Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

‘กฟผ.’ ปรับโซนใหม่ ศูนย์การเรียนรู้ ‘Elextrosphere โลกใหม่ Right Carbon’ อัดแน่น ‘ความรู้-ความสนุก-สื่อทันสมัย’ จูงใจเรียนรู้เรื่องพลังงานอย่างมีส่วนร่วม

เมื่อวานนี้ (25 มี.ค. 67) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดรอบพิเศษแก่คณะสื่อมวลชน ชมนิทรรศการศูนย์การเรียนรู้ที่ปรับปรุงใหม่ ‘Elextrosphere โลกใหม่ Right Carbon’ โดยมีนางสาวรัชดาพร เสียงเสนาะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์องค์การ กฟผ. และผู้บริหารศูนย์การเรียนรู้นำชม ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 

กฟผ. ปรับปรุงนิทรรศการศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง โซน ที่ 2 และ 5 ด้วยเทคโนโลยีสื่อจัดแสดงที่ทันสมัย ให้เยาวชนและผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสประสบการณ์อันตื่นตาตื่นใจไปกับการเรียนรู้ด้านพลังงานอย่างมีส่วนร่วม ภายใต้กลยุทธ์ EGAT Carbon Neutrality ของ กฟผ. โดยจัดแสดง ผ่าน 5 สัมผัสพิเศษ 5 เทคนิคจัดแสดง ดังนี้

โซนที่ 2 Elextrosphere โลกใหม่ Right Carbon:
1. Elextrosphere โลกใหม่ Right Carbon นิทรรศพลังงานแห่งอนาคตกับการสร้างประสบการณ์ร่วมในโลกเสมือน พาทุกคนร่วมเดินทางไปสัมผัสความรู้สึกเมื่อโลกที่เราอาศัยอยู่ต้องเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง และความงดงามของโลกแห่งจินตนาการที่ทุกสรรพสิ่งอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ในดินแดนคาร์บอนเรืองแสง ผ่านเทคนิค Interactive Immersive Experience & Theater 6D - 8K ภาพยนตร์ 6 มิติ บนจอภาพยนตร์ขนาดยักษ์ความยาวถึง 30 เมตร

โซนที่ 5 Right Carbon สร้างสมดุลคาร์บอน:
2. Carbon คือผู้ร้ายจริงหรือ แกะร่องรอยปริศนาผู้อยู่เบื้องหลังภาวะโลกเดือด จุดเริ่มต้นของปัญหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ ตามหา Carbon ที่อยู่รอบตัวเราผ่านเทคนิค AR Interactive

3. พลังงานขับเคลื่อนชีวิต ย้อนเวลาสู่ก้าวแรกแห่งการค้นพบพลังงานไฟฟ้าเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของ กฟผ. และสนุกกับเกมการเรียนรู้ด้านพลังงานรูปแบบ Self-learning ผ่านเทคนิค Model Interactive Projection Mapping Graphic Wall

4. Welcome to ELEXTROSPHERE ภารกิจขับเคลื่อนโลกสู่ ‘EGAT CARBON NEUTRALITY’ ภายใต้กลยุทธ์ Triple S ลด ชดเชย กักเก็บ อาทิ การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ รองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน และทางเลือกในการจัดการพลังงานแห่งอนาคต ผ่านเทคนิค Projection Mapping Interactive & AR Interactive

5. แต่งแต้มจินตนาการให้แก่โลก ELEXTROSPHERE สนุกกับกิจกรรมกักเก็บ Carbon เพื่อสร้างสมดุลพลังงานยั่งยืน คืนชีวิตแก่ ต้นไม้แสงนิรันดร์ และมีส่วนร่วมในการสร้างโลกใหม่ Right Carbon ด้วยการปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ แต่งแต้มสีสันให้กับ ELEXTROSPHERE ผ่านเทคนิค Touch Screen L&S Interactive Projection Mapping

นอกจาก 2 โซนใหม่เอี่ยมล่าสุดแล้ว ยังมีอีก 5 โซนที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น โซน 1 จุดประกาย จุดประกายแสงแรกในตัวคุณ ลงทะเบียนรับ RFID แปลงร่างเป็น AVATAR ผจญภัยในโลกพลังงานไฟฟ้า 

โซน 3 คืนสู่สมดุล สัมผัสชีวิตอนาคตที่มีความสมดุลระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยี 

โซน 4 สายน้ำแห่งความภูมิใจ สัมผัสภารกิจแห่งในการดูแลชุมชน ตั้งแต่ป่าต้นน้ำสู่สายน้ำเจ้าพระยาควบคู่ไปกับการผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย 

โซน 6 โลกที่ยั่งยืน สำรวจโลกพลังงานไฟฟ้าการบริหารจัดการกับการใช้ไฟฟ้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก 

โซน 7 แสงนิรันดร์ ประมวลผลการเรียนรู้และรวมพลังสร้างแสงแห่งสุขนิรันดร์

ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. สนใจสามารถเข้าชมได้ฟรี ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กเพจ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง หรือ โทร. 0-2436-8953

‘ครม.’ ไฟเขียว!! ดัน ‘ชุดไทย-มวยไทย’ เข้าคิวยูเนสโก ขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

(26 มี.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม รมว.วธ. เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ครม.เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงวัฒนธรรมในการเสนอรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทย 2 รายการ คือ ชุดไทย และ มวยไทย

