Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

'พีระพันธุ์' ร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิด 'ลุงตู่' ดีใจ!! คนไทยจำนวนมากยังคิดถึงท่านไม่เสื่อมคลาย

(21 มี.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความเนื่องในวันคล้ายวันเกิดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านเฟซบุ๊ก ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga’ โดยระบุว่า…

วันนี้ 21 มีนาคม 2567 เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านองคมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha “ลุงตู่ของพวกเรา”

ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดดลบันดาลประทานพรให้ท่านมีความสุข มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง มีพลังกายพลังใจที่เข้มแข็ง เป็นหลักให้ประเทศชาติและประชาชนอย่างยาวนาน 

ผมดีใจที่คนจำนวนมากยังคิดถึงท่านไม่เสื่อมคลาย และมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่คิดถึงท่านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในวันคล้ายวันเกิดของท่านปีนี้มีผู้คนมากมายเข้ามาอวยพรท่านในโซเชียลมีเดีย และที่ฝากผมไปถึงท่าน มากกว่าช่วงที่ท่านอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสียอีก 

ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ท่านมีความสุขและจะทำให้ท่านมีพลังทำงานให้ชาติบ้านเมืองรับใช้สนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกยาวนาน  

อยากบอกท่านว่าพวกเราคิดถึงท่านเสมอและขอขอบพระคุณในนานาคุณูปการที่ท่านทำไว้ให้กับชาติบ้านเมืองครับ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างชีวิต อย่างยั่งยืน แก่ชาวร้อยเอ็ด มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้กับโรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี

วานนี้ (วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ร่วมในพิธีมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 25 ครัวเรือน พร้อมทั้งมอบรถจักรยานในโครงการ “จักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 4” จำนวน 50 คัน กระบอกน้ำ จำนวน 250 ใบ  ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน รวม 5 แห่ง เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าสิ่งของที่มอบในครั้งนี้เป็นเงิน 627,120 บาท (หกแสนสองหมื่นเจ็ดพันหนึ่งร้อยยี่สิบบาทถ้วน) โดยมี นายนพดล จอมเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย นางนวลจันทร์ ศรีมงคล ผู้ตรวจราชการ กรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี  รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ ณ บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด

พร้อมกันนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น และบริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม ซึ่งปัจจุบันทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่มอบไปแล้วรวมทั้งสิ้น 10 จังหวัด 237 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,928,485 บาท (สี่ล้านเก้าแสนสองหมื่นแปดพันสี่ร้อยแปดสิบห้าบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลา 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

นนทบุรี-จัดงานวัฒนธรรมสองฝั่งเจ้าพระยา มหาเจษฎาบดินทร์ ปี ๖๗ อย่างยิ่งใหญ่

โชว์เสน่ห์อัตลักษณ์ถิ่น ยลวิถีเอกลักษณ์ไทย ดัน Soft Power ก้าวไกลสู่เมืองเศรษฐกิจดี วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗ นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นประธานแถลงข่าว การจัดงานวัฒนธรรมสองฝั่งเจ้าพระยา มหาเจษฎาบดินทร์ ประจำปี ๒๕๖๗ “ย้อนรอยวิถีนนท์ ยลสายชลสองฝั่งเจ้าพระยา น้อมรำลึกมหาเจษฎาบดินทร์” โดยมี นายสมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี นายอุดร ระโหฐาน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี นายชาญยุทธ เศวตสุวรรณ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กทม. ร่วมแถลงข่าวฯ ณ อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ต.บางศรีเมือง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี

​​​งานวัฒนธรรมสองฝั่งเจ้าพระยา มหาเจษฎาบดินทร์ จัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ที่ทรงมีคุณูปการอย่างอเนกอนันต์ต่อจังหวัดนนทบุรีและประเทศไทย รวมทั้งเพื่อส่งเสริมและผลักดัน Soft Power ภายในจังหวัดนนทบุรี ตามนโยบายของรัฐบาล อาทิ แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่น และสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อีกทั้งเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “นนทบุรี 6 ดี สู่เมืองน่าอยู่” ของผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ในการนำจังหวัดสู่เศรษฐกิจดี โดยในปี 2567 นี้ จัดงานฯ ระหว่างวันที่ ๒๗ มีนาคม – วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๓๐ – ๒๓.๐๐ น. ณ อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ตำบลบางศรีเมือง และบริเวณท่าน้ำนนท์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ภายใต้แนวคิด “ย้อนรอยวิถีนนท์ ยลสายชลสองฝั่งเจ้าพระยา น้อมรำลึกมหาเจษฎาบดินทร์” โดยจังหวัดนนทบุรี บูรณาการร่วมกับ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายภาคเอกชนและภาคประชาชน จัดกิจกรรมแบ่งออกเป็นสถานีต่าง ๆ ๑๔ สถานี ได้แก่ บริเวณอุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ประกอบด้วย ​สถานีพหุวัฒนธรรม โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมการสาธิตหมู่บ้านจำลองวิถีชีวิตของชาวจังหวัดนนทบุรีในอดีต ได้แก่ หมู่บ้านคนไทยพื้นถิ่น จีน มุสลิม และรามัญ การออกร้านจำหน่ายอาหารและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย และสินค้าเด่นจากสภาวัฒนธรรม

​สถานีกาชาดและชมรมแม่บ้านมหาดไทย โดยชมรมแม่บ้านมหาดไทยและเหล่ากาชาดจังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมรำวงย้อนยุค การเดินแบบผ้าไทยโดยนางแบบกิตติมศักดิ์ การจำหน่ายสลากกาชาดลุ้นรางวัลใหญ่มากมาย
​สถานีเกษตรแฟร์ โดยหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดแสดงนิทรรศการด้านการเกษตร การออกร้านจำหน่ายสินค้าสินค้าเกษตรทั้งสดและแปรรูป การแข่งขันและการประกวดต่างๆ อาทิ การแข่งขันกินกุ้ง การประกวดธิดาเกษตรนนท์ จุดถ่ายภาพและจำลองโมเดลสัตว์ ต้นไม้ และผลไม้เลื่องชื่อของจังหวัด เป็นต้น
​สถานี Street Art @ Nonthaburi โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนนทบุรี จัดแสดงแสง สี และเสียง ทุ่งแพไฟ ดอกไม้ อุโมงค์ไฟ จุดแสดงภาพ Street Art และกิจกรรมล่องเรือชมทัศนียภาพและวิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจุดลงเรือเริ่มที่ท่าน้ำนนท์ ล่องผ่านประตูน้ำคลองอ้อม วัดราษฎร์ประคองธรรม สิ้นสุดที่ท่าน้ำวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร เริ่มเที่ยวแรกเวลา ๑๖.๓๐ น. เป็นต้นไป จำนวนวันละ ๔ รอบ ​สถานีธนาคารชุมชน โดยสำนักงานคลังจังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมธนาคารย้อนยุค การให้คำปรึกษา การแก้ปัญหาหนี้สินและปรึกษาด้านการประกันภัย และบริการนวดแผนไทย​สถานีกินลมชมสะพาน @ OTOP Station โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนนทบุรี จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ของดี ของเด่น ของนนทบุรี กว่า ๕๐ ร้านค้า ​สถานีอำเภอชวนชิม โดยที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี จัดกิจกรรมออกร้านจำหน่ายอาหารเด่น อาหารอร่อยจาก ๖ อำเภอในจังหวัดนนทบุรี และจุดบริการถ่ายภาพในรูปแบบตู้ถ่ายภาพอัตโนมัติ 

​สถานีธงฟ้า Blue Flag @ พาณิชย์นนท์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด สินค้าราคาพิเศษ อาทิ ไข่ไก่ น้ำมันพืชปาล์ม น้ำตาลทราย และข้าวหอมมะลิ เป็นต้น
​สถานีพลังงาน โดยสำนักงานพลังงานจังหวัดนนทบุรีร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดแสดงนิทรรศการการอนุรักษ์พลังงานอย่างยั่งยืน กิจกรรมตลาดนัดพลังงานเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน จากการแปรรูปโดยเทคโนโลยีพลังงาน และส่งเสริมกิจการสินค้าอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ​สถานีหับเผย by เรือนท่านนท์ โดยเรือนจำจังหวัดนนทบุรี จัดแสดงนิทรรศการและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ ​สถานีตลาดย้อนยุค ไทย-รามัญ โดยเทศบาลนครปากเกร็ด จัดกิจกรรมสืบสานประเพณีวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายรามัญ โดยตกแต่งสถานที่รูปแบบ “บ้านมอญ” การประดับสถานีด้วยอัตลักษณ์ของชาวรามัญ การจำลองวิถีชีวิตผู้คนในสมัยรัชกาลที่ 3 การจำหน่ายอาหารคาว หวาน โดยการใช้เงินพดด้วงแทนเงินสด และการแต่งกายย้อนยุค ​สถานีเยือนตลาดพรหมลิขิต สวมจริตชาวบางศรีเมือง โดยเทศบาลเมืองบางศรีเมือง จัดกิจกรรมจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าชุมชนในเขตเทศบาลฯ จุดถ่ายภาพเช็คอินที่สวยงามตระการตา การประดับตกแต่งด้วยไฟสวยงาม

​สถานีท้องถิ่นชาวบางกรวย โดยเทศบาลเมืองบางกรวย จัดกิจกรรมออกร้านวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านบางกรวย จำหน่ายอาหารไทย อาหารโบราณ ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ของชาวสวนบางกรวย การจำหน่ายสินค้า Handmade โดยกลุ่มส่งเสริมอาชีพผู้พิการ และจุดเช็คอิน จุดถายภาพที่เป็นอัตลักษณ์ของเทศบาลเมืองบางกรวย
​สถานีท่าน้ำเมืองนนท์ โดยเทศบาลนครนนทบุรี จัดกิจกรรมบริเวณฝั่งท่าน้ำนนทบุรี โดยจำลองการจัดงานวัด การจำหน่ายอาหารคาว หวาน สินค้าเครื่องแต่งกาย สินค้าอุปโภค บริโภค จุดถ่ายรูป เช็คอิน ตลอดจนการแสดง การประกวด การสาธิตที่น่าสนใจ เช่น หนังกลางแปลง การชกมวยไทย เป็นต้น ​นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการแสดงแสง สี เสียง พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๓ การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม  และการแสดงพื้นบ้าน อาทิ โขน ลำตัด การแสดงดนตรีจากนักเรียนในจังหวัดนนทบุรี รวมทั้งการแสดงจากศิลปิน นักร้อง ที่มีชื่อเสียง อาทิ ขุนอินทร์ ระนาดเอกและวงบางสะพาน เอ๊ะ จิรากร และ ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ – ๒๓.๐๐ น. ณ บริเวณเวทีกลาง อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ บริเวณพลับพลา โถงจตุรมุข พร้อมชมการประดับไฟสวยงามภายในสวนและริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแสงไฟอันงดงามของสะพานมหาเจษฎาบดินทร์ทรานุสรณ์ ตลอด ๗ วัน ๗ คืน ทั้งนี้ ไฮไลท์ภายในงานยังมีกิจกรรมขบวนแห่ชาติพันธุ์ทางบกและขบวนแห่ทางน้ำ ในวันที่ ๒๗ มีนาคม 2567 กิจกรรมการรำเทิดพระเกียรติฯ โดยนางรำกว่า ๔๐๐ คน ณ บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๓ และพิธีเปิดงานฯ ในวันที่ ๓๑ มีนาคม 2567 เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ บริเวณเวทีกลาง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมชม ชิม ช้อป แต่งกายชุดไทย ในงานวัฒนธรรมสองฝั่งเจ้าพระยา มหาเจษฎาบดินทร์ ประจำปี ๒๕๖๗ ณ อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ตำบลบางศรีเมือง และบริเวณท่าน้ำนนท์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี โดยมีบริการเรือข้ามฟากให้บริการฟรีจากท่าน้ำนนท์มายังท่าน้ำอุทยานกาญจนาภิเษก ตลอดระยะเวลาการจัดงาน รายละเอียดเพิ่มเติม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี www.nonthaburi.m-culture.go.th
 

(สุรินทร์) ผู้ช่วยจเร กอ.รมน. ลงพื้นที่ติดตามผลการปฎิบัติงาน พื้นที่ กอ.รมน.สุรินทร์

วันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 น. พลตรี พิชิตพล  แจ่มจำรัส  ผู้ช่วยจเร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หัวหน้าชุดตรวจ และคณะฯ นางสาว อรวรรณ ญาณวิภา ผู้ตรวจราชการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, พันเอก ชัยณรงค์ เชียงทอง ผู้ช่วยจเรกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, พันเอก สุชาติ นันทศุภเศรษฐ์  และ พันตรี เอกรัฐ บุญบัวทอง ในโอกาสเดินทางมาตรวจติดตามการปฎิบัติงาน ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ประจำปี 2567 โดยได้เข้าพบปะ หารือ นายพิจิตร บุญทัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ต่อจากนั้น พลตรี พิชิตพล  แจ่มจำรัส  ผู้ช่วยจเร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หัวหน้าชุดตรวจ และคณะฯ ได้เข้ารับฟังการบรรยาย ผลการปฎิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ที่ ห้องประชุม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ เพื่อรับทราบความคืบหน้าและรับฟังปัญหาข้อขัดข้องในการดำเนินงานตามโครงการฯ พร้อมทั้งให้คำแนะนำ โดยมี พันเอก จิตรกร จันทร์สว่าง รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25/รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์(ท.) ให้การต้อนรับ มี พันตำรวจเอก อิทธิพล  พงษ์ธร หัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคงฯ พันเอก สุดใจ แพงพรมมา หัวหน้าฝ่ายนโยบายและแผนฯ พันเอกหญิง โชติมา มุลาลินน์ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าว

หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินการ 16 หน่วยงาน พลตรี พิชิตพล  แจ่มจำรัส ผู้ช่วยจเร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้ให้คำแนะนำทางด้านเอกสารแก่เจ้าหน้าที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ให้ข้อมูลการปฏิบัติงานของหัวหน้าส่วนราชการที่ได้รับการบรรจุให้ปฏิบัติงาน รวมถึงได้ชี้แจงให้ทราบถึงนโยบายของผู้บังคับบัญชา และกำชับให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ได้บูรณาการร่วมกับส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาชนในพื้นที่ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล เพื่อให้ขับเคลื่อนโครงการฯ ในการป้องกัน แก้ไขปัญหาและเสริมความมั่นคง ในด้านต่างๆให้ตรงกับภัยคุกคามและความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ โดยให้ร่วมมือกับประชาชนในการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมกันแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในพื้นที่ระดับตำบล ต่อไป

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ 

'ปธ.สวนนงนุช' โชว์ปอก 'มะพร้าวก้นสาว' ลูกละ 2 แสน สุดยอดมะพร้าว ที่ใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะตกผลสุก

(20 มี.ค. 67) นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วย นายชาญชัย กรรณสูต กงสุลกิตติมศักดิ์ สาธารณรัฐเชเชลล์ นำคณะสื่อมวลชน ร่วมบันทึกภาพการปอกมะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด (LODOICEA MALDIVICA โลโดเซีย มัลดิวิกา) หรือมีชื่อเรียกในนามชาวโลกว่า ‘มะพร้าวก้นสาว’ จำนวน 20 ลูก ที่ใช้เวลายาวนานหลายทศวรรษกว่าจะตกผลสุก ซึ่งได้สร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างมาก ณ สวนปาล์มโลก 1 ใน 10 สวนสวยที่สุดในโลก สวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี

นายกัมพล ตันสัจจา เผยว่า มะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด ถือเป็นพันธุ์มะพร้าวที่มีความพิเศษหายาก มีเอกลักษณ์เด่นที่มีลักษณะคล้ายก้นสาว จัดเป็นปาล์มชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในหมู่เกาะซีเซลล์ ในมหาสมุทรอินเดีย มีเมล็ดขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเมล็ดปาล์ม มะพร้าวทะเล 1 ต้น ต้องใช้ระยะเวลายาวนานถึง 3 ทศวรรษ (30 ปี) จึงจะออกลูก และใช้เวลา 5-7 ปี ผลถึงจะสุก ส่วนมะพร้าวทะเลที่ปอกให้ชมในวันนี้ ลูกที่น้ำหนักมากสุด 14.8 กก. และน้อยที่สุด 2.2 กก. โดย สวนนงนุชพัทยา จะนำไปเพาะปลูกขยายพันธุ์ ซึ่งในอนาคตข้างหน้า สวนนงนุชพัทยา จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์มะพร้าวทะเล กระจายไปทั่วโลก

ปัจจุบัน สวนนงนุชพัทยา มีมะพร้าวทะเล 30 ต้น รวมต้นกล้าพร้อมที่จะลงดินทั้งสิ้น 53 ต้น สำหรับ มูลค่าผลมะพร้าวทะเล อยู่ที่ผลละประมาณ 100,000 บาท ส่วนลูกที่มีกะลา 2 ใบ มีมูลค่า 2 เท่า 200,000 บาท แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย

นอกจากนี้ สวนนงนุชพัทยา ยังมีพันธุ์ปาล์มมากถึง 1,567 ชนิด และกว่า 200 ชนิด มีที่สวนนงนุชพัทยาเท่านั้น ซึ่งได้รับการรับรองจาก สมาคมปาล์มนานาชาติ ว่ามีปาล์มมากชนิดที่สุดในโลก จากการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมปาล์มนานาชาติ (International Palm Society 1998 หรือ IPS 1998) การประชุมปาล์มนานาชาติจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2541 และ พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา

ตำรวจบึงกาฬ ภาค 4 ยึดเฮโรอีนซุกซ่อนในท่อสเตนเลส

ตามนโยบายของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ให้กวาดล้างยาเสพติดทุกประเภท และจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยให้หมดสิ้นไป

ตำรวจภาค 4 นำโดย พ.ต.ท.ณัฐพล โอฆะพนม สว.กก.สส.ภ.จว.บึงกาฬ ได้สืบสวนทราบว่า จะมีการลักลอบส่งยาเสพติด ในพื้นที่ บ้านท่าอินแปลง ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ จึงบูรณาการกำลังกับ สภ.บึงกาฬ, ร้อย ตชด.244 และ กกล.สุรศักดิ์มนตรี วางแผนและสืบสวนจับกุม ต่อมาวันที่ 20 มี.ค.67 เวลาประมาณ 12.00 น. พบว่ามีผู้นำท่อสแตนเลส ลักษณะเหมือนโครงเปลสำหรับเด็ก ไปวางไว้ที่บริเวณ ริมถนน ถนนสาย 212  บ.ท่าอินแปลง ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ จากการยกตรวจสอบพบมีน้ำหนักที่ผิดปกติ จึงใช้อุปกรณ์เปิดตรวจสอบ พบว่าภายในช่องว่างของท่อ ถูกบรรจุด้วยเฮโรอีน เชื่อว่าเป็นยาเสพติดที่จะมีการลักลอบส่งตามข่าวที่สืบสวนมา จึงนำกำลังซุ่มอยู่บริเวณโดยรอบ กระทั่งพบรถเก๋งนิสสัน สีขาว หมายเลขทะเบียน กม 12xx สกลนคร เข้ามาจอด จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้พากันมายกท่อสเตนเลสดังกล่าวเพื่อจะนำขึ้นรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คน คือ นายรุ่งเพชร กำนันแห่งหนึ่ง ในภาคอีสาน, นางเพ็ชรัตน์ ซึ่งเป็นภรรยาของนายรุ่งเพชร และ 3.นายวชิระ พร้อมด้วยของกลาง คือ เฮโรอีนน้ำหนักประมาณ 9.2 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในท่อสเตนเลส ลักษณะเหมือนโครงเปลสำหรับเด็ก สอบถามเบื้องต้น ผู้ต้องหารับว่า มีผู้จ้างให้มารับของดังกล่าวเป็นเงิน 5 หมื่นบาท จึงจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองบึงกาฬ ดำเนินคดี และสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

‘ลูกย่าโม’ เดือด!! แอปฯ หาคู่ดัง ทำป้ายโฆษณาส่อดูถูกสาวโคราช ซ้ำ!! ด้อยค่าของดีอย่าง ‘ผัดหมี่’ ชี้!! ถ้าสำนึก ควรปลดป้ายออก

(20 มี.ค.67) กลายเป็นภาพที่ถูกแชร์ต่อไปอย่างมากในโลกออนไลน์ สำหรับป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่มีข้อความว่า ‘ของอร่อยนครราชสีมา’ แล้วต่อด้วยตัวเลือก 2 ข้อ คือ ผัดหมี่โคราช มีเครื่องหมายกากบาทต่อท้าย ผู้สาวโคราช มีเครื่องหมายถูกต่อท้าย โดยด้านล่างมีโลโก้ของแอปพลิเคชันหาคู่ชื่อดัง

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าข้อความดังกล่าวต่อไปในทางเจตนาดูถูกเหยียดหยามเพศสตรีชาวโคราช สร้างความไม่พอใจให้กับชาวโคราชเป็นอย่างมาก

