า “จะนำสิทธิพื้นฐานมายกเว้นการกระทำผิดกฎหมายไม่ได้” ตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้ความผิดตามกฎหมายต่างๆ มันแห่เข้ามาเอาผิดแกนนำได้ ทั้ง ก่อความวุ่นวาย ขัดขวางเลือกตั้ง บุกรุกสถานที่ราชการ ยุยงเจ้าหน้าที่รัฐหยุดงาน มีที่หลุดไป ๒ ข้อหาคือ กบฏ กับ ก่อการร้าย นั่นก็หลุดไปเพราะท่านเห็นว่าไม่เข้าองค์ประกอบ มิใช่เพราะมีอำนาจกระทำตามสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ

ถาม : แล้วอย่างนี้จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญากันอย่างไร

ตอบ : ก็ต้องอุทธรณ์ทั้งสองปัญหาครับ ว่า

๑. อุทธรณ์ว่าการกระทำของเราไม่เข้าองค์ประกอบความผิด เช่นว่าเข้ากระทรวงคลังไปชักชวนเจ้าหน้าที่ให้หยุดงานเท่านั้น มิใช่การบุกรุกแย่งการครอบครอง ฯลฯ นี่ก็ต่อสู้กันไปตามเนื้อพยานหลักฐาน

๒. อุทธรณ์ว่า เราไม่ผิด เพระเรามีอำนาจกระทำได้ ตาม มาตรา ๖๙ เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เราไม่ได้เอาสิทธิพื้นฐานมายกเว้นความผิดอย่างที่ศาลต้นเข้าใจแต่เรายืนยันเลยว่าเรามีอำนาจป้องกันรัฐธรรมนูญ เหมือนใช้สิทธิป้องกันตัวเอาปืนยิงนักเลงที่จะแทงลูกเราเลยทีเดียว ข้อต่อสู้นี้คดีอื่นไม่มีเหมือนอย่างเรา

ถาม : คดีอื่น นี่คดีไหนครับ

ตอบ : คดี นปช.ขับไล่รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ ก็ไม่มีสิทธินี้ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นภัยอะไรต่อรัฐธรรมนูญ ส่วนคดีพันธมิตรขณะลุกฮือขึ้นขับไล่ระบอบทักษิณนั้น ภัยจากระบอบทักษิณก็ยังไม่ชัดและประชิดรัฐธรรมนูญเหมือนคดี กปปส. ยิ่งคดีม็อบสามนิ้วด้วยแล้ว สถาบันกษัตริย์ยิ่งไม่เป็นภัยอะไรเลย

ถาม : ยุค กปปส. ระบอบทักษิณเป็นภัยสุกงอมแล้วหรือ

ตอบ : ถูกยุบพรรคมาแล้ว ๒ หน, คดีทุจริตศาลลงโทษแล้วหลายคดี, โยกย้ายญาติมิตรลูกน้องเข้ายึดตำแหน่งสำคัญจนศาลตัดสินเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้ง, พยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ๒ ครั้ง, หนีคดีไปต่างประเทศแต่ส่งน้องสาวมาเป็นหุ่นเชิดยึดครองการเมืองไทยโดยมิชอบ, เป็นเผด็จการรัฐสภาใช้เสียงข้างมากนิรโทษคดีคอร์รัปชั่นให้ตนเองฯลฯ เหล่านี้มันชัดในสายตา กปปส.แล้ว ว่าระบอบทักษิณ เป็นเหมือน งูเห่าที่หลุดเข้ามาในห้องนอน ต้องตีต้องไล่ออกไปให้ได้ เมื่อศาลมาลงโทษเรา เราจึงไม่เห็นด้วยว่า เราจะผิดฐานทรมานสัตว์ไปได้อย่างไร

ถาม : ข้อต่อสู้ว่า กปปส.กำลังไล่งูเห่านี่ใช่ไหม ที่จะเป็นข้ออุทธรณ์สำคัญ

ตอบ : ครับ ถ้าศาลสูงรับว่าเรามีสิทธินี้อยู่จริง เราก็มีสิทธิต่อต้านโดยสงบ ซึ่งอาวุธสำคัญของการต่อต้านโดยสงบก็คือ การหยุดงาน ดังนั้นการที่เราเข้าไปชวนข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่หยุดงานจึงไม่ผิด ทั้งบุกรุกและยุยงปลุกปั่น การขัดขวางเลือกตั้งโดยสงบก็ไม่ผิด จะเหลือที่น่าสงสัยว่าเกินขอบเขตสันติวิธี อยู่ไม่กี่กระทงเท่านั้น ซึ่งก็ลงโทษต่ำกว่ากฎหมายได้ เหมือนกับป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ ที่ยังผิดแต่ลดโทษได้

ถาม : จะอุทธรณ์กันเมื่อใด

ตอบ : ก็ต้องโดยเร็วที่สุด รอลุงกำนันได้ประกันตัวก่อน

ถาม : ทำไมลุงกำนันกับพวก ๘ คน ไม่ได้ประกัน เหมือนอีก ๖ คนที่ได้ประกัน

ตอบ : ข้อนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆครับ ถ้าเป็นคดีใหญ่โทษหนักเช่นราชายาเสพติด แล้วศาลต้นขอให้สั่งประกันโดยศาลสูง ดังนี้ผมเคยเห็นและพอเข้าใจเหตุผลได้แต่ศาลอาญาเป็นศาลต้นศาลหลักของประเทศ ลุงกำนันก็โทษ ๕ ปี เท่านั้น ทำไมศาลอาญาไม่สั่งเสียเอง ผมก็ไม่ทราบเหตุผลของท่าน

