Tuesday, 8 October 2024
ECONBIZ

ครม.คลอด 2 มาตรการ 3.5 แสนล้านบาท ต่อลมหายใจธุรกิจ คาดว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจได้ 6 หมื่นราย พร้อมสามารถรักษาการจ้างงานได้ 8.2 แสนตำแหน่ง

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 รวม 2 มาตรการ รวมวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท คือ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 2.5 แสนล้านบาท และมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง หรือ มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ วงเงิน 1 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจได้ 6 หมื่นราย และสามารถรักษาการจ้างงานได้ 8.2 แสนตำแหน่ง

มาตรการแรก กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน 500 ล้านบาท สามารถขอสินเชื่อได้ไม่เกิน 30% ของวงเงินสินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธ.ค.62 หรือ ณ วันที่ 28 ก.พ.64 แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแห่งหนึ่งแห่งใด ณ วันที่ 28 ก.พ.64 สามารถขอสินเชื่อได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดย 6 เดือนแรกไม่คิดดอกเบี้ย โดยสถาบันการเงินจะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรกของสัญญา และเฉลี่ยไม่เกิน 5% ต่อปี ในช่วง 5 ปีแรก

ขณะเดียวกันในการดำเนินมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูครั้งนี้ยังกำหนดให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อครั้งนี้เป็นการชั่วคราวได้ด้วย จากเดิมจะช่วยค้ำประกันให้เฉพาะผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบธุรกิจ โดยมีระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี ภาระชดเชยค้ำประกันสูงสุด 40% ของวงเงินสินเชื่อภายใต้โครงการค่าธรรมเนียมการค้ำประกันโดยเฉลี่ยไม่เกิน 1.75% ต่อปี และรัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมดังกล่าวโดยเฉลี่ยไม่เกิน 3.5% ต่อปี ตลอดสัญญาได้

ขณะที่มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ กำหนดให้สถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันของผู้ประกอบธุรกิจ หรือเจ้าของทรัพย์สิน เพื่อเอามาชำระหนี้เงินกู้ที่มีอยู่เดิมกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นการเอาทรัพย์สินมาวางไว้กำหนดระยะเวลา 5 ปี โดยผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องการเข้าร่วมโครงการต้องไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ก่อนเดือนธ.ค.62 และถ้าเจ้าของทรัพย์สินต้องการจะทำธุรกิจต่อก็สามารถเช่าทรัพย์สินนี้ได้ และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวก็สามารถมาซื้อคืนทรัพย์สินได้โดยมีข้อตกลงว่าไม่มีการเอากำไรมาก

"กรณ์" นำพรรคกล้า ล้อมวงคุย "นิค จีนี่" - "Kim Kwan Su" อดีตทีม YG สร้าง "T-Wave" ให้ดังระดับอินเตอร์

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์รูปพร้อมข้อความลงเฟสบุ๊กหัวข้อ "Soft Power ไทย ไปถึงระดับโลกได้!" โดยนำทีมงานกลุ่ม Soft Power พรรคกล้า พบกับนายวิเชียร ฤกษ์ไพศาล ผู้บริหารจีนี่ เรคคอร์ด พร้อมทีมงานแกรมมี่ ร่วมพูดคุยกับนาย Kim Kwan Su อดีตทีมจาก YG Entertainment ที่มีส่วนสำคัญในการสร้าง K-Wave ทั้ง Big Bang, Psy, Black Pink และวงอื่นๆ อีกมากมาย โดยนาย Kwan Su มีความตั้งใจที่จะสร้าง T-Wave (คลื่นไทย) และมีความเชื่อว่าจะสามารถยกระดับวงการบันเทิงให้สร้างผลงานระดับสากลได้ โดยนาย Kwan Su ให้เวลาตัวเองไว้ 5 ปี 

นายกรณ์ บอกต่อว่า คุยกันถึงบทบาทของรัฐในการช่วยส่งเสริม และคุยกันถึงความสำคัญของการมีวัฒนธรรมด้านการบันเทิงเป็นทุนเดิม รวมไปถึงอิทธิพลของ Streaming platform เช่น Netflix ต่อโอกาสและแนวทางการพัฒนา และถามว่า กรณีเพลง Gangnam Style ทำไม Psy ถึงเลือกเปิดตัวเพลงทาง YouTube ซึ่ง Kwan Su เล่าว่าในวันนั้น Psy แทบไม่รู้จัก YouTube ด้วยซ้ำ และไม่มีใครคาดเดาว่าจะดังถึงขนาดนั้น และรายได้หลักของ K-Pop คือการจัดคอนเสิร์ต 

แต่ช่วงโควิดนี้จึงลำบากกันถ้วนหน้ารวมถึงได้รับทราบว่ากรณี Lisa ก็ไม่ได้เป็นยุทธศาสตร์ของ Blackpink ที่จะมีสมาชิกคนไทย เพราะ Lisa เดินเข้าไปนำเสนอตัวเอง เป็นคนมีพรสวรรค์รที่ปฏิเสธไม่ได้ ทั้งๆ การมีสมาชิกในวงที่เป็นคนต่างชาติ ทำให้การบริหารจัดการยากขึ้นมาก วันนี้บริษัทใหม่ของ Kwan Su กำลังปั้นศิลปินไทย คือ ‘น้องแอลลี่’ ที่มีเพลงฮิตคือ How To Love และอีกหนึ่งวงคือ ‘อารีน่า’ ร่วมกับเพื่อนรุ่นน้องผมคือ กึ้ง เฉลิมชัย มหากิจศิริ รอดูว่าเพลงของน้องๆ จะประสบความสำเร็จแค่ไหน (เพลง Come Get It Now) 

การพูดคุยวันนี้ทำให้ได้มุมมองมากมาย แต่สิ่งที่เน้นเป็นพิเศษคือ Production Value งบโปรดักชั่นของมิวสิควิดีโอหรือแม้แต่ซีรีย์ของเกาหลีมีการลงทุนมหาศาล แต่คุ้มค่าเพราะสามารถขายคอนเทนท์ไปได้หลายประเทศทั่วโลก 

จากนั้นพวกทีมไทยแลนด์นั่งระดมความคิดกันต่อว่า วงการบันเทิงไทยจะเติบโตและไปได้ไกลได้อย่างไร จะสร้าง T-Wave ได้เองไหม หรือต้องจับมือกับคนเก่งๆ จากต่างประเทศแล้วเรียนรู้ และพัฒนาฝีมือของเราไปพร้อมๆกัน นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายประเทศไทย และทีมงาน Soft Power พรรคกล้า และนี่คือ 1 ใน 5 ภารกิจหลักสำคัญของ พรรคกล้าครับ 


https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10159493102524740&id=71254499739#TheStatesTimes
 

ฟังแล้วอาจจะดูแปลก ๆ เพราะเวลาพูดถึงสมาชิกแบบรายเดือน หลายคนก็มักจะนึกถึง Spotify สตรีมมิงสำหรับฟังเพลง Netflix สำหรับดูภาพยนตร์ หรือ Dollar Shave Club บริการสมาชิกมีดโกนหนวดรายเดือน

อย่างไรก็ตาม เหล่านี้เป็นบริการสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับ ‘มนุษย์’ หากแต่ในมุมหนึ่ง ในโลกก็ยังมีบริการสมาชิกในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงอีกด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือ BarkBox แพลตฟอร์มสมาชิกรายเดือนสำหรับคนรักสุนัขที่กำลังเติบโต และปัจจุบัน มีมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท

เหตุผลเพราะพฤติกรรมของคนที่ต้องอยู่บ้านมากขึ้น เพราะการระบาดของ ‘โควิด-19’ ทำให้ ‘ธุรกิจที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง’ โดยเฉพาะสุนัข จึงยังไปได้ดี

แล้วสมาชิกรายเดือนของ BarkBox แพลตฟอร์มเพื่อคนรักสุนัข มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?

จุดเริ่มต้น BarkBox เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีก่อน โดยผู้ก่อตั้ง 3 คน ได้แก่ Carly Strife, Matt Meeker และ Henrik Werdelin ซึ่งมองว่าการเลี้ยงสุนัขที่ดี คือการส่งเสริมให้สุนัขได้เรียนรู้และเจอสิ่งใหม่ตลอดเวลา

ดังนั้นนอกจากอาหารแล้ว ‘ของเล่นและขนม’ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของสุนัข

อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับพบว่าพนักงานส่วนใหญ่ในร้านค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงไม่มีความเชี่ยวชาญด้านการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และพวกเขามักจะไม่ได้รับความช่วยเหลือในการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเท่าที่ควร

เรื่องดังกล่าวจึงทำให้พวกเขาเกิดไอเดียในการสร้างเว็บไซต์ BarkBox ขึ้นมา ซึ่งพวกเขาคิดว่า BarkBox จะเป็นโมเดลธุรกิจที่จะช่วยเหลือกลุ่มเจ้าของสุนัขได้อย่างตรงจุด

แล้วโมเดลธุรกิจที่ว่านี้ คืออะไร?

BarkBox มีโมเดลธุรกิจก็คือ การมัดรวมผลิตภัณฑ์สำหรับสุนัข เช่น ของเล่น ขนม และอาหาร เข้ามาอยู่ภายในกล่องเดียวกัน และจะส่งมอบให้กับลูกค้าที่สมัครเข้ามาเป็นสมาชิก

ทั้งนี้ ก็เพื่อให้กลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขไม่ต้องมานั่งคิดว่าแต่ละเดือน จะต้องหาซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอะไรบ้าง โดยลูกค้าที่สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกก็จะสามารถกำหนดได้ว่าต้องการสินค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการขอหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อาจส่งผลต่อภูมิแพ้ หรือเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสุนัขแต่ละประเภท ซึ่งจะมีราคาอยู่ในช่วงระหว่าง 700 ถึง 1,100 บาท ต่อเดือน

ด้วยความที่กลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นกลุ่มคนรักสุนัขอยู่แล้ว BarkBox จึงเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงสุนัขเป็นอย่างดี

พวกเขาจึงได้นำประสบการณ์ไปปรับให้บริการมีความยืดหยุ่น และให้ความใส่ใจแก่กลุ่มเจ้าของสุนัขได้ดีทั้งในมