Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

‘อินเตอร์ลิ้งค์ฯ’ เปิดศึกแห่งปี 'Cabling Contest' ปีที่ 12  ค้นหาสุดยอดเยาวชนที่มีทักษะชั้นเลิศด้านสายสัญญาณ

ใครจะเป็นแชมป์คนที่ 12 บนเวทีแข่งขันสุดยิ่งใหญ่แห่งปี 2567 ชิงถ้วยพระราชทานฯ ใน ‘โครงการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณ ปีที่ 12 (Cabling Contest#12)’ เพื่อค้นหาผู้ชนะเลิศเยาวชนคนเก่งที่มีทักษะเฉพาะด้านเพียงหนึ่งเดียว จากทั่วประเทศไทย พร้อมชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท โดยได้ประกาศแผนการแข่งขัน และเปิดรับสมัครผู้ที่มีความสามารถจากทั่วทุกภูมิภาคแล้วตั้งแต่วันนี้ เตรียมตัวมาปะทะกันทางความรู้ สู้ศึกด้วยทักษะกันให้พร้อม เพื่อชิงชัยคว้ารางวัลสู่ความสำเร็จ

(21 มี.ค. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK  ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้าค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายตู้ RACK ผลิตภัณฑ์ 19” GERMANY EXPORT RACK แถลงข่าวงานจัดการแข่งขันใน ‘โครงการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณ ปีที่ 12 (Cabling Contest#12)’ ภายใต้ความร่วมมือ และสนับสนุนโดย สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงแรงงาน พร้อมผู้ชนะเลิศจะได้รับถ้วยพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถ้วยรางวัลเกียรติยศ และเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท

สมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกล่าววัตถุประสงค์ของการจัดการแข่งขัน พร้อมกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการว่า “โครงการฯ นี้ ดำเนินการจัดการแข่งขันมาอย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่ปีที่ 12 จากความตั้งมั่นพร้อมอุดมการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย อีกทั้งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพเยาวชนในทุกระดับ และทุกภาคส่วน เพื่อเป็นการผลักดัน ส่งเสริมการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ ตอบโจทย์แห่งวงการระบบโครงข่ายพื้นฐาน นำสู่การต่อยอด พัฒนา ฝึกฝน ผู้ที่มีทักษะ และมีฝีมือทางความรู้ ความสามารถเฉพาะด้านนี้ ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริม ช่วยยกระดับคุณภาพทางการศึกษา ให้ไปสู่การต่อยอดทางอาชีพ เพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่เยาวชนได้อย่างมีคุณภาพ ไปพร้อมกับสามารถต่อยอดองค์ความรู้ได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อสอดรับการเติบโตในอนาคตอย่างมีมาตรฐาน ก้าวไปสู่การพัฒนาให้ทัดเทียมเท่ากับนานาชาติได้อีกด้วย”

สำหรับการแข่งขัน Cabling Contest ปีที่ 12 จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างให้ผู้เข้าแข่งขันได้เรียนรู้ถึงระบบโครงข่ายพื้นฐานที่เป็นปัจจัยหลัก และสำคัญอย่างยิ่งในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลนี้ เพื่อก้าวให้ทันเทรนด์เทคโนโลยีแห่งยุคที่มีการพัฒนา และปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยตลอดทั้งโครงการฯ แข่งขัน จะได้เรียนรู้ถึงระบบการติดตั้ง และเข้าใจถึงการต้องเลือกอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานจาก LINK AMERICAN & GERMAN RACK EVERYWHERE เพื่อตอบโจทย์แก่การใช้งานในทุกระบบอย่างมีเสถียรภาพ และมีประสิทธิภาพสูงสุด นับเป็นเวทีการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้เยาวชน มาร่วมประลองความรู้ ความสามารถ เพื่อเฟ้นหาผู้ที่มีฝีมือ และมีทักษะสุดยอดด้านสายสัญญาณ จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทยที่จะนำไปสู่การต่อยอดพัฒนาทักษะ พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ ให้แก่ นิสิต นักศึกษา ในระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา รวมทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่ม นิสิต นักศึกษา ที่ในอนาคตจะเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