โดยให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) นำเสนอเอกสารข้อมูลประกอบการพิจารณา ส่งให้ทางสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ของประเทศไทย (Thai National Commission for UNESCO) กระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ดำเนินการจัดส่งเอกสารให้ยูเนสโก ให้ทันภายในวันที่ 31 มี.ค.67 นี้

เพื่อเข้าสู่ลำดับการพิจารณาต่อจากรายการ ‘ต้มยำกุ้ง’ และ ‘เคบาย่า’ (มรดกร่วม 5 ประเทศ ไทย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย) ที่ยูเนสโก บรรจุเข้าวาระที่ประชุมของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลฯ ครั้งที่ 19 ระหว่าง 2-7 ธ.ค.67 ณ สาธารณรัฐปารากวัย และต่อด้วยรายการ ‘ผ้าขาวม้า’ ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโกไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2566 แล้ว

นายเสริมศักดิ์ เปิดเผยถึง ความสำคัญและสาระของมรดกฯ ทั้ง 2 รายการ ดังนี้ รายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรม ชุดไทย : ความรู้ งานช่างฝีมือ และแนวปฏิบัติการแต่งกายชุดไทยประจำชาติ (Chud Thai : The Knowledge, Craftsmanship and Practices of The thai National Costume) ชุดไทยเป็นเครื่องแต่งกายที่แสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทย ได้รับการพัฒนามาเป็นเวลานาน พบหลักฐานมีการนุ่ง และการห่ม มากว่า 1,400 ปี ตั้งแต่สมัยทวารวดี อยุธยาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์

ภาพการแต่งกายจึงเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกเล่าให้คนรุ่นหลัง ได้รับรู้และสืบทอด ในปีพุทธศักราช 2503 ชุดไทยได้รับการพัฒนารูปแบบครั้งสำคัญ เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ศึกษาวิวัฒนาการรูปแบบการแต่งกายของสตรีไทย และสร้างสรรค์ชุดไทยขึ้น 8 แบบ

ส่วนของสุภาพบุรุษ มี 3 แบบ คนไทยทุกภูมิภาคมักสวมใส่ชุดไทยในวาระโอกาสต่าง ๆ และเมื่อมีโอกาสสำคัญในชีวิต ทั้งงานรัฐพิธี งานพิธีการทางศาสนา ถือเป็นแนวปฏิบัติทางสังคมและยังเป็นกระบวนการผลิตของช่างฝีมือไทยทั้งในเรื่องของการทอผ้าที่ใช้เป็นวัตถุดิบ และงานช่างตัดเย็บ ตลอดจนการปักประดับลวดลายบนผืนผ้าอีกด้วย

รมว.วธ. กล่าวต่อว่า ในส่วน ‘มวยไทย’ (Muay Thai : Thai Traditional Boxing) เป็นศิลปะการต่อสู้ของไทย เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบทอดมาไม่ต่ำกว่า 300 ปี ปรากฏหลักฐานใน ‘จดหมายเหตุว่าด้วยราชอาณาจักรสยาม’ ซึ่งบันทึก โดยซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de la Loubère)

มวยไทยเป็นวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่าในระยะประชิดตัว เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ก่อกำเนิดจากภูมิปัญญาของคนไทยที่ต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติ สัตว์ป่า มนุษย์ และภัยจากสงคราม การฝึกฝนวิชามวยไทย มีตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน จนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อไว้ใช้ในการป้องกันตนเองและปกป้องประเทศ เอกลักษณ์โดดเด่นของมวยไทย คือการใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายในการป้องกันตัว ซึ่งครูบาอาจารย์ได้คิดค้นกลวิธีการฝึกจากการเลียนแบบท่าทางของสัตว์ การสังเกตธรรมชาติ และวรรณคดี

รวมถึงวิถีชีวิตตามบริบทท้องถิ่นของแต่ละภูมิภาคประยุกต์เป็นท่าทางมวยต่าง ๆ และยังมีพิธีกรรมของการมอบตัวเป็นศิษย์ การขึ้นครู และการครอบครู การแสดงความกตัญญูต่อครูอาจารย์และผู้มีพระคุณ เห็นได้จากการรำไหว้ครูมวยไทยก่อนการชกทุกครั้ง ปัจจุบัน มวยไทย เป็นกีฬาประจำชาติ เป็นกีฬาอาชีพ มีการจัดการเรียนการสอนมวยไทยในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง มวยไทยจึงถือเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ที่มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน

ด้าน นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) เปิดเผยว่า มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทั้งรายการ ชุดไทย และ มวยไทย นี้ เป็นการนำเสนอยูเนสโก เพื่อขอขึ้นทะเบียนในประเภทบัญชีรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (The Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity)

ซึ่งมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของยูเนสโก 5 เกณฑ์ ประกอบด้วย 

1.รายการที่นำเสนอนี้สอดคล้องกับลักษณะของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่นิยามไว้ในมาตรา 2 ของอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003

2.การขึ้นทะเบียนรายการที่นำเสนอนี้จะส่งเสริมความประจักษ์ และตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อนำไปสู่การสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในระดับโลก และแสดงถึงความสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ 

3.มาตรการสงวนรักษาที่เสนอมานั้น ผ่านการพิจารณามาอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อให้มีการป้องกันและส่งเสริม และมีการกำหนดมาตรการสงวนรักษาวัฒนธรรม

4.รายการที่นำเสนอนี้เกิดจากชุมชน กลุ่มบุคคล หรือปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และ 5.เป็นรายการที่ปรากฏและดำรงอยู่ในดินแดนของรัฐภาคีสมาชิกที่นำเสนอ โดยบรรจุอยู่แล้วในบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของรัฐภาคีสมาชิกตามที่นิยามไว้ในอนุสัญญา มาตรา 11 และ 12

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดองค์รู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ทั้งระดับจังหวัด ระดับชาติ และมนุษยชาติ ได้ในเว็บไซต์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม www.culture.go.th หัวข้อ องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาฯ ICH และติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ทางเฟซบุ๊กกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และ Line @วัฒนธรรม

‘ศาลแพ่ง’ พิพากษา ‘ตร.ซิ่งบิ๊กไบค์’ ชน ‘หมอกระต่าย’ เสียชีวิต เตรียมชดใช้ค่าเสียหายให้พ่อแม่ผู้ตายรวม 27.3 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (25 มี.ค. 67) ศาลแพ่ง อ่านคำพิพากษาคดีที่ นพ.อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล และนางรัชนี สุภวัตรจริยากุล เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ส.ต.ต. นรวิชญ์ บัวดก เป็นจำเลย 1-2 โดยโจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีละเมิด

คำฟ้องสรุปว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ผู้ตาย, จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547, จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการตำรวจ สังกัดจำเลยที่ 1 ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1บก.อคฝ)

โดยเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 15.00-16.00 น. จำเลยที่ 2 ขณะปฏิบัติหน้าที่รับเอกสารราชการ ไปส่งให้แก่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานในสังกัด จำเลยที่ 1 ได้ขับรถจักรยานยนต์ออกจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ด้วยความเร็วประมาณ 108-128 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แซงขึ้นหน้ารถคันอื่นในระยะไม่ถึง 30 เมตรก่อนถึงทางม้าลาย โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง พุ่งชนผู้ตาย ขณะเดินข้ามทางม้าลายบริเวณหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ไม่ให้การช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุประมาณ 30-60 นาที 

จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแล กำกับการปฏิบัติงาน และธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 2 ใช้รถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมายในการปฏิบัติงาน ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และไม่จัดให้จำเลยที่ 2 เข้ารับการฝึกอบรมขับรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจร ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนท้องถนน ละเลยไม่จัดทำมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุตรงทางม้าลาย อันเป็นผลโดยตรงทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนั้นจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดดังกล่าว 

คำร้องของโจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสอง ร่วมกันหรือแทนกัน ชดใช้ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพเป็นเงินจำนวน 539,493 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 537,505 บาท ค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงินจำนวน 72,266,301 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 72,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง 

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง กำหนดให้จำเลยที่ 1 เป็นส่วนราชการ มีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้… (2) ดูแล ควบคุม และกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ ซึ่งปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น และ มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 แบ่งส่วนราชการออกเป็นส่วนต่าง ๆ 

ดังนั้นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วไป ที่จะควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาส่วนราชการและข้าราชการตำรวจในสังกัดจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และนโยบายของจำเลยที่ 1 ในภาพรวม โดยมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตนธำรงไว้ซึ่งวินัยของข้าราชการ 

การที่จำเลยที่ 2 ไม่ประพฤติตนธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ใช้รถจักรยานยนต์ผิดกฎหมายไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ไม่มีประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ไม่เสียภาษีประจำปี ไม่ติดกระจกมองข้างและขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัย และพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 ได้ความจาก พ.ต.ท. มนตรี ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ว่า ภายหลังเกิดเหตุ ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ต้นสังกัดจำเลยที่ 2 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการทางวินัย และได้พิจารณาลงโทษกักขัง 30 วัน ตามสำเนาคำสั่งกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ที่ 10/2565 และพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมว่าขับรถจักรยานยนต์ไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย ขับรถไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง (ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย) นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทาง นำรถที่ยังไม่ได้เสียภาษีประจำปีมาใช้ในทาง นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่จัดให้มีประกันความเสียหายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มาใช้ในทาง ใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน (ไม่มีกระจกมองข้าง) ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และขับรถจักรยานยนต์ในทางเดินรถในเขตกรุงเทพมหานครโดยใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

พนักงานอัยการ ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา ศาลอาญามีคำพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 1049/2565 ว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง 

เมื่อพฤติกรรมการขับขี่และใช้รถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 ที่ขาดความสำนึกรู้ผิดชอบ ทั้งๆ ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาวินัยจราจรและปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ควบคุม เสริมสร้างความประพฤติ และวินัยข้าราชการตำรวจ ซึ่งจำเลยที่ 2 เคยเข้าร่วมอบรมประชุมกวดขันระเบียบวินัยเกี่ยวกับความประพฤติและระเบียบข้าราชการตำรวจที่หน่วยงานต้นสังกัดจัดขึ้นตามคำสั่งจำเลยที่ 1 , จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจโดยลำพังในการจัดระเบียบจราจร ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการจัดการระบบจราจร โดยมีกระบวนการและขั้นตอนดำเนินงานร่วมกันหลายหน่วยงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระทรวงคมนาคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ดังนั้นจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจร มีหน้าที่ดูแลการจราจร รักษาความปลอดภัยบนท้องถนนให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง และนโยบายเป็นหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยเฉพาะของจำเลยที่ 1 เพียงหน่วยงานเดียว เมื่อเหตุคดีนี้เกิดจากที่จำเลยที่ 2 กระทำละเมิด ขับรถจักรยานยนต์ชนผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นนิติเหตุอันเป็นความรับผิดเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่อาจให้สัตยาบันเข้ารับเอาผลการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ได้ ดังนั้นจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ทั้งสอง

