Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

'จนท.อุตสาหกรรมจังหวัด' แจงปมใบ ‘ร.ง.4’ ค้างกว่า 200 ฉบับ ชี้!! 70-80% เรื่องค้างอยู่ 'กรมโรงงานฯ' แนะ!! กระจายให้ สอจ.

(25 มี.ค.67) สืบเนื่องจากกรณีแหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนหลายแห่งได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากปัญหาในการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) ทั้งในส่วนของประกอบกิจการใหม่ และการขออนุญาตขยายโรงงานล่าช้า โดยพบว่า การขอใบอนุญาตทั้ง 2 ประเภทของกรมโรงงานฯ ค้างอยู่ไม่ต่ำกว่า 200 ราย สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนอย่างมาก ทั้งที่ประเทศไทยตอนนี้ต้องการมูลค่าการลงทุน เพื่อเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับประสบปัญหาเรื่องการขอใบอนุญาตฯ (อ่านต่อ >> 'รมว.ปุ้ย' จี้ ‘กรมโรงงาน’ แก้ปมใบ ‘ร.ง.4’ ค้างกว่า 200 ฉบับ ชี้!! หากล่าช้า กระทบต่อภาคการลงทุน-เศรษฐกิจไทย : https://thestatestimes.com/public/post/2024032220)

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ล่าสุด จนท.อุตสาหกรรมจังหวัด ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ได้ขอชี้แจงต่อ รมว.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ไว้ดังนี้...

ตามที่มีข่าว เรื่องการออกใบอนุญาต ร.ง.4 ล่าช้านั้น ตอนนี้ ทางกระทรวงฯ โดยกองตรวจราชการ (กตร.) ได้รวบรวมสรุปข้อมูลแล้ว ซึ่ง (คาดว่า) ข้อมูลที่ทาง กตร. จะสรุปให้ทางท่าน รมว.อุตสาหกรรม ส่วนใหญ่คำขออนุญาตที่ค้างอยู่ จะค้างอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เป็นส่วนใหญ่

(ชี้แจงเพิ่มเติม) การอนุญาตโรงงานนั้น กรณี โรงงานตั้งอยู่ใน กทม. ทางโรงงานจะต้องยื่นเรื่องที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ส่วนกรณี โรงงานอยู่ต่างจังหวัด ทางโรงงานจะต้องยื่นเรื่องที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ซึ่งจะมีทั้งกรณีที่ สอจ. สามารถออกใบอนุญาตได้เอง และกรณีที่ สอจ. ต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้ออกใบอนุญาต ดังนี้

หากเป็นโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม ประเภท 101,105,106 และโรงงานตามนโยบาย เช่น โรงงานน้ำตาล โรงผลิตไฟฟ้า โรงงานที่ต้องทำ EIA ทาง สอจ. จะต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้ออกใบอนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่ ประเด็นที่ล่าช้ามาจากการพิจารณาโรงงานประเภท 105 และ 106 หลังจากที่ สอจ. ส่งเรื่องให้ กรอ. แล้ว ทาง กรอ.ใช้เวลาพิจารณานานมาก เวลาหลายเดือน และเมื่อพิจารณาเสร็จ ไปหลายเดือนแล้ว ก็ไม่ได้ออกใบอนุญาต แต่ส่งเรื่องให้แก้ไขเอกสาร หลายโรงงานจะเจอลักษณะแบบนี้

หากเป็นโรงงานทั่วไป เช่น โรงงานผลิตอาหาร, โรงพลาสติก, โรงผลิตชิ้นส่วนโลหะ, โรงงานผลิตสินค้าทั่วไป ที่ไม่ใช่โรงงานตามนโนบาย ทาง สอจ. ออกใบอนุญาตได้ เฉพาะโรงงานที่มีเครื่องจักร ไม่เกิน 500 แรงม้า และออกใบอนุญาตขยายโรงงานได้ ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย ไม่เกิน 600 แรงม้า เท่านั้น

หากการออกใบอนุญาตที่มีเครื่องจักร เกิน 500 แรงม้า และออกใบอนุญาตขยายโรงงาน ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย เกิน 600 แรงม้า ทาง สอจ. จะต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้พิจารณาอนุญาต ซึ่งเรื่องนี้เอง เป็นสาเหตุที่เรื่องค้างอยู่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ และทางโรงงานจะบ่นกันมาก ว่าส่งเรื่องไปแล้วพิจารณานานมาก ใช้เวลาหลายเดือน หรือไม่ก็ส่งเรื่องคืนให้แก้ไขเอกสารหลายรอบมาก ทำให้เรื่องล่าช้า และเป็นข่าวตามที่ทำให้ท่านนายกฯ กับท่าน รมว.อุตสาหกรรม ได้รับทราบแล้ว

(แนวทางแก้ไข) เรื่องที่ค้างอยู่ที่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ

(ผมยังไม่เห็นข้อมูลที่ทาง กตร. จะสรุปมาให้ แต่โดยส่วนตัว เรื่องน่าจะค้างอยู่ที่ กรอ. รวมทั้งเรื่องที่ กรอ. ส่งเรื่องคืนให้ทางโรงงานแก้ไขเอกสาร เรื่องน่าจะค้างรวมกันที่ กรอ. ประมาณ 70% - 80% ขอย้ำว่าผมยังไม่เห็นข้อมูล แต่ก็คาดว่าข้อมูลน่าจะเป็นไปตามนี้ครับ)

เมื่อเรื่องค้างที่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ ผมมีแนวทางแก้ไข ก็คือ เพิ่มอำนาจให้ สอจ. มีอำนาจในการออกใบอนุญาตมากขึ้นจากเดิม เช่น...