ล่าสุด บนเวทีการแข่งขันปีที่ 12 ได้จัดรูปแบบการแข่งขันตลอดทั้งโครงการฯ ภายใต้ Concept : E-Sport เพิ่มความตื่นตา แปลกใหม่ที่ไม่ใช่แค่เพียงการแข่งขันรอบคัดเลือกผ่านหน้าจอออนไลน์อีกต่อไป เตรียมพลิกโฉมการแข่งขันให้สะเทือนวงการไปพร้อมกันตลอดทั้งปีนี้ โดยรอบคัดเลือกระดับภูมิภาค รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดขึ้นในรูปแบบ ONLINE ซึ่งเป็นการสร้างสีสัน และมิติใหม่ให้แก่วงการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานฯ ระดับประเทศอีกด้วย โดยบริษัทฯ จะสนับสนุน จัดส่งชุดอุปกรณ์การแข่งขันไปยังสถานศึกษาของผู้สมัคร และไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดทั้งโครงการฯ พร้อมกันนี้ ในรอบชิงชนะเลิศ จะจัดขึ้นในรูปแบบ Onsite ณ จังหวัดชลบุรี

สำหรับรอบคัดเลือกเพื่อเฟ้นหาตัวแทนจากทั่วทุกภูมิภาค มีกำหนดการเปิดประเดิมเริ่มต้นการแข่งขันขึ้นตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนตุลาคม 2567 ดังนี้

ตารางการแข่งขัน 

‘รอบคัดเลือกระดับภูมิภาค’
ภาคกลาง วันที่ 29 พฤษภาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
กรุงเทพและปริมณฑล วันที่ 12 มิถุนายน 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
ภาคเหนือ วันที่ 18 มิถุนายน 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
ภาคตะวันออก วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
ภาคใต้ วันที่ 17 กรกฎาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)

‘รอบชิงชนะเลิศ’ วันที่ 24 - 26 ตุลาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Onsite ณ จังหวัดชลบุรี)

ในการคัดเลือกรอบภูมิภาค จะมีผู้ผ่านเข้ารอบ ภูมิภาคละ 10 คน รวมทั้งสิ้น 60 คน ก่อนเข้าชิงชัย โดยโค้งสุดท้ายของการแข่งขัน จะมีการอบรม ฝึกซ้อม เตรียมความพร้อม ก่อนลงสนามแข่งขันจริง เพื่อโชว์ศักยภาพ และทักษะทางความรู้ ความสามารถ ค้นหาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ชนะเลิศคว้าถ้วยพระราชทานฯ ผู้ที่จะเป็นสุดยอดทักษะด้านสายสัญญาณคนที่ 12 ของประเทศไทย

สามารถลงทะเบียน - สมัครเข้าร่วมการแข่งขัน ‘โครงการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณปีที่ 12 (Cabling Contest#12)’ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่ www.cablingcontest.net หรือ Website: www.interlink.co.th หรือ Facebook: INTERLINK FAN หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 02-666-1111 ต่อ 1705

'หมอดื้อ' เตือน!! หยุด 'มัน' เดี๋ยวนี้ ต้องเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก 'มัน'

(21 มี.ค.67) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

หยุด 'มัน' เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก 'มัน'

1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น
2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด
3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ
4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์
5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์
6- โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย
7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอะไมลอยด์โปรตีน เข้าไปในหลอดเลือด ทำลายไม่ได้ เป็นสารวัตถุคงทนยืดเหนียวเหมือนหนังสติ๊ก
8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์
9- คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและ 12
10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์

สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆ ที่ทยอยกันออกมา 

สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต 

หยุด 'มัน' เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก 'มัน' 

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ซัด!! หน่วยงานไร้จิตสำนึก  ยึดความอิสระ พาเศรษฐกิจไทยถดถอย

(21 มี.ค.67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ เผยคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับจิตสำนึกของหน่วยงาน ภายหลังการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ร่วมกับ 3 เหล่าทัพ และสถาบันการเงิน ที่เชื่อว่าจะช่วยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตั้งสติและพิจารณาทบทวนการทำงานของตนเองได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ไว้ว่า...

คำว่าจิตสำนึกอาจมีหลายความหมาย แต่หากเดาใจท่านนายกฯ น่าจะหมายถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Accountability ความรับผิดชอบต่อสังคมนี้ ไม่ใช่ความรับผิดชอบในทางการงาน (Responsibility) เท่านั้น แต่รวมถึงความรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งสำคัญกว่ามากด้วย

Accountability มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่มักจะหาได้ยากยิ่งในหน่วยงานภาครัฐที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หน่วยงานเหล่านี้มักทำหน้าที่ในด้านนโยบายสาธารณะ ไม่มีเจ้าของที่ต้องรายงาน และมีความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