ในประเด็นว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดั่งที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง เหตุคดีนี้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 โดยลำพัง จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเป็นการเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 บัญญัติให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดใช้ค่าปลงศพ รวมถึงค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นด้วย ในกรณีทำให้เขาถึงตาย ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายดังกล่าว ศาลจะต้องพิเคราะห์ถึงค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายตามจารีตประเพณีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตลอดจนฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดา

เมื่อพิจารณาตารางสรุปยอดค่าใช้จ่าย รายละเอียดค่าใช้จ่าย บิลเงินสด หลักฐานการชำระเงิน และภาพถ่ายงานศพซึ่งมีแขกร่วมงานจำนวนมาก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และผู้บริหารระดับประเทศ ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่นๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 331,230 บาทนั้นเหมาะสมแล้ว กำหนดให้ตามขอ 

ส่วนค่ารักษาพยาบาลก่อนตาย เงินบริจาคมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ค่าไอแพด กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้าของผู้ตาย ไม่ใช่ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามคำขอโจทก์ทั้งสอง จึงไม่กำหนดให้ 

ส่วนค่าเรือลอยอังคาร โจทก์ทั้งสองไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากเป็นเรือของตำรวจน้ำ ไม่คิดค่าใช้จ่าย จึงไม่กำหนดให้ 

สำหรับค่าขาดไร้อุปการะ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคท้าย การกำหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ จะต้องพิจารณาตามฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู ตลอดจนรายได้ของผู้ตาย และระยะเวลาในการให้ความอุปการะเลี้ยงดูหากผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ ขณะเกิดเหตุ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 มีอายุ 64 ปีเท่ากัน มีโอกาสได้รับการอุปการะตามกฎหมายได้ไม่น้อยกว่า 15 ปี ผู้ตายอายุ 33 ปี ประกอบวิชาชีพจักษุแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทาง 2 สาขา อนุสาขาโรคจอตาและวุ้นตา และอนุสาขาโรคภูมิคุ้มกันและการอักเสบ ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนายแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 21,000 บาท และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) เดือนละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 31,000 บาท หากอยู่เวรนอกเวลาจะได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 1,200 บาท ตามเอกสารหมาย จ.58 หรือ ล.73 และเอกสารหมาย จ.59 หรือ ล.74 

ได้ความจาก พ.ต.ท. โกมินทร์ สว่างจิตต์ ตำแหน่งสารวัตรฝ่ายธุรการกำลังพล กองบังคับการอำนวยการโรงพยาบาลตำรวจว่า หากผู้ตายได้รับการคัดเลือกเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดโรงพยาบาลตำรวจในฐานะผู้มีคุณวุฒิ พบ.วว. สาขาจักษุวิทยา และอนุสาขาจักษุวิทยาภูมิคุ้มกันและการอักเสบ จะได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งนายแพทย์ (สบ.1)  ชั้นยศว่าที่ร้อยตำรวจตรี และจะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือนสูงขึ้นตามลำดับ 

นอกจากนั้นผู้ตายทำงานนอกเวลาที่โรงพยาบาลเอกชนอีก 3 แห่ง มีรายได้เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,800,000 บาท ถึง 2,400,000 บาท เมื่อมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากขึ้นก็จะได้รับค่าตอบแทนมากขึ้นเป็น 3 ถึง 5 เท่า ซึ่งสอดรับกับคำเบิกความของ นพ.อดิศัย วราดิศัย จักษุแพทย์ด้านจอประสาทตาว่า หากแพทย์มีอายุการทำงานมากขึ้น มีชื่อเสียง ทำงานหลายแห่ง จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 300,000 ถึง 500,000 บาท หรือมากกว่านั้น จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานหักล้างเป็นอย่างอื่น 

ดังนั้น หากผู้ตายมีชีวิตอยู่ จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามประสบการณ์และอายุการทำงาน เมื่อคำนึงถึงโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ แม้จะมีรายได้จากเงินเดือน แต่อยู่ในวัยชรา มีปัญหาสุขภาพต้องไปพบแพทย์และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง มีภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวต่อเดือนจำนวนค่อนข้างสูง เห็นสมควรกำหนดค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 คนละ 13,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงิน 331,230 บาท 13,500,000 บาท และ 13,500,000 บาท ตามลำดับ นับแต่วันทำละเมิดวันที่ 21 มกราคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 331,230 บาทแก่โจทก์ทั้งสอง ชำระเงิน 13,500,000 บาทแก่โจทก์ที่ 1 และชำระเงิน 13,500,000 บาทแก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

'ทนายตั้ม' โพสต์!! หลายปีมานี้ หลงแสงสี-ชื่อเสียง จนลืมบทบาทหลัก ลั่น!! ขอกลับมาเป็นทนายประชาชน กลับมาเป็นไอ้ตั้มคนเดิม