จากเดิม สอจ. มีอำนาจออกใบอนุญาตโรงงานที่มีเครื่องจักร ไม่เกิน 500 แรงม้า ก็เพิ่มอำนาจให้ สอจ. เป็นไม่เกิน 1,000 แรงม้า

และจากเดิม สอจ. มีอำนาจออกใบอนุญาตขยายโรงงาน ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย ไม่เกิน 600 แรงม้า ก็เพิ่มอำนาจให้ สอจ. เป็นไม่เกิน 2,000 แรงม้า

ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่ผมเสนอมานี้ จะเป็นการลดอำนาจการออกใบอนุญาตบางส่วนของ กรอ. มาเพิ่มอำนาจในการออกใบอนุญาตให้ สอจ. และลดขั้นตอนไม่ต้องส่งเรื่องให้ กรอ. ทำให้ สอจ. มีอำนาจมากขึ้นในการออกใบอนุญาตได้เอง ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถลดจำนวนเรื่องค้างในการออกใบอนุญาตโรงงานได้ และใช้ระยะเวลาในการออกใบอนุญาตได้รวดเร็วกว่าเดิมครับ

“อลงกรณ์-สภาอุตสาหกรรมฯ.”ตั้งคณะกรรมการโครงการพัฒนาสาหร่ายพืชแห่งอนาคตขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy) หวังสร้างฐานผลิตใหม่23จังหวัดชายทะเลทดแทนการนำเข้าลดคาร์บอนแก้โลกร้อน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท(WCF:Worldview Climate Foundation)เปิดเผยวันนี้(25 มี.ค)ว่า ประเทศไทยผลิตสาหร่ายน้อยมากต้องพึ่งพานำเข้าสาหร่ายจากต่างประเทศจนติดท็อปเทนของโลก ในขณะที่มีชายฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยยาวกว่า3,000 กิโลเมตรใน23จังหวัดจึงมีศักยภาพในการผลิตทดแทนการนำเข้าและยังช่วยลดคาร์บอนด้วย ดังนั้นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) และมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท Worldview Climate Foundation จึงได้ทำเอ็มโอยู.ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาสาหร่ายตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำถือเป็นความร่วมมือที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(blue economy)ในการใช้ทรัพยากรในทะเลและมหาสมุทรอย่างยั่งยืนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยซึ่งในการประชุมล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาที่สำนักงานใหญ่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)ได้ข้อสรุปในการแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการพัฒนาสาหร่ายพืชแห่งอนาคตทั้งนี้มูลนิธิฯ.ได้เสนอรายชื่อกรรมการและหน่วยงานรัฐเช่นกรมประมง กรมทรัพยากรชายฝั่งทะเลฯลฯเป็นกรรมการเรียบร้อยแล้วส่วนสอท.จะเสนอรายชื่อภายหลังการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสอท.ชุดใหม่วันที่ 25 มีนาคมนี้เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการฯ.ในการขับเคลื่อนความร่วมมือในครั้งนี้ให้เกิดผลสำเร็จโดยเร็ว

"สาหร่ายถือเป็นพืชแห่งอนาคตตัวใหม่ เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สามารถผลิตเป็น อาหาร อาหารเสริม เครื่องสำอาง เวชภัณฑ์ ปุ๋ยชีวภาพ อาหารสัตว์พลาสติกชีวภาพสำหรับบรรจุภัณฑ์ กระดาษ สิ่งทอ สารกระตุ้นทางชีวภาพ (bio stimulants) และน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยตั้งเป้าหมายสร้างงานสร้างรายได้ให้กับ23จังหวัดชายทะเลซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายในการผลิตสาหร่าย ยิ่งกว่านั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมสาหร่ายยังมีส่วนสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 “นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด สำหรับการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าประชุมตัวแทนมูลนิธิได้แก่นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานกรรมการมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท,รศ.ดร.สุชาติ นวกวงษ์ กรรมการมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท ,นางสาวสภาวรรณ พลบุตร ,นางสาวณัฐนิชา ผกาแก้ว ผู้ประสานงานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท
และนายชนะพล พอสม Advisor, Worldview International Foundation ส่วนผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้แก่ นายเชิญพร เต็งอำนวย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ,นางสาวศุภกาญจน์ พรหมราช ,นางสาวจิราวรรณ เดียขุนทด และนางสาวนฤดี มาทองหลาง จากสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม

หลวงพ่อหัวร้อน คว้าฝาบาตร ตีหัวยาย เลือดสาด เหตุฉุน เพราะหยิบของให้ช้า ล่าสุด ถูกดำเนินคดีแล้ว 

(24 มี.ค.67) เหตุการณ์เกิดขึ้น ช่วงเวลาประมาณ 7 โมง ที่ ซอยวุฒากาศ 14 คุณเอ (นามสมมติ)ได้เล่าว่า 

ตนกำลังใส่บาตรอยู่ ซึ่งตอนนั้นตนไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากว่าตนยืนหันหลังอยู่ ตอนนั้นคนแถวนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “อ้าวทำไมหลวงตาทำแบบนี้ ทำแบบนี้ได้ยังไง”

ตนจึงได้หันไปถามคนที่พูดว่า “หลวงตาทำอะไร” หลังจากนั้นตนก็เห็นสภาพของคุณยายที่ถูกพระใช้ฝาบาตรพระตีเข้าที่ศีรษะจนเลือดไหล และคนแถวนั้นก็ บอกว่าที่ผ่านมาคุณยายท่านนี้มักจะโดนพระตีแบบนี้เป็นประจำ เพราะว่าคุณยายจะไปช่วยพระจัดของบิณฑบาตตลอด แต่ในครั้งนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพระถึงได้โมโหและก่อเหตุแบบนี้

ซึ่งตนพยายามจะเข้าไปช่วยเหลือคุณยาย แต่พระก็บอกว่า “ไม่ต้องมายุ่งนี่เป็นลูกศิษย์เขา เขาให้ข้าวเป็นประจำทุกวัน อย่ามายุ่ง เดี๋ยวจะเจอดี เขาจะพาไปหาหมอเอง” 

จากนั้นก็โบกแท็กซี่แล้วผลักคุณยายเข้าไปในรถก่อนที่จะขึ้นรถตาม ในตอนนั้นตนเห็นว่า เหมือนพระมีท่าทีจะหลบหนี จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปและเอาตัวบังไว้เพื่อไม่ให้แท็กซี่ออกรถ 

สุดท้ายแท็กซี่ก็จอดเทียบข้างทาง และพระกับคุณยายท่านนี้ก็เดินลงจากรถ ซึ่งท่าทีของคุณยาย ดูมึนหัวและไม่ทราบเรื่องราวอะไร ขณะที่พระยังคงต่อว่าตนที่ถ่ายคลิปอยู่ตลอด จากนั้นพระก็รีบเดินออกไปให้ห่างจากตรงนั้น แล้วไปโบกวินมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ แล้วก็ขึ้นวินหนีไปเลย ในขณะที่คุณยายก็บาดเจ็บหัวแตก จึงต้องโทรเรียกรถพยาบาลมาทำแผลให้คุณยาย จากนั้นหลานสาวของคุณยายก็มาถึง

คุณเอ ยังได้เล่าต่ออีกว่า “มองว่าเหตุการณ์นี้ มันอุกอาจเกินไปในสังคม มันไม่สมควร เพราะว่าเขาอยู่ในผ้าเหลืองด้วย อีกอย่างพระได้ผลักคุณยายเกือบล้มด้วย มองว่าไม่สมควรที่จะทำแบบนี้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยให้ข้าวหรือเคยช่วยเหลือกัน แต่ก็ไม่ควรที่จะทำร้ายร่างกายกัน”

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ลงคลิปนี้ในโซเชียลก็มีบุคคลที่ มาคอมเมนต์แสดงตนว่า เป็นลูกของคุณยาย ได้เข้ามาขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ตอนนี้แม่ปลอดภัยแล้ว เย็บแผลไปทั้งหมด 4 เข็ม และได้แจ้งความดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว

"คุณากร"  Kick Off กทม.ฉีดวัคซีน "โรคพิษสุนัขบ้า"  นำร่องเทคโนโลยี App เก็บข้อมูลสัตว์ 

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 น. กรมปศุสัตว์จัดกิจกรรม Kick Off โครงการเร่งรัดกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2567 ภายใต้โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องโรคพิษสุนัขบ้าและส่งเสริมให้ประชาชนเลี้ยงสุนัขและแมวอย่างถูกวิธี

โดยมีนายคุณากร ปรีชาชนะชัย เลขารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธี นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ,นายบุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ผู้บริหาร , นางชญาดา วิภัติภูมิประเทศ รองประธานสภากรุงเทพมหานครคนที่หนึ่ง,สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตคันนายาว, หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ วัดคลองครุ (ปัฐวิกรณ์) เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร

นายคุณากร เลขารัฐมนตรีช่วยฯ กล่าวว่า โครงการนี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรสุนัขและแมวหลายชีวิต  มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคพิษสุนัขบ้าได้ง่าย จากสถิติเมื่อปี 2566 พบโรคพิษสุนัขบ้า ประมาณ 15 ตัวในเขตหนองจอก และลาดกระบัง จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ นอกจากนั้นจะขยายโครงการรณรงค์การฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าให้ครอบคลุมในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำเรื่อง ”สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย“ ในพื้นที่ที่มีโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี เช่น ปทุมธานี อุบลราชธานี สงขลา และชลบุรี เป็นต้น โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การดำเนินโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธานฯ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  อีกทั้งตอนนี้ กำลังพัฒนาสร้างแอปพลิเคชัน LINE เตรียมจัดเก็บข้อมูลประชากรสุนัขและแมวทั้งประเทศ เพื่อความสะดวกในการทำงาน ขณะลงพื้นที่ภาคสนามลดความซ้ำซ้อน และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเทศบาลเมืองบางศรีเมือง จังหวัดนนทบุรี ได้ทดลองใช้งานแล้ว หลังจากนี้จะขยายไปทั่วประเทศ

นายบุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์ได้กำหนดให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดดำเนินการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานครในรูปแบบของการบูรณาการ การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ ร่วมกับกองสวัสดิภาพสัตว์และสัตวแพทย์บริการ ปศุสัตว์พื้นที่กรุงเทพมหานคร สำนักงานปศุสัตว์เขต 1 และหน่วยงานต่างๆ ในกรมปศุสัตว์ ได้ร่วมกันจัดทำโครงการเร่งรัดกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และได้รับความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เครือข่ายสถานพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัย เครือข่ายวิชาชีพการสัตวแพทย์ องค์กรอิสระ ประชาชน และเจ้าของสัตว์เลี้ยง การจัดโครงการในครั้งนี้ เป็นการจัดกิจกรรมออกหน่วยปศุสัตว์เคลื่อนที่ในกรุงเทพมหานคร ดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ถึงเดือนกันยายน 2567  พื้นที่เป้าหมาย 14 เขตปศุสัตว์ในกรุงเทพมหานคร มีเป้าหมายรวมผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมว 5,000 ตัว และฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าไม่น้อยกว่า 10,000 ตัว ทั้งนี้ ประชาชนและเจ้าของสัตว์เลี้ยงในกรุงเทพมหานคร สามารถพาสัตว์เลี้ยง ไปรับบริการได้ที่จุดให้บริการ โดยสามารถตรวจสอบจุดให้บริการได้จากเว็บไซต์ของกรมปศุสัตว์

รรท.ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยม สภ.โนนสูง และสถานีตำรวจท่องเที่ยว จ.นครราชสีมา ให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมกำชับการปฏิบัติป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกมิติ 

วันนี้ (24 มี.ค.2567) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการ (รอง ผบ.ตร./รรท.ผบ.ตร.) ตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ และมอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โนนสูง จ.นครราชสีมา พ.ต.อ.สิทธิพล ทิมสูงเนิน ผกก.สภ.โนนสูง และข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ จากนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ พร้อมคณะ ได้ไปตรวจเยี่ยม ส.ทท. 2 กก.1 บก.ทท. 2 โดยมี พ.ต.ท.เทพทัฬห์ ขจรเกียรติอาชา สวญ.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.2 พร้อมข้าราชการตำรวจ ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.2 ให้การต้อนรับ โดยทั้ง 2 แห่ง คือ สภ.โนนสูง และ ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.2 นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้เดินตรวจดูอาคารสถานที่ทำการ เรือนแถว บ้านพัก อาคารที่พัก และภูมิทัศน์โดยรอบที่ทำการ เพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และสถานที่ให้บริการพี่น้องประชาชน เพื่อแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ยังบกพร่อง 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ได้เน้นย้ำกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจทั้ง 2 แห่ง คือ สภ.โนนสูง และ สวญ.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.2 ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้กับประชาชน ให้เร่งแก้ไขปราบปรามอาชญากรรมทุกมิติ ได้แก่ การแก้ไขปัญหายาเสพติด , ปัญหาหนี้นอกระบบ การปล่อยเงินกู้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด , ปัญหาผู้มีอิทธิพล , ปราบปรามสินค้าเถื่อนหนีภาษีที่ลักลอบเข้ามาตามชายแดน , ปราบปรามบ่อนการพนัน อบายมุข สถานบริการผิดกฎหมาย , ปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ , ปราบปรามอาวุธเถื่อน อาวุธสงคราม อาวุธปืน , ปัญหาการเผาป่า  PM 2.5 , ปัญหาที่เกิดกับการท่องเที่ยว การยกระดับการบริการตรวจคนเข้าเมือง การทำผิดกฎหมายของคนต่างชาติ โดยต้องปฏิบัติด้วยความถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด อีกทั้งต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้  นอกจากนี้ ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลทุกข์สุขและสวัสดิการของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี และเหมาะสมกับสภาพการทำงาน และเน้นเรื่องความสามัคคีในองค์กรตำรวจ

‘มาดามแป้ง’ ชวนแฟนบอล เชียร์ช้างศึกไทย ให้ถูกกติกา ย้ำ อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม พัฒนาฟุตบอลไทยไปด้วยกัน