ถาม : แล้วเมื่อใดศาลอุทธรณ์จะสั่งคำขอประกัน ต้องรอเรายื่นอุทธรณ์คดีก่อนหรือ

ตอบ : ไม่ต้องรอครับ วันสองวันนี้ก็สั่งได้แล้ว

ถาม : มีคนคิดกันว่า ศาลเหี้ยมกับ กปปส. เพื่อขู่คดี ๓ นิ้ว นะครับ

ตอบ : อย่าไปคิดอย่างนั้น คิดไปได้ก็จริงแต่มันไม่มีความน่าจะเป็นให้เห็นเลยครับ


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/94196#

‘บิ๊กตู่’ เชื่อราคายางพาราทั้งปีเฉลี่ย กก.ละ 60 บาท หลังความต้องการยางพาราเพิ่มต่อเนื่อง ทั้งตลาดต่างประเทศและไทย ระบุ อุตสาหกรรมรถยนต์จีน - ถุงมือยาง ช่วยหนุนราคาบวกต่อเนื่อง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พอใจสถานการณ์ยางพาราที่มีแนวโน้มราคาบวกอย่างต่อเนื่อง คาดว่าทั้งปีราคายางแผ่นดิบทรงตัวเฉลี่ยอยู่ที่ราคา 60 บาท/กก. จากปัจจัยสนับสนุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ให้แนวทางการใช้ยางพาราผลิตเป็นเสาหลักนำทางและแบริเออร์นั้น ทำให้มีความต้องการยางพาราและน้ำยางพาราเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อเม็ดเงินที่ถึงเกษตรกรชาวสวนยางพาราที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ราคายางพารามีแนวโน้มอยู่ในทิศทางบวกตลอดช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากความต้องการใช้ยางพาราทั้งจากต่างประเทศมีเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน การกระตุ้นเศรษฐกิจหลังช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 สนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ในหลายมณฑลเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการนำเข้าล้อยางรถยนต์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยางพารามากยิ่งขึ้น ประกอบกับความต้องการใช้ยางภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมถุงมือยางจากผู้ประกอบการเดิมและรายใหม่ เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 1 เท่าตัว จาก 4,000 ล้านชิ้น เป็น 8,000 ล้านชิ้น

ที่สำคัญคือ การดำเนินนโยบายของรัฐบาล ทั้งการนำยางพารามาใช้ในด้านความปลอดภัยทางถนน แบริเออร์คอนกรีตหุ้มยางพารา และเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ ช่วยดึงยางออกจากระบบ ทำให้ราคายางพาราแผ่นดิบและน้ำยางพาราสามารถยืนอยู่เหนือ 60 บาท/กก. ได้

"นายกฯ ได้มอบนโยบายการเกษตร BCG แบบยั่งยืน ด้วยการเกษตรผสมผสาน ลดความเสี่ยงด้านผลผลิต รวมทั้งโครงการแปลงใหญ่ เน้นให้มีการรวมกลุ่มของเกษตรกร ให้ความรู้สนับสนุนเงินทุนเพิ่มศักยภาพการผลิตทั้งในรูปแบบต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีแทนการขายวัตถุดิบ ตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาลได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้กับเกษตรกร"

‘ชวน’ เผย ส.ส.กปปส. ถูกจำคุก ทำหลุดสมาชิกภาพ รอ กกต.ดำเนินการต่อ ยอมรับ ผบ.ตร. ขอตัว ‘เอ๋ ปารีณา’ ไปสอบ แต่บอกปิดสมัยประชุมนำตัวไปได้ทันที

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 5 ส.ส.และไม่ให้ประกันตัว ประกอบด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร นายอิสสระ สมชัย ส.ส. บัญชีรายขื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เมื่อไม่ได้ประกันตัวสมาชิกภาพความเป็นส.ส.ก็ต้องหมดไป ขั้นตอนหลังจากนี้อยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะดำเนินการอย่างไรต่อไป เหมือนกรณีของนายนวัธ เตาะเจริญสุข อดีต ส.ส.ขอนแกน พรรคเพื่อไทย ที่โดนคดีอาญาจ้างวานฆ่า จากนั้นกกต.จะเป็นผู้วินิจฉัยและดำเนินการขณะที่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามกฎหมาย

นายชวน ยังเปิดเผยว่า ได้รับหนังสือจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ขอตัว ส.ส.ไปสอบสวน 2 คน หนึ่งในนั้นคือน.ส. ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ไปดำเนินคดีกรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแล้ว ซึ่งช่วงระหว่างนี้ใกล้ปิดสมัยประชุมแล้วจึงบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมไม่ทัน แต่หลังจากนี้ เมื่อปิดสมัยประชุมแล้ว ส.ส.ก็จะไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ตำรวจสามารถเรียกไปสอบสวนได้โดยไม่ต้องขออนุญาตสภาฯ

นายชวน ยังกล่าวถึงการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ว่า ตอนนี้ยืดเยื้อมาก สมาชิกอภิปรายหลักการมากกว่าการแปรญัตติ วันนี้ (25 ก.พ.) จึงจะขอร้องให้สมาชิกอภิปรายอยู่ในกรอบ เมื่อวานนี้ (24 ก.พ.) เสียเวลาไปกับการพิจารณาการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) วันนี้อาจจะเร็วขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของ ส.ส.หากมีความประสงค์จะให้รัฐธรรมนูญออกมาได้ต้องช่วยกัน ไม่ใช่ประวิงเวลา ซึ่งหากวันนี้ไม่เสร็จ ก็ต้องหารือกันว่าจะจะขยายการพิจารณาพรุ่งนี้ได้หรือไม่ แต่ส่วนตัวไม่มีปัญหา