(26 มี.ค. 67) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมรู้สึกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมหลงแสงสีและชื่อเสียง จนหลงลืมว่า ผมเกิดมาจากการเป็นทนายประชาชน ผมเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าราคาแพง ใช้ของราคาสูง เพราะรู้สึกว่ามันก็แค่เรื่องของรสนิยม จนทำให้หลายคนรู้สึกต่อต้านและเกิดคำถามมากมาย

วันนี้ผมคิดได้แล้วครับ และจะกลับมาเป็นไอ้ตั้มคนเดิม ใส่เสื้อยืดทนายประชาชนตัวเดิม ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบบ้ายี่ห้อจนหลงลืม ปากท้องและชาวบ้าน 

วันนี้ผมเลยเลือกที่จะเปิดโปงส่วยตำรวจ ที่มีความเสี่ยงกับชีวิตตนเองและครอบครัว เพื่อพิสูจน์ว่าผมเปลี่ยนไป และผมไม่ใช่เด็กใคร 

ไม่ต้องเชื่อผมวันนี้ แต่ดูกันไปนานๆ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังและเสียความรู้สึกนะครับ

นครบาลโชว์ผลงาน ทลายเครือข่ายยานรก ลาดหลุมแก้ว ยึดยาบ้ากว่า 5 ล้านเม็ด

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 มีนาคม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.น.8, พ.ต.อ.บุญส่งวิทย์ ห้องแซง รอง ผบก.ฯ และหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนนครบาล 8 ร่วมแถลงข่าวจับกุมเครือข่ายยาเสพติด

กรณี จับกุมผู้ต้องหาชาย 6 ราย ย่านพุทธมณฑลสาย 1 และขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดที่ซุกซ่อนยาเสพติด ในพื้นที่อำเภอ ลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้าจำนวน 5,600,000 เม็ด คีตามีนจำนวน 200 กิโลกรัม และรถยนต์ 4 คัน

เชียงใหม่-การประชุมกลไกความร่วมมือชายแดนไทย-ลาว เพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน”

วันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พลโท ณัฐพงษ์  เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย  พร้อมด้วย พ.อ. ดาวไก  เลิดลิวัน รองหัวหน้ากรมทหารชายแดน กรมใหญ่เสนาธิการ กองทัพประชาชนลาว ร่วมเป็นประธานเปิด การประชุมกลไกความร่วมมือชายแดนไทย-ลาว เพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน” ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ จังหวัดเชียงใหม่

ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระทรวงกลาโหม โดย กรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับกรมทหารชายแดน กรมใหญ่เสนาธิการ  กองทัพประชาชนลาว ในการจัดการประชุมกลไกความร่วมมือชายแดนไทย-ลาว เพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ณ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ จังหวัดเชียงใหม่
 
คณะที่ประชุมฝ่ายไทยประกอบด้วยผู้แทนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาสังคม อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ส่วน คณะที่ประชุมฝ่ายลาว ประกอบด้วย ผู้แทนจาก กระทรวงป้องกันประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ เจ้าหน้าที่จากแขวงบ่อแก้ว แขวงไชยะบุรี และ สถานเอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจำประเทศไทย  นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจาก ประเทศกัมพูชาและประเทศ เมียนมา เข้าร่วมสังเกตการณ์ประชุมอีกด้วย

​ปัญหาหมอกควัน เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญมากเนื่องจาก มีผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพของประชาชน และนับวันยิ่งจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกภาคส่วนได้ตระหนักและร่วมมือกันในแก้ไขปัญหานี้ อย่างจริงจังอยู่แล้ว  แต่อย่างไรก็ตามปัญหาหมอกควัน ไม่ได้เกิดขึ้นแต่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น ยังเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดียวกัน กลายเป็นปัญหาหมอกควันข้ามแดน  ซึ่งเป็นปัญหาในระดับภูมิภาคที่ทุกประเทศ ต้องร่วมมือกัน

​สำหรับภูมิภาคASEAN มีความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ภายใต้กรอบความร่วมมือข้อตกลง ASEAN ว่าด้วยเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN AGREEMENT ON TRANBOUNDARY HAZE POLLUTION) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ลาว และเมียนมา ได้เห็นชอบร่วมกันในบันทึกความตกลงสามฝ่ายเรื่องยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR SKY STRATEGY) โดยมีเป้าหมายให้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนลดลง และหมดไปโดยเร็ว 

นอกจากนี้ ยังมีกลไกทวิภาคี ได้แก่ กลไกความร่วมมือคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปไทย-ลาว คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา และ กลไกความร่วมมือคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา ซึ่งบันทึกความร่วมมือของคณะกรรมการทุกคณะที่กล่าวมานั้น ได้กำหนดให้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรม
 
​ผลการประชุมกลไกความร่วมมือชายแดนไทย-ลาวเพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ในวันนี้ ทั้งสองฝ่าย ได้กำหนดแนวทางดังนี้

​๑. ฝ่ายไทยยินดีสนับสนุนจัดการฝึกอบรมด้านการควบคุมไฟป่า ให้แก่เจ้าหน้าที่ของฝ่ายลาว จำนวนไม่เกิน ๓๐ คน ณ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการควบคุมไฟป่าภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ราชอาณาจักรไทย ในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ โดยฝ่ายลาวจะพิจารณาและแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบ ผ่านช่องทางการทูต

​๒. ฝ่ายไทยยินดีให้การสนับสนุนการจัดตั้งห้องปฏิบัติการ เพื่อการบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน ณ แขวงบ่อแก้ว และแขวงไซยะบุรี โดยฝ่ายลาวจะพิจารณาและแจ้งให้ ฝ่ายไทยทราบผ่านช่องทางการทูต

​๓. ทั้งสองฝ่ายมีความยินดีแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ องค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนระหว่างกัน

​๔. ทั้งสองฝ่ายจะรายงานตามลำดับชั้นในฝ่ายตน เพื่อพิจารณาให้กลไกคณะกรรมการชายแดนไทย - ลาว , ลาว - ไทย ประสานงานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติให้เกิดความเรียบร้อย  และมีประสิทธิภาพ

ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้จัดการประชุมหารือร่วมกัน เพื่อพิจารณากิจกรรมความร่วมมือ  ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติม ในโอกาสต่อไป

นภาพร/เชียงใหม่

ตชด. จัดอุปสมบทหมู่ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

วันนี้ (26 มีนาคม 2567) เวลา 08.00 น. ที่วัดบวรนิเวศวิหาร แขวงวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชทานแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาเป็นประธานในพิธีอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2567 ในโอกาสนี้ พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้เข้าร่วมอุปสมบทพร้อมข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน รวม 28 นาย ภายในงานประกอบด้วยพิธีมอบผ้าไตรและบาตร หลังจากนั้นได้มีพิธีบรรพชาและอุปสมบท โดยมีพระธรรมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอุปัชฌาย์ และมีผู้บังคับบัญชา ข้าราชการตำรวจและครอบครัวเข้าร่วมพิธี

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้จัดทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ (2 เมษายน ) อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่ปี 2541 เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กำลังพลได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อตำรวจตระเวนชายแดนและพสกนิกรชาวไทย อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้แก่กำลังพลผู้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท มีโอกาสให้ศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง โดยตลอดระยะเวลาที่บรรพชาจะได้ฝึกปฏิบัติธรรม วิปัสสนาและเจริญภาวนา ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมวชิรญาณ 200 ปี เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร และลาสิกขาในวันที่ 9 เมษายน 2567 โดยวันที่ 2 เมษายน 2567 พระภิกษุ ตชด. ทั้ง 28 รูป จะเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ณ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อีกด้วย

พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้เปิดเผยว่า “ได้มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้ ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามราชกุมารี อย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 40 ปี ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อพสกนิกรชาวไทยและตำรวจตระเวนชายแดน โดยเฉพาะงานโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อให้เด็กและเยาวชน ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและคนในชุมชนชายแดนได้อย่างยั่งยืน”  ซึ่งในการอุปสมบทในครั้งนี้ พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต  ได้รับฉายา “ปิยกิตติโก” (ปิ-ยะ-กิต-ติ-โก) แปลว่า ผู้มีชื่อเสียงอันเป็นที่รักของคนทั้งหลาย

ขอนแก่น - 'ก.ธ.จ.' ลุยสอดส่อง ทำถนน ทต.โพธิ์ไชย-ทต.นาข่า

คณะก.ธ.จ.ขอนแก่น ได้ให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินการให้เป็นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ใช้หลักธรรมาภิบาล ให้เกิดความคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดกับเงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อพี่น้องประชาชน ตามบทบาทหน้าของธรรมาภิบาล 

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 ในเวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ห้องประชุมเทศบาลตำบลโพธิ์ไชย อำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น ดร.สมยงค์ แก้วสุพรรณ รองประธาน ก.ธ.จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นายประณต มิ่งขวัญ ก.ธ.จ. ผู้ประสานงานโซนตะวันตก,ดร.ชำนาญ ศรีวงษ์ ก.ธ.จ.,นายโกมิฬ ขอดคำ ก.ธ.จ.,นายดวงเด่น ลีลรัตนปัญญา ก.ธ.จ.,นายถวิลกานต์ ชาวกะตาก.ธ.จ.,ดร.เรืองยศ แวดล้อม ที่ปรึกษา ก.ธ.จ. ฝ่ายวิชาการ และนายหมวดตรีชูไทย วงศ์บุญมี ที่ปรึกษา ก.ธ.จ.(ฝ่ายปชส.) ร่วมลงพื้นที่สอดส่องโซนใต้ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก รหัสทางหลวงท้องถิ่น ขก.ถ.44-035 สายแยกหนองแปน-กุดเฒ่าราด หมู่ที่ 8 บ้านกุดลอบ ตำบลโพธิ์ไชย กว้าง 5 เมตร ยาว 2,950 เมตร หนา 0.15เมตร หรือมีพื้นที่คอนกรีตไม่น้อยกว่า 14,750ตารางเมตร  มีไหล่ทาง ของเทศบาลตำบลโพธิ์ไชย อำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่นงบประมาณ 9,830,000 บาท โดยมีนายเสาวฤทธิ์ คามกะสก นายกเทศมนตรีตำบลโพธิ์ชัย,นายทองดี สอนนำ รองนายกเทศมนตรีฯ ,นางสาวสุจิตรา ปรีชา เลขานุการนายกเทศมนตรีณ นายธีรนันท์ เหล่าคนค้า ปลัดเทศบาลตำบลโคกโพธิ์ไชย, นายเปรมกมล ผางแพ่ง ผอ.กองช่าง และนางละเอียด มูลแก่น ผอ.กองคลัง ร่วมชี้แจงโครงการฯ และนำลงพื้นที่สอดส่อง