เป็นที่ยอมรับในสากลว่าธนาคารกลางควรมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targets) ที่ตกลงกับรัฐบาล ก่อนปี 2566 ทว่าแบงก์ชาติไม่ทำหน้าที่ธนาคารกลางที่ดี แต่กลับทำตัวเป็นตู้ ATM ให้รัฐบาลสมัยนั้นมาตลอด 10 ปี อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำติดศูนย์มาเป็นระยะเวลายาวนาน แม้ในปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับรีรอไม่ยอมขึ้นดอกเบี้ยจนเงินเฟ้อในไทยพุ่งสูงขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และเป็นระดับที่สูงกว่ากรอบเงินเฟ้อที่ตกลงไว้กับรัฐบาลกว่า 2 เท่า

กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นตู้ ATM ก็จนหลังการเลือกตั้ง ซึ่งสายไปเสียแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยอ่อนแอและเงินเฟ้อเริ่มต่ำกว่ากรอบและเข้าสู่ภาวะเงินฝืด จนขณะนี้เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องติดต่อกัน 5 เดือน และเศรษฐกิจไทยกำลังจะหดตัวเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อย่างเป็นทางการ

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางจะมีได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของธนาคารกลางเอง ที่สำคัญที่สุดคือการมีบทบาทที่ชัดเจน (Clear Mandate) ที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของราคาเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ทำเก่งทุกอย่าง (ยกเว้นเรื่องนโยบายการเงิน) เหมือนกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลสถาบันการเงิน การแก้ไขปัญหาโลกร้อน การอุ้มตลาดหุ้นกู้ การแก้ไขปัญหาโควิด เป็นต้น ตราบใดที่ยังไม่มี Clear Mandate คงจะเป็นการยากที่จะหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีจิตสำนึก

‘สนพ.’ เผยการปล่อยก๊าซ CO2 ภาคพลังงานของไทยปี 2566 น่าปลื้ม!! ลดลง 2.4% จากปีก่อน ผลจากการใช้พลังงานสะอาดทดแทน

(21 มี.ค. 67) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงาน ปี 2566 พบว่า การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงาน อยู่ที่ระดับ 243.6 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามจากเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบาง อุปสงค์ในตลาดโลกมีความต้องการสินค้าลดลง ส่งผลให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกชะลอตัวทำให้การใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมลดลง ซึ่งสอดคล้องกับการใช้พลังงานของประเทศไทยที่ลดลงเล็กน้อย 

สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายชนิดเชื้อเพลิงในปี 2566 พบว่า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 243.6 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 2.4 โดยการปล่อยก๊าซ CO2 จากน้ำมันสำเร็จรูปมีสัดส่วนการปล่อยสูงที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 43 รองลงมาคือ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน/ลิกไนต์ มีสัดส่วนร้อยละ 33 และ 24 ตามลำดับ 

ทั้งนี้ การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ และน้ำมันสำเร็จรูป ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงร้อยละ 15.0 และ 1.1 ตามลำดับ ในขณะที่การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ ในปี 2566 ที่ลดลง ในขณะที่การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน

สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายภาคเศรษฐกิจในปี 2566 พบว่า  มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 243.6 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 2.4 โดยภาคการขนส่ง มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 81.6 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.1 ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 95.2 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 9.7 ภาคการผลิตไฟฟ้า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 89.6 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้แก่ ภาคครัวเรือน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และกิจกรรมอื่น ๆ มาจากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 รวม 13.2 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 3.5

“หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานของประเทศไทยเทียบกับต่างประเทศ จากข้อมูลของ International Energy Agency (IEA) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ในปี 2564 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานเฉลี่ย อยู่ที่ 2.05 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ภูมิภาคเอเชีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน ซึ่งอยู่ที่ 2.27 / 2.28 / 2.13 และ 2.85 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ตามลำดับ 

ซึ่งประเทศไทยมีนโยบายด้านพลังงานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงทำให้มีการปล่อย ก๊าซ CO2 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งจะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดปลดปล่อยก๊าซ CO2 ตามเป้าหมายของการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้” นายวีรพัฒน์ กล่าวว่า

'ในหลวงรัชกาลที่ 10' พระราชทานภาพวาดฝีพระหัตถ์ พร้อมคติธรรม ธรรมนาวา 'วัง' หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์

(21 มี.ค. 67) เว็บไซต์สำนักพระราชวัง โดยหน่วยราชการในพระองค์ เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทาน ‘หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์’ ฉบับธรรมนาวา ‘วัง’ แก่พสกนิกรไทย