‘วิษณุ เครืองาม’ ย้ำ 3 รมต. ที่ถูกตัดสินจำคุก หลุดเก้าอี้แล้ว เผย รมว.อิทธิพล รักษาการ ก.ดีอีเอส คุณหญิงกัลยา รักษาการ รมว.ศธ. ชี้ ต้องดูปมส.ส. ถูกจำคุกโดยหมายศาลหรือไม่ เหตุมีสิทธิกลับเข้าสภาได้ ชี้ นี่คือยาแรงของรัฐธรรมนูญ ปี 60

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีศาลอาญาพิพากษา จำคุกบุคคลที่เป็นรัฐมนตรี จึงต้องหลุดจากตำแหน่งทันทีใช่หรือไม่ ว่า เป็นธรรมดาที่ทราบกันอยู่แล้ว ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัด ในเรื่องของการพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวตามตรา 170 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญจะต้องโยงกับกฎหมายหลายมาตรา โดยม.170(4) ความเป็นระบุว่าความเป็นรัฐมนตรีย่อมสิ้นสุดลงตามเป็นการเฉพาะตัว เมื่อมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160(7) ที่ระบุถึง การต้องคำพิพากษาให้จำคุก ดังนั้นเมื่อศาลพิพากษาให้จำคุก ไม่ว่าจะถึงที่สุดหรือไม่แต่รัฐธรรมนูญให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง อย่างชัดเจน

ส่วนกรณีคนที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 101(13) โดยปกติหากศาลยังไม่ตัดสินถึงที่สุด ให้จำคุก ก็จะยังไม่พ้น แต่จะมีเหตุอื่นเข้ามา เช่นศาลสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ก็จะโยงไปถึงการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งมาตรา 96(2) ที่ระบุว่าหากเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าคดีจะถึงที่สุดหรือไม่ ก็จะพ้นจากความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย ส่วนบุคคลที่ศาลไม่ได้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง โดยหลักแล้วการจำคุกก็ยังไม่ถึงที่สุด สิทธิเลือกตั้ง ก็ไม่ถูกเพิกถอนจึงยังไม่พ้นจากความเป็นส.ส. แต่ก็มีเหตุอื่นแทรกเข้ามาอีกว่า หากถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาล และมีหมายของศาลให้จำคุกกรณี เช่นนั้นก็จะพ้นด้วย แต่ตนไม่ทราบว่าใครเข้าข่ายดังกล่าวบ้าง

ส่วนกรณีส.ส. บัญชีรายชื่อก็ต้องเลื่อนขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งการเลื่อนช้าหรือเร็วนั้นจะมีผลต่อการประชุมสภาฯ เนื่องจากสภากำลังจะปิดสมัยประชุมและถ้าเลื่อนเร็ว ก็เข้ามาทำหน้าที่ได้เร็ว อย่างน้อยถ้าเปิดสมัยวิสามัญ ขึ้นมาพิจารณา รัฐธรรมนูญก็จะได้ทำหน้าที่ได้ แต่ถ้ายังไม่เลื่อนขึ้นมา ก็ยังไม่ถือเป็นส.ส. ส่วนส.ส. เขตก็ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ หากกกต. สงสัยก็จะเหมือนกรณีของนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช ที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเลือกตั้งเขตจะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ทั้งนี้กรณีของนายเทพไทก็ถือเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับกรณีตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อว่างลง จำเป็นจะต้องรีบแต่งตั้งใหม่หรือ นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ยากอะไร เนื่องจาก รมว.ศึกษาธิการ มีรัฐมนตรีช่วยอยู่ 2 คน ซึ่งครม. เคยมีมติไปแล้วว่าหากรัฐมนตรีว่าการไม่อยู่ ก็ให้รัฐมนตรีช่วย มารักษาการตามลำดับ ซึ่งกรณีนี้คือคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้นมารักษาการแทน

ส่วนกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครม. เคยมีมติในเมื่อกระทรวงนี้ไม่มีรัฐมนตรีช่วย ก็ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการแทนเป็นอันดับแรก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรักษาการเป็นอันดับสอง ซึ่งในกรณีนี้รมว. วัฒนธรรมจะเป็นผู้รักษาการ จนกว่าเมื่อมีการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วนายกรัฐมนตรีอาจจะสั่งการเป็นอย่างอื่นได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดคุยและหารือถึงเรื่องดังกล่าวกับนายวิษณุหรือยัง นายวิษณุ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย

ผู้สื่อข่าวถามว่า เอกสิทธิ์ของผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมสภา จะสามารถคุ้มครองผู้ที่เป็นส.ส. ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า อย่าใช้ คำว่าเอกสิทธิ์ เนื่องจากมีเรื่องของเอกสิทธิ์ กับ ความคุ้มกัน คำว่าเอกสิทธิ์หมายถึงการพูดในสภาแล้วไม่ผิด คือเฉพาะ เรื่องการพูดเรื่องเดียวแต่ถ้าเป็นเหตุชกกัน ก็ไม่มีเอกสิทธิ์ ส่วน ความคุ้มกันหมายความว่า ในสมัยประชุมจะนำตัวไปดำเนินคดีอะไรไม่ได้ ถ้าปิดสมัยประชุมทำได้ ซึ่งความคุ้มกัน มีกระบวนการ ไม่ได้มาโดยอัตโนมัติ