ต่อจากนั้นในเวลา 13.30 น. ดร.สมยงค์ แก้วสุพรรณ รองประธาน ก.ธ.จ.ขอนแก่น พร้อมคณะ ร่วมลงพื้นที่สอดส่องโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก รหัสทางหลวงท้องถิ่น ขก.ถ.18-014 สายทางบ้านขามป้อม หมู่ที่ 1ถึงบ้านหนองไม้ตายหมู่ที่ 6 ตำบลนาข่า กว้าง 6 เมตร ยาว 2,380 เมตรหนา 0.15 เมตร หรือมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 8,280 ตารางเมตร ของเทศบาลตำบลนาข่า อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น งบประมาณ 5,978,300 บาท โดยมี นายสุเนตร เรือนทิพย์ นายกเทศมนตรีตำบลนาข่า, นายประวัติ ผงษา รองนายกเทศมนตรีตำบลนาข่า, นายประดิษฐ์ พิสันเทียะ รองนายกเทศมนตรีตำบลนาข่า, นายธนายุทธ รูปหล่อ ปลัดเทศบาลตำบลนาคา, นางศุภาณีย์ ก้านอิน นักวิชาการพัสดุ,นางปาณิสา แก้วกัลยา หัวหน้าสำนักงานปลัด และนายกมล แสงกงพลี  นายช่างโยธา ร่วมชี้แจงการโครงการฯ และนำลงพื้นที่สอดส่อง

ดร.สมยงค์ แก้วสุพรรณ รองประธาน ก.ธ.จ.ขอนแก่น กล่าวว่า คณะก.ธ.จ.ขอนแก่น ได้ให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินการให้เป็นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ใช้หลักธรรมาภิบาลให้เกิดความคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดกับเงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อพี่น้องประชาชน ตามบทบาทหน้าของธรรมาภิบาล ขอขอบคุณก.ธ.จ.ขอนแก่น ตลอดจนที่ปรึกษา ทุกท่านที่ร่วมลงพื้นที่สอดส่องโซนใต้วันนี้ขอบคุณ คุณครูประณต มิ่งขวัญ ผู้ประสานงานโซนใต้ที่ประสานหน่วยงานได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งทีมงานบริหารเทศบาลตำบลโพธิ์ไชย อำเภอโคกโพธิ์ไชย,เทศบาลตำบลนาข่า อำเภอมัญจาคีรีที่ให้ความร่วมมือในการลงพื้นที่สอดส่องครั้งนี้

รรท.ผบ.ตร. เยี่ยมข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ พร้อมส่งกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่วประเทศหายจากอาการป่วย และกลับมาปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว

พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจำนวน 5 นาย โดยมี พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมทีมแพทย์พยาบาล ให้การต้อนรับ

โดยพูดคุย ซักถามอาการเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากทีมแพทย์ และญาติ ให้กำลังใจ พร้อมมอบเงินให้จำนวนหนึ่งกับครอบครัว นอกจากนี้ยังถือโอกาสเยี่ยมตำรวจหญิงที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โดยพูดคุยซักถามอาการ ให้กำลังใจกับตำรวจหญิง และครอบครัว หลังพบโพสต์น่าเป็นห่วงในโซเชียลของตำรวจหญิง ที่ระบุว่ารับราชการตำรวจ 1 ปี หลังรับการฝึกพบเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า มีการแชร์โพสต์จำนวนมาก ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยเร่งตรวจสอบให้ความช่วยเหลือด่วน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวขอบคุณ ทีมแพทย์ พยาบาล ของโรงพยาบาลตำรวจ ที่ไม่เคยทอดทิ้งข้าราชการตำรวจ ที่เจ็บป่วย และได้รับบาดเจ็บ ให้การดูแลรักษาเป็นอย่างดี ขอส่งกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ทั่วประเทศ ให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว กลับมาปฎิบัติหน้าที่ข้าราชการตำรวจที่ดีให้กับประชาชน

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลตำรวจให้ทีมแพทย์ พยาบาลดูแลเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เจ็บป่วยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เจ็บป่วย ด้วยภาวะซึมเศร้า โรงพยาบาลตำรวจ มีเพจ "Depress We Care "ซึมเศร้าเราใส่ใจ  และเพจ  "Because We Care" ซึ่งทีมแพทย์ พยาบาล ทีมจิตแพทย์  กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด พร้อมสหวิชาชีพ จะให้คำปรึกษาดูแลอย่างใกล้ชิด 

จากสถิติการตรวจสุขภาพจิตประจำปีของข้าราชการตำรวจ ปีงบประมาณ 2565-2566 สำรวจ ณ วันที่ 13 ก.พ. 2567 พบว่า ในปีงบประมาณ 65 พบเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีภาวะซึมเศร้า รุนแรง 301 คน  ภาวะเครียด 1108  คน  ปีงบประมาณ 66 พบเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีภาวะซึมเศร้ารุนแรง 196 คน ภาวะเครียดรุนแรง 1,552คน และภาวะเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง ในปีงบประมาณ 65 จำนวน 150 คน ปีงบประมาณ 66 จำนวน 315 คน

