Sunday, 18 May 2025
NEWS FEED

'คอลัมนิสต์ดัง' ถาม 'จุฬาฯ' ผลสอบวิทยานิพนธ์บิดเบือน 'ณัฐพล ใจจริง' ชัด แต่ทำไมทางสถาบันยังไม่จัดการถอดปริญญาจากผู้มีมลทินเสียที

(7 มี.ค. 67) จากกรณีศาลอาญายกฟ้อง อ.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คดีหมิ่นประมาท นายณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ผู้เขียนหนังสือ ‘ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ’ และ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี’ ของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ซึ่งอ้างอิงมาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ ของนายณัฐพล ใจจริง ซึ่งกำลังถูกทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสอบสวนวิทยานิพนธ์

ล่าสุด นายสุรวิชช์ วีรวรรณ คอลัมนิสต์ประจำเครือผู้จัดการ แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊ก Surawich Verawan ระบุว่า แว่วว่าผลสอบวิทยานิพนธ์ผิดจริง แต่ไม่ถอนปริญญาเพราะไม่มีระเบียบ

การสอบสวนวิทยานิพนธ์ที่บิดเบือนเสร็จสิ้นไปนานแล้ว แต่ถึงวันนี้จุฬาก็ยังเก็บงำอยู่

‘ตาวัย 70’ สานฝันชีวิต ขี่ซาเล้งจาก 'อุบลฯ' ไป 'ตราด' หวังเห็นทะเลสักครั้ง อาศัยนอนปั๊ม คอยเก็บขวดขาย เพื่อหาค่าน้ำมัน ประคองตัวให้ถึงจุดหมาย

(7 มี.ค.67) ที่ปั๊มน้ำมัน บนถนนหมายเลข 24 ก่อนถึงสี่แยกไฟแดง อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวพบกับคุณตาท่านหนึ่ง นอนอยู่บนรถซาเล้ง จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อภายในบริเวณปั๊ม โดยท้ายรถมีถุงขนาดใหญ่ 3 ถุงที่ใส่ขวดพลาสติก และกระป๋องเครื่องดื่มที่กินหมดแล้ว

แต่ที่สะดุดตาคือมีป้ายที่เขียนด้วยลายมือมีข้อความว่า “ผู้เฒ่าเลาะเก็บขยะสัญจร จากน้ำยืนอุบล ถึง จ.ตราดเด้อครับ” จึงได้เข้าไปสอบถาม

คุณตาเล่าว่า คุณตาชื่อ นายหลอย ทาพิลา อายุ 70 ปี เป็นชาวบ้านบุเปือย ต.บุเปือย อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันอาศัยอยู่คนเดียว เพราะเลิกรากับภรรยานานหลายปีแล้ว ส่วนลูกๆ ก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมด ที่บ้านคุณตาไม่มีที่ทางทำกิน ต้องอาศัยเก็บขวด เก็บของเก่า ตามถังขยะและตามข้างทางนำไปขายเลี้ยงชีพ จะไปรับจ้างใครก็ไม่ไหว เพราะอายุเยอะแล้ว

วันนี้ที่ตัดสินใจออกเดินทางมาถึงที่อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เพราะมีเป้าหมายว่าจะเดินทางไป จ.ตราด เพราะอยากเห็นทะเลและเกาะช้าง ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นน้ำทะเล คิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตก็อยากจะเห็นทะเลกับเขาสักครั้ง จึงตัดสินใจควบรถซาเล้งคู่ใจออกเดินทางทันที

โดยออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.67 ที่ผ่านมา และมีเงินติดตัวมา 200 บาท อาศัยเก็บของเก่าตามข้างทางขายพอได้เติมน้ำมันไปเรื่อยๆ ค่ำไหนก็นอนนั่น โดยจะเน้นนอนตามปั๊มน้ำมัน เพราะมีน้ำให้อาบมีแสงสว่างไม่น่ากลัว