เมื่อถามว่ากรณีที่ถูกจำคุก แล้วยังจะสามารถขอความคุ้มกันได้อยู่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้

เมื่อถามว่าการที่ผู้ถูกเข้าเรือนจำแล้ว จะถือว่าสิ้นสภาพความเป็นส.ส. เลยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เพียงเท่านั้นยังไม่ เพราะยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ และยังไม่ได้ถูกจำคุกโดยหมายของศาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่เป็นส.ส. แล้วเข้าเรือนจำ ยังไม่ถือว่าสิ้นสภาพการเป็นส.ส. ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตน ไม่แน่ใจว่าเป็นการถูกจำคุกโดยหมายของศาลหรือไม่ เพราะอาจเป็นการควบคุมตัวธรรมดา หากเขาอ้างความคุ้มกันขึ้นมาก็ต้องปล่อยตัว เพราะถือว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการอุทธรณ์

เมื่อถามย้ำว่าหากเป็นการเข้าเรือนจำโดยหมายของศาล การคุ้มครองในฐานะของส.ส. ก็จะหมดไปเลยใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับกรณีของนางทยา ทีปสุวรรณ ที่ถูกตัดสินให้รอลงอาญา ในขณะที่มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี หากสุดท้ายศาลพิพากษาแก้ประเด็นการตัดสิทธิทางการเมือง นางทยา จะกลับมามีสิทธิทางการเมืองอีกได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ แต่ในขณะนี้ กว่าถือว่าถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำตัดสินเป็นอย่างอื่น

เมื่อถามว่าในกรณีที่คนเป็นส.ส. ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีเช่นกัน จะสามารถอุทธรณ์ในประเด็นถูกตัดสิทธิทางการเมืองได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า การเป็นส.ส.ขาดแล้วก็ขาดไป แต่เรื่องสิทธิทางการเมืองถ้าศาลพิพากษาว่าไม่เพิกถอนสิทธิทางการเมืองก็จะกลับมา นี่คือความรุนแรงของรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แม้จะยื่นอุทรณ์แล้วสิทธิกลับมา แต่ไม่สามารถคืนสภาพส.ส.ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่าใช่ แม้กระทั่งรัฐมนตรีก็เช่นกัน ถูกจำคุกแต่ไม่ถึงที่สุดก็พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ถ้าต่อมาศาลยกฟ้อง ไม่จำคุก ก็แปลว่าไม่จำคุกเท่านั้นแต่ความเป็นรัฐมนตรีจะ ไม่กลับมา นี่คือยาแรงของรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากในอนาคต บุคคลเหล่านี้จะกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ เพราะต้องดูต่อไปว่า เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ บุคคลเหล่านั้นจะมีสิทธิ์หรือไม่ เช่น กรณีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หากศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินว่าไม่ตัดสิทธิเลือกตั้ง ความเป็นส.ส. สิ้นสุดลงเวลานี้แต่สามารถสมัครในคราวหน้าได้

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชี้! ต่างชาติอยากเที่ยวเมืองไทยหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 พร้อมดึงนักท่องเที่ยวจิ้มเข็มแล้วเข้าไทยไตรมาส 3 ปี 64 นี้

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานต่างประเทศของ ททท. ถึงแนวโน้มการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวสนใจเดินทางมาเที่ยวหลังจากมีการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในตลาดยุโรป ซึ่ง ททท. จะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานทางด้านสาธารณสุข เพื่อเตรียมความพร้อมและสรุปแนวทางการดูแล โดยตั้งเป้าหมายว่า จะดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้ามาได้ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้

“ภายในเดือนมีนาคมทุกอย่างต้องออกมาชัด เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ฝ่ายขายของททท. ได้ไปสำรวจตลาดแล้วพบว่า มีความต้องการมากและกำลังคุยกันซื้อจองของล่วงหน้า เช่น ตลาดกอล์ฟควอรันทีน ในตลาดระยะไกลมีนักกอล์ฟจากประเทศสวีเดนสนใจมาก รวมทั้งฟินแลนด์ มีจองเข้ามาแล้ว 20 คน ตั้งใจจะเดินทางใน เดือนกุมภาพันธ์นี้แต่ขอเลื่อนไปก่อน เพราะเรื่องการกักตัวที่ยังไม่ชัด

“เช่นเดียวกับตลาดตะวันออกกลาง ตอนนี้มีสัญญาณที่ดี เพราะกำลังจะเข้าช่วงเดือนรอมฎอน ทำให้หลายประเทศเร่งการฉีดวัคซีน เพื่อให้เดินทางได้ ซึ่งช่วงเวลาอย่างนี้ ไทยต้องเร่งเตรียมตัวรองรับความต้องการที่มีอยู่ และหวังว่า จะมีแนวทางในการบริหารจัดการเรื่องนี้ออกมาโดยเร็ว”

ทั้งนี้จากผลสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในตลาดต่าง ๆ เช่น ททท. ลอนดอน แจ้งว่า นักท่องเที่ยวกว่า 75% มีการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยว และยินดีเข้ารับการฉีดวัคซีน โดย 41% วางแผนไปเที่ยวต่างประเทศ ส่วนใหญ่อยากให้กักตัวไม่เกิน 5 วัน โดย 9 % หรือประมาณ 6 ล้านคน สนใจเลือกเดินทางมาประเทศไทยในปีนี้