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าป้ายดังกล่าวติดอยู่บนอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ริมถนนโพธิ์กลาง ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ห่างจากลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ไม่ถึง 500 เมตร โดยเป็นตัวอักษรภาษาไทยสีขาว พื้นหลังสีแดง โดดเด่น ดึงดูดสายตาผู้ที่ขับรถผ่านไปมาเป็นอย่างมาก และยังพบพื้นที่อื่น ๆ ในตัวเมืองอีกมาก

น.ส.ชัญญานุช สุรฉัตร แกนนำปกป้องสิทธิสตรีโคราช กล่าวว่า ตอนแรกที่เห็นคนแชร์ในโซเชียล ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อตั้งใจอ่านอย่างถี่ถ้วน ส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติหญิงสาวโคราชเลย เพราะคำว่าอร่อยใช้ได้กับอาหารเท่านั้น แต่การนำมาใช้กับหญิงสาวโคราชนั้นไม่เหมาะสม

โดยเฉพาะ จ.นครราชสีมา เป็นเมืองหญิงกล้า ผู้หญิงชาวโคราชทุกคนเป็นลูกหลานย่าโม มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่เมื่อได้เห็นคำโฆษณานี้แล้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ที่มีใครบางคนหวังแค่ผลประโยชน์ โดยการนำเกียรติและศักดิ์ศรีของสาวโคราชมาย่ำยีเหยียดหยามเช่นนี้ ถ้าเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ควรให้เกียรติผู้อื่น

การนำผัดหมี่โคราช แล้วมากากบาทว่าไม่อร่อย เป็นการด้อยค่าของดีโคราช เพราะผัดหมี่โคราช ถือว่าเป็นหนึ่งในคำขวัญของจังหวัด คือ ‘เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน’ ดังนั้นไม่ควรด้อยค่าผัดหมี่โคราช จากนี้ถ้าเจ้าของแอปพลิเคชันสำนึก ควรปลดป้ายนี้ออกไป ส่วนจะออกมาแสดงความขอโทษชาวโคราชหรือไม่นั้น อยู่ที่จิตสำนึกของเขา ไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่ขอให้นำป้ายนี้ออกไปก่อน เพื่อให้ทุกคนสบายใจ

ชื่นชม!! ‘หนุ่ม’ ประดิษฐ์ ‘ฉากจำลอง’ เล็กๆ ในเมืองไทย เก็บครบทุกรายละเอียด สวยงามเป็นเอกลักษณ์

(20 มี.ค.67) โลกโซเชียลได้แชร์ภาพงานฉากจำลองจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Forrest Kong’ โดยโพสต์ข้อความระบุว่า “ขออนุญาต admin เผยแพร่ผลงานการทำฉากจำลอง งาน 50% ตอนนี้ ขอบคุณทุกคำติชมจากโพสต์ที่ผ่านมาด้วยครับ”

ซึ่งในภาพถ้าสังเกตดี ๆ งานฉากจำลองนี้สมจริงแม้กระทั่งความทรุดโทรมของตึกอาคาร เสาไฟฟ้า สายไฟรกรุงรัง ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ป้ายขายบ้าน การมีคนมือบอนพ่นสีใส่กำแพง สะพานลอย ป้ายบอกทาง และถ้าไม่มีใครบอกว่าเป็นฉากจำลอง คนคงนึกว่าเป็นภาพจริงอย่างแน่นอน

ขณะที่ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นงานเนียน งานละเอียดสุด ๆ ถ้าไม่มีการบอกว่าเป็นโมเดลจำลอง ก็คิดว่าเป็นรูปจริงอย่างแน่นอน ความยากของงานนี้คือ การใส่รายละเอียดลงไปได้ครบ 

‘รปภ. ม.รามฯ’ จบป.ตรี ภาควิชาปรัชญา สาขาภาษาจีน เผย!! “ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย นอกจากต้องมีวินัย”

(20 มี.ค.67) นับเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เมื่อได้เห็นก็ต้องชื่นชมและร่วมยินดีด้วยทันที เรื่องราวของ นายอนุชา จุดาบุตร หรือที่ชาวคณะมนุษยฯ ม.รามคำแหงเรียกกันว่า ‘พี่อนุชา’ ถือเป็นตัวอย่างของความมุมานะ มั่นเพียร และมีวินัยจนประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้

