Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

‘กะเทยฟิลิปปินส์’ โพสต์คลิปร่ำไห้ วอนขอให้ช่วยเพื่อนๆ แต่เจอชาวเน็ตปินส์ สวด!! หัดเรียนรู้ที่จะ ‘ถ่อมตัว-ยอมจำนน’

(5 มี.ค.67) กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโซเชียลเลยจริง ๆ กับกระแสวันกะเทยผ่านศึก ตำนานศึกกู้ชาติกะเทยไทย VS กะเทยฟิลิปปินส์ ซึ่งจบลงเป็นที่เรียบร้อยหลังผ่านไป 10 ชั่วโมง

ล่าสุด มีหนึ่งในชาวฟิลิปปินส์ได้ออกมาลงคลิปวิดีโอร้องไห้ เช็ดน้ำตาลงโซเชียล พร้อมระบุว่า “ได้โปรดช่วยเพื่อนฉันด้วย”

งานนี้ ชาวโซเชียลไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ตามเจอคลิปวิดีโอดังกล่าวจึงแห่เข้าไปคอมเมนต์เป็นภาษาอังกฤษ ชี้แจงให้คนฟิลิปปินส์รู้ว่าเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมเจ้าของโพสต์ถึงขอให้ช่วยทั้ง ๆ ที่พรรคพวกตัวเองเป็นคนไปทำคนไทยก่อน

“พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน” , “เป็นพวกคุณที่เข้ามาทำร้ายร่างกายกันก่อน คุณจะให้คนอื่นมอบดอกไม้ให้เหรอฟิลิปปินส์”, “มันปกติใช่มั้ย? กะเทยปินส์ 20 คนรุมกะเทยไทย”

ทั้งนี้ มีชาวฟิลิปปินส์เข้ามาคอมเมนต์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอีกด้วย “ให้ความเคารพคนอื่นก่อน แล้วจะได้ความเคารพกลับคืน” , “มาสำนึกผิดทีหลังเหรอ ไม่ว่าใครจะเริ่มต่อสู้ก่อนกับความจริงที่ว่าคุณอยู่ต่างประเทศ จงเรียนรู้ที่จะถ่อมตัวหรือยอมจำนน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น คุณจะออกจากโรงแรมไม่ได้”

ก่อนเจ้าของโพสต์จะมาตอบคอมเมนต์ดังกล่าวว่า “คือแม่ อย่าแสดงความคิดเห็นแบบนั้น!!!!” ทางด้านคอมเมนต์ดังกล่าวจึงมาตอบกลับอีกทีว่า “ไม่มีอะไรผิดกับสิ่งที่ฉันพูด ฉันแค่พูดความจริง ความเห็นอกเห็นใจชาวฟิลิปปินส์ก็จริงอยู่ แต่เมืองไทยไม่ใช่บ้านเรา ไม่รู้ว่าไส้รู้พุงขนาดนั้นว่า ประเทศไทยเหมือนบ้านเราไหม”

สะเทือนใจ!! ‘ต่างชาติกร่าง’ ทำร้ายคนไทยบนผืนแผ่นดินไทย เปรียบ!! หากเกิดขึ้นใน ‘สหรัฐฯ’ อาจลามถึงขั้นลงถนนประท้วง

จากกรณีชาวต่างชาติได้เข้าทำร้ายคุณหมอ ขณะนั่งพักอยู่ที่บันไดริมชายหาดในภูเก็ต จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ภายหลังชาวต่างชาติรายดังกล่าวพร้อมภรรยาได้ออกมาขอโทษคุณหมอผู้เสียหาย แต่ทางคุณหมอยืนยันจะเอาผิดทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (4 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘David William’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่รู้จักกันบนโลกโซเชียลมีเดียจากการที่เขาสามารถใช้สำเนียงการพูดได้หลากหลายเพื่อคำคอนเทนต์สนุกๆ บนโลกโซเชียล จนยอดผู้ติดตามในเพจเฟซบุ๊กสูงถึง 1.4 ล้านคน ได้ออกมาโพสต์วิดีโอแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน

ครูเดวิด กล่าวว่า คุณมาประเทศของคนอื่น มาอยู่ในบ้านของคนอื่น ซึ่งเขายินดีที่จะให้คุณอยู่ ทั้ง ๆ ที่คุณไม่มีสิทธิ์ แถมคุณยังมีโอกาสได้ทำธุรกิจ อยู่ดีกินดี แล้วมาทำอย่างนี้ได้อย่างไร? ถ้าจะมาทำตัวแบบนี้กับคนที่ให้บ้านอยู่อาศัย ก็เชิญกลับประเทศคุณไปเถอะ

ครูเดวิดกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่งงมากจริง ๆ คือ ที่ที่คุณหมอนั่งเป็นพื้นที่สาธารณะ และคุณหมอก็เป็นคนไทย เป็นเจ้าของประเทศ นั่งในพื้นที่ที่เป็นสาธารณะในพื้นที่ประเทศตัวเอง แล้วจะไปไล่ให้คุณหมอออกจากพื้นที่ตรงนั้น ด้วยพฤติกรรมแบบนั้นได้อย่างไร?

นอกจากนี้ครูเดวิดยังได้ยกตัวอย่างนิสัยของชาวตะวันตก โดยระบุว่า… “จะมีฝรั่งบางจำพวกที่เมื่อมาเที่ยวที่ประเทศในเอเชีย จะชอบคิดว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคน เหนือกว่าทุกสิ่ง”

ครูเดวิดได้แสดงความคิดเห็นเตือนสติคนไทยไว้ด้วยว่า… “ก็อยากจะขอเตือนคนไทยทุกคนด้วยความเคารพอย่างยิ่ง อยากให้เลิกใจดีขนาดนี้ได้แล้ว ซึ่งจากลักษณะของคนไทยที่สังเกตได้คืออยากให้ทุกคนมาอยู่ร่วมด้วย และเป็นหนึ่งประเทศที่น่ารักกับชาวต่างชาติมาก ๆ แต่ก็ต้องแยกแยะระหว่างชาวต่างชาติที่อยู่ประเทศไทย เคารพกฎหมาย รักคนไทย ให้ความเคารพคนไทย กับฝรั่งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด ฝรั่งที่ไม่เคยให้เกียรติคนอื่ และฝรั่งที่ชอบดูถูกคนไทย”