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่ง แห่งองค์พระบรมศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระราชฐานะพุทธมามกะและองค์อัครศาสนูปถัมภก ได้ทรงบำเพ็ญเพียรพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ เพื่อทำนุบำรุง เจือจุน ให้พระพุทธศาสนา อันมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นพระศาสดา ได้ธำรงคงอยู่ให้พุทธบริษัททั้งหลายได้รับประโยชน์ โดยการศึกษา (ปริยัติ) น้อมนำพระธรรมคำสอนลงมือทำ (ปฏิบัติ) เพื่อเข้าถึง (ปฏิเวธ) ซึ่งสาระแก่นแท้ของพระศาสนา คือ ความสิ้นทุกข์

จึงได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญในการพระราชทานเผยแพร่หลักธรรมอันทรงคุณค่าที่พุทธศาสนิกชน ตลอดจนประชาชนพลเมืองชาติ ทุกหมู่เหล่า ให้ได้ศึกษาหลักการวิธีปฏิบัติ อันได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติตามพระธรรม คำสอน เพื่อเข้าถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่ชื่อว่า ‘พุทธะ’ คือสัจธรรมที่เป็นความรู้ อย่างผู้รู้แจ้งด้วยปัญญา ผ่านหลักสัจธรรมความเป็นจริงตามธรรมชาติ ที่พระพุทธองค์นำมาบอกสอน ที่ชื่อว่า ‘ธรรมะ’ ด้วยการเป็นผู้น้อมนำประพฤติปฏิบัติจนสามารถรู้ตาม เห็นตาม ที่ชื่อว่า ‘สังฆะ’ อันพุทธะ ธรรมะ สังฆะนี้เป็นสรณะที่พึงยึดเป็นพลังทางใจ พลังทางสติปัญญา อย่างแท้จริง ตามแนวทางการปฏิบัติธรรมนาวาของ พระจารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นธรรมทาน เพื่อประโยชน์สุข อันพึงจะได้รับจากพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงผ่านหลักการปฏิบัติอย่างถูกต้องตรงตามพุทธบัญญัติ แก่พุทธบริษัท และประชาชนทุกหมู่เหล่า ถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา มาตาปิตุบูชา อาจริยบูชา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทุกๆ พระองค์

‘สืบนครบาล’ บุกคอนโดหรูย่านเพลินจิต รวบ ‘ไฮโซโจ’  ‘บุกรุก-ข่มขืน-ข่มขู่’ เหยื่อสาวคิดสั้นกระโดดตึก 4 ชั้นสาหัส

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค. 67) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.1 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว รอง ผกกฯ, พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.วศิน อินทร์แก้ว สว.ฝอ.บก .สส.บช.น. , ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น รอง สว กก.4 บก .สส.บช.น., ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร รอง สว., ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา รอง สว. กก.1 บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์ เปสลาพันธ์ รอง สว. ฝอ บก.สส.บช.น., ร.ต.ท.เลิศวริศ เลิศวรปรีชา รอง สว., ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ อันชูฤทธิ์ รอง สว., ร.ต.ท.อนันตชัย สัจจพงษ์ รอง สว. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สืบนครบาล ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายวชิรวิชญ์ ศิริโชควณิชย์ หรือโจ เจ้าของแบรด์ขนมกล้วยชื่อดัง อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 448/34 ถ.ช่องนนทรี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.277/2567 ลงวันที่ 20 มี.ค. 67 ข้อหา ‘ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และบุกรุกเคหะสถานในเวลากลางคืน’

จับกุมตัวได้ที่ คอนโดหรูย่าน ซ.นายเลิศ ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพ พฤติการณ์กล่าวคือ นางสาวเอ (นามสมมติ) กับร่างไร้สติในห้อง ICU ที่อาการครึ่งเป็นครึ่งตาย จากการตัดสินใจกระโดดตึกจากชั้น 4 เพื่อหวังจะลาโลกใบนี้ หลังจากที่ต้องทุกข์ทรมานดำดิ่งอยู่กับภาพจำที่สุดเลวร้ายจากการถูก ‘ไฮโซโจ’ ย่ำยีพร้อมคำพูดที่ยังตามหลอกหลอนเธอว่า “กูจะ ย จนมึงตาย” ไม่สามารถสลัดออกจากจิตใจของเธอได้กว่า 4 วัน 

เรื่องราวที่สุดแสนรันทดหดหู่เกิดขึ้นที่ย่านสีลม กรุงเทพฯ โดยผู้เคราะห์ร้าย พักอยู่ที่บ้านพักละแวกสีลมและดำเนินชีวิตโดยปกติของเธอ และมีไฮโซโจนักธุรกิจที่เป็นเจ้าของแบรนด์ขนมกล้วยชื่อดัง และขยายกิจการมาเปิดร้านขายกัญชาอยู่ข้าง ๆ บ้านที่เธอพักอาศัย เรื่องเลวร้ายได้เกิดขึ้นตอนย่ำรุ่งของวันที่ 13 มี.ค. 67 เมื่อไฮโซโจตกอยู่ในอาการมึนเมาในร้านขายกัญชาของตัวเอง ก่อนจะบุกเข้าไปในบ้านและเข้าไปในห้องนางสาว เอ ที่นอนอยู่ 

จากนั้นได้ลงมือล่วงละเมิดเธอพร้อมตะคอกใส่หูเธออย่างโรคจิตว่า “กูจะ…จนมึงตาย” พยายามดิ้นต่อสู้แต่ไม่สามารถสู้แรงได้ จนเธอสลบไปตอนไหนไม่รู้ เมื่อเธอได้สติตื่นมาก็พบว่าไฮโซโจยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกับเธอ เธอรวบรวมสติก่อนจะหลบหนีออกจากบ้านอย่างสุดชีวิต มุ่งหน้าไปที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อแจ้งความในทันที เธอเดินขึ้นโรงพักด้วยท่าทีหวาดระแวงสุดขีด อาการเนื้อตัวสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดทำให้ ร.ต.อ.หญิง วิรัญชนา แพงคำ ผู้เป็นร้อยเวรที่รับแจ้งต้องพาเธอเข้าห้องเย็น ก่อนจะเกลี้ยกล่อมเธอด้วยการเปิดเพลงให้ฟัง ชวนคุยเรื่องผู้หญิงกว่าหลายชั่วโมงจนเธอยอมเปิดใจและบรรยายเหตุการณ์พร้อมใบหน้านองน้ำตากว่า 6 ชั่วโมงในการสอบปากคำ มันหดหู่ใจจนทำให้ตำรวจหญิงผู้สอบปากคำเธอถึงกับร้องไห้ตามเธอไปด้วย 

กระทั่งวันที่ 17 มี.ค. 67 เธอตัดสินใจกระโดดลงจากชั้น 4 เพื่อฆ่าตัวตาย ขณะเธอตกลงมาถึงชั้น 3 ร่างของเธอได้กระแทกเข้ากับระเบียงทำให้แรงกระแทกจากการตกลงมานั้นลดลง ทำให้เธอยังไม่เสียชีวิต แต่ก็อยู่ในอาการโคม่าครึ่งเป็นครึ่งตาย มันต้องขนาดไหนถึงทำให้หญิงสาววัย 29 ปี รายนี้ต้องถึงกับฆ่าตัวตาย

เรื่องนี้ถึงหูของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช. ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่สืบสวนคดีนี้ทันที ซึ่งต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับไฮโซโจ หรือ นายวชิรวิชญ์ นักธุรกิจเจ้าของแบรด์ขนมกล้วยชื่อดัง และเป็นตระกูลของนักธุรกิตชื่อดัง หลังลงพื้นที่สืบสวน พล.ต.ต.ธีรเดช ได้สืบทราบว่าไฮโซโจนี้พักอาศัยอยู่กับแฟนสาวในคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านเพลินจิต จึงนำกำลังไปซุ่มโปร่งรอจับกุม และสามารถจับกุมได้ที่ล็อบบี้ของคอนโด ขณะกลับมาจากทานข้าวเที่ยงโดยขณะจับกุมไฮโซโจมีท่าทีขัดขืนเจ้าหน้าที่จึงเกิดการปะทะคารมกันเล็กน้อย ก่อนจะยินยอมให้เจ้าหน้าที่ทำการจับกุมตัว

ในชั้นจับกุม นายวชิรวิชญ์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์ขนมกล้วยชื่อดังที่ส่งออกขายทั่วโลก และยังเป็นทายาทนักธุรกิจ จบการศึกษาจากต่างประเทศ ส่วนทางคดียืนยันไม่ได้ข่มขืนเพราะผู้เสียหายยอมมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเอง ส่วนแฟนสาวที่คบอยู่ปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าตนเองมีโลกใบที่ 3 พึ่งจะมาทราบวันนี้” หลังจับกุมตัว ได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา เพราะมีความขัดแย้งกับคำให้การและพยานหลักฐานหลายประเด็น ต้องชื่นชมที่พนักงานสอบสวนหญิงสามารถเกลี้ยกล่อมและบันทึกปากคำหญิงผู้เสียหายไว้ได้ตั้งแต่แรก ซึ่งนี้คือพยานหลักฐานที่สำคัญมาก เพราะในตอนนี้ตัวของผู้เสียหายที่ตกจากตึกชั้น 4 นั้นสภาพร่างกายยังไม่สามารถมาให้การหรือต่อสู้ใด ๆ ทางคดีได้ ซึ่งหลังจากนี้เราจะขยายผลให้ถึงที่สุดเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน หากผู้ใดมีเบาะแส โปรดแจ้งข้อมูลมาที่เพจ ‘สืบนครบาล IDMB’ เรามีเจ้าหน้าที่พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพราะแม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ แต่หากเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.”

‘เรือเก็บขยะ Solar power’ สิ่งประดิษฐ์จากเนเธอร์แลนด์มาไทย เดินเครื่องเก็บขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ ก.พ. 67 - ม.ค. 68

(21 มี.ค. 67) เพจ ‘Salika’ ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรือเก็บขยะ สิ่งประดิษฐ์จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้เดินทางมาถึงประเทศไทย และเริ่มภารกิจเก็บขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยระบุว่า…

“เรือเก็บขยะ ‘The Ocean Cleanup’ สิ่งประดิษฐ์คิดค้นจากเด็กวัยรุ่นอายุเพียง 20 ปี จากประเทศเนเธอร์แลนด์ เก็บขยะมาทั่วโลก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาร์เซลล์ หรือ Solar power และทำงานด้วยระบบอัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องใช้แรงงานมนุษย์ในการควบคุม สามารถเก็บขยะได้วันละ 50,000-100,000 ชิ้น 

“ตอนนี้เรือเก็บขยะ Solar power ได้มาเก็บขยะที่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานแขวนพระราม 9 ประเทศไทย เป็นเวลา 1 ปี เพื่อช่วยดักเก็บขยะก่อนไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย โดยจะดำเนินการดักเก็บขยะในแม่นํ้าเจ้าพระยาบริเวณสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา ถนนพระราม 3 เขตบางคอแหลม ตั้งแต่เดือนก.พ. 67 - ม.ค. 68 ซึ่งขยะที่จัดเก็บได้จะนำไปศึกษาวิจัยปริมาณขยะพลาสติกในแม่นํ้าเจ้าพระยาต่อไป 

“โดยแม่นํ้าเจ้าพระยาถือเป็น 1 ในแม่นํ้า 15 สายของโลกที่จะมีนวัตกรรมเรือดักเก็บขยะพลังงานแสงอาทิตย์มาปฏิบัติการ เพื่อลดขยะและเสริมสร้างความตระหนักให้กับสาธารณชนในการลดการทิ้งขยะลงแม่นํ้า ปัจจุบันองค์กร The Ocean Cleanup (TOC) แห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ถือเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมชั้นนำระดับโลก”

DSI ตรวจค้น 5 เป้าหมาย เครือข่ายส่งออกน้ำมันโกฟุก พื้ยที่ชลบุรีหลังทางการพม่ายืนยันไม่มีบริษัทฯ รับซื้อน้ำมันในพม่า

ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวน ขยายผลจากคดีพิเศษที่ 10/2567 กรณีเครือข่าย "โกฟุก" นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์หลอกลวงให้ประชาชนเข้าซื้อรางวัลเลขท้ายของรางวัลที่ 1 และรางวัลเลขท้าย 2 ตัว โดยอ้างอิงผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งนำผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ มาประกอบในการเชิญชวนให้มีการเล่นการพนันภายใต้หลายเว็บไซต์ เช่น ร่ำรวย  ร้อยล้าน นพเก้า นาคราช ชอบหวย ล้อตโต้เอ็มเอ็ม ดีเอ็นเอ เยเย่ และอื่นๆ เบื้องต้นพบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,000 ล้านบาท พบว่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับกรณีที่คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎรได้ส่งเรื่องขอให้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณี กลุ่มผู้บริหารและผู้ประกอบกิจการปิโตรเลียมกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมีพฤติการณ์เป็นขบวนการลักลอบจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในทั้งในและต่างประเทศ และเป็นผู้ซื้อน้ำมันเพื่อการส่งออกแต่ไม่มีการส่งออกอย่างแท้จริงโดยนำกลับมาจำหน่ายในประเทศ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นมีการฟอกเงินรายได้จากบ่อนคาสิโนแนวชายแดน หวยใต้ดินและสินค้าหนีภาษี อันอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ 2560 ประมวลกฎหมายรัษฎากร และกฎหมายฟอกเงิน เป็นคดีพิเศษที่ 116/2563 ที่สอบสวนอยู่ ซึ่งจากการสอบสวนขยายผล พบพฤติการณ์ต้องสงสัยว่า บริษัท Chindwin สัญชาติเมียนมา ที่แต่งตั้งนายสง่า หรือโกฟุก เป็นตัวแทนดำเนินการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศไทยเพื่อส่งออกไปยังสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาโดยได้รับการยกเว้นทางภาษีมีตัวตนหรือไม่ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงดำเนินการขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (MLAT) ตรวจสอบสถานะของบริษัท ชินด์วิน จำกัด (Chindwin Company Limited) ผลการตรวจสอบพบว่าไม่มีการจดทะเบียนในนามบริษัท Chinwind จำกัด ในสารบบนิติบุคคลของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา อีกทั้ง บริษัท Chinwind ไม่ได้เปิดดำเนินการหรือมีสถานประกอบการตามที่ได้ระบุไว้ในเอกสารใบสั่งสินค้า (Purchase Order) บัญชีราคาสินค้า (Invoice) และเอกสารใบรับสินค้า (RECEIVING OF MERCHANDISE) ที่นำมาแสดงต่อบริษัทผู้ขายน้ำมัน จึงมีเหตุจำเป็นต้องตรวจสอบต้นทางคือนิติบุคคลและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งออกน้ำมันไปยังต่างประเทศ คณะพนักงานสอบสวนจึงมีมติร่วมกับพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ยื่นคำร้องขอหมายค้นต่อศาลเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเข้าตรวจค้นสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง รวม 5 จุด ในวันนี้ ประกอบด้วย

จุดที่ 1 บริษัท ทีพีทีเอ็ม โลจิสติกส์ จำกัด และ บริษัท น้ำโขง โลจิสติกส์ จำกัด  อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

จุดที่ 2 บริษัท ศิธา โลจิสติกส์ จำกัด อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

จุดที่ 3 บริษัท โชคชัยพัฒนาออยล์ จำกัด อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

จุดที่ 4 บริษัท จิดาภา ทรานสปอร์ต จำกัด และ บริษัท สกลพัฒน์ ทรานสปอร์ต จำกัด  อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร

จุดที่ 5 ท่าเรือสินพารา (ท่าเรือโกกวด) หรือ ห้างหุ้นจำกัด สินพาราค้าไม้ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง

โดย พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ/โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่บูรณาการ การทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ทำการตรวจค้นในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ส่วนในการปฏิบัติการตรวจค้นในพื้นที่จังหวัดระนองและชุมพร นำโดย ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์  วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม และ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่บูรณาการการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ผลการตรวจค้นสามารถพบและยึดสิ่งของเป็นพยานหลักฐานในรูปแบบเอกสารและไฟล์ดิจิทัลเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวนต่อไป “พฤติการณ์ของคดีนี้มีเหตุอันควรสงสัยว่านายสง่าฯ กับพวก ได้ร่วมกันหลอกลวงใช้ชื่อบริษัทผู้ซื้อคือ บริษัท Chindwin สัญชาติเมียนมา ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน ซึ่งไม่มีอยู่จริง มาสร้าง   นิติกรรมอำพรางโดยแสดงเอกสารเท็จเป็นหนังสือแต่งตั้งเป็นตัวแทนผู้ซื้อ เพื่อใช้เป็นคู่ค้าหรือคู่สัญญาในการทำธุรกรรมซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อจะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๐ ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปขายให้กับนายสง่าฯ กับพวกเป็นราคาที่ถูกกว่าราคาตลาด นายสง่าฯ กับพวก จึงอาศัยช่องทางนี้ในการซื้อน้ำมันราคาถูก และยังมีพฤติการณ์อันควรสงสัยในการลักลอบหนีศุลกากรนำน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายเอากำไรภายในประเทศ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้กว่า 28,000 ล้านบาท”

'คนไทยในสหรัฐฯ' แชร์!! 6 สิ่งสำคัญที่ทำให้เมืองไทย มีดีกว่าอเมริกา 'อาหาร-สาธารณสุข-ขนส่งสาธารณะ-วัฒนธรรม-อากาศ-อินเทอร์เน็ต'

