Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

รู้จัก ‘ภัณฑารักษ์’ ประจำพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ผู้ถือ-ดูแล ‘พระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ’ ด้วยชีวิต

เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.67) จากช่องติ๊กต็อก ‘โลก กะ ธรรม กับ ม่อน’ ได้โพสต์คลิปวิดีโออธิบายเกี่ยวกับประเด็นที่มี ‘หญิงสาวอินเดีย’ รายหนึ่งกำลังใกล้ชิดและถือ ‘พระบรมสารีริกธาตุ’ อยู่ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าผู้หญิงสามารถใกล้ชิดได้หรือ? โดยระบุว่า….

ผู้หญิงท่านนี้เป็น ‘ภัณฑารักษ์’ ประจําพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างไทยกับอินเดียว่าเขาจะเป็นคนถือพระบรมสารีริกธาตุ ดังนั้นจะจัดใครมาอารักขาพระบรมสารีริกธาตุก็เป็นสิทธิ์ของเขา และเราไม่มีสิทธิ์ ซึ่งพวกเราได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุก็ดีแล้ว ฉะนั้น ‘ภัณฑารักษ์’ ก็คือผู้ดูแลวัตถุโบราณของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดียนั่นเอง ซึ่งก็มีหลายคนไม่ได้มีคนเดียว โดยเขาจะต้องดูแลวัตถุสิ่งของโบราณด้วยชีวิต ดังนั้นจะมาให้คนอื่นถือง่าย ๆ ไม่ได้ และจะต้องอยู่ในความดูแลของเขาเท่านั้น

ถัดมาก็จะมีคําถามว่าแล้วผู้หญิงควรจะใกล้ชิดพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระพุทธเจ้าเหรอ…พระพุทธเจ้าจะมีพระชนม์ชีพหรือปรินิพพานแล้วก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะใกล้พระองค์ขนาดนั้นถูกไหม? ซึ่งอย่างที่บอกว่าเป็นข้อตกลง มีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ ก็คือทางอินเดียจะเป็นคนพิจารณาคนที่เหมาะสมมาปกป้องดูแลพระบรมสารีริกธาตุ และจริง ๆ แล้วผู้หญิงจะมีความละเอียดรอบคอบมากกว่าผู้ชาย โดยบางทีเขาก็มองว่าผู้หญิงมีความรอบคอบกว่าและละเอียดกว่า ยกตัวอย่างเช่น ‘นางมัลลิกา’...

ครั้งนั้น ‘พระเจ้าปเสนทิโกศล’ ทําทานแข่งกับชาวบ้านแล้วก็ไม่ชนะสักที จึงทรงกุ้มพระทัยและเสียพระทัยจนพระนางมัลลิกาทราบข่าว ก็ยิ้มแบบขํา ๆ ประมาณว่าเรื่องแค่นี้เองเหรอ คือเป็นเรื่องง่าย ๆ สําหรับเธอ โดยเธอก็บอกว่าแค่ทําทานแข่งกับชาวบ้านพระราชายังทําแข่งกับชาวบ้านไม่ชนะสักที ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องยากสําหรับนางมัลลิกา และไม่ใช่เรื่องยากสําหรับผู้หญิงที่มีปัญญา โดยเธอก็บอกว่าชาวบ้านไม่มีช้าง ไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเศวตฉัตร ไม่มีเครื่องทรงที่วิจิตรเหมือนพระราชา และเธอก็ให้นําสิ่งของเหล่านี้ที่ชาวบ้านไม่มีมาประกอบในพิธีอธิษฐานคือฐานที่หาประมาณไม่ได้ ฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าผู้หญิงนั้นมีความละเอียดรอบคอบ ขนาดพระองค์ยังสรรเสริญผู้หญิงเลย

ดังนั้น ผู้หญิงที่ถือพระบรมสารีริกธาตุก็เป็นที่ไว้ใจของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ที่เขาเลือกคนที่เหมาะสมมาแล้วนั่นเอง….

"พิพัฒน์" รมว.แรงงาน หนุนเพิ่มโอกาสจ้างงานพาร์ทไทม์วัยเรียน วัยเกษียณ ผู้พิการ ถกเซ็นทรัลเรสตอรองส์ เพิ่มรายได้ครัวเรือนแรงงานทั่วประเทศ

วันที่ 6 มีนาคม 2567 เวลา 09.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส OSR & Western Cuisine บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด และคณะ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นการจ้างงานคนพิการ ผู้สูงอายุ จ้างงานรายชั่วโมง และทิศทางแนวโน้มการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ โดยมี นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานขอขอบคุณ ผู้บริหารบริษัทเซ็นทรัล 
เรสตอรองส์ฯ ที่มาเข้าพบเพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานแรงงานกลุ่มต่าง ๆ ของเซ็นทรัล 
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงแรงงานที่ต้องการส่งเสริมการมีงานทำให้กับแรงงานทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้พ้นโทษ เพื่อให้มีอาชีพ มีทักษะ มีรายได้ มีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต ในส่วนของการจ้างงานพาร์ทไทม์นั้น กระทรวงแรงงาน โดยคณะกรรมการค่าจ้างได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษารูปแบบการจ้างงานรายชั่วโมง เพื่อกำหนดค่าจ้างรายชั่วโมงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ผมได้ให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ไปตั้งคณะทำงานดูระเบียบข้อกฎหมายเพื่อขยายกลุ่มแรงงานกลุ่มอื่นนอกเหนือจากนักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ แม่บ้าน ไรเดอร์ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ให้สามารถมาทำงานพาร์ทไทม์ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ เป็นการแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน

“ในส่วนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ยังได้ไปต่อยอด Up skill ฝึกอาชีพให้กับกลุ่มแรงงานต่างๆ 
อาทิ ผู้พ้นโทษ รวมถึงผู้สูงอายุ และกลุ่มแรงงานกลุ่มอื่น เพื่อเตรียมความพร้อมด้านทักษะฝีมือ ให้มีทักษะติดตัว ก่อนออกมาประกอบอาชีพ หรือมีงานทำรองรับในสถานประกอบการได้” นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า 

ด้าน คุณจารุวรรณ งามพิสุทธิ์ไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารเซ็นทรัลเรสตอรองส์ได้มาเข้าพบเพื่อหารือในประเด็นเกี่ยวกับการจ้างงานของกลุ่มแรงงานต่างๆ โดยเฉพาะการจ้างงานพาร์ทไทม์ผู้สูงอายุในวันนี้ ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ เด็กเกิดน้อย ผู้ประกอบการจึงประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน จึงต้องการเปิดโอกาสให้แรงงานกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากนักเรียน นักศึกษาและกลุ่มคนพิการแล้ว เพื่อจะได้ให้ผู้สูงอายุ แม่บ้าน ไรเดอร์ อาชีพอิสระอื่นๆสามารถมาทำงานพาร์ทไทม์ได้ การที่ได้มาหารือกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในวันนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่เซ็นทรัลและกระทรวงแรงงานจะได้ประสานการทำงานร่วมกัน เพื่อเปิดโอกาสส่งเสริมการจ้างงานให้แรงงานกลุ่มใหม่ได้มีงานทำพาร์ทไทม์มากขึ้น สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในยุคปัจุบัน รวมทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจอีกด้วย

เพชรบูรณ์-มณฑลทหารบกที่ 36 ร่วมกับกองพลทหารม้าที่ 1 ปล่อยขบวนรถบรรทุกน้ำช่วยเหลือประชาชน ตามโครงการ 'ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง' ประจำปี 2567

พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 /ผู้บัญชาการ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 36 เป็นประธานเปิดโครงการ 'ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง' ประจำปี 2567 ประจำปี 2567 พร้อมปล่อยขบวนยานพาหนะรถบรรทุกน้ำ/เพื่อไปให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบความเดือดร้อนจากภาวะขาดแคลน นำน้ำอุปโภค – บริโภค ที่สนามหน้าแหล่งสมาคมนายทหารค่ายพ่อขุนผาเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ โดยมี นายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ดร.ประทิน นาคสำราญ นายก อบต.สะเดียง หัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทหาร เข้าร่วม

สำหรับการเปิด โครงการ 'ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง' ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ เนื่องด้วยปัจจุบันประเทศไทยได้เกิดภัยแล้งเร็วกว่าทุกปี ที่ผ่านมา ประกอบด้วยความผันแปรของสภาพภูมิอากาศ และสภาวะโลกร้อนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณน้ำที่เก็บกักในอ่างเก็บน้ำและเขื่อนหลักบางแห่งมีปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์ ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ภัยแล้ง ในพื้นที่รับผิดชอบ 17 จังหวัดภาคเหนือโดยเฉพาะพื้นที่อยู่ห่างไกลจากเขตชลประทาน  จะได้รับผลกระทบจากสภาวะภัยแล้ง  ทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ ในการทำ เกษตรกรรม อุปโภคและบริโภค เป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการเตรียมการในการช่วยเหลือประชาชนได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่รับผิดชอบอย่างรวดเร็ว

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 36 ร่วมกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองพลทหารม้าที่ 1 ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของจังหวัดเพชรบูรณ์ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 16 และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงร่วมจัดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี 2567 พร้อมตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ และปล่อยขบวนยานพาหนะรถบรรทุกน้ำ เพื่อไปให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบความเดือดร้อนจากภาวะขาดแคลนน้ำอุปโภค – บริโภค ในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วย ตำบลบ้านโตก  ตำบลชอนไพร และตำบลป่าเลาซึ่งเคยเป็นพื้นที่ประสบภัยแล้งในห้วงที่ผ่านมา โดยจะนำน้ำอุปโภค บริโภคไปแจกจ่ายยังแทงค์เก็บน้ำประจำหมู่บ้าน วัด และ โรงเรียน

ด้าน พล.ต.วัชรพงศ์ แก้วแจ้ง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มทบ.36 กล่าวว่าศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก และกองทัพภาคที่ 3 โดย มลฑลทหารบกที่ 36 ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ให้ความสำคัญ ของปัญหาภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ จึงได้ร่วมกันระดมศักยภาพของแต่ละหน่วยงานในการเตรียมความพร้อมการให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะ จังหวัดเพชรบูรณ์ให้ทุเลาเบาบางลงไปตลอดห้วงฤดูร้อนนี้ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เป็นนโยบายของกองทัพบก และ กองทัพภาคที่ 3  ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก จึงขอให้ผู้บังคับหน่วยทุกระดับชั้นได้ประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มากที่สุด 

สำหรับกำลังพลและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจนี้ทุกนายขอให้มีความภาคภูมิใจ  ที่ได้มีโอกาสเป็นกำลังสำคัญ ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้งและมีความจำเป็น ที่จะต้องมีน้ำอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก

โดยการจัดโครงการและการตรวจความพร้อมของกำลังพล และยุทโธปกรณ์ ถือเป็นการ Kickoff ไปพร้อมกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก และเป็นการแสดงให้เห็นว่าทุกหน่วยงานได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ ของปัญหาภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น ได้ร่วมกันระดมสรรพกำลังของแต่ละหน่วยงาน ในการเตรียมความพร้อมการให้ความช่วยเหลือ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ให้กับพี่น้องประชาชน ให้บรรเทาหรือลดความรุนแรงลง ซึ่งการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เป็นนโยบายที่กองทัพบกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

ตร. เตือนภัยข้าราชการบำนาญ อย่าหลงเชื่อ มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นกรมบัญชีกลาง

พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ. ศปอส.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงบนโลกออนไลน์ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตรวจสอบพบว่ามีเหตุคนร้ายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางโทรหาข้าราชการผู้รับบำนาญเพื่อแจ้งให้อัปเดตข้อมูลบัญชีธนาคารแล้วหลอกให้กดลิงก์กรอกข้อมูลส่วนตัว เพื่อขโมยเงินในบัญชีธนาคารทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแจ้งเตือนภัยดังนี้

คนร้ายแอบอ้างเป็นกรมบัญชีกลางหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวเพื่อดูดเงิน
คนร้ายโทรศัพท์หาเหยื่อแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางและยังแจ้งเหยื่อว่าทางกรมบัญชีกลางจะมีการปรับเงินเดือนข้าราชการบำนาญเพิ่มอีกร้อยละ 5%  โดยคนร้ายทราบข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อที่เกี่ยวข้องกับกรมบัญชีกลางทั้งหมดเหยื่อจึงหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางจริงๆ  คนร้ายจึงให้เหยื่อเพิ่มเพื่อนไลน์ ส่งลิงก์ให้เหยื่อกรอกข้อมูล พร้อมให้ดาวน์โหลดติดตั้ง Application ควบคุมโทรศัพท์มือถือและเร่งเหยื่อให้ดำเนินรายการให้เร็วที่สุด เหยื่อจึงได้ดำเนินการตามคนร้ายทุกขั้นตอนจนเสร็จสิ้น จนเหยื่อมารู้ตัวทีหลังว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีเหยื่อไป

จุดสังเกต
•คนร้ายรู้ข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดจึงทำให้เหยื่อหลงเชื่อได้ง่าย
•คนร้ายให้เพิ่มเพื่อนผ่านไลน์ โดยไลน์ของคนร้ายปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน
•คนร้ายส่งหน้า Website จริงของกรมบัญชีกลางให้น่าเชื่อถือ
•เมื่อเหยื่อเริ่มเชื่อคนร้ายจึงส่งลิงก์ให้เหยื่อกดติดตั้ง Application
วิธีป้องกัน
•กรมบัญชีกลางไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรติดต่อข้าราชการหรือผู้รับบำนาญ
•หากมีสายติดต่อเข้ามาจากหน่วยงานต่างๆให้วางสายก่อนแล้วโทรกลับไปใหม่ ปกติสายของคนร้ายจะไม่สามารถโทรกลับได้
•หน่วยงานราชการไม่มีการโทรติดต่อไปก่อน และไม่มีการให้ติดต่อผ่านทางไลน์หากไม่มั่นใจให้โทรสอบถามหน่วยงานนั้นๆก่อน
•ตรวจสอบลิงก์ก่อนกดทุกครั้ง ในกรณีนี้เป็นหน่วยงานราชการลิงก์ควรเป็น Domain ลงท้ายด้วย .go.th ถ้าไม่ถูกต้องไม่ควรกดลิงก์ใดๆที่มีคนส่งมาผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือติดตั้ง Application ที่ไม่ผ่านจาก Play Store หรือ App Store

สำหรับช่องทางรับรู้ข่าวสารเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน AOC 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบกรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.go.th
 

'กสทช.-AIS' เดินหน้าสร้างระบบเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ แจ้งสารพัดภัยเจาะจงเฉพาะพื้นที่เกิดเหตุด่วนเหตุร้ายได้ทันที

(6 มี.ค. 67) ศาสตราจารย์คลินิก นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเหตุการณ์รุนแรงไม่คาดคิด เช่น เหตุกราดยิงในห้างสรรพสินค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมาก กสทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับกิจการโทรคมนาคม จึงทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายอย่างต่อเนื่อง ในการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยจากภาครัฐแบบเจาะจงพื้นที่ (Cell Broadcast Service) โดยได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO)