เช่นเดียวกัน ททท. สต็อกโฮล์ม สำรวจชาวฟินแลนด์ 62% สนใจเดินทางมาเที่ยวไทยในช่วงฤดูหนาวปีนี้และปีหน้า โดยจังหวัดภูเก็ต กระบี่ และเขาหลักยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ส่วนใหญ่จะยังไม่ตัดสินใจเดินทางหากมีเงื่อนไขการกักตัว รวมทั้งชาวฝรั่งเศสเองก็ค้นหากรุงเทพฯ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่มีคนค้นหาข้อมูลรองลงมาจากดูไบ และมาราเกซ

คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เห็นชอบ ปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลนักเรียนพิการภาคเอกชน 4,359 คน เพิ่มขึ้น 35% จากเดิม 16,552.50 - 35,932.50 บาท เพิ่มเป็น 32,540 - 51,935 บาท ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษาและหลักสูตร

นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่เป็นโรงเรียนเอกชนประเภทอาชีวศึกษา

โดยแต่ละคนจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นจากเดิม 16,552.50 - 35,932.50 บาท เพิ่มเป็น 32,540 - 51,935 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา ประเภทการเรียนและหลักสูตรการเรียน ดังนั้น จึงคิดเป็นเงินอุดนหนุนที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 35 จากฐานเดิม ทั้งนี้ ในปัจจุบัน สช.มีนักเรียนพิการทั้งที่อยู่ในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ และโรงเรียนสามัญทั่วไป จำนวน 4,359 คน โดยข้อมูลเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนพิการพบว่ามีการเบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการปีละประมาณ 100,613,194 บาท ซึ่งหากมีการปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการตามที่เสนอขอก็จะต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 30 ล้านบาท

ขณะที่ในส่วนของโรงเรียนเอกชนประเภทอาชีวศึกษานั้น ข้อมูลเมื่อปี 2563 มีนักศึกษาพิการระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ได้รับเงินอุดหนุน รวม 342 คน เบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการปีละประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งหากมีการปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการตามที่เสนอขอก็จะต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 7 ล้านบาท

“อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มเงินงบประมาณดังกล่าวจะเป็นงบประมาณที่สามารถบริหารจัดการกับวงเงินงบทั้งหมดในภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ เรามองว่าหากไม่มีการปรับอัตราเงินอุดหนุนนี้อาจทำให้โรงเรียนเอกชนไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษาพิเศษได้ ต้องหยุดกิจการงดรับนักเรียนพิการ อีกทั้งโรงเรียนการศึกษาพิเศษของรัฐก็จะต้องแบกรับภาระนักเรียนพิการมากขึ้น รวมถึงเกิดความเหลื่อมล้ำทางการเข้าถึงบริการสาธารณจากรัฐ และขาดการเสมอภาคในการรับการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับผู้พิการ” รมช.ศธ. กล่าว

ศาลปักกิ่ง​ สั่งสามีจ่ายเงินชดเชยภรรยาร่วม 2 แสนบาท​ ฐานปล่อย​ 'ทำงานบ้านหนัก'​ อย่างโดดเดี่ยว​ ด้านชาวเน็ตท้วง​ จ่ายแค่นี้ยังน้อยไปกับสิ่งที่ภรรยาต้องแบก

นับเป็นคดีแรกภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งใหม่ของจีน เมื่อศาลแห่งหนึ่งของปักกิ่งได้สั่งสามีรายหนึ่งจ่ายเงินหลายหมื่นหยวน แก่ภรรยาที่กำลังหย่าร้างกัน เป็นเงินชดเชยจากการทำงานหนักและชีวิตแสนน่าเบื่อหน่ายตลอดเวลา 5 ปีของชีวิตสมรส ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นคดีที่จุดชนวนการโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อนบนสื่อสังคมออนไลน์

ข้อมูลจาก China Women’s News ระบุว่าโจทก์แซ่หวัง ซึ่งเป็นภรรยาได้ยื่นขอหย่าจากสามีแซ่เฉินเมื่อปีที่แล้ว​ โดยเธออ้างว่าสามีไม่ใส่ใจหรือไม่มีส่วนร่วมใดๆ​ ในงานบ้านทั้งหลายเลย เขาออกไปทำงานทุกวัน ทิ้งให้เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกตามลำพัง

และท้ายที่สุดศาลแขวงในกรุงปักกิ่ง ก็พิพากษาเข้าข้างเธอ สั่งให้ เฉิน จ่ายเงินชดเชย 50,000 หยวน​ (ราว 2.3 แสนบาท) โทษฐานละเลยแบ่งภาระหน้าที่ภายในครอบครัว

ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งใหม่ของจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม ระบุว่า​ สามีหรือภรรยา ซึ่งแบกกับความรับผิดชอบมากกว่าอีกฝ่าย ทั้งเลี้ยงลูก ดูแลญาติ ๆ​ คนชรา ทำงานบ้านหรือทำหน้าที่อื่นๆ​ ที่จำเป็น​ โดยบ่อยครั้งกลับเป็นหน้าที่ที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นค่า เขาหรือเธอมีสิทธิ์เรียกเงินชดเชยจากอีกฝ่าย เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาคิดหย่าร้างกัน

กฎหมายสมรสใหม่นี้​ ถูกนำมาแทนที่ประมวลกฎหมายแพ่งเดิม ซึ่งกำหนดให้คู่สมรสที่กำลังหาทางหย่าร้าง สามารถเรียกเงินชดเชยกันได้ก็ต่อเมื่อทั้งคู่ลงนามในสัญญาก่อนสมรสเท่านั้น โดยสัญญาก่อนสมรสนั้นจะระบุเงื่อนไขต่าง ๆ​ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ปฏิบัติกันนักในหมู่คู่รักชาวจีน