(21 มี.ค.67) จากช่องยูทูบ ‘Jason in USA’ ซึ่งเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา มาเกือบจะ 10 ปี ได้โพสต์คลิปแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว หลังตนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ ‘ประเทศไทย’ ของเรา ทําไว้ดีกว่า ‘สหรัฐอเมริกา’ เป็นอย่างมาก โดยระบุว่า…

1. เรื่องอาหารการกิน ซึ่งสิ่งนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าที่ไทยเราหาอาหารทานได้ค่อนข้างง่าย และมีราคาสบายกระเป๋า แถมอร่อยแล้วก็มีความหลากหลายมาก ๆ 
2. เรื่องระบบสาธารณสุข แน่นอนว่าที่สหรัฐอเมริกามีแพทย์และก็เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าระดับโลก แต่ที่นี่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแห่งเดียว ที่ไม่มีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ผู้คนก็ต้องซื้อประกันสุขภาพเพื่อตัวเอง และการจะพบแพทย์ได้ครั้งนึงก็ต้องใช้เวลารอนานมาก
3. เรื่องระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งส่วนตัวมองว่าระบบขนส่งสาธารณะที่ไทย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าหรือรถบัส มีความปลอดภัยและสะอาดมากกว่าที่สหรัฐอเมริกา

4. เรื่องวัฒนธรรม ซึ่งเอาจริง ๆ ไม่มีที่ไหนสู้วัฒนธรรมของไทยเราได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นเอกลักษณ์จนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
5. เรื่องสภาพอากาศ เพราะที่สหรัฐอเมริกาอากาศจะแปรปรวนกว่าที่ไทยบ่อยมาก 1 วันพันฤดูของจริง
6. เรื่องอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะเน็ตมือถือ ที่นี่คือค่อนข้างช้ามาก ของไทยเร็วกว่าและดีกว่าสุด

'เพจดัง' เตือน!! ชาว กทม.เตรียมจมฝุ่น ไม่จำเป็นอย่าออกนอกบ้าน หลังกัมพูชาเผามหึมาหลายจุด ส่งกลิ่นไหม้กลางดึก จนรับรู้ได้

(21 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนเหม็นกลิ่นควัน อีกทั้งบรรยากาศเหมือนควันปกคลุมหลายแห่งนั้น

ต่อมาเพจ Drama-addict โพสต์ข้อความระบุว่า....

“สาเหตุน่าจะมาจาก ลมพัด pm 2.5 มา ตอนนี้ทางกัมพูชามีการเผาแบบมหึมาหลายจุดมาก แล้วลมตอนนี้พัดจากตะวันออกไปตะวันตก น่าจะพัด pm 2.5 จำนวนมากจากกัมพูชา เข้ามาทางภาคตะวันออก แล้วมาทางภาคกลาง”

ต่อมาได้โพสต์ภาพและข้อความเพิ่มเติมว่า “กทม. และปริมณฑล จมฝุ่น ไม่จำเป็น อย่าออกนอกบ้าน คนที่มีโรคประจำตัว ควรอยู่ในบ้าน เปิดเครื่องกรองอากาศ อย่าออกกำลังกายนอกบ้าน พรุ่งนี้ น่าจะจมฝุ่นหนัก เป็นไปได้ก็ WFH กันซักวันสองวัน”

ขณะที่ด้านเพจ 'เพื่อนชัชชาติ' ได้โพสต์ข้อความลงใน (X) โดยระบุว่า...

พรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ และผู้บริหารด้านความยั่งยืน กทม. ได้ชี้แจงถึง 3 สาเหตุ #กลิ่นไหม้ ดังนี้...

1. ทิศทางลมวันที่ 20 เป็นทิศตะวันออก (ตามภาพ) ซึ่งต่างจากวันอื่นๆ ช่วงนี้ที่มาจากอ่าวไทย ส่วนจุดเผาในช่วง 24 ชม.ที่ผ่านมาพบที่ปริมณฑลหลายจุด

2. ระยะนี้สภาพอากาศแปรปรวน มีพายุฤดูร้อน ประกอบกับมีความกดอากาศสูงผ่านทางอีสานมาเมื่อวาน ส่งผลให้ความสูงของชั้นบรรยากาศผสม (Mixing Height) ลดต่ำลง ฝุ่นละอองเกิดการสะสมตัวเพิ่มมากขึ้น

3. ความชื้นในบรรยากาศทำให้เกิดฝุ่นละออง PM2.5 ทุติยภูมิ (Secondary PM2.5) เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะชนิดที่เกิดจากพวกสารประกอบไนโตรเจนและแอมโมเนียจะเกิดปฏิกิริยาได้ดีในสภาวะที่มีความชื้นสูง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top