ทั้งนี้ ระบบแจ้งเตือนภัยแบบเจาะจงพื้นที่ดังกล่าว จะเป็นการส่งข้อความเตือนภัยแบบส่งตรงจากเสาส่งสัญญาณสื่อสารในพื้นที่ ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครื่องในบริเวณนั้น แตกต่างจากระบบ SMS ทั่วไป เพราะไม่จำเป็นต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งจะทำให้การสื่อสารข้อมูลเตือนภัยทำได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทั้งพื้นที่เกิดเหตุ โดยประชาชนไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใดๆ

“การทดสอบระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast Service ซึ่ง กสทช.เริ่มต้นกับ AIS ในวันนี้ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และพร้อมที่จะเชื่อมต่อกับศูนย์บัญชาการกลางของภาครัฐ (Command Center) เพื่อเป็นเครื่องมือหรือช่องทางในการเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยมีระบบเตือนภัยได้มาตรฐานสากลสร้างความอุ่นใจให้แก่ประชาชน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความปลอดภัยทางสังคมให้กับประเทศต่อไป” ประธาน กสทช. กล่าว

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “เราได้ร่วมทำงานกับ กสทช. และภาครัฐ ในการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับระบบเตือนภัยของประเทศตามมาตรฐานสากล นั่นคือ เทคโนโลยี Cell Broadcast Service หรือ ระบบสื่อสารข้อความตรงไปที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชาชน ซึ่งระบบนี้มีความเหมาะสมกับการนำมาใช้เพื่อแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน เนื่องจากสามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องที่อยู่ในพื้นที่ครอบคลุมของสถานีฐานบริเวณนั้น ๆ ในเวลาเดียวกัน ด้วยรูปแบบของการแสดงข้อความที่หน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Pop UP Notification) แบบ Near Real Time Triggering เพื่อให้สามารถรับรู้สถานการณ์ได้ทันที โดยล่าสุดได้ทดลอง ทดสอบเทคโนโลยีดังกล่าว ได้ผลตามเป้าหมายที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะขยายผลเชื่อมโยงกับระบบเตือนภัยของประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป”

โดยโครงสร้างของการนำเทคโนโลยี Cell Broadcast Service มาใช้งานนั้น แบ่งเป็น 2 ฝั่ง

ฝั่งที่ 1 : ดำเนินการและดูแล โดย ศูนย์บัญชาการกลางของภาครัฐ ผ่านระบบ Cell Broadcast Entities (CBE) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการกำหนดเนื้อหาและพื้นที่ในการจัดส่งข้อความ ประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นต่างๆ อาทิ การบริหารจัดการระบบ (Administrator), การจัดการข้อความที่จะสื่อสาร (Message Creator) และ การอนุมัติยืนยันความถูกต้อง (Approver)

ฝั่งที่ 2 : ดำเนินการและดูแล โดย ผู้ให้บริการโครงข่าย ผ่านระบบ Cell Broadcast Center (CBC) ซึ่งเป็นระบบที่ทำหน้าที่นำเนื้อหาข้อความ ไปจัดส่งในสถานีฐานตามพื้นที่ที่กำหนดได้อย่างถูกต้อง โดยจะประกอบไปด้วย การบริหารระบบและการตั้งค่า (System & Configuration), การส่งต่อข้อความสื่อสารที่ได้รับมาผ่านโครงข่าย (Message Deployment Function) และ การบริหารโครงข่ายสื่อสาร (Network Management)  

‘กรณ์’ ชี้!! สิงคโปร์ดีล ‘Taylor Swift’ จัดคอนฯ ไม่ใช่เรื่องแปลก ถือเป็นการแข่งขัน-กระตุ้น ศก.ปกติ แต่ ‘ไม่น่ารัก’ ในสายตาเพื่อนบ้าน

(6 มี.ค. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij’ ระบุว่า…

“วันนี้ลูกสาว text มาแจ้งว่าเพื่อนที่สิงคโปร์ชวนไปดู Taylor Swift คืนวันศุกร์นี้ (ค่าตั๋วเท่าไรพ่อไม่กล้าถาม) ลูกสาวดีใจมาก รีบจองตั๋วเครื่องบินซึ่งก็แพงอีก แต่ซื้อตั๋วได้ถูกลงหน่อยโดยยอมเปลี่ยนเครื่องที่หาดใหญ่ ส่วนการนอนคงต้องนอนบ้านเพื่อนเพราะอยู่โรงแรมไม่ไหวแน่

“ทำให้นึกถึงดราม่าระหว่างผู้นำประเทศเรื่องเงื่อนไข ‘exclusivity’ ที่สิงคโปร์เจรจาไว้กับทีมงาน Taylor Swift (ว่าในภูมิภาคนี้ต้องเล่นที่สิงคโปร์เท่านั้น)

“ล่าสุดเห็น ลีเซียนลุง นายกฯ สิงคโปร์ให้สัมภาษณ์ว่ายุทธศาสตร์นี้ “…จากมุมมองสิงคโปร์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตเท่านั้น แต่ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวและความปรารถนาดีจากทั่วทุกภูมิภาคด้วย ผมไม่เห็นว่าทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ” (จาก The Standard)

“ผมเห็นด้วยนะ ถ้าให้ผมเปรียบเทียบ ประเทศต่าง ๆ (เราด้วย) ยังพร้อมแย่งการลงทุนไม่ให้ไปประเทศเพื่อนบ้านด้วยการ ‘ตัดราคา’ ภาษีให้นักลงทุน หรือเราพร้อมสร้าง land bridge เพื่อแย่งลูกค้าจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ปกติ…แม้จริงอยู่อาจจะถูกคนมองว่า ‘ไม่น่ารัก’ ก็ตาม

“ตามจริงอะไรที่กลุ่ม ASEAN ทำด้วยกันได้เราควรทำ หากแข่งกันทุกเรื่อง เราทุกคนจะเสียประโยชน์ แต่การชิงไหวชิงพริบคงต้องมีบ้างเป็นธรรมดา

ส่วนกระแส Taylor Swift ช่วงนี้ ทำให้คนรุ่นผมนึกถึงระดับความคลั่งสมัยที่ Michael Jackson มาทัวร์ไทย (มาพีคที่บ้านเราเลยด้วย) ทุกรุ่นก็มี moment ของเขา เที่ยวนี้สิงคโปร์เขาคว้า moment นั้นได้ คราวหน้าหากเราเตรียมตัวให้ดี โอกาสอาจจะเป็นของเรา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดค่ายส่งสุขทางการเงิน โครงการ Money Management & Investment เพื่อให้ความรู้ด้านการบริหารการเงิน การวางแผนการเงิน การออม การลงทุน และการจัดการหนี้สิน ให้แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว สร้าง 30 บุคคลต้นแบบ

วันนี้ (6 มีนาคม 2567) เวลา 09.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดโครงการ Money Management & Investment เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวข้าราชการตำรวจ ณ ห้องแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นประธาน , คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร กรรมการบริหารสมาคมฯ/ที่ปรึกษาโครงการ , คุณพรรณวดี  ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมพิธี และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดทางออนไลน์ โดยระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ 

คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดเผยว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้ดำเนินโครงการ Money Management & Investment ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 ปีนี้เข้าปีที่ 4 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาความรู้ด้านการเงินให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจ นักเรียนนายสิบตำรวจ และข้าราชการตำรวจวัยทำงานจนถึงวัยใกล้เกษียณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสิ้น 3,584 คน ปีนี้ได้พัฒนาหลักสูตรการอบรมให้ความรู้ทางการเงิน 1 วัน สู่กิจกรรม Happy Money In action “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3 วัน 2 คืน มุ่งเน้นการให้ความรู้และสร้างบุคคลต้นแบบ และต้นกล้าทางการเงินให้กับกลุ่มผู้ที่มีความตั้งใจในการลดภาระหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญ จำนวน 30 ครอบครัว ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสถานะทางการเงินดีขึ้น มีเป้าหมายทางการเงิน มีวินัยทางการเงินเพิ่มขึ้น ทำให้หนี้สินที่มีลดลงอย่างต่อเนื่อง มีความสุขทางการเงินมากขึ้น สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อนตำรวจได้อย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจมีหลายโครงการที่มุ่งสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ ให้มีความมั่นคงในด้านสวัสดิภาพความเป็นอยู่ สร้างขวัญกำลังใจให้แก่ครอบครัวข้าราชการตำรวจ และสมาชิกแม่บ้านตำรวจ และสามารถนำมาต่อยอดในโครงการ Money Management & Investment  ได้แก่ โครงการ One Province One Product (OPOP) “1 จังหวัด 1 ผลิตภัณฑ์” ได้ดำเนินการ มาตั้งแต่ปี 2565 และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัวข้าราชการตำรวจ ได้นำผลิตภัณฑ์ของแต่ละครอบครัวมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจช่วยในเรื่องการปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้มาตรฐาน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินครูปาน สมนึก คลังนอก ,คุณหมู Asava  เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ และเป็นที่ปรึกษาโครงการ และช่วยพัฒนาช่องทางการตลาด เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวตำรวจให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจจะจัด “งาน Side by Side ช้อป ชิม แชร์ จากใจเรา…ถึงมือคุณ” ระหว่างวันที่ 20 - 24 มีนาคม 2567 นี้ ที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ 

ในส่วนโครงการสร้างอาชีพให้กับครอบครัวตำรวจ สมาคมแม่บ้านตำรวจยังได้จัดทำแฟรนไชส์ “กาแฟอาซ้อ” ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด หรือ นมตรามะลิ โดยใช้กาแฟเมล็ดพันธุ์จากดอยสามหมื่นของตำรวจตระเวนชายแดน  เพื่อให้ครอบครัวตำรวจที่อยากจะเริ่มธุรกิจ ได้มีโอกาสทำ ทางสมาคมแม่บ้านตำรวจจัดทำ Brand ให้ โดยได้มอบให้กับครอบครัวตำรวจที่มีบุตรออทิสติก จำนวน 18 ครอบครัว

ด้าน พล.ต.ท.ธัชชัย ฯ กล่าวว่า ปัญหาทางการเงินทำให้เกิดความเครียดและภาวะกดดันมากมาย อาจส่งผลต่อหน้าที่การงาน การใช้ชีวิต และความสัมพันธ์ในครอบครัว ถ้าไม่ติดอาวุธความรู้ให้กับตนเอง และคู่ชีวิตของเรา ก็จะยากในการแก้ไขปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้ การดำเนินโครงการของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการจัดค่ายขึ้นมาในปีนี้ ต้องการให้การอบรมมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ที่มีความตั้งใจในการลดภาระหนี้สิน สามารถพบทางสว่างสามารถเดินไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้อย่างสัมฤทธิ์ผล เพราะถ้าเราสุขเงินแล้ว เราก็จะ สุขกาย และสุขใจ ตามมา มีชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