ส่วนอาหารการกินก็ซื้อบ้าง มีคนสงสารให้บ้าง บางทีก็อาศัยข้าววัดบ้าง คิดว่าสักวันก็น่าจะถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ แต่ที่กังวลใจอยู่บ้างก็คือเรื่องเจ้ารถซาเล้งคู่ใจ ไม่รู้ว่าจะงอแงตามทางหรือไม่ แต่ก็จะพยายามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดหมาย ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้เห็นกับตาให้ได้

เปิดงบทำเนียบฯ ทุ่ม 5 แสนรื้อสนามหญ้าตึกไทยฯ โละพรมเก่า ปูพรมขนแกะทอมือราคา 10 ล้าน

หรูหราสุด ๆ !! เปิดงบทำเนียบฯ ปรับปรุงจัดเต็ม รื้อสนามหญ้าหน้าตึกไทยฯ ทุ่มงบ​เกือบ​ 5 แสน​ ปลูกหญ้าพลาสพาลัม​เทียบเกรดสนามกอล์ฟ​ หวังเป็นหน้าเป็นตารับแขกบ้านแขกเมือง​ พร้อมโละพรมเก่าปูพรมขนแกะทอมือมูลค่ากว่า​ 10 ล้าน​ ​ปรับรั้วหลังตึกไทย​หลังทรุดเอน​ ขณะที่สังคายนาระบบปลอดภัย​ไซเบอร์ 58 ล้าน​สกัดมือแฮกเกอร์​ 

(7 มี.ค. 67) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า สำนักนายกรัฐมนตรี​ ประกาศสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เรื่องรายการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประเภทงบรายจ่าย หมวดงบลงทุน ที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ลงไว้เมื่อวันที่​ 1 มีนาคม​ 2567 จำนวน 12 รายการ​ รวมวงเงิน​ 138 ล้านบาท ประกอบด้วย

1. จ้างเปลี่ยนกระจกหน้าต่างห้องทำงาน ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า วงเงิน 302,300 บาท ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ช่วงเวลาดำเนินการ ธันวาคม 2566

2. จ้างปรับปรุงสนามหญ้าบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า วงเงิน 498,352 บาท วิธีเฉพาะเจาะจง เดือนกุมภาพันธ์ 2567 

3. ซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ 3 รายการ วงเงิน 4,317,600 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป มีนาคม 2567

4. ซื้อรถบรรทุก (ดีเซล) ปริมาตรกระบอกสูบไม่ต่ำกว่า 2,900 ซีซี 1 คัน วงเงิน 1,160,000 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป

5. จ้างพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์รัฐบาลไทย (www.thaigov.go.th) จำนวน 1 งาน ราคา 5 ล้านบาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป มีนาคม 2567 

6. จ้างทอพรมทอมือ เส้นใยขนแกะ 100% พร้อมติดตั้ง 9 ผืน วงเงิน 10,557,200 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป มีนาคม 2567

7. จ้างพัฒนาระบบสำนักงานดิจิทัล (Digital Office) 1 ระบบ วงเงิน 11,739,200 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป เมษายน 2567 

8. ซื้อระบบบริหารจัดการ DNS,DHCP และ IP Address Management พร้อมติดตั้ง 1 ระบบ วงเงิน 8,560,000 บาท ประกาศเชิญชวน เมษายน 2567

9. จ้างพัฒนาระบบบริหารจัดการผู้ใช้งานแบบรวมศูนย์ (Single Sign-on) 1 ระบบ วงเงิน 3,164,100 บาท ประกาศเชิญชวน เมษายน 2567 

10. ซื้อครุภัณฑ์ในการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) พร้อมติดตั้ง 1 ระบบ 58 ล้านบาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป เมษายน 2567

11. จ้างติดตั้งระบบดูดอากาศตรวจจับควัน แบบระบุตำแหน่งได้ ของอาคารตึกไทยคู่ฟ้า 1 ระบบ วงเงิน 32,100,000 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป เมษายน 2567 

12. จ้างปรับปรุงรั้วริมคลองหลังตึกไทยคู่ฟ้า 1 งาน วงเงิน 2,869,000 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป เมษายน 2567 

ประกาศรายการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประเภทงบรายจ่าย หมวดงบลงทุน ที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นไปตามแนวทางของสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สํานักงาน ปปช.) ที่ได้กําหนดแนวทางการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ Open Data Integrity and Transparency Assessment (OIT) ให้หน่วยงานของรัฐแสดงรายการการจัดซื้อจัดจ้างหรือการจัดหาพัสดุ

สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จึงขอประกาศรายการการจัดซื้อจัดจ้างของสํานักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ประเภทงบรายจ่าย หมวดงบลงทุน ที่จะมีการดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ดังกล่าว

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า​การปรับปรุง​สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า​ รวมไปถึงส่วนต่าง ๆ​ เป็นไปตามแผนงานปรับปรุง​ภูมิ​ทัศน์ภายในทำเนียบรัฐบาล​ เนื่องจากทรุดโทรมตามอายุการใช้งาน​ เป็นหลุมเป็นบ่อ​ สนามหญ้าเสื่อมสภาพ​ และทำเนียบรัฐบาลถือเป็นสถานที่ไว้สำหรับรับแขกบ้านแขกเมืองต่างประเทศ รวมไปถึงรัฐพิธีต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและสมเกียรติ

ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างขนแกะทอมือ 100% ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง โดยสเปคเป็นไปตามของเดิม ส่วนที่ต้องมีการเปลี่ยนเนื่องจากเสื่อมตามสภาพอายุการใช้งาน ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคำสั่งของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่เป็นไปตามแผนงานเดิมที่มีอยู่แล้ว ส่วนรั้วบริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเนื่องจากพื้นทรุด ทำให้รั้วเกิดการเอียง โดยงบประมาณทั้งหมด ได้มีการเสนอตามขั้นตอนและผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการปรับปรุงสนามหญ้าบริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นั้น จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 13 มี.ค. 2567 ก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับจากการไปปฏิบัติภารกิจที่ยุโรป ซึ่งในรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ซ่อมแซมสนามสนามหญ้าเพียงในส่วนที่เสียหาย แต่ไม่ได้รื้ออัดดิน และทำใหม่ โดยใช้หญ้าพันธุ์พาสพาลัม ที่นิยมปลูกในสนามกอล์ฟ เป็นพืชในตระกูลหญ้าที่ใช้แพร่หลายไปทั่วเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย และอเมริกา ที่รู้จักกันทั่วไปว่าหญ้าพาสพาลัม เป็นหญ้าที่เจริญเติบโตได้ในสภาพอากาศอบอุ่นจนถึงร้อน​ ทนต่อการเหยียบย่ำ ซึ่งแต่เดิมใช้หญ้าพันธุ์​นวลน้อย

NARIT เผย!! 'แสงวาบ-ลูกไฟ' คาดเป็น 'ดาวตกชนิดระเบิด' ชี้!! หากพบลูกไฟ 2 ครั้งในพื้นที่เดียวกันช่วงนี้ ไม่ถือว่าผิดปกติ

(7 มี.ค.67) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. (NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เผยว่า ช่วงหัวค่ำ 6 มีนาคม 2567 มีผู้พบเห็นแสงสว่างวาบเป็นทางยาว เหนือท้องฟ้าหลายพื้นที่ในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ของไทย แสงดังกล่าวปรากฏขึ้นประมาณสองครั้ง เวลาประมาณ 19:13 น. มีลักษณะหัวเป็นสีฟ้า หางเป็นสีเขียว จากนั้นแตกออกเป็น 2-3 ส่วน และเวลาประมาณ 20:21 น. ปรากฏขึ้นอีกหนึ่งครั้ง มีสีส้ม มองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน คาดว่าเป็น 'ดาวตกชนิดระเบิด'

นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ สดร. กล่าวว่า สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำวันที่ 6 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้าคล้ายดาวตก 2 ครั้ง ติดต่อกัน ครั้งแรกเวลาประมาณ 19:13 น. ปรากฏเป็นทางยาวพาดผ่านท้องฟ้าจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก ส่วนหัวมีสีฟ้า ส่วนหางมีสีเขียว ขณะเดียวกันได้แตกออกเป็น 2-3 ส่วน ส่วนหัวมีสีส้ม หางสีเขียว จากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมงถัดมา ปรากฏขึ้นอีกครั้งเวลาประมาณ 20:21 น. มีสีส้ม พบเห็นแต่ละครั้งนานประมาณ 10 วินาที

เหตุการณ์ครั้งนี้พบเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนในหลายจังหวัดกระจายอยู่เกือบทุกภูมิภาคของไทย อาทิ ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ อยุธยา ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร นครราชสีมา ปราจีนบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ ศรีสะเกษ ชุมพร บุรีรัมย์ ชลบุรี สมุทรสาคร นครปฐม นครนายก ระยอง ชัยภูมิ เชียงใหม่ เป็นต้น

จากข้อมูลดังกล่าวคาดว่าอาจเป็นดาวตกชนิดระเบิด ซึ่งเกิดจากวัตถุท้องฟ้าขนาดเล็ก เช่นดาวเคราะห์น้อย หรือเศษชิ้นส่วนที่กระเด็นจากการพุ่งชนบนดวงจันทร์หรือดาวอังคาร เป็นต้น เมื่อเศษชิ้นส่วนดังกล่าวเคลื่อนที่เข้ามายังชั้นบรรยากาศโลก เสียดสีกับอนุภาคในชั้นบรรยากาศ เกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้จึงมองเห็นเป็นแสงสว่างวาบพาดผ่านท้องฟ้า ที่เราเรียกว่า ดาวตก 

กรณีที่เศษชิ้นส่วนมีขนาดใหญ่ ความร้อนและแสงสว่างที่เกิดขึ้นก็จะมากขึ้นตามไปด้วย หากมีความสว่างเทียบเท่ากับความสว่างของดวงจันทร์เต็มดวง หรือเกิดการระเบิดขึ้นกลางอากาศ นักดาราศาสตร์จะเรียกว่า ดาวตกชนิดระเบิด (Bolide)

นายศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดาวตกในครั้งนี้ยังปรากฏสีที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งสีเขียว สีฟ้า สีส้ม โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อสีของดาวตก ขึ้นอยู่กับสองปัจจัยได้แก่ องค์ประกอบทางเคมี โมเลกุลของอากาศโดยรอบ ขณะพุ่งเข้าชนกับชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูงมาก เกิดการเสียดสีและเผาไหม้ ทำให้อะตอมของดาวตกเปล่งแสงออกมาในช่วงคลื่นต่าง ๆ เราจึงมองเห็นสีของดาวตกปรากฏในลักษณะที่แตกต่างกัน

ในแต่ละวันจะมีวัตถุขนาดเล็กผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกเป็นจำนวนมาก เราสามารถพบเห็นได้เป็นลักษณะคล้ายดาวตก และยังมีอุกกาบาตตกลงมาถึงพื้นโลกประมาณ 44-48.5 ตันต่อวัน แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ห่างไกลผู้คน จึงไม่สามารถพบเห็นได้ ดาวตกนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ และสามารถอธิบายได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ในช่วง 2 วัน มีลูกไฟโผล่มารัวๆ มีอะไรที่ต้องกลัวหรือไม่นั้น? ด้าน สมาคมดาราศาสตร์ ได้เผยว่า จากสถิติ ดาวตกที่สว่างระดับลูกไฟมีคืนละกว่าร้อยดวงทั่วโลก ดังนั้น การที่พบลูกไฟสองครั้งในพื้นที่เดียวกันภายในเวลา 2 วัน ยังไม่ถือว่าผิดปกติ

‘หนุ่ม’ สงสัย ‘ข้าวมันไก่’ เสิร์ฟกึ่งดิบ กินได้จริงหรือ ด้าน ‘ชาวเน็ต’ แนะ!! หากยังไม่สุกดี ไม่น่าเสี่ยง