ครูเดวิดได้เปรียบเทียบหากเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนว่า… “ผมขอการันตีเลยว่าหากเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ผู้คนที่นั่นเป็นคนที่รักชาติบ้านเกิด และภูมิใจในประเทศของตัวเองแบบสุด ๆ แต่เขาก็สามารถอยู่กับชาวต่างชาติได้ แต่ชาวต่างชาติก็ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะมาก ๆ ว่ารักสหรัฐอเมริกาแบบแท้จริง”

“และแน่นอนว่า หากมีชาวต่างชาติ ทำร้ายคนสหรัฐฯ เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คนสหรัฐฯ จะไล่ชาวต่างชาติคนนั้นออกจากประเทศ ไม่เท่านั้นนะ ทุกอย่างจะลุกเป็นไฟ จะมีการลงถนนประท้วงด้วยซ้ำ”

ครูเดวิดได้สรุปทิ้งท้ายไว้ว่า “ขอคนไทยอย่าปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไป เพื่อให้ชาวโลกรู้ เพื่อให้ชาวโลกเห็นว่าคนไทยจะไม่ยอมโดนดูถูกในประเทศตัวเอง และพวกเรามีสิทธิในการปกป้องศักดิ์ศรีของพวกเราอย่างแน่นอน”

‘ปวิน’ เตือนสติ!! ศึก ‘กะเทยไทย-กะเทยฟิลิปปินส์’ ชี้ ถ้าไฟชาตินิยมถูกจุด ดับยาก แล้วจะพังทุกฝ่าย

(5 มี.ค.67) จากกรณีเหตุการณ์ ‘กะเทยไทย’ จำนวนมากนัดรวมตัวกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในซอยสุขุมวิท 11 เพื่อเข้าไปทำร้าย ‘กะเทยฟิลิปปินส์’ ที่ยกพวกรุมทำร้ายกะเทยไทย จนได้รับบาดเจ็บ จนตำรวจ สน.ลุมพินี เข้ามาตรึงกำลัง พร้อมเจรจาให้เปิดทางหน้าโรงแรม เพื่อนำกลุ่มชาวฟิลิปปินส์ไปโรงพัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนำกะเทยฟิลิปปินส์คนแรกออกมา เกิดเหตุการณ์ชุลมุน กลุ่มกะเทยไทยระดมปาขวดเข้าไปใส่กะเทยฟิลิปปินส์ท่ามกลางตำรวจที่ตรึงกำลังอยู่

ก่อนที่กะเทยไทยหลายคนกรูเข้าไปทำร้ายกะเทยฟิลิปปินส์ ทั้งยังกระโดดทิ้งตัวเข้าใส่กลางวงตำรวจและกระหน่ำทุบกะเทยฟิลิปปินส์ไม่ยั้ง ก่อนลากออกมารุมทำร้ายหน้าโรงแรม จนตำรวจเข้าไประงับเหตุจากนั้นควบคุมตัวทั้งกะเทยไทยที่ก่อเหตุทำร้ายและกะเทยฟิลิปปินส์ที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บไปยัง สน.ลุมพินี

ด้าน ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ รองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยเกียวโต แสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวได้อย่างน่าสนใจ ความว่า แว็บแรกอาจจะอ่านดูแล้วขำๆ กะเทยไทยยกทัพรุมตบกะเทยปินส์ หลังถูกกะเทยปินส์หยามก่อนที่พาพวกรุมตบกะเทยไทย

แต่ถ้าเราอ่านอย่างมีวุฒิภาวะ เหตุการณ์เกินขอบเขตไปมาก เหมือนกรณีชาวภูเก็ตยกพวกไล่ฝรั่งสวิส ทั้งสองกรณี มีการโหมไฟแห่งชาตินิยม เราเป็นไทยต้องไม่ให้ต่างชาติมาย่ำยี แม้ว่าความจริง ทั้งสองกรณีสามารถใช้มาตรการทางด้านกฎหมายแก้ไขได้โดยไม่ต้องมีใครเจ็บตัวอีก

เอาละค่ะ คำแนะนำของดิชั้นอาจเป็นคำแนะนำแบบนางงาม แต่จากการสอนหนังสือเรื่องชาตินิยมมาหลายปี ถ้าไฟชาตินิยมมันถูกจุดแล้ว ดับยาก แล้วจะพังทุกฝ่าย นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องการต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านในอาเซียน เราต้องรักกันไม่ใช่หรอ แล้วไอ้ความพยายามสร้างอัตลักษณ์ภูมิภาคร่วมกันหละ หรือวันนี้ ถูกกองทัพกะเทยไทยบดขยี้หมดแล้ว?

เปิดไทม์ไลน์ 'กะเทยไทย' รวมพล ซ.สุขุมวิท 11 แก้แค้นกะเทยปินส์ หลังกะเทยไทยโดนรุมตบ แถมถูกไลฟ์สดทั่วฟิลิปปินส์ หยามศักดิ์ศรีขั้นสุด

(5 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์ข้อความไล่ไทม์ไลน์ประเด็นร้อน ‘กะเทยไทย รวมตัวกันที่สุขุมวิท 11 หลังมีคลิปถูกกะเทยฟิลิปปินส์รุมตบ 20:2’ โดยระบุว่า…

“ไทย 🇹🇭 : เหตุการณ์ สุขุมวิท11 

🕓 เวลา 04.00 น. 5/03/2024 นาทีตำรวจนำตัว 2 สาว กระเทยฟิลิปปินส์ ไปสถานีตำรวจในเหตุทะเลาะวิวาท ถูกประชาทัณฑ์

🕓ไทม์ไลน์ 4/03/204
*เหตุทะเลาะวิวาท กระเทยฟิลิปปินส์ถือพาสปอร์ตนักท่องเที่ยว (จากคำบอกเล่า อาจแอบแฝงทำงาน) มีปัญหามาช้านาน รุ่นสู่รุ่นกับกระเทยไทย ในย่านสุขุมวิท 11

*จากคลิป กระเทยฟิลิปปินส์ หาเรื่องเพื่อให้สาวสองไทยเปิดก่อน ยั่วยุ ให้นิ้วกลางยั่วยุ ใช้คำหยาบมาก  เนื่องจากฝั่งฟิลิปปินส์มีหลายคน และถ่ายทอดสด บันทึกคลิป เผยแพร่ไปยังฟิลิปปินส์ ต่อมามีการเคลียร์กันและจบ 

*เวลาประมาณ 05.00 น. 4/03 กระเทยไทย 5-6 คน ถูกกระเทยฟิลิปปินส์เกือบ 20 รุมตบ ละแวกที่ทำงาน และที่พักในซอยสุขุมวิท 11 (จากคำบอกเล่า รุมตบ และชิงทรัพย์กระเป๋าแอร์เมสของแท้ และ กระเป๋าเงินหายขณะมีเรื่อง) มีหลักฐานกล้องวงจรปิดทั้งหมด และการบันทึกคลิปจากมือถือ เผยแพร่จากฝั่งฟิลิปปินส์

🌈 4 มีนาคม 2024 จากคลิปที่กระเทยฟิลิปปินส์ เผยแพร่ในฟิลิปปินส์ แชร์เข้ากลุ่ม ทำนองสะใจ และเป็นไวรัล แชร์จำนวนมากในกลุ่มสาวสอง กลุ่มนางงาม

🌈 ช่วงเย็น 4/03 เกิดการรวมตัว กระเทยไทย โดยไม่ได้นัดหมาย ต่างคนต่างไม่รู้จักกัน เดินทางไปเต็มซอย ไปที่โรงแรมที่กระเทยฟิลิปปินส์พัก ซอยสุขุมวิท 11 จากหลักร้อยอาจสูงถึง 2,000 คน 
ประเด็นนี้ มองได้ว่า เมื่อดูคลิปการเย้ยหยัน กร่าง สะใจ ทำให้มีอารมณ์ และก่อเหตุในไทยซึ่งเป็นเจ้าบ้าน / คลิปในความเห็น

1.ปัญหามีมาช้านาน กระเทยฟิลิปปินส์มารวมตัวกันแฝงทำงาน จนเกิดเป็นมาเฟียย่อม ๆ และทำร้าย คนไทย และโพสต์ประจานด้วยความสะใจ ซึ่งก่อนหน้าทราบว่าพวกกระเทยฟิลิปปินส์มาทำอะไร ต่างคนต่างอยู่ จนมีปัญหาทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ฝั่งกระเทยไทยมีคนไม่ครบ 32 ทางร่างกาย เป็นผู้บาดเจ็บ 

2.ขณะที่กระเทยไทยรวมตัวกัน กระเทยฟิลิปปินส์มีการยั่วยุทางหน้าต่างโรงแรม
3.กระเทย ฟิลิปปินส์ไม่สามารถออกจากโรงแรมได้ ถูกล้อมไว้หมดแล้ว 
4.กระเทยฟิลิปปินส์ถูกรุม 1 คน ขณะลงมาเอาข้าวจากการสั่งหน้าลิฟต์ 

5.ตำรวจไม่สามารถนำกระกระเทยฟิลิปปินส์ไปสถานีตำรวจได้ และขอกำลังเสริมมาจำนวนมาก ยิ่งดึกกระเทยไทยยิ่งมาเยอะ เกินกำลังตำรวจที่จะควบคุมได้ (ตำรวจนำกระเทยฟิลิปปินส์ ไปสน. รอบแรก 2 คน รอบสอง 2 คน เฉพาะหัวโจก ที่เหลือยังอยู่ในโรงแรม)

*การถ่ายทอดสดในช่องทางต่าง ๆ คนฟิลิปปินส์มาดูจำนวนมาก กระแสขึ้นเทรนในทวิตเตอร์ x และแพลตฟอร์มอื่น ๆ  

*ฝั่งกระเทยไทยต้องการให้ตำรวจ ดำเนินคดี ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด หรือแบนหนังสือเดินทาง 

‘แฟรงค์’ อาการไม่สู้ดี ‘ชีพจรเต้นอ่อน - นน.เหลือแค่ 38’ ฮึด!! ยืนหยัดสู้หนักแน่น บอก!! “ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต”

(4 มี.ค. 67) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยความคืบหน้าการอดอาหารและน้ำประท้วงเข้าสู่วันที่ 20 ของ นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ แฟรงค์ ผู้ต้องขังคดีมาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สืบเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าบีบแตรใส่ขบวนเสด็จของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2567 ทั้งนี้ เพื่อยืนยัน 3 ข้อเรียกร้องพร้อมกับ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน

ล่าสุด ศูนย์ทนายความฯ อัปเดตอาการ แฟรงค์ ณัฐนนท์ ว่า Update การอดอาหารและน้ำประท้วงของ #แฟรงค์ ณัฐนนท์ เพื่อ 3 ข้อเรียกร้องพร้อมกับ #ตะวัน เข้าสู่วันที่ 20 (4 มี.ค.) ปัจจุบันยังคงอยู่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ การตอบสนอง-รับรู้ช้า รู้สึกร้อนในร่างกายมาก อ่อนแรงและซูบผอมมาก

แฟรงค์บอกว่า สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสัญญาณชีพจรเต้นอ่อนมากถึง 3 ครั้ง น้ำหนักยังอยู่ที่ 38 กก. (ก่อนถูกคุมขังอยู่ที่ประมาณ 45 กก.)

สภาพร่างกายและอาการของแฟรงค์ในขณะนี้ ทนายสังเกตว่า

- การรับรู้ตอบสนองช้า กว่าจะโต้กลับใช้เวลาเกือบ 1 นาที
- แฟรงค์ดูเหม่อลอย เหนื่อยหอบมาก ตัวเหลืองซีด
- ปากแตกแห้ง พูดเบามาก ทั้งยังอ้าปากค้างไว้ตลอดเวลา เพราะรู้สึกร้อนมาก จากภายในร่างกายและจากสภาพอากาศ
- แฟรงค์ไม่ยอมใส่เครื่องช่วยหายใจ ตอนนี้จึงหายใจลำบาก
- รู้สึกเหนื่อยมาก แม้ว่าจะนั่ง หรือนอนเฉยๆ ก็ตาม
- มีอาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ และเวียนศีรษะเป็นระยะ
- เจ็บหน้าอกเมื่อนอนตะแคง อาจเพราะซูบผอมมากจนช่วงหน้าอกเห็นกระดูกซี่โครงชัดเจน
- อ่อนแรงมาก มีแรงยกแขนได้เพียงระยะสั้นๆ
- ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ มักจะเป็นตะคริวและเหน็บชา
- ตอนนี้ไม่มีอาการชักเกร็งแล้ว

แฟรงค์ไม่ได้จิบน้ำ หรือรับยารักษาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดมานานแล้ว กลางคืนจึงนอนไม่หลับเลย แต่แฟรงค์ยังคงเข้มแข็งและอดทนมาก แฟรงค์เป็นห่วงทุกคนข้างนอก และบอกว่า “ผมภาวนาให้ #ตะวัน ฝันดีทุกคืนเลย”