รู้จัก 'แกส' ฝรั่งหัวใจไทย แม้อุบัติเหตุทำสูญเสียขา แต่ไม่เคยท้อ ทำเบอร์เกอร์เลี้ยงชีพ แถมรวยน้ำใจให้ฟรี 'คนพิการ-ยากไร้-วันเกิด'

(6 มี.ค.67) “ผมไปวิ่งที่เดิมนะ เป็น 10 ไมล์ ประมาณ 18 กม. วิ่งสบาย แต่มีปัญหานิดหนึ่ง ไม่รู้ทำไม เหมือนไม่แข็งแรงเท่าไหร่ หัวหมุนด้วย ไม่หมุนมาก ที่อังกฤษอากาศหนาวมากด้วย เดินประมาณ 500 เมตร ล้ม เอ้า ทำไมล้ม ไม่เมานะ ไอเป็นนักมวย ไอคลีนมาก ผมเดินเล่นอีก ล้มอีกแล้ว เดินเล่นอีก ล้มที่ทางรถไฟ เราก็นอนหลับนาน ประมาณ 15 นาที เวลาผมตื่นแล้ว มีเสียงแบบเหล็ก ซีดดดดดด รถไฟใช่มะ เราก็จะตัวสั่นๆๆ ผมรู้รถไฟกำลังจะมา ผมยกตัว แต่ไม่คอมพลีท ชนขา 2 ขาเลย โชคดีนะ ไม่ใช่คอครับ”

'แกเร็ธ เพย์น' หรือ 'แกส' อดีตนักมวยชาวอังกฤษ ย้อนเหตุการณ์ขณะวิ่งออกกำลังกายเพื่อชกป้องกันแชมป์ในวันรุ่งขึ้นเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปพร้อมกับจบอาชีพนักมวยตั้งแต่นั้น และต้องใส่ขาเทียมที่ทำด้วยเหล็ก ก่อนหันมาประกอบอาชีพนักบิน แม้ไร้ขา

“คุณลุงสอนเป็นนักบิน ผมมีไลเซ่นอายุ 17 นะ พอเสียขา ไม่รู้จะทำอะไร ลุงบอก ลองดู คุณบินเก่งมาก เวลาผมไม่มีขา ปกติมีคนนั่งด้วยกัน แต่เป็นผู้ช่วย เวลาผมบิน ลงแลนดิ้ง ไม่มีปัญหา คุณเป็นคนจริง เป็นนักบินจริง ไม่มีปัญหา”

ระหว่างยังเป็นนักบิน แกสได้มาพบรักกับสาวไทย 'ปุ๊ก' ไอรีน เพย์น ก่อนตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งปุ๊กเผยเหตุผลที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับแกสว่า “คุยถูกคอ ไปด้วยกันได้ ปกติปุ๊กจะไม่ใช่คนหวานๆ แล้วเขาเป็นคนตลก แล้วปุ๊กเป็นคนลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว เลยรู้สึกว่า มันคงสนุกดี มีคนแบบนี้อยู่ในชีวิต”

หลังเกิดสถานการณ์โควิดระบาด แกสตัดสินใจเลิกอาชีพนักบิน และหันมาใช้ฝีมือการทำอาหารของตนเองประกอบอาชีพใหม่ คือ ทำเบอร์เกอร์ขาย หลังภรรยาชมว่าอร่อยดีและชวนให้ลองทำขาย

“ตอนแรกสองคนไปขายที่ตลาดเล็กๆ ที่นิมิตใหม่ ไปประมาณ 30 ชิ้น ไม่ถึง 20 นาที ก็หมด ...รอบที่สอง เอาไปอีก ประมาณ 40-50 หมดอีก”

ปัจจุบัน แกสและปุ๊กจะขับรถปิคอัพออกจากบ้านมาทำเบอร์เกอร์ขายที่ย่านวงแหวนรามอินทรา หน้าร้านสะดวกซื้อ หมู่บ้านมัณฑนา โดยจุดขายเป็นรถพ่วงข้างเล็กๆ ชื่อร้าน 'Captains Corner Burgers' โดยทำเบอร์เกอร์กันสดๆ ตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่ง ซึ่งเบอร์เกอร์มีหลายแบบให้เลือก ขายทุกวันพุธถึงอาทิตย์ ตั้งแต่ 8 โมงถึงบ่ายโมงครึ่ง

แม้แกสจะพิการ ต้องใส่ขาเทียมในการเดินและทำงาน แต่เขาสามารถทำทุกอย่างได้ไม่แพ้คนปกติ ทั้งยกของหนัก และยืนทำเบอร์เกอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน แม้ทรมานจากการปวดขาตลอดเวลาที่ใส่ขาเทียม แต่แกสก็ยังคงมีความสุขกับการทำงาน และพร้อมทำงานหนักเพื่อลูก 

ปัจจุบันแกสมีลูกชาย 2 คน คนแรกชื่อ โคดี้ วัย 9 ขวบ ส่วนคนเล็กชื่อ อัลฟี่ 2 ขวบกว่า ซึ่งมีภาวะดาวน์ซินโดรม “อัลฟี่เป็นเด็กพิเศษ เป็นเด็กดาวน์ซินโดรม ขาไม่แข็งแรง มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ พูดไม่ได้ ผมรักลูกมากๆ ลูกเป็นลูก ลูกเป็นดาวน์ ลูกจะเป็นอะไรก็ได้ ผมก็รักแน่นอน”

ลูกค้าชื่นชม 'แกส' เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ยอมแพ้ความพิการ!

“ผมคิดว่าเขาขยันกว่าหลายคนที่มีพร้อม เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตหรือการทำมาหากิน เป็นตัวอย่างที่ดี”

เบอร์เกอร์ของแกส ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย แต่เขายังมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมสังคมอีกด้วย “ตอนนี้ทุกอย่างก็ยากนะ คนไม่มีเงินเยอะ ผมพูดที่ร้านด้วย คนไม่มีเงิน ผมบอกมากินฟรี ไม่เอาตังค์เลย คนพิการก็มากินฟรี ผมชอบช่วยคนอื่น วันเกิดคนก็มากินฟรี คนมีเงิน เงินไม่พอ คุณเก็บเงินเอาไว้” 

แม้ไร้ขา แต่แกสเป็นคนที่เต็มที่กับทุกสิ่งที่ทำ ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องลูก หรือวันพักผ่อนจากการทำงาน ที่เขามักไปเล่น 'พารามอเตอร์' ซึ่งช่วยให้เขาบินได้อย่างมีความสุขกลางอากาศกับวิวทิวทัศน์ที่กว้างไกล ซึ่งเขาพร้อมสอนให้คนที่สนใจอีกด้วย

ปัจจุบัน แกสไม่เพียงทำงานหนักเพื่อลูกเพื่อครอบครัว แต่เขายังไลฟ์สดอัดคลิปให้กำลังใจผ่านโซเชียล ให้คนที่กำลังท้อมีแรงใจสู้ชีวิตต่อไป อย่าไปกลัวชีวิต ชีวิตเรา เรากำหนดได้ พิการก็ยังสู้ได้ ทำอะไรได้เหมือนคนปกติ ทุกคนสู้ได้ชนะได้ “ผมชนะได้ ชนะทุกวัน คุณก็ชนะได้”

ติดตามเรื่องราวหัวใจนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ความพิการของ 'แกส' ได้ทางรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน 'คุณพ่อ...ยอดนักสู้' วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม 2567 เวลา 9.00-9.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211) และ เฟซบุ๊ก / ยูทูบ : ฅนจริงใจไม่ท้อ

(หากท่านใดสนใจอุดหนุนเบอร์เกอร์ของแกส แวะไปได้ที่ย่านวงแหวนรามอินทรา ร้านอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ หมู่บ้านมัณฑนา ร้าน Captains Corner Burgers / หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เฟซบุ๊ก Captains Corner Burgers And Kebabs)

“บช.ส.เปิดจอง พระประจำหน่วย“หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ รุ่น สมความปรารถนา”วันนี้วันแรกที่ศูนย์รับจอง 53 ศูนย์ ทั่วประเทศ 

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย รัตนพานิช รอง ผบก.ส.2 เปิดเผยว่า ด้วยกองบัญชาการตำรวจสันติบาลอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารที่ทำการกองบัญชาการตำรวจสันติบาลแห่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยจะแล้วเสร็จปลายปี 2567 

ทางคณะกรรมการสวัสดิการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้ปรึกษาหารือกับคณะที่ปรึกษา กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งมีคุณ สมภพ ไทยธีระเสถียร ที่ปรึกษา กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้ร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยงานและกำลังพล เห็นควรต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานประจำหน่วยงาน 

จึงมีมติเห็นควรจัดสร้างพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์  วิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์  ต.คชสิทธิ์ อ.หนองแค จว.สระบุรี ซึ่งท่านเป็นพระพุทธรูปโบราณ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อเสียง เป็นที่เลื่องลือ รวมถึงความหมายชื่อของท่าน "สำเร็จ ศักดิ์สิทธิ์ รุ่น สมปรารถนา"จะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจสันติบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานปิดทองหลังพระได้ปฏิบัติงานได้สำเร็จ สมปรารถนา รวมถึงเป็นที่เคารพสักการะกราบไหว้บูชาของข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไป 

พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย เปิดเผยอีกว่า การที่นำรูปแบบพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์มาเป็นองค์ต้นแบบในการจัดสร้างพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ประจำกองบัญชาการตำรวจสันติบาลในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างฯ ดังนี้

1. เพื่อจัดสร้างพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ประจำกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ไว้เพื่อประดิษฐาน ณ ที่ทำการใหม่ของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำหรับเป็นที่สักการะกราบไหว้บูชาของข้าราชการตำรวจ

2. เพื่อจัดสร้างวัตถุมงคลพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์แบบต่างๆ ไว้เพื่อให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไปที่สนใจไว้สำหรับสักการะบูชา