(7 มี.ค. 67) กลายเป็นไวรัล ถกสนั่นไปทั่วโลกโซเชียลฯ เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ลงในกลุ่ม ‘พวกเราคือผู้บริโภค’ แชร์ประสบการณ์การทานร้าน ‘ข้าวมันไก่’ แต่กลับข้องใจไม่กล้ากิน เพราะเนื้อไก่มีลักษณะเนื้อสีชมพู ดูเหมือนไม่สุก 

โดยระบุว่า “รบกวนสอบถามพี่ๆ หน่อยครับแบบนี้กินได้ไหม พอดีไปกินประจำของพี่ที่รู้จัก เรามองแล้วไม่สบายใจเลยไม่กินแต่พี่แกบอกว่ามันกินได้เลยอยากรู้ว่ามันทานได้จิงๆ หรอครับ”

งานนี้เมื่อโพสต์ดังกล่าวแชร์ออกไป ชาวเน็ตก็ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นล้นหลาม หลายคนบอกว่า เส้นบางๆ ระหว่างคอลลาเจนกับดิบ, ยังไม่สุกดีเลยนะนั้น, ไม่กล้ากินค่ะ, อันนี้คิดว่าไม่สุกเลยค่ะ

เรื่องของเมนู ‘ไก่ดิบ’ นั้นเป็นประเด็นมาหลายครั้งแล้ว และหากถามว่ากินได้จริงหรือไม่? คำตอบคือ มีการกินเมนูนี้จริงๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งแบบซาชิมิ และแบบทาทากิ (คือการย่างเนื้อสัตว์ให้ผิวด้านนอกสุกแต่ด้านในดิบ) โดยร้านที่ขายจะต้องมีประสบการณ์ และต้องเลือกใช้ไก่จากฟาร์มไก่แบบพิเศษ ปลอดสาร ปลอดเชื้อ และได้มาตรฐาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีชาวญี่ปุ่นที่ป่วยจากการกินไก่ดิบเป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี

ขณะที่ในเมืองไทย ยังไม่พบว่ามีฟาร์มไก่ที่ได้มาตรฐานจนถึงขนาดสามารถกินดิบได้ และนอกจากนี้ ที่มีคำแนะนำว่าไม่ควรกินเนื้อไก่ดิบก็เนื่องจากไก่เป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรีย ‘ซัลโมเนลลา’ ซึ่งไก่สามารถมีเชื้อตัวนี้อยู่ในตัวเองโดยไม่แสดงอาการอะไร หากเราเอาเนื้อหรือไข่ดิบของไก่ที่มีเชื้อตัวนี้มากิน ก็อาจเกิดการติดเชื้อรุนแรง หรือผู้ใดที่ไม่มีภูมิต้านทาน อาจถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด เสียชีวิตได้ นอกจากซัลโมเนลลา ยังมีเชื้ออีกตัวที่น่ากลัวไม่ต่างกัน คือ แคมไพโลแบคเตอร์ ที่ทำให้ท้องเสียขั้นรุนแรงได้หากกินเข้าไป รวมถึง เชื้อคลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ ต้นเหตุของอาหารเป็นพิษ 

เนื่องจากไก่ดิบมักมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนมาด้วย ซึ่งเป็นต้นเหตุของการท้องร่วง อาหารเป็นพิษ หรือการติดเชื้อในลำไส้ และในไก่ดิบ มักมีตัวอ่อนของพยาธิตัวจี๊ด เมื่อกินเข้าไปจะกลายเป็นตัวแก่ในกล้ามเนื้อ ส่งผลให้มีอาการคัน บวมแดง หรือบวมๆ ยุบๆ และเคลื่อนที่ได้ สำหรับบางคนอาจจะร้ายแรงถึงขั้นตาบอด หรือสมองอักเสบ จึงแนะนำให้กินแบบสุกเท่านั้น