ถึงจุดนี้ผมหนักแน่นสุดๆ

“ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต”

แฟรงค์ฝากบอกแม่และยาย “ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ”

เพื่อนๆ และแม่ของแฟรงค์ พูดกับแฟรงค์ก่อนหมดเวลาเข้าเยี่ยมว่า “หายใจเข้าไว้นะแฟรงค์ อยู่กับลมหายใจเข้าไว้ จะได้ลดความเจ็บปวดทรมานนะ เก่งมาก”

แฟรงค์น้ำตาซึม และบอกทุกคนว่า “ไว้เจอกันนะ”

พุ่งเป้า!! 'ไทย' จ่อทบทวน กม.คุม 'อินฟลูเอนเซอร์' เทียบเกณฑ์ ตปท.  หลังพบทำคอนเทนต์เชิงลบ สร้างกระแส หวังเพิ่มยอดวิว

(4 มี.ค.67) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/2566 และภาพรวมปี 2566 ว่า ด้านสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอินฟลูเอนเซอร์ (influencer) ข้อมูลจาก Nielsen ในปี 2565 พบว่า ประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มีจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ รวมกันมากถึง 13.5 ล้านคน โดยประเทศไทยมีจำนวนกว่า 2 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งการขยายตัวของอินฟลูเอนเซอร์ส่วนหนึ่งมาจากการเป็นช่องทางสร้างรายได้ ทั้งจากการโฆษณาหรือ รีวิวสินค้า โดยในปี 2566 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับทั่วโลกถึง 19.01 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 140.33 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 7.4 เท่า ภายใน 7 ปี

นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับไทย อินฟลูเอนเซอร์ได้รับความสนใจจากคนจำนวนมาก เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ได้ค่อนข้างสูง เฉลี่ยตั้งแต่ 800-700,000 บาทขึ้นไปต่อโพสต์ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันผลิตคอนเทนต์ และการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม (Engagement) ของอินฟลูเอนเซอร์มักมีการสร้างคอนเทนต์ให้เป็นกระแสโดยไม่ได้คำนึ่งถึงความถูกต้องเหมาะสมก่อนเผยแพร่ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมหลายประการ

อาทิ การนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เช่น การเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ จากรายงานผลการดำเนินงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พบจำนวนยอดละสมผู้โพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม 7,394 บัญชี โดยเป็นจำนวนข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนรวมกันกว่า 5,061 เรื่อง

นายดนุชา กล่าวว่า การชักจูงหรือชวนเชื่อที่ผิดกฎหมาย อาทิ การโฆษณาเว็บพนันออนไลน์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ข้อมูลจากผลการสำรวจพฤติกรรมการเล่นพนันออนไลน์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ในปี 2566 พบว่าคนรุ่นใหม่เล่นพนันออนไลน์ประมาณ 3 ล้านคน โดย 1 ใน 4 เป็นนักพนันฯ หน้าใหม่ หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 7.4 แสนคน โดยส่วนใหญ่ 87.7% พบเห็นการโฆษณาหรือได้รับการชักชวนทางออนไลน์ ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1 ล้านคน
.
การละเมิดสิทธิพบว่าอินฟลูเอนเซอร์บางรายมีการเสนอข่าวอาชญากรรมราวกับละคร เพื่อสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ และไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้เสียหาย ครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังพบการทำข่าวโดยใช้ภาพผู้คนหรือ วิดีโอของผู้อื่นมาตัดต่อลงคอนเทนต์ของตน โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา
.
นายดนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาบางประเภทที่ไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย แต่อาจนำไปสู่การสร้างค่านิยมที่ผิดต่อสังคม อาทิ คอนเทนต์ การอวดความรำรวย จากการศึกษาของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบกลุ่มเจนซี (Gen Z) จำนวน 74.8% เป็นผู้ที่ชอบแสดงตัวตนในรูปแบบนี้มากที่สุด หรือการนำเสนอภาพบุคคลที่ได้รับการปรับแต่งให้ดูดี จนกลายเป็นมาตรฐานความงามที่ไม่แท้จริง ซึ่งอาจสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับเด็กและเยาวชนในสังคม และอาจกระทบต่อการก่อหนี้เพื่อนำมาซื้อสินค้าและบริการ

“ตัวอย่างข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลเชิงลบของอินฟลูเอนเซอร์ต่อสังคมหลายแง่มุม ซึ่งในต่างประเทศเริ่มมีการออกกฎหมายเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ออกระเบียบห้ามเผยแพร่ผิดกฎหมาย นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร กำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ แจ้งรายละเอียดภาพบุคคลที่ใช้สำหรับการขายและโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย พร้อมแสดงเครื่องหมายกำกับ เพื่อลดปัญหาความกดดันทางสังคมต่อมาตรฐานความงามที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน”นายดนุชา กล่าว

นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ขณะนี้มีกฎหมายควบคุม อาทิ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. … ที่มีความพยายามปรับปรุงการกำกับดูแลการนำเสนอข้อมูลให้เท่าทันสื่อปัจจุบัน แต่ยังไม่มีกฎระเบียบสำหรับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน

“นอกจากนี้ แนวทางการกำกับดูแลส่วนใหญ่เน้นไปที่การตรวจสอบ เฝ้าระวังการนำเสนอ และการตักเตือน/แก้ไข ซึ่งหากไทยจะขยายการกำกับดูแลให้ครอบคลุมกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อาจต้องทบทวนการกำหนดนิยามของสื่อออนไลน์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงแนวทางการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับการผลิตเนื้อหาของสื่อกลุ่มต่าง ๆ โดยอาจศึกษาจากกรณีตัวอย่างของกฎหมายและมาตรการของต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทสังคมต่อไป” นายดนุชากล่าว

'หมอปาย' ขอบคุณทุกกำลังใจจากคนไทย หลังถูกชาวต่างชาติทำร้าย พร้อมดีใจ!! ที่ช่วยยืนหยัด ‘เพื่อความยุติธรรม - ทวงคืนหาดสาธารณะ’

(4 มี.ค. 67) จากกรณีแพทย์หญิงรายหนึ่งออกมาร้องขอความเป็นธรรม ถูกชายต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างเตะหลังขณะนั่งบันไดชมจันทร์หน้าวิลล่าแห่งหนึ่ง บริเวณชายหาดภูเก็ต แถมยังถูกหญิงไทยซึ่งเป็นภรรยาของฝรั่งคนดังกล่าวด่ากราด อ้างมีตำรวจยศใหญ่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง ขณะที่คู่กรณีโต้ลั่นไม่ได้เตะ แค่สะดุดแล้วเท้าไปโดนหลัง

แม้ฝรั่งและภรรยาจะออกมาขอโทษแล้ว แต่ ชาวภูเก็ต ได้มีการเคลื่อนไหวนัดรวมพลังกันในวันที่ 3 มีนาคม ทวงคืนหาดบนพื้นที่สาธารณะ หลังเกิดเหตุการณ์ชาวต่างชาติเตะแพทย์หญิงที่ภูเก็ต ล่าสุดเทศบาลตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง ติดประกาศคำสั่งให้รื้อถอนแนวบันไดและสิ่งปลูกสร้าง ที่รุกล้ำชายหาดพื้นที่สาธารณะ ภายใน 30 วัน ภายหลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และพบว่าบริษัทเอกชนเจ้าของวิลล่า สร้างแนวบันไดไม้และคอนกรีต ลานนั่งเล่นไม้ แนวกำแพงกันดินหินกล่องรุกล้ำชายหาด ขณะที่ชาวบ้านป่าคลอก และใกล้เคียง เมื่อเห็นประกาศ ต่างพากันมาถ่ายรูปบริเวณบันไดจุดเกิดเหตุกันไม่ขาดสาย โดยบอกว่าอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกก่อนถูกรื้อถอนนั้น ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘Phuket Times ภูเก็ตไทม์’ โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า ‘หมอปาย’ ขอขอบคุณชาวภูเก็ต และคนไทยทั้งประเทศ ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม ทวงคืนหาดสาธารณะ

โดยหมอปายระบุข้อความว่า “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นค่ะ รู้สึกกำลังใจดี ที่ได้กำลังใจจากคนภูเก็ต+คนไทย หนูรู้สึกดีใจและขอบคุณทุกคนมากๆ เลยค่ะ ที่ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและทวงคืนหาดสาธารณะของพวกเราคืนค่ะ”

'นศ.มหิดล' แจ้งความเอาผิดคู่กรณี หลังถูกชกในฟิตเนส แค่ขอใช้เครื่อง ด้านอีกฝ่าย เผย!! มีปมสะสม บวกคนถูกชกชอบพูดกดดัน จึงเดือด

เมื่อวานนี้ (3 มี.ค.67) มีรายงานข่าวแจ้งว่า นายนนท์ (ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง) อายุ 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา จ.นครปฐม เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.กิจจพัฒน์ จิตติราช พนักงานสอบสวน สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา เพื่อให้ดำเนินคดีกับชายรายหนึ่ง ที่ก่อเหตุชกใบหน้าของตนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดภายในห้องฟิตเนสของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ในซอยบ้านตั้งสิน ถนนศาลายา-นครชัยศรี หมู่ที่ 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา เวลา 17.45 น. นายนนท์เป็นลูกบ้านในคอนโดมิเนียมดังกล่าว เข้าใช้บริการห้องฟิตเนส โดยขอใช้เครื่องเล่นที่มีชายรายหนึ่ง สวมเสื้อยืดสีดำ สวมสร้อยทอง สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ผิวขาว รูปร่างผอมสูง และวางของอยู่ ชายคนดังกล่าวได้ลุกขึ้นจากเครื่องเล่นแล้วพูดว่า "หาเรื่องเหรอ" ก่อนชกต่อยนายนนท์ ได้รับบาดเจ็บ จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับคนร้ายตามกฎหมายจนถึงที่สุด และตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด

สำหรับชายหัวร้อนคนดังกล่าวได้แก่ ธนานนท์ อินทองสุข นักแข่งรถชื่อดังที่คนในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตรู้จักกันดี เพราะเจ้าตัวเป็นนักซิ่งที่ฝีมือดีมากๆ คนหนึ่ง ลงแข่งมาแล้วหลายรายการ เช่น ศึก IDEMITSU SUPER ENDURANCE ซึ่งเขาแข่งขันในภายใต้สังกัด EXOL TOYOTA PATTAYA 1998

รวมถึงการเป็นตัวแทนประเทศไทย ภายใต้ Team RAAT Thailand ในฐานะตัวแทนของประเทศ ร่วมเข้าชิงชัยในการแข่งขัน FIA Motorsport Games 

หรือจะเป็นการแข่งขันอี-สปอร์ต ของวงการแข่งรถ ธนานนท์ อินทองสุข ก็เคยเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน FIA MOTORSPORT GAMES ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี มาแล้ว 

ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุอื้อฉาวดังกล่าว (4 มี.ค.66) ธนานนท์ เปิดใจกับสื่อมวลชน ยอมรับว่า ตนได้ทำลงไปจริง ๆ ซึ่งมูลเหตุมาจากเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ขณะที่ตนกำลังออกกำลังกายอยู่ภายในฟิตเนส ปรากฏว่า ผู้เสียหายคนนี้กับเพื่อน มาพยายามที่จะออกกำลังกายข้าง ๆ ตนเพื่อกดดันที่จะใช้อุปกรณ์ต่อจากตน พร้อมกับพูดสบถกับเพื่อน

โดยพยายามที่จะให้ตนได้ยินประมาณว่า “แม่งมีคนใช้อุปกรณ์อยู่ กูไม่เล่นก็ได้” ซึ่งวันนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตนก็จำไว้ในใจว่า “อย่าให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและกัน”

กระทั่งเมื่อวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายมาเล่นดัมเบลข้าง ๆ ตน ในลักษณะของการกดดันและถือเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ก่อนจะมาพูดกับตนว่า “กำลังใช้อุปกรณ์อยู่ป่าว ถ้าไม่ใช้ก็ลุก” เลยทำให้ตนเกิดอารมณ์ร้อนขึ้นมา เนื่องจากมีทุนเก่าเดิมอยู่แล้ว แม้ว่าตัวเขาจะพูดแบบมีหางเสียงก็ตาม

ทั้งนี้ ตัวผู้เสียหายเอง ตนก็เจอเป็นประจำและเห็นว่ามีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว คือชอบกดดันคนอื่นที่กำลังเล่นอุปกรณ์อยู่ เพราะต้องการจะเล่นอุปกรณ์นั้นให้ได้

อย่างไรก็ตาม ธนานนท์ ยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยกมือไหว้ขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป แต่ก็อยากให้ฝั่งผู้เสียหายขอโทษตนเองในเรื่องที่ไม่มีมารยาทกับตนก่อน โดยที่ตนยินยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แล้วจะต่อสู้ในคดีในชั้นศาลต่อไป

สำหรับข้อหาที่ ธนานนท์ ถูกแจ้งข้อหา ได้แก่ ข้อหาใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391

โฆษกเกษตร เผย ชาวสวนทุเรียนเตรียมพร้อม ดันทุเรียนคุณภาพส่งจีน “ธรรมนัส” สั่งคุมเข้มตลอดห่วงโซ่อุปทาน เสริมแกร่งสู้ประเทศคู่แข่ง

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงสถานการณ์ส่งออกทุเรียนไทยไปยังตลาดประเทศจีน ในปี 2567 ยังคงมีช่องทางการตลาดที่สดใส แม้ปัจจุบันทุเรียนไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการส่งออกไปยังตลาดจีน จากการแข่งขันของประเทศคู่แข่ง โดยล่าสุด ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการให้กรมวิชาการเกษตร  เร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ควบคุมคุณภาพทุเรียนส่งออกไปจีนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั้งในส่วนของนโยบาย สวน โรงคัดบรรจุ การส่งออก การขนส่ง การตลาด การแปรรูป และการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการ พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนขยายผลไปยังทุกภูมิภาคที่ผลิตทุเรียนเพื่อส่งออก และได้เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ สวพ.6 และศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรีกว่า 180 คน เพื่อสลับเปลี่ยนหมุนเวียนทำหน้าที่ ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนสิ้นสุดฤดูกาลส่งออก และเพิ่มผู้จัดการเขตพื้นที่ทุเรียน (DIZ) จากเดิม 6 คน เพิ่มเป็น 9 คน พร้อมจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด หากพบการสวมสิทธิ์ใบรับรอง GAP หรือการให้เช่าโรงคัดบรรจุพร้อมกับใบรับรอง GMP-DOA เป็นต้น ”

โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ให้ความสำคัญอย่างมากกับการส่งเสริม สนับสนุน การส่งออกสินค้าเกษตรคุณภาพไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะทุเรียน ที่เป็นไม้ผลเศรษฐกิจสำคัญ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ภายใต้การนำของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ใช้แนวนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เป็นธงนำในการสร้างรายได้ และขยายโอกาสให้ภาคเกษตร มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเป็น 3 เท่าภายใน 4 ปีของรัฐบาล  จึงเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาภาคเกษตร ที่ช่วยเสริมจุดแข็งในการด้านการตลาด จากการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ

ทั้งนี้ สถิติการส่งออกทุเรียน ปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมาไทยส่งออกทุเรียนไปจีนทั้งหมด 57,000 ตู้/ชิปเม้นท์ ปริมาณสูงถึง 945,900 ตัน มูลค่า 120,469.34 ล้านบาท โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2565 สูงถึงร้อยละ 38.47 (ปี พ.ศ. 2565 ส่งออกทุเรียนไปจีน 8.11 แสนตัน มูลค่ากว่า 8.7 หมื่นล้านบาท) สำหรับช่องทางการส่งออก พบว่ารถยนต์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 63.9 รองลลงมาคือทางเรือ ร้อยละ 31.72 และทางรถไฟ ร้อยละ 1.17 

มโหฬาร !! ตำรวจ ปส. รวบทีมนักบินตายแทน หวังสร้างตัว 9 เครือข่าย 21 ราย ยึดยาบ้า 14 ล้านเม็ด ไอซ์ 1.2 ตัน

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมาย  เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.  และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นให้เดินหน้าเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่และขยายผลการเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับ รวมทั้งสืบสวนขยายผลเพื่อยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติด รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ

วันนี้ 4 มี.ค.67 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส., พล.ต.ท.คีรีศักดิ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน   ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1,                        พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส.และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการจับกุมนักบิน 9 เครือข่าย 9 คดี ได้ผู้ต้องหารวม 21 คน ตรวจยึดยาบ้ารวม  14,407,600 เม็ด และ ไอซ์ 1,250 กก. ยึดทรัพย์ของกลางมูลค่า 2 ล้านบาท

คดีที่แรก เมื่อวันที่ 19 ก.พ.67 ที่ผ่านมา ตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 หน่วยปราบปรามยาเสพติดนานา จับกุม 4 ผู้ต้องหา“เครือข่าย เอก สายใต้” หลังรับแจ้งจากสายลับว่าขบวนการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.ประจวบคีรีขันธ์  เตรียมลักลอบนำยาเสพติดจากพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ไปส่งทางภาคใต้ โดยใช้รถกระบะสีขาว หมายเลขทะเบียน กน 51xx ประจวบคีรีขันธ์ และรถยนต์สีดำ หมายเลขทะเบียน กน 83xx ประจวบคีรีขันธ์ ตรวจสอบพบรถเป้าหมาย 2 คันขับมุ่งหน้า จว. เชียงใหม่ วันที่ 22 ก.พ.67 พบขับลักษณะตามกันเป็นขบวนผ่าน จว.ลำพูน-ลำปาง-นครสวรรค์-อุทัยธานี มุ่งหน้า จว.สุพรรณบุรี ชุดจับกุมจึงกระจายกำลังติดตามในเส้นทางลำเลียง กระทั่งพบรถยนต์จอดริมถนนหมายเลข 3043 ต.วังคัน  อ.ด่านช้าง จว.สุพรรณบุรี ตำรวจจึงขอเข้าตรวจค้น มีนายเอกนรินทร์ หรือเอก หน่อพันธุ์ ผู้ขับขี่ นายก้องภพ หรือเม้ง เลือดแดง โดยสารมาด้วย ตรวจค้นพบยาบ้า 488 มัด รวม 976,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถ ด้านรถกระบะอีก 1 คัน รู้ว่าถูกติดตามจึงขับรถหลบหนี มุ่งหน้า อ.อู่ทอง จว.สุพรรณบุรี ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจ สภ.อู่ทอง ช่วยสกัดจับไว้ได้บริเวณแยกอู่ทอง ถ.มาลัยแมน ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จว.สุพรรณบุรี พบนายภิญโญ  เฟื่องฟู ผู้ขับขี่ และนายภัทรพล มาระสิน โดยสารมาด้วย จากพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้ ตำรวจเชื่อว่าอาจจมียาเสพติดถูกซุกซ่อนอยู่ที่บ้านพักจึงประสานตำรวจ  กก.4 บก.สกส โดยอาศัยอำนาจเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เพื่อเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 464 ม.1 ต.ไร่เก่า อ.สามร้อยยยอด จว.ประจวบคีรีขันธ์ เบื้องต้นพบยาบ้ารวม 5,600 เม็ด อยู่ในกระดาษชุบเทียนไขมีสัญลักษณ์ดาวห้าดวง ใต้ดาวมีเลข 888 และรูปเสือซุกซ่อนในถุงสีดำ ถูกฝังดินไว้ข้างคอกไก่หลังบ้าน ด้าน นายภิญโญ ยอมรับว่าเป็นยาเสพติดของตนเอง รวมยาบ้า 981,600 เม็ด 