(24 มี.ค.67) สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดย “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วยแข้งช้างศึก ผุดแคมเปญเชิญชวนแฟนบอล #เชียร์ไทยให้ถูกกติกา เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการเชียร์ที่ดี ในเกมเตรียมเปิดบ้านพบกับ เกาหลีใต้ ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 นัดที่ 4 วันที่ 26 มีนาคม 2567 เวลา 19.30 น. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

“มาดามแป้ง“ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ระบุว่า “เรารักฟุตบอลไทยไม่ต่างกัน แต่อาจจะมีวิธีการแสดงออกที่ต่างกัน เรามาเชียร์ฟุตบอลไทยให้ถูกต้องตามกติกา มาทำให้ฟุตบอลทีมชาติไทย อยู่ในอ้อมใจของคนไทยทั้งประเทศ เพราะที่นี่คือบ้านของเรา”

ขณะที่เหล่าแข้งช้างศึก นำโดยกัปตันทีม ธีราทร บุญมาทัน , สารัช อยู่เย็น , ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ บดินทร์ ผาลา ยังฝากถึงแฟนบอลเช่นกันว่า

“ในสนามพวกเราเต็มที่ พวกเราพร้อมทำเพื่อ ทีมชาติไทย นอกสนามสิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้เล่นคนที่ 12 พวกเราอยากให้ทุกคนมาร่วมกันสร้าง วัฒนธรรมการเชียร์ที่ดี และ พัฒนาฟุตบอลไทยไปพร้อมกันครับ มาเชียร์ให้ถูกกติกา แล้วมาส่งแรงใจเชียร์ไปพร้อมกันครับ”

สำหรับ ข้อกำหนดการนำอุปกรณ์การเชียร์เข้าสนามแข่งขัน ตามระเบียบของ เอเอฟซี ประกอบด้วย ห้ามนำเข้าหรือจุดพลุประทัดหรือไฟเย็น , ห้ามนำอาวุธเข้า , ห้ามสูบบุหรี่ในสนาม , ห้ามนำสารเสพติดเข้าสนาม , ห้ามนำป้ายหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การเหยียด หรือโฆษณา เข้าสนาม , ห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเข้าสนาม , ห้ามปิดใบหน้า , ห้ามนำขวดน้ำ ขวดพลาสติก ขวดแก้ว และกระป๋อง , ห้ามนำนกหวีด แตร และเลเซอร์เข้าสนาม , ห้ามนำกล้อง DSLR และไม้เซลฟี่เข้าสนาม , ห้ามบินโดรน และ ห้ามขว้างปาวัตถุใด ๆ ลงในสนาม

จีน เอาจริง ออกมาตรการใหม่ ปราบปราม ประมงเถื่อน เพื่อดูแล สายพันธุ์ปลาล้ำค่า ซึ่งมีความสำคัญ ทางเศรษฐกิจ

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่า กระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน จะดำเนินมาตรการใหม่เพื่อปราบปรามกิจกรรมการประมงผิดกฎหมายในปี 2024

โดยทางกระทรวงฯ ได้แถลงว่ามาตรการชุดใหม่ครอบคลุม การส่งเสริมงานคุ้มครองลูกปลาไหล ซึ่งเป็นสายพันธุ์ปลาล้ำค่าและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ

คณะเจ้าหน้าที่ทางการจะกระชับการบังคับใช้กฎหมายในการกำกับดูแลการจับลูกปลาไหล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอันดีของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงฯ จะเดินหน้าบังคับใช้คำสั่งห้ามจับปลาตามลุ่มแม่น้ำแยงซี พร้อมดำเนินมาตรการตรวจตราอย่างเข้มงวดที่สุดในช่วงพักการจับปลาฤดูร้อนของประเทศ

นอกจากนั้นกระทรวงฯ จะพยายามอนุรักษ์สัตว์น้ำตามธรรมชาติและกำกับควบคุมอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วย

บุรีรัมย์ จัดใหญ่ ฉลองวันเกิดให้ ‘ลิซ่า’ ดันให้เป็น ‘วันลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์’ ตอกย้ำ ที่ทำให้ทั่วโลกรู้จัก พร้อมดันเป็นอีเว้นท์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

(24 มี.ค.67) ผู้ประกอบการลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีบุรีรัมย์ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด องค์การส่วนบริหารจังหวัดบุรีรัมย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานบุรีรัมย์ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ และ สถานีรถไฟบุรีรัมย์ เตรียมจัดกิจกรรมฉลอง วันคล้ายวันเกิด อายุครบ 27 ปี ให้แก่ ‘ลิซ่า แบล็คพิงค์’ หรือ ‘ลลิษา มโนบาล’ เป็นสมาชิก วงเกิร์ลกรุ๊ป ‘แบล็คพิงค์’ ศิลปินนักร้องชื่อดังระดับโลก ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ และเป็นผู้สร้างกระแสทำให้ลูกชิ้นยืนกินเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และพลิกชีวิตให้ร้านลูกชิ้นยืนกินมียอดขายถล่มทลาย ในวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่บริเวณหลังสถานีรถไฟบุรีรัมย์ ชุมชนหลังสถานีรถไฟ ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์