กินไก่อย่างไรให้ปลอดภัย เมื่อซื้อไก่สดมา ไม่ต้องล้าง เนื่องจากการล้างไก่สดอาจทำให้เชื้อโรคที่ปะปนอยู่บนเนื้อหรือน้ำที่ซึมออกจากเนื้อไก่ กระจายออกไปปะปนสู่ภาชนะหรือวัตถุดิบอื่นๆ หากจะเก็บในตู้เย็น ให้ซ้อนถุงอีกชั้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำที่ซึมออกจากเนื้อไก่ปนเปื้อนกับอาหารอื่น แนะนำให้รีบแช่ไก่สดในตู้เย็นภายใน 1 ชั่วโมง และที่สำคัญที่สุดคือควรกินไก่สุก โดยใช้อุณหภูมิสูงกว่า 75 องศาเซลเซียส ไม่น้อยกว่า 5 นาที

สรุปแล้ว ไม่ควรกินเมนู ‘ไก่ดิบ’ โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่อาจมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย และด้วยอุณหภูมิในบ้านเราที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ยิ่งทำให้เสี่ยงติดเชื้อมากขึ้นไปอีก ฉะนั้น กินไก่สุกปลอดภัยกว่า

พังงา เพิ่มขีดความสามารถการปฐมพยาบาลด้วยการทำ CPR 'เพิ่มโอกาสการรอดชีวิต'

กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 จัดการอบรมการกู้ชีพพื้นฐานให้กับกำลังพล และการปฐมพยาบาลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในการช่วยชีวิตด้วยการทำ CPR (Cardiopulmo nary Resuscitation ) และการใช้เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (AED ) จากวิทยากร โรงพยาบาลฐานทัพเรือพังงา ทัพเรือภาคที่ 3 โดยมี นาวาโท ศักรินทร์ ซื่อสงวน ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 เป็นประธาน 

พิธีเปิดการฝึกอบรม ณ ห้องประชุมกองบังคับการกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2567

ทหารปล่อยขบวนรถบรรทุกน้ำออกช่วยเหลือชาวบ้านรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง

กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5 ค่ายสมันตรัฐบุรินทร์ หมู่ที่ 6 ตำบลคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล  พ.อ.ชัยวุฒิ   พรมทอง  ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5 พร้อมด้วยสนง.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสตูล เทศบาลตำบลคลองขุด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และภาคเอกชน   ร่วมปล่อยขบวนรถบรรทุกน้ำช่วยเหลือประชาชน ในสถานการณ์ภัยแล้ง ตามนโยบายของกองทัพบก ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง ตามโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจช่วยภัยแล้ง ประจำปี 2567”  

พ.อ.ชัยวุฒิ   พรมทอง  ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5  กล่าวว่า   กองทัพบกได้ประสานความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่มีศักยภาพ   ร่วมแรงร่วมใจในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภค เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น   ในการรับมือสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น ใน 7 อำเภอของจังหวัดสตูล  ได้มีความพร้อมในการกระจายกำลังและร่วมสนับสนุนในการช่วยเหลือชาวบ้านทีประสบภัย  สามารถติดต่อหน่วยงานหลักอย่าง ปภ. ท้องถิ่น หรือหน่วยงานใกล้บ้าน  รวมทั้งกำลังทหาร  ที่มีความพร้อมทั้งกำลังพลและรถบรรทุกน้ำ   สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชม.

สำหรับโครงการ “ราษฎร์ รัฐ  ร่วมใจช่วยภัยแล้ง ประจำปี 2567” มีพิธีปล่อยขบวนรถบรรทุกน้ำ พร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับพื้นที่จังหวัดสตูล จะเห็นได้ว่าระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ของทุกปี  จะประสบกับปัญหาภัยแล้งอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะประชาชนที่พักอาศัยในถิ่นทุรกันดาร พี่น้องกลุ่มเกษตรกร มักจะมีปัญหาขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภค การจัดกิจกรรมครั้งนี้ กองทัพบกจึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน    รวมระยะเวลากว่า 25 ปี   โดยได้ใช้กำลังพล และทรัพยากรที่มีอยู่ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เสียสละ ทุ่มเท เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ตามนโยบายของโครงการ คือ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจช่วยภัยแล้ง” ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่ง   ในการ บําบัดทุกข์  บํารุงสุข ให้กับประชาชนในพื้นที่

นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

‘iQAir’ ชี้!! ‘เชียงใหม่’ มี ‘มลพิษ’ มากที่สุด ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากโกลกาตา-เดลี

(7 มี.ค. 67) ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ ประจำวันที่ 7 มีนาคม 2567 ณ 07:00 น. สรุปดังนี้

ภาพรวมปริมาณ PM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน จ.พะเยา จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.พิษณุโลก จ.ตาก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์

จ.อุทัยธานี จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี จ.สระบุรี จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จ.เลย จ.อุดรธานี จ.นครพนม จ.หนองบัวลำภู จ.สกลนคร จ.มุกดาหาร จ.ขอนแก่น จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด จ.อำนาจเจริญ จ.ชัยภูมิ จ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.นครราชสีมา และ จ. สุรินทร์

> ภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 43.9 - 196.1 มคก./ลบ.ม.

> ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 37.2 - 136.0 มคก./ลบ.ม.

> ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐาน 6 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 23.2 - 46.4 มคก./ลบ.ม.

> ภาคตะวันออก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 15.7 - 31.5 มคก./ลบ.ม.

> ภาคใต้ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 15.8 - 33.0 มคก./ลบ.ม.

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของ คพ. ร่วมกับ​ ​กทม. ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 16.2 – 33.4 มคก./ลบ.ม.

ด้าน เว็บไซต์ iQAir จัดอันดับเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุด พบว่า จ.เชียงใหม่ มีมลพิษมากที่สุด เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากโกลกาตา และ เดลี ประเทศอินเดีย

ขณะที่ เว็บไซต์ของ NASA Firms ที่อัปเดตจุด hotspot ที่เผยจุดความร้อน การเผาป่า ไฟป่า ต้นเหตุควัน และฝุ่น PM 2.5 เมื่อวันที่ 6 มี.ค.2567 พบว่าในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ พบจุดความร้อน เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ ฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงมากในพื้นที่

สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทยและเครือข่าย ต้อนรับมกุฎราชกุมารมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานตกลงความร่วมมือ MOU สื่อไทย สื่อมาเลย์

วันนี้ 7 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ห้องธามาริน โรงแรมญันนันตีย์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตวนกูไซยิดไฟซุดดิน ไซยิดจามาลุลไลล์  (Tuanku syed Faizuddin Syed Jamalullail Raja Muda Perlis) มกุฎราชกุมารแห่งรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ทรงเป็นประธานงานกาลาดินเนอร์  ทรงร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือ MOU สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย กับ สมาคมนักข่าว 5 รัฐตอนเหนือของมาเลเซีย ด้านการท่องเที่ยว สังคม วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัด นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูง ภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชนจากมาเลเซีย สื่อไทย แขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม 

พิธีการเริ่มต้น ทุกคนยืนขึ้นคารพเพลงชาติมาเลเซีย บนเวที นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ นายกสมาคมนักข่าวรัฐเปอร์ลิส  โดยมรมกุฎราชกุมารมีพระราชดำรัส ถึงความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย จานั้นมีการนำเสนอผ่านวิดีโอถึงภารกิจต่างๆ ของมกุฎราชกุมาร เสด็จลงมายังพื้นล่างและบันทึกภาพร่วมกันทุกคน
มีการแสดงวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย โดยประเทศไทย แสดงรำโนรา การแสดงศิลปะมวยไทย ประเทศมาเลเซีย การแสดงดนตรีพื้นบ้านจากรัฐซาบาห์ สะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลายของมาเลเซีย โต๊ะร่วมเสวยพระกระยาหาร ประกอบด้วย มกุฎราชกุมารแห่งรัฐเปอร์ลิส นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ โมฮัมหมัดสุกรี รอมลี มุขมนตรีรัฐเปอร์ลิส และนายกสมาคมท่องเที่ยวมาเลเซีย ร่วมสนทนาถึงความร่วมมือของจังหวัดสงขลากับรัฐเปอร์ลิส 

ตูแวตานียา มือนิงิง ประธานอนุกรรมการฝ่ายต่างประเทศ สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ ในฐานะล่าม ได้สรุปถึงการสนทนาว่า ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกระหว่างจังหวัดสงขลากับรัฐเปอร์ลิศ จะดำเนินการใน 3 เรื่อง ประการแรกจะมีการขยายเวลาเปิดด่านจนถึง 20.00 น.