ด้าน จาง หยาน เลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการด้านกฎหมายสมรสและครอบครัวของสมาคมทนายความเสิ่นหยาง ให้ความเห็นว่ากฎหมายเงินชดเชยใหม่จะช่วยปกป้องสิทธิของแม่บ้านมากยิ่งขึ้น

"แม่บ้านไม่ใช่แค่ต้องแบกรับทำงานหนัก แต่การไม่มีงานทำ ก็ทำให้พวกเธอเจอกับปัญหาขาดการติดต่อกับสังคมในระยะยาว" จาง​ หยานกล่าวและว่า "ในแง่ของพลวัตในความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา โดยทั่วไปแล้วฝ่ายหญิงจะอยู่ในฐานะที่อ่อนแอกว่า"

สำหรับเรื่องดังกล่าวได้หลุดไปถึงสื่อสังคมออนไลน์​ โดยบางส่วนบ่งชี้ว่า​ คำตัดสินของศาลเป็นก้าวย่างในทางบวก เพื่อมุ่งสู่การตระหนักถึงคุณค่าภาระหน้าที่ภายในครอบครัว แต่ก็มีหลายคนที่ประชดประชันว่า​ จำนวนเงินชดเชยที่เสนอนั้นค่อนข้างน้อย ไม่สมเหตุสมผลกับภาระอันหนักอึ้งที่เหล่าภรรยาชาวจีนต้องแบกรับ

ทั้งนี้​ ขัอมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน บ่งชี้ว่าในปี 2018 ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องทำงานบ้านเฉลี่ยแล้ว 3 ชั่วโมง 20 นาทีต่อวัน มากกว่าฝ่ายสามีถึงราว ๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง

ขณะเดียวกันจากผลสำรวจทางออนไลน์ของสื่อมวลชนแห่งหนึ่ง พบว่า 93% ของผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 40,000 คน บอกว่าฝ่ายโจทก์ควรได้รับเงินมากกว่า 50,000 หยวน สำหรับการตรากตรำทำงานหนักนานหลายปี


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000018222

‘คมนาคม’ ชงแผนฟื้นฟู ขสมก. เล็งเก็บค่าโดยสารตามแผนฟื้นฟู แบ่งตั๋ว 3 ประเภท ‘รายเที่ยว - รายวัน - ประเภทเฉพาะ’ คาดช่วยเหลือประชาชนลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องอัตราค่าโดยสารของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง โดยมีนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (ด้านขนส่ง) เป็นประธานฯ เพื่อกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสาร ที่จะจัดนำมาใช้ในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล โดยจะกำหนดอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง หรือตามกิโลเมตร (กม.) ประกอบกับการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสาร ก่อนที่จะคำนวณเป็นค่าโดยสารที่แท้จริง

ทั้งนี้เมื่อคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง พิจารณาและกำหนดมาตรฐานเรื่องอัตราค่าโดยสารแล้วนั้น ขสมก.จะรวบรวมข้อมูล และจัดทำแผนลงทุนเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ให้พิจารณาตามกระบวนการ

ซึ่งคาดว่า ขสมก. จะส่งรายละเอียดดังกล่าวไปยังสภาพัฒน์ภายใน มี.ค. 2564 ส่วนจะสามารถเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาพัฒน์ฯ ว่าจะตอบกลับมายังกระทรวงคมนาคมหรือแล้วเสร็จเมื่อไร

นายสรพงศ์ ได้กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบการเก็บอัตราค่าโดยสารตามที่แผนฟื้นฟู ขสมก. กำหนด ซึ่งเป็นรถโดยสารปรับอากาศ แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย

1.) ตั๋วรายเที่ยว ราคา 15 บาท/เที่ยว

2.) ตั๋วรายวัน (One Day Pass) ราคา 30 บาท/วัน

3.) ตั๋วประเภทเฉพาะ กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการที่ระบุไว้ตามกฎหมาย

ทั้งนี้ อัตราค่าโดยสารตามระยะทางในปัจจุบัน ที่จัดเก็บ 15 - 20 - 25 บาทนั้น ยังคงเก็บตามเดิมอยู่ จนกว่า ครม. จะมีมติอนุมัติปรับอัตราค่าโดยสารทั้ง 3 ประเภทข้างต้น

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลผลการศึกษาของ ขสมก. ยังได้ระบุไว้ว่า เมื่อมีการจัดเก็บค่าโดยสารตามแผนฟื้นฟู ขสมก. จะมีประชาชนที่ได้รับประโยชน์ในการจ่ายค่าโดยสารที่ถูกลงประมาณ 72% เทียบกับการเดินทางตามระยะทาง เนื่องจากในแผนฟื้นฟูได้กำหนดต้นทุนพลังงานการเดินรถของรถโดยสารปรับอากาศไฟฟ้า (EV) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.63 บาท/กิโลเมตร (กม.) ในส่วนของรถโดยสารเชื้อเพลิงธรรมชาติ (NGV) จะอยู่ที่ 10 บาท/กม.