คดีที่ 2 วันที่ 20 ก.พ.67 ตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 หน่วยปราบปรามยาเสพติดนานา  สืบทราบว่ามีเครือข่ายเตรียมลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่จังหวัดเชียงราย ไปส่งกลุ่มผู้จำหน่ายในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้รถยนต์นิสสัน อัลเมร่า สีแดง หมายเลขทะเบียน ขล 74xx ขอนแก่น จากการตรวจสอบพบรถยนต์ขับขี่มุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงราย จนวันที่ 23 ก.พ.67 ขับลงมาจากทางภาคเหนือ ผ่านจังหวัดเชียงราย-พะเยา-แพร่-ลำปาง-กำแพงเพชร-นครสวรรค์ มุ่งหน้ากรุงเทพมหานคร ตามถนนหมายเลข 32 สายเอเชีย กระทั่งเวลา 00.20 น.ของ ที่ 24 ก.พ.67 ชุดจับกุมได้ประสานตำรวจทางหลวงหน่วยบริการประชาชนอ่างทอง ตั้งจุดสกัดเพื่อทำการหยุดรถยนต์เป้าหมาย พบนายประพันธ์ หรือเบิร์ด จันทร์คล้าย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นรถพบยาบ้า  อยู่ในกระสอบสีรุ้งจำนวน 5 กระสอบ 500 มัด รวม 1,000,000 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก สีดำตราแอปเปิล ห่อด้วยกระดาษสีขาวมีตราสัญลักษณ์รูปดาวห้าดวงและเลข 999 บนมัดยา ทั้งนี้ เบิร์ด จันทร์คล้าย เป็นสมาชิกของ “เครือข่าย ซาตานบ้าพลัง999 ” ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผลติดตามเครือข่ายที่เหลือมาดำเนินคดี

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ก.พ.67 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ที่มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือนำไปส่งต่อให้กับกลุ่มนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางของประเทศ จนทราบว่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าวจะใช้รถยนต์กระบะบรรทุกในการลำเลียงยาเสพติด กลางดึกของวันที่ 16 ก.พ.67 เวลาประมาณ 23.50 น.  ตำรวจพบรถกระบะบรรทุกเสริมโครงเหล็ก ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา หมายเลขทะเบียน ยน 44XX เชียงใหม่ บริเวณท้ายกระบะว่างเปล่า ขับมุ่งหน้าบ้านแม่อ้อใน ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ต่อมาเวลา 02.00 น. รถเป้าหมายขับออกมาจากพื้นที่มุ่งหน้า อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ พบมีการบรรทุกพืชผลทางการเกษตรมาเต็มท้ายกระบะ กระทั่งช่วง 04.00 น. ได้ขับมาถึงบริเวณด่านตรวจแม่ทา ถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จว.ลำพูน ตำรวจจึงเรียกให้หยุดรถเพื่อสอบถาม พบนายอ่องฟ้า เป็นคนขับ และนายวัญชิต โดยสารมาด้วย สารภาพว่าได้ลำเลียงยาเสพติดบริเวณท้ายรถกระบะจริง โดยได้นำผักกาดขาว วางปิดทับมาเพื่ออำพรางการตรวจค้น ตำรวจจึงเข้าตรวจค้นพบไอซ์ น้ำหนัก 1,200 กิโลกรัม  

คดีที่ 4 จากการสืบสวนของตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ทราบมาว่านายตี๋ หรือ นายอภิชาติ แซ่ห่อ ซึ่งเป็นบุคคล  ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 572/2563 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2563 จะจำหน่ายไอซ์ จำนวนมาก ชุดจับกุมจึงวางแผน  เข้าติดต่อซื้อขาย จนวันที่ 12 ก.พ.67 ชุดล่อซื้อได้รับแจ้งจาก นายตี๋ ว่าจะส่งลูกน้อง 2 คน มาเจรจาซื้อขายยาเสพติดกระทั่งวันที่ 20 ก.พ.67 ติดต่อนัดพบชุดล่อซื้อที่ร้านกาแฟมัชรูมคาเฟ่ ต.ป่าแดด อ.เมือง จว.เชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบเงิน หลังจจากนั้น ได้แจ้งพิกัดของยาเสพติดหลังถูกวางไว้บริเวณหลังป้ายประกาศห้ามทิ้งขยะ หมู่ 3 ต.อุโมงค์ อ.เมืองลำพูน   จว.ลำพูน จากนั้นชุดจับกุมจึงเข้าตรวจสอบพิกัดที่รับแจ้งพบไอซ์ 2 กระสอบ กระสอบละ 25 ก้อน รวมจำนวน 50 ก้อน น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ขณะเดียวกันชุดสืบสวนอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในบริเวณร้านกาแฟ จึงเข้าแสดงตัวจับกุมลูกน้องของนายตี๋ ทราบชื่อภายหลังคือ นายภัทร์บดินทร์ และ นายยอด 

คดีที่ 5 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนพบเครือข่ายยาเสพติด จะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน เข้ามาส่ง   ในพื้นที่ตอนใน กระทั่งวันที่ 22 ก.พ.67 เวลา 15.00 น. ทราบว่าจะส่งมอบยาเสพติดบริเวณถนน ชุดสืบสวนจึงตรวจสอบ พบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ยท 78XX เชียงใหม่ จอดริมถนนสาธารณะ หมายเลข 107 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่  และคนขับรถได้ลงมายกกระสอบนำไปวางไว้ข้าง ๆ หลักกิโลเมตรที่ 158 ก่อนจะขับขี่รถออกไปตามเส้นทาง อ.แม่อาย    จว.เชียงใหม่ ตำรวจส่วนหนึ่งจึงติดตามรถกระบะไปและสามารถจับกุมนายสันติ ผู้ต้องหา ได้บริเวณสี่แยกไฟแดงโค้งเจ๊ทา หมู่ 4 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ตำรวจอีกส่วนหนึ่งได้เข้าพิสูจน์ทราบกระสอบต้องสงสัยพบเป็นยาบ้าจำนวน 200,000 เม็ด  