หากโรงพยาบาลตำรวจพบข้าราชการตำรวจมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตนักจิตวิทยา โรงพยาบาลตำรวจจะโทรศัพท์ พูดคุยให้คำปรึกษา รวมถึงติดตามอาการ และส่งต่อเข้าสู่กระบวนการบำบัด โดยในปีงบประมาณ 66 มีการให้คำปรึกษาจำนวน 1,366 คน เหลือติดตามต่อเนื่อง 219 คน อีกทัังได้จัดทำคู่มือการดูแลสุขภาวะทางจิตใจของข้าราชการตำรวจ รวมไปถึงอบรมโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจ และครอบครัว และอบรม “โครงการครูแม่ไก่”( จิตแพทย์น้อย)  โดยอบรมเชิงบรรยายและเชิงปฏิบัติการแก่ข้าราชการตำรวจ ในการดูแลรักษาสุขภาพจิต ไม่ให้เกิดภาวะเครียดหรือซึมเศร้า และให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิต ตรวจประเมินสุขภาพจิตให้กับข้าราชการตำรวจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงห้องตรวจจิตเวชและยาเสพติด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทีมแพทย์และผู้ป่วยด้วย

หากข้าราชการตำรวจหรือครอบครัวรวมไปถึงประชาชนประสบภาวะเครียดหรือซึมเศร้าหรือ สามารถติดต่อ โรงพยาบาลตำรวจได้หลายช่องทาง ผ่านทางเพจ “Depress We Care” และเพจ “Because We Care“ อีกทั้งสายด่วน 081 932 0000 ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา รวมถึงการป้องกันและรักษาในเบื้องต้นตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

#PGH
#โรงพยาบาลตำรวจ
#ศูนย์ประชาสัมพันธ์สื่อสารองค์กรและโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ

“มูลนิธิสหชาติ” ผนึกกำลัง “สมาคมเดอะเชฟประเทศไทย” มุ่งทำความดีเพื่อคนในชาติ พร้อมมอบเสื้อเชฟ 135 ตัวให้กับสมาชิก

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่มูลนิธิสหชาติ พระอาจารย์ชายกลาง อภิญาโณ หรือฉายาพระเท้าเปล่า ประธานมูลนิธิสหชาติ มอบเสื้อเชฟแขนสั้น จำนวน 135 ตัว และกางเกงสีดำ 6 ตัว ให้แก่ เชฟทองเลี่ยม พุกทอง นายกสมาคมเดอะเชฟประเทศไทย โดยมี นายสมชาย จรรยา ที่ปรึกษามูลนิธิ ร่วมพิธีมอบในครั้งนี้

พระอาจารย์ชายกลาง อภิญาโณ กล่าวว่า เสื้อผ้าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มีความสําคัญต่อมนุษย์ การแต่งกาย นอกจากจะแต่งเพื่อปกปิดร่างกายให้ดูสุภาพ เรียบร้อยแล้ว ยังช่วยทําให้ร่างกายอบอุ่น สวยงาม ทั้งยังสามารถบ่งบอกถึงอาชีพของผู้ แต่งกายนั้นด้วย “เสื้อเชฟ” ที่ทางมูลนิธิสหชาติ มอบให้กับนายกทองเลี่ยม เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับสมาชิกในสมาคมฯ

สำหรับ “เสื้อเชฟ” ไม่ใช่มีไว้เพียงเพื่อทำให้ลูกค้าแยกแยะได้ว่าคนไหนเป็นเชฟเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ และความสำคัญเพื่อป้องกันเชฟจากการบาดเจ็บและความร้อนจากการทำอาหาร เพราะ “เสื้อเชฟ” นั้นถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการทำงานในครัว โดยเฉพาะตัวเสื้อ จะทำจากผ้าเนื้อหนาที่สามารถช่วยป้องกันผิวหนังของเชฟจากความร้อนขณะอยู่หน้าเตาต่างๆ หรือป้องกันจากการโดนน้ำมันกระเด็น ดังนั้น การสวมชุดเชฟจะทำให้เชฟปลอดภัย

พระอาจารย์ชายกลาง กล่าวถึง มูลนิธิสหชาติว่า เป็นองค์กรการกุศล ที่ไม่แสวงหาผลกำไร มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ส่งเสริมและสนับสนุนกด้านการศึกษา ด้านวัฒนธรรม ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมามูลนิธิสหชาติ ได้ขับเคลื่อนการสร้างคน คนสร้างชาติเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนมีความรักชาติ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทหารเพียงอย่างเดียว เพื่อให้เด็กๆได้ตระหนักถึงหน้าที่รวมถึงประชาชนทุก รวมทั้งสนับสนุนการอนุรักษ์ช้างไทย และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

ด้าน เชฟทองเลี่ยม พุกทอง นายกสมาคมเดอะเชฟประเทศไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯ จะร่วมมือช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณกุศลของมูลนิธิ จากโครงการที่ได้รับฟังจากพระอาจารย์ชายกลาง เป็นโครงการที่ดี ที่ท่านได้ดำเนินการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือเด็กยากไร้ตามหมู่บ้านชนบท ที่อยู่ห่างไกล แล้วท่านยังมุ่งมั่นทำต่อในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ลูกหลานมีใช้ในอนาคตอย่างยั่งยืน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top