ประการที่ 2  จะมีการขยายพื้นที่เป็นฟรีโซน (Free Zone) ด้านธุรกิจให้มากขึ้นเหมือนกับด่านวังประจันน์ จ.สตูล และสุดท้ายคือการใหนังสือผ่านแดนเดินทาง จะเป็นกลุ่มหรือคณะ โดยการอำนวยความสะดวกมากยิ่งขึ้น

บรรยากาศภายในงาน เป็นไปด้วยความเรียบง่าย มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย จนเมื่อถึงเวลาพอสมควร มกุฎราชกุมาร ได้เสด็จกลับ นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ ได้ส่งเสด็จและมอบส้มโอควนลัง และ ผ้าทอเกาะยอ ให้เป็นที่ระลึก

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

หนีไม่รอด! ผู้สั่งการขนคนต่างด้าวรายใหญ่โร่มอบตัว ตม.3 หลังถูกกดดันหนักจนหนีไปนอนป่า

วันนี้ (7 มี.ค.67) เวลา 10.00 น.ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์ ผdก.ตม.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์  ผกก.1 บก.สส.สตม.ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

กก.สส.บก.ตม.3 จับกุมนายเจด (นามสมมติ) อายุ 44 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 115-116/2567 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันช่วยเหลือ ช่วยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ซึ่งบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้รอดพ้นจากการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2566 ตม.จว.สมุทรปราการ และ กก.สส.บก.ตม.3  ได้ร่วมกันจับกุมคนไทย 3 คน ในข้อหา “ช่วยเหลือ ช่วยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม ขณะกำลังลักลอบพาคนต่างด้าวชาวกัมพูชาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวม 10 คน มาส่งที่บ่อปลาแห่งหนึ่งในเขต จว.สมุทรปราการ นำส่งพนักงานสอบสวนของ กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากนั้นเจ้าหน้าที่ ตม.จว.สมุทรปราการ และ กก.สส.บก.ตม.3 ได้ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานและสืบสวนขยายผล จนพบความเชื่อมโยงว่า นายเจด (นามสมมุติ) เป็นผู้สั่งการในการลักลอบขนคนทั้งสองคดีก่อนหน้านี้ และในระหว่างช่วงต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน บัญชีธนาคารของนายเจดมีเงินหมุนเวียนกว่า 150 ล้านบาท โดยมีการทำธุรกรรมพัวพันกับผู้ต้องหาในคดีก่อนหน้าถึงกว่า 1 พันครั้ง พนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 จึงขออนุมัติหมายจับ จำนวน 2 หมาย ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ และศาลได้อนุมัติตามคำขอ ในระหว่างติดตามจับกุมตัว ยังได้ปรากฏอีกว่า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 18.20 น. ตม.จว.ฉะเชิงเทรา ได้พบเหตุลักลอบขนคนกัมพูชาในพื้นที่ โดยได้ควบคุมตัวคนต่างด้าวไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางกว่า 20 คน แต่ผู้ขับรถที่มาขนคนได้หลบหนีไปก่อน ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า นายเจด คือ ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงระดมกำลังติดตามจับกุมตัว นายเจด มาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง 

ต่อมานายเจดได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 โดยนายเจดรับรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในการลักลอบขนคนต่างด้าวผิดกฎหมายจริง และที่มามอบตัว ก็เพราะ รู้สึกกดดันที่ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามตัวอย่างหนัก จนตัวเองต้องหนีไปนอนในป่าหลายวัน และสุดท้ายคงหนีไม่รอด จึงขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ จากการขยายผลเพิ่มเติม พบว่านายเจดนั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายลักลอบขนคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในคดีอื่นอีก ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top