โดยเพจ ‘RU Chinese studies’ ได้แชร์เรื่องราวของ ‘พี่อนุชา’ ไว้ว่า… 

“พี่อนุชา หรือนายอนุชา จุดาบุตร เป็น รปภ.ประจำอยู่อาคาร 2 คณะมนุษยศาสตร์มาหลายปีค่ะ แอดมินเห็นมาตั้งแต่แอดยังวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นนักศึกษาเอกจีนของรามคำแหงอยู่เลย…

“ปีนี้ พี่อนุชา กลายเป็นหนึ่งในบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์นะคะ สาขาวิชาภาษาจีน ขอแสดงความยินดีกับพี่อนุชามา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ”

นอกจากนี้ยังระบุต่ออีกว่า “พี่อนุชาเริ่มเรียนมาตั้งแต่เทอม 2/60 และจบในเทอม 1/64 ที่เรียนจนจบได้ตามระยะเวลานี้ พี่อนุชาบอกว่า “ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลยครับ นอกจาก ‘ต้องมีวินัย’ ครับผม” 

“ดังนั้น จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแบบอย่างที่ควรเอาอย่างนะคะ เอาอย่างในเรื่องความมุมานะ วิริยะ พยายามและตั้งใจอย่างต่อเนื่อง 

“ถึงแม้พี่อนุชาจะรูปร่างสูงใหญ่จนน้อง ๆ นักศึกษาเห็นแล้วออกจะกลัว ๆ เกร็ง ๆ อย่างนี้ แต่ตัวจริงใจดีนะคะ ถึงช่วงสอบทีไร วิชาภาษาจีนที่ต้องมีการสอบพูด และมักจะสอบกันที่บนตึกของคณะมนุษยศาสตร์ แต่พออาจารย์บอกพี่อนุชาไว้ว่าวันนั้นวันนี้จะมีนักศึกษามาสอบปฏิบัตินะ พี่อนุชาก็รับทราบและคอยดูแลนักศึกษาให้อย่างดี

#รปภตัวใหญ่หัวใจอ่อนโยนจ้า 👏👏👏

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกล่าวปิดการแข่งขันและมอบเข็มขัดแชมป์โลกมวยไทย

19 มีนาคม 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกล่าวปิดการแข่งขันและมอบเข็มขัดแชมป์โลกมวยไทย ให้กับนักกีฬามวยไทยนานาชาติที่ชนะเลิศทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ที่เวทีมวยพิเศษ หน้าโรงแรมบาซาร์โฮเทล รัชดา แยกรัชโยธิน ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมีพลโท อัครชัย จันทรโตสะ นายกสมาพันธ์มวยไทยโลกและพลเอกธันวาคม ทิพยจันทร์  รองประธานสหพันธ์มวยไทยโลกให้การต้อนรับ

สำหรับพิธีเปิดการแข่งขันได้รับเกียรติจาก นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิด

การแข่งขันมวยไทยโลกครั้งที่ 19 นี้ จัดโดยสหพันธ์มวยไทยโลก WMF มีนักมวยไทยทั้งชายและหญิงตลอดถึงกรรมการเวทีมวยกว่า 400 คนเดินทางมาจากทุกทวีปทั่วโลก โดยออกค่าใช้จ่ายมากันเองเพื่อร่วมทัวร์นาเมนต์แข่งขันชกมวยไทยในแต่ละรุ่น 

ทั้งนี้ทุกการขึ้นชกจะมีการรำไหว้ครูมวยไทยประกอบปี่พาทย์ประกอบเสียงกลองทุกครั้ง นักมวยมาพร้อมพี่เลี้ยงและครูฝึก และยังได้ร่วมเดินทางไปเข้าพิธีไหว้ครูมวยไทยที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างคึกคัก 

กิจกรรมนี้ นักกีฬาและคณะตลอดจนครอบครัว และกองเชียร์เพื่อนฝูงต่างพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 7 คืน หลายๆคนเพิ่งเคยเดินทางมาเห็นประเทศไทยเป็นครั้งแรก ต่างรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาแสดงฝีมือด้านมวยไทยที่เพียรฝึกฝนมาประลองฝีมือกับนักมวยไทยชาติต่างๆ และได้สัมผัสประเทศไทยในฐานะต้นตำรับของวิชามวยไทยชั้นครู และยืนยันว่าจะกลับมาเยือนประเทศไทยต่อไปอีกอย่างแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top