โดยจะเริ่มกิจกรรม ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ซึ่งจะมีนายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ มาเป็นประธานในพิธี โดยภายในงาน ประกอบด้วย กิจกรรมการเปิดตัว กางเกงลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ ของบริษัทประชารัฐรักสามัคคีบุรีรัมย์ จากนั้น เวลา 09.00 น.ประธานในพิธี ผู้ประกอบการลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ และแขกผู้มีเกียรติ มาร่วมกัน แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ให้กับ ‘ลิซ่า แบล็คพิงค์’ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 27 ปี และประธานในพิธี ปักหมุด วันที่ 27 มีนาคม ของทุกปี ให้เป็น ‘วันลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์’ เนื่องด้วยเพราะ ‘ลิซ่า แบล็คพิงค์’ เป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ทำให้ทั่วโลกรู้จักลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ สร้างชื่อเสียง สร้างรายได้และเศรษฐกิจของบุรีรัมย์ให้ดีขึ้น พร้อมยกระดับงานให้เป็นกิจกรรม อีเว้นท์ระดับประเทศเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์

จากนั้น ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ผู้ประกอบการลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ พร้อมใจกันแจกลูกชิ้นยืนกินกว่า 700 กก. ให้บรรดาแฟนคลับ และประชาชนทั่วไปที่มาร่วมงาน

ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ จึงขอเชิญชวนบรรดาแฟนคลับ และประชาชน มาร่วมงาน แฮปปี้เบริ์ดเดย์ ให้กับ ลิซ่า ‘ลลิษา มโนบาล’ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 27 ปี ในวันที่ 27 มีนาคม 2567 ตั้งแต่ 08.30-12.00 น.ที่บริเวณหลังสถานีรถไฟบุรีรัมย์ ชุมชนหลังสถานีรถไฟ ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นตลาดร้านค้าลูกชิ้นยืนกินชื่อดังของ จ.บุรีรัมย์ นั่นเอง 

เทียบนัย 'ร่างรัฐธรรมนูญ 2474' โดยในหลวงรัชกาลที่ 7 ที่ถูกปัดตก มาตรฐานใกล้ รธน.ฉบับแรกหลายชาติยุโรป แต่กลับถูกบอก 'ไม่ประชาธิปไตย'

(24 มี.ค.67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์บทความในหัวข้อ 'ความเข้าใจต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สองที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ร่างขึ้น' (ตอนที่หนึ่ง) ความว่า...

#ร่างรัฐธรรมนูญรัชกาลที่7

หลังจากมีการอภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของพระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี. แซร์) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศและพระยาศรีวิศาลวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศยกร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญขึ้นอีกฉบับหนึ่ง

ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2474 โดยเค้าโครงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า 'An Outline of Changes in the Form of Government' (เค้าโครงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง)

ในเค้าโครงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศ ทำหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน

โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้คัดสรรและแต่งตั้งบุคคลที่พระองค์ทรงเห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นสมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์หรือมีตำแหน่งขุนนางเสนาบดีเท่านั้น

จากการที่นายกรัฐมนตรีมาจากการคัดสรรและแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรีจึงรับผิดชอบโดยตรงต่อพระมหากษัตริย์

แม้ว่าเค้าโครงร่างรัฐธรรมนูญ จะกำหนดให้นายกรัฐมนตรีมีสิทธิ์ในการเลือกบุคคลเป็นคณะรัฐมนตรี

แต่เค้าโครงฯ นี้เห็นว่า แต่เดิมการแต่งตั้งรัฐมนตรีเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

ดังนั้น การจะผ่องถ่ายอำนาจทั้งหมดโดยทันทีให้แก่นายกรัฐมนตรี จึงอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป

ดังนั้น ในเบื้องต้น เมื่อนายกรัฐมนตรีเลือกบุคคลเป็นคณะรัฐมนตรีแล้ว ควรที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชวินิจฉัยยืนยันเห็นชอบด้วย

นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีวาระที่กำหนดไว้ตายตัว โดยให้เป็นไปตามวาระของสภานิติบัญญัติ แต่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะลาออกก่อนครบวาระก็ได้ โดยทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์ แต่พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งให้กลับไปดำรงตำแหน่งอีกก็ได้

ขณะเดียวกัน พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะขอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งก็ได้ และเมื่อไรก็ตามที่นายกรัฐมนตรีลาออกเองหรือถูกขอให้ออกจากตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย

นายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและเป็นผู้เดียวที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างพระมหากษัตริย์และคณะรัฐมนตรี

ในความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ และเค้าโครงฯ ได้กำหนดว่า สภานิติบัญญัติจะใช้อำนาจของสภาฯ ในการลงมติไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้

ถ้ามีการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญในระบอบการปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ฉบับแรกของไทย

“เปรียบเทียบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กับ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศในยุโรปที่ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ”

เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญระบอบการปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศต่างๆ ในยุโรป จะพบความคล้ายคลึงกันในเรื่องพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี

เริ่มต้นจาก...

>> สวีเดน ค.ศ. 1809

สวีเดนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1809 และมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกในระบอบดังกล่าวในปี ค.ศ. 1809

มาตราแรกของรัฐธรรมนูญสวีเดน ค.ศ. 1809 ระบุว่า “พระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารการปกครองแผ่นดิน” (The King alone shall govern the realm)

และมาตรา 4 ที่ตามมาจะระบุถึงการจำกัดพระราชอำนาจ เช่น การระบุให้พระมหากษัตริย์จำเป็นต้องใช้อำนาจปกครอง “ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” (in accordance with the provision of this Instrument of Government)

นอกจากนี้ในมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญยังระบุว่า พระมหากษัตริย์จะต้อง...

“ทรงรับฟังข้อมูลและคำแนะนำจากรัฐมนตรีสภา (คณะรัฐมนตรี) อันเป็นสภาที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิก (รัฐมนตรี) จากบุคคลที่มีความสามารถ ประสบการณ์ เกียรติยศ และเป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไปของเหล่าพสกนิกรชาวสวีเดน”

(seek the information and advice of a Council of State, to which the King shall call and appoint capable, experienced, honorable and generally respected native Swedish subjects)

>> นอร์เวย์ ค.ศ. 1814

นอร์เวย์เข้าสู่ระบอบการปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1814

สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ค.ศ. 1814 คือกำหนดให้นอร์เวย์ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ นั่นคือ พระมหากษัตริย์ไม่ทรงสามารถใช้พระราชอำนาจในการบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการได้โดยตรงอีกต่อไป

แต่กระนั้น รัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ค.ศ. 1814 ยังให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีโดยไม่ได้กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาเหมือนที่ปรากฎในนอร์เวย์ปัจจุบัน

มาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ค.ศ. 1814 กำหนดให้ 'อำนาจบริหารเป็นของกษัตริย์' (The executive power shall be vested in the King.)

และในทำนองเดียวกันกับรัฐธรรมนูญสวีเดน ค.ศ. 1809 มาตรา 28 ของรัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ค.ศ. 1814 กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกพลเมืองนอร์เวย์ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 30 เป็นคณะรัฐมนตรี มีจำนวน 5 คนอย่างน้อย และอาจจะเลือกพลเมืองนอร์เวย์อื่นๆ ให้เป็นคณะรัฐมนตรี ยกเว้นสมาชิกสภาแห่งชาติ

พระองค์จะทรงแบ่งงานให้สมาชิกคณะรัฐมนตรีตามที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสมที่สุด และไม่ให้ผู้ที่เป็นบิดา บุตร และพี่น้องเป็นคณะรัฐมนตรีในเวลาเดียวกัน

จากสาระในมาตรา 28 พระมหากษัตริย์มีอำนาจในการแต่งตั้งพลเมืองนอร์เวย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัย

ถ้าจะถามว่า ตกลงแล้วพระมหากษัตริย์ขณะนั้นทรงแต่งตั้ง 'ใคร' ให้มาทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน?

คำตอบคือ โดยส่วนใหญ่ พระมหากษัตริย์จะแต่งตั้งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ก็มีบางส่วนที่แต่งตั้งจากสมาชิกสภา หากสมาชิกสภาผู้ใดได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี จะต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกสภา

>> เนเธอร์แลนด์ ค.ศ. 1814

เนเธอร์แลนด์เข้าสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1814 หลังจากเคยปกครองในแบบสมาพันธรัฐและสาธารณรัฐมาเป็นเวลายาวนาน

ในรัฐธรรมนูญเนเธอร์แลนด์ ค.ศ. 1814 มาตรา 1 ที่เป็นมาตราที่ว่าด้วยอำนาจสูงสุด หรืออำนาจอธิปไตย (Sovereignty) ของเนเธอร์แลนด์ รัฐธรรมนูญเนเธอร์แลนด์ ค.ศ. 1814 อันเป็นรัฐธรรมนูญระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของเนเธอร์แลนด์

ได้กำหนดให้อำนาจอธิปไตยของเนเธอร์แลนด์เป็นของวิลเลม เฟรดริค และผู้สืบเชื้อสายของพระองค์ “Sovereignty……belongs to Willem Frederik...”

อีกทั้งยังกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีตามพระบรมราชวินิจฉัยเช่นกัน

>> เบลเยี่ยม ค.ศ. 1831

เบลเยี่ยมเข้าสู่การปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1831

รัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 กำหนดให้อำนาจบริหารเป็นของพระมหากษัตริย์

พระองค์ทรงใช้อำนาจบริหารได้ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

โดยมาตรา 64 แห่งรัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 ได้กำหนดไว้ว่า พระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์จะมีผลบังคับใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีผู้รับสนอง และผู้รับสนองฯจะต้องเป็นรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง

ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงทรงกระทำผิดมิได้ รัฐมนตรีที่เป็นผู้รับสนองจะเป็นผู้รับผิดชอบ

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พระมหากษัตริย์มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจบริหารด้วยพระองค์เอง แต่ผ่านรัฐมนตรี และด้วยเหตุนี้ มาตรา 63 จึงกำหนดไว้ว่า ผู้ใดจะละเมิดองค์พระมหากษัตริย์มิได้

มาตรา 66 กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรี และในการแต่งตั้งรัฐมนตรี ไม่จำเป็นที่พระมหากษัตริย์จะต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีจากสมาชิกสภา (ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาล่างหรือสภาสูง) แต่ถ้าพระองค์แต่งตั้งสมาชิกสภาให้เป็นรัฐมนตรี บุคคลผู้นั้นจะต้องพ้นจากสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกสภา

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พระมหากษัตริย์เบลเยี่ยมภายใต้รัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของเบลเยี่ยมให้พระมหากษัตริย์ทรงมีอิสระในการแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยไม่จำเป็นต้องจากสมาชิกสภา ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติเบลเยี่ยม (โดยกำเนิดหรือได้รับสัญชาติ) แม้ว่าพระองค์จะมีอิสระ แต่ข้อจำกัดคือ พระองค์ไม่สามารถแต่งตั้งสมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์เป็นรัฐมนตรี

>> เดนมาร์ก ค.ศ. 1849

เดนมาร์กเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1849

รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ค.ศ. 1849 มาตรา 19 กำหนดไว้ว่า “พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงแต่งตั้งและปลดบุคคลเข้าและออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี การลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ในกฎหมายที่ได้ตราขึ้น หรือในการประกาศให้มติในการบริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวข้องมีผลบังคับได้ จะต้องมีรัฐมนตรีหนึ่งหรือหลายนายลงนามสนองพระบรมราชโองการ”

และรัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ค.ศ. 1849 ไม่ได้กล่าวถึงเงื่อนไขการแต่งตั้งและปลดบุคคลเข้าและออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด พระมหากษัตริย์เดนมาร์กทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและปลดได้ที่พระองค์ทรงเห็นสมควร

ในช่วงเริ่มแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับแรกในประเทศในยุโรปที่กล่าวไปข้างต้น (สวีเดน, นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์, เบลเยี่ยม และ เดนมาร์ก) จะเริ่มต้นจากการค่อยๆแบ่งแยกอำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการออกจากกัน ที่แต่เดิมทีรวมอยู่ในสถาบันพระมหากษัตริย์

ขณะเดียวกัน ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศเหล่านี้ที่เป็นประเทศที่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีความมั่นคงยิ่งในปัจจุบัน และได้รับการจัดลำดับเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมในอันดับต้นๆ ของโลก

เราจะพบการยังคงให้พระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบริหาร แต่ไม่สามารถบริหารได้โดยลำพังพระองค์เองอีกต่อไป

แต่จะต้องมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารแทนพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ตามพระบรมราชวินิจฉัย

สถาบันทางการเมืองในระบอบพระมหากษัตรย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ---อันได้แก่ คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์---ของประเทศเหล่านี้จะค่อยวิวัฒนาการไปตามเงื่อนไขความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ สังคมและสภาพการเมืองของแต่ละประเทศ

คำถามคือ ในช่วงที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ยังคงให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัยนั้น...เงื่อนไขทางการเมืองและประชาชนในประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับของไทย?

จากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับแรกของระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและกระบวนการวิวัฒนาการทางการเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไปของประเทศต่างๆ เหล่านี้นี่เอง ที่นำมาซึ่ง ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์และพระยาศรีวิศาลวาจา

และถ้าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2474 ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงโปรดให้ร่างขึ้นไม่เป็น 'ประชาธิปไตย'

เราจะกล่าวได้ไหมว่า รัฐธรรมนูญระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของ นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์, เบลเยี่ยม และ เดนมาร์ก เป็น 'ประชาธิปไตย' ?

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 

ตร.ภูเก็ต โพสต์เฟซ ชื่นชม พี่แท็กซี่ ที่มีความซื่อสัตย์ เอากระเป๋านักท่องเที่ยว ที่ลืมไว้ มาส่งคืนให้

เมื่อไม่นานมานี้ สถานีตำรวจภูธรเชิงทะเล ภูเก็ต ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ชื่นชมคนขับรถแท็กซี่ ที่เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ โดยได้ระบุว่า ...

ขอบคุณมากครับสำหรับความซื่อสัตย์ต่อตนเองและอาชีพ #สภ.เชิงทะเลขอชื่นชมพี่แท็กซี่ นายอภิชัย โพธิ์เหมือน ที่ขับรถแท็กซี่ป้ายเขียว หมายเลขทะเบียน ฌข -2849 ภูเก็ต กรณีนักท่องเที่ยวลืมกระเป๋าไว้ในรถ นำมาส่งคืนเรียบร้อย#ยอดเยี่ยมมากครับ (ขออนุญาตเผยแพร่เพื่อชื่นชมนะครับ)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top