3. เพื่อหาทุนจากการจำหน่ายหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อสาธารณะประโยชน์อื่นๆ อาทิ ทำนุบำรุงพระศาสนา, บริจาคให้กับโรงพยาบาล, ทุนการศึกษา, ช่วยเหลือข้าราชการตำรวจสันติบาลที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฎิบัติหน้าที่ และเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจกองบัญชาการตำรวจสันติบาล  

   กองบัญชาการตำรวจสันติบาลได้รับความกรุณาจากท่านประธานกรรมการและคณะกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้อนุญาตให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลใช้สถานที่ภายในวิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ทำพิธีจัดสร้างวัตถุมงคล ดังนี้ 
วันที่ 2 มี.ค.67 เวลา 09.09 น. พิธีบวงสรวงฯ
วันที่ 1 พ.ค.67 เวลา 09:59 น. พิธีเททองฯ
วันที่ 4 ก.ค.67 เวลา 13:59 น. พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์

ซึ่งที่ผ่านมาทางมูลนิธิฯ ไม่มีการอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาจัดแถลงข่าวหรือจัดทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลภายในวิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งนี้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลได้รับความกรุณาจากท่านประธานกรรมการและคณะกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์อนุญาตให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลจัดทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ภายในวิหารได้ 

หน่วยงานของเราขอกราบขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง  

เนื่องจากทางกองบัญชาการตำรวจสันติบาลไม่เคยมีการจัดสร้างวัตถุมงคลมาก่อน และไม่มีผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดสร้างวัตถุมงคล โดยเห็นว่า คุณสมภพ ไทยธีรเสถียร(อั้ง เมืองชล) ซึ่งเป็นอุปนายกสมาคม ผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และเป็นที่ปรึกษากองบัญชาการตำรวจสันติบาล  เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในการจัดสร้างวัตถุมงคล  กองบัญชาการตำรวจสันติบาลจึงมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลในนามกองบัญชาการตำรวจสันติบาลต่อไป

พล.ต.ท.อภิชาติ  เพชรประสิทธิ์  ผบช.ส.  พร้อมด้วย คุณสมภพ ไทยธีระเสถียร (อั้ง เมืองชล) อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และที่ปรึกษา บช.ส. เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ และพิธีรับมอบมวลสารจากจากพระเกจิทั่วประเทศ เพื่อเป็นมวลสารในการจัดสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ประจำ บช.ส. “รุ่นสมปรารถนา” พร้อมแถลงวัตถุประสงค์ในการดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์  

โดยในวันนี้เปิดจองรอบปฐมฤกษ์และตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค.67สามารถจองผ่านศูนย์รับจอง 53 ศูนย์ ทั่วประเทศได้ตามรายนามที่แนบ“พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย กล่าว”

#หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์
#รุ่นสมปรารถนา
#กองบัญชาการตำรวจสันติบาล

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธา ส่งมอบขนมมงคล กว่า 8 หมื่นห่อ แก่สถานสงเคราะห์เด็กและคนชรา 18 แห่ง และผู้ขาดแคลน เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567

ระหว่างวันที่ 5-6 มีนาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมสังคมสงเคราะห์ลงพื้นที่ส่งมอบขนมมงคลที่ผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมทำบุญเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567 ให้กับสถานสงเคราะห์เด็กและคนชรารวม 18 แห่ง ประกอบด้วย ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน บ้านสิรินธร บ้านมุทิตา บ้านกาญจนาภิเษก บ้านปราณี สถานแรกรับเด็กชายปากเกร็ด(ภูมิเวท) สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านปากเกร็ด สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท สถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราช สถานแรกรับเด็กหญิงบ้านธัญญพร สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนรังสิต

สมาคมสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งประเทศไทย สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านราชาวดี สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านเฟื่องฟ้า สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี สถานสงเคราะห์ไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี สถานสงเคราะห์ไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี มูลนิธิมิตรภาพสงเคราะห์คนชราหญิงติวานนท์ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เป็นผู้รับมอบ อีกทั้งทางมูลนิธิฯ ยังได้แจกจ่ายให้กับผู้ประสบปัญหารายเดือนให้ได้รับประทานขนมมงคลต่อไป รวมจำนวนขนมเปี๊ยะและขนมจันอับที่แจกจ่ายทั้งสิ้น  84,960 ห่อ

สำหรับเทศกาลตรุษจีน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ประจำปี 2567 ที่ผ่านมา มีประชาชนจำนวนมากร่วมสักการะหลวงปู่ไต้ฮง เพื่อเป็นสิริมงคลในเทศกาลปีใหม่จีน และ ทำบุญพะเก่ง เสริมโชคลาภ เสริมดวงชะตา (พะเก่ง คือ การจดชื่อสวดชัยมงคลคาถา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และ ครอบครัว) โดยเมื่อลงชื่อทำบุญพะเก่งแล้ว จะได้รับตั๋วขนม เพื่อแลกขนมจันอับ หรือขนมเปี๊ยะ เพื่อนำไปไหว้พระ ไหว้เจ้า รับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคล หรือนำทำบุญทำทานต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ขอบุญกุศลนี้ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรงตลอดไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top