ทั้งนี้ ขสมก. ยืนยันว่า หากดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ขสมก. จะสามารถเดินหน้าประกอบกิจการได้ และจะมีอัตราการเติบโตปีละ 3% อย่างไรก็ตาม การใช้อัตราค่าโดยสารตามแผนฟื้นฟู ขสมก.ดังกล่าว ถือเป็นการสนองนโยบายของรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ยังมีมติเห็นชอบในหลักการการปฏิรูปเส้นทางของ ขสมก. จำนวน 108 เส้นทาง ภายใต้แผนฟื้นฟู ขสมก. เพื่อช่วยบรรเทาและแก้ปัญหาจราจรติดขัด รวมทั้งให้เส้นทางการเดินรถไม่ทับซ้อนกัน ซึ่งหลังจากการประชุมในครั้งนี้ ขสมก. จะต้องไปรวบรวมและทบทวนแผนฟื้นฟู ขสมก. จากนั้นจะรายงานให้คณะกรรมการนโยบายฯ ขนส่งทางบกกลาง โดยมีนายศักดิ์สยาม เป็นประธานพิจารณา ก่อนที่ ขสมก. จะเสนอไปยังสภาพัฒน์ฯ และ ครม.ต่อไป

พีค of the week EP.7

สัปดาห์ที่แล้ว มีอีเว้นท์ใหญ่เกิดขึ้นอยู่ 2 เรื่องราว เรียกว่ากลบทุกข่าวไปหมด อีเว้นท์แรก เหตุการณ์ ‘ม็อบ 13 กุมภาฯ’ ที่ออกมารวมตัว ‘นับหนึ่งถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน’ แต่ผลปรากฎว่า เกิดเหตุปะทะกันอีกเช่นเคย พร้อมดราม่าร้อน ๆ ‘ตำรวจกระทืบแพทย์อาสา’ ผ่านไปไม่กี่วัน ‘ศึกซักฟอกระลอกใหม่’ ของฝ่ายค้านกับรัฐบาล ก็เปิดฉากขึ้นตามมาติด ๆ

อุต๊ะ! อีเว้นท์นี้ก็แซ่บลืม มีทั้งซีนแรง ๆ มันส์ ๆ ดวลฝีปากกัน 4 วัน 4 คืน งานนี้ใครพลาดอีเว้นท์ไหน ตามไปรับชมกับ พีค of the week อีพีนี้กันได้เลย Let’s go!! 

.

 

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยเศรษฐกิจไทยเดือนมกราคม ส่งสัญญาณชะลอตัว ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดรอบใหม่ ขณะที่ส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือน ม.ค.2564 และดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคเดือน ก.พ.2564 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคเดือน ก.พ. 2564 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลยังชะลอตัว

ส่วนภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือน ม.ค. 2564 ส่งสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อน เป็นผลจากไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. 2563 โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่กลับมาติดลบน้อยลง รวมทั้งการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ลดลง เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เพราะผู้บริโภคมีความกังวลเศรษฐกิจและการจ้างงาน ด้านการลงทุนภาคเอกชน ส่งสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าเช่นกัน

ขณะที่เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศ ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 0.4% ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี คือ สินค้าอาหาร เช่น น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน และสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด

ศาลอาญาสั่งจำคุกอ่วม!! แกนนำ กปปส. ชุมนุมขับไล่ รัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์’ สุเทพโดนคุก 5 ปี พุทธะอิสระโดนจำคุก 4 ปี 8 เดือน

ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีกบฏ กปปส. ชุดใหญ่สำนวนหลัก หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. กับพวกแกนนำและแนวร่วม กปปส. รวม 39 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ, กระทำให้ปรากฏด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ โดยนายสุเทพกับพวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัวทุกคน

คดีนี้ อัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2556 - 1 พ.ค. 2557 ต่อเนื่องกัน นายสุเทพ จำเลยที่ 1 ได้จัดตั้งคณะบุคคล ชื่อ ‘คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ หรือกลุ่ม กปปส. มีนายสุเทพเป็นเลขาธิการ โดยร่วมกันมั่วสุมเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร กองกำลังแบ่งหน้าที่กันกระทำก่อความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ฐานเป็นกบฏเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยร่วมกันยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนทั่วประเทศกระด้างกระเดื่องร่วมชุมนุมขับไล่ ก่อความไม่สงบเพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป เพื่อมิให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ ให้ข้าราชการระดับสูงรายงานตัวกับกลุ่ม กปปส.

จากนั้น กปปส.จะแต่งตั้งคณะบุคคลเข้าบริหารประเทศเป็นรัฐบาลประชาชน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งจะออกคำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม. โดยจะนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเอง รวมทั้งจัดตั้งกองกำลังส่วนหนึ่งพร้อมอาวุธเข้าไปบุกยึดสถานที่ราชการและหน่วยงานสำคัญต่างๆ หลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานเขตหลักสี่ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง) เพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ รวมทั้งการปิดกั้น ขัดขวางเส้นทางคมนาคมขนส่ง เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ ช่วงระหว่างวันที่ 13 ม.ค. - 2 มี.ค. 2557 พวกจำเลยได้บังอาจปิดกรุงเทพมหานครด้วยการตั้งเวทีปราศรัยทั่วกรุงเทพฯ รวม 7 จุด ปิดกั้นเส้นทางการจราจร จัดตั้งกองกำลังรักษาพื้นที่ วางเครื่องกีดขวาง ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง การกระทำของพวกจำเลยล้วนไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญ เหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร และอีกหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน

โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 116, 117, 135/1, 209, 210, 215, 216, 362, 364, 365 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 มาตรา 76, 152

สำหรับรายชื่อจำเลยคดีนี้ทั้งหมด 39 คน เรียงลำดับ ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 2.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 3.นายชุมพล จุลใส 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 5.นายอิสสระ สมชัย 6.นายวิทยา แก้วภราดัย 7.นายถาวร เสนเนียม 8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 11.พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ 12.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 13.นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ 14.นายถนอม อ่อนเกตุพล 15.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 16.นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ 17.นายสาธิต เซกัลป์ 18.น.ส.รังสิมา รอดรัศมี 19.พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี 20.พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ

21.นายแก้วสรร อติโพธิ 22.นายไพบูลย์ นิติตะวัน 23.นายถวิล เปลี่ยนศรี 24.เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ 25.นายมั่นแม่น กะการดี 26.นายคมสัน ทองศิริ 27.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ 28.นายพิภพ ธงไชย 29.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 30.นายสุริยะใส กตะศิลา 31.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด 32.พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ สุปิยะพาณิชย์ 33.นายสำราญ รอดเพชร 34.นายอมร อมรรัตนานนท์ 35.นายพิเชษฐ พัฒนโชติ 36.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ 37.นายกิตติชัย ใสสะอาด 38.นางทยา ทีปสุวรรณ 39.นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

วันนี้ นายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. กับพวกจำเลยรวม 37 คน เดินทางมาศาล ส่วน พล.อ.ปรีชา จำเลยที่ 11 เสียชีวิตแล้ว ขณะที่ พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ จำเลยที่ 32 ซึ่งถูกคุมขังในเรือนจำด้วยคดีอื่น ให้รับฟังคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำ ขณะที่บรรยากาศในศาล มีผู้ชุมนุมอดีต กปปส. จำนวนหนึ่ง มามอบดอกไม้ให้กำลังใจจำเลยคดี กปปส. พร้อมร่วมรับฟังคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่ศาลจัดแยกไว้ให้ที่ห้องพิจารณา 701 ด้วย ในส่วนการรักษาความปลอดภัย มีเจ้าพนักงานตำรวจศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.พหลโยธิน ร่วมกันดูแลความสงบเรียบร้อย

ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาเวลา 10.51 น. เสร็จสิ้นในเวลา 17.20 น. พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว มีผลพิพากษาจำคุกจำเลยสำคัญคือนายสุเทพ จำเลยที่ 1 จำคุก 5 ปี, นายชุมพล จำเลยที่ 3 จำคุก 9 ปี 24 เดือน, นายพุทธิพงษ์ จำเลยที่ 4 จำคุก 7 ปี, นายอิสสระ จำเลยที่ 5 จำคุก 7 ปี 16 เดือน, นายวิทยา จำเลยที่ 6 จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท, นายถาวร จำเลยที่ 7 จำคุก 5 ปี, นายณัฏฐพล จำเลยที่ 8 จำคุก 6 ปี 16 เดือน, นายเอกนัฏ จำเลยที่ 9 จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท และนายสุวิทย์ จำเลยที่ 16 จำคุก 4 ปี 8 เดือน เป็นต้น


ที่มา: https://mgronline.com/crime/detail/9640000018524

หอการค้าไทยประเมินเศรษฐกิจช่วงหยุดยาววันมาฆบูชา เชื่อตัวเลขตกเหลือ 2.3 พันล้าน ลดลง 9.38% จากเดิม 2,601 ล้านบาท คาดคนกลัวโควิด แต่โดยภาพรวมเศรษฐกิจยังดีกว่าช่วง ‘ตรุษจีน - วาเลนไทน์’

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ระบุ โควิด-19 ทุบเศรษฐกิจเหลือ 2.3พันล้าน หลังประเมินทัศนคติ พฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้คนในช่วงวันมาฆบูชา

จากการสำรวจประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,215 ตัวอย่าง สำรวจตั้งแต่วันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ในปีนี้กลุ่มตัวอย่างจะเดินทางไปทำบุญไหว้พระในวันมาฆบูชา 40% ไม่ไป 37.3% และไม่แน่ใจ 22.7% ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ที่ไม่ไป ส่วนใหญ่มาจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 รายได้ลดลง และภาวะเศรษฐกิจไม่ดี

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับมูลค่าเงินสะพัดวันมาฆบูชาในปี 2564 นี้ คาดว่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 2,360 ล้านบาท หรือลดลงติดลบ 9.38% ซึ่งน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีเงินสะพัดประมาณ 2,601 ล้านบาท ถือว่ามีเงินสะพัดต่ำสุดในรอบ 6 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2558 เนื่องจากการใช้จ่ายยังติดลบทุกรายการ อาทิ การทำบุญ และการเดินทางท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งโดยรวมประชาชนมีการใช้จ่ายประมาณ 1,311 บาทต่อคน เท่านั้น

“แม้ในวันมาฆบูชาในครั้งนี้ จะได้หยุดยาว 3 วันแต่ประชาชนยังมีความกังวลกับโควิด-19 อยู่ ส่งผลให้เงินสะพัดอาจไม่มากเท่าที่ควร แต่เศรษฐกิจมีทิศทางฟื้นตัวและเติบโตดีกว่าช่วงเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เพราะในครั้งนี้ยังมีประชาชนที่ออกมาใช้จ่าย อาทิ ซื้อสัมฆภัณฑ์ ทำบุญ เวียนเทียน และทำทาน กันมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อในวันมาฆบูชาไม่ได้สาหัสมาก” นายธนวรรธน์ กล่าว

(Hilight) มองให้เห็นโอกาสจากความบังเอิญ กุญแจลัดสู่ความสำเร็จ | Click on Clear The Word EP.2

Clear The Word สรุปประเด็นคม ๆ จาก Click on Clear the word EP.2 ความบังเอิญ นำไปสู่ความเร็จ โดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of content editor THE STATES TIMES

.

.

Link คลิปเต็ม : ความบังเอิญ อาจนำไปสู่ความสำเร็จ | Click on Clear The Word EP.2  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top