คดีที่ 6 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนเครือข่ายยาเสพติดมีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน นำไปส่งต่อให้กับกลุ่มนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ กระทั่งช่วง 05.00 น. วันที่ 26 ก.พ.67  พบความเคลื่อนไหวเครือข่ายขับรถกระบะเดินทางมารับยาเสพติดมุ่งหน้า ต.เมืองงาย อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ ซึ่งบริเวณท้ายกระบะมีการเสริมโครงเหล็กสูงข้างในบรรทุกกระสอบเสมอคอกเหล็ก จนช่วงเช้าของวันเดียวกันพบรถกระบะสีเทา หมายเลขทะเบียน ยฉ 57XX เชียงใหม่ จอดบริเวณหน้าร้านขายของชำ บริเวณแยกปิงโค้ง-พร้าว ทางหลวง 1150 ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ ก่อนที่คนขับจะเดินเข้าร้านขายของชำ ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุม สอบถามทราบชื่อคนขับคือ นายจิรพัทร์ ระบุว่าบรรทุกกระสอบข้าวโพดที่มีการซุกซ่อนยาเสพติดจริง ตรวจสอบพบยาบ้า 7,920,000 เม็ด  

คดีที่ 7 ตำรวจ บก.ปส.4 ได้สืบสวนพบเครือข่ายค้ายาเสพติด จะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางไปส่งในภาคใต้ โดยใช้รถ 2 คัน กระทั่งพบรถเป้าหมายคือ รถกระบะ หมายเลขทะเบียน 2ฒฆ 2xxx กทม. และรถยนต์ หมายเลขทะเบียน               7กก 6xxx กทม. ขับเข้ามาในพื้นที่ จว.ชุมพร จึงประสานให้ตั้งด่านสกัดกั้นบริเวณสี่แยกปากคลอง ต.ปากคลอง อ.ปะทิว     จว.ชุมพร แต่เมื่อรถกระบะขับเข้าด่านกลับเร่งเครื่องเพื่อหลบหนี ก่อนจะเสียหลักตกลงไปบริเวณคอสะพานคลองน้ำดำ  ชุดจับกุมจึงเข้าตรวจสอบพบยาบ้า 1,600,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ท้ายรถกระบะ แต่ไม่พบผู้ขับขี่ ตำรวจจึงกระจายกำลังค้นหาบริเวณโดยรอบกระทั่งจับกุมตัว นายสิทธิกร ได้หลังซ่อนตัวอยู่ในโพรงหญ้า สอบสวนสารภาพว่าเป็นผู้ขับขี่รถกระบะบรรทุกยาบ้ามาจริง ส่วนรถยนต์ซึ่งทำหน้าที่สำรวจเส้นทางสามารถติดตามได้ที่ปั๊มน้ำมันพีทีปะทิว ขาล่องใต้ ต.เขาไชยราช อ.ปะทิว จว.ชุมพร พร้อมจับกุม นายคมกริช เป็นผู้ขับขี่และนายอรรถพล ผู้โดยสารมาด้วย 

คดีที่ 8 ระหว่างที่ ตำรวจ บก.ปส.4 ร่วมกับตำรวจในพื้นที่สนธิกำลังตั้งด่านตรวจบริเวณริมถนนเพชรเกษม (กรุงเทพฯ -ชุมพร) หน้าด่านตรวจยานพาหนะชุมพร พบรถยนต์สีขาว หมายเลขทะเบียน 3ขก 5xxx กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถยนต์                      อยู่ในระบบเฝ้าระวังขับผ่านมา มี นายชานนท์ เป็นผู้ขับขี่ และนายสิทธิชัย โดยสารมาด้วย ชุดจับกุมจึงเรียกให้หยุดรถ                    ก่อนจะนำรถเข้าด่านตรวจฯ เพื่อตรวจค้นระหว่างตรวจค้น 2 หนุ่ม แสดงอาการมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงตรวจหาสารเสพติดในร่างกายพบผลเป็นบวก ก่อนนำรถยนต์เข้าเครื่องเอกซเรย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด พบวัตถุลักษณะเป็นก้อน เชื่อว่าเป็นยาเสพติด ซุกซ่อนในช่องลับที่ถูกดัดแปลงท้ายรถยนต์พบยาบ้า 706,000 เม็ด สอบสวนทั้ง 2 สารภาพว่าถูกว่าจ้างให้ขนยาบ้าจากเมืองหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เพื่อไปส่งให้ลูกค้าที่ จว.สงขลา  

คดีที่ 9 ตำรวจ บก.สกส., บก.ปส.3, บก.ขส.บช.ปส.และ ตำรวจภูธรภาค 6 ร่วมกันจับกุม 5 ผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด สืบเนื่องจาก บก.สกส. รับแจ้งว่ามีเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่มักลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ ดอยตุง อ.แม่สาย จว.เชียงราย ไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ จว.พระนครศรีอยุธยา กระทั่งวันที่ 18 ก.พ.67 พบความเคลื่อนไหวของรถเป้าหมาย 3 คัน ในลักษณะขับตามกันเป็นคาราวาน กระทั่งสามารถจับกุมนายชินภัทร อินทอง และ นายรัตนกุล รังเพชร              ได้ที่บริเวณริมถนนเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ (ถนน 206) กม.2 ต.กลางแดด อ.เมืองนครสวรรค์ จว.นครสวรรค์ พร้อมรถกระบะ หมายเลขทะเบียน กน 38xx กำแพงเพชร ที่ซุกซ่อนยาบ้าไว้ 800 มัด รวม 1,600,000 เม็ด ส่วน นายธวัช แก้วศรีงาม ถูกจับกุมพร้อมรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ขข 13xx พิษณุโลก บริเวณแยกยอเซฟ ต.ในเมือง อ.เมืองพิจิตร จว.พิจิตร สารภาพนำยาบ้าไปทิ้งไว้ในป่ามันใกล้บึงบอระเพ็ด ตำรวจจึงเข้าตรวจสอบพบยาบ้า 200 มัด รวม 400,000 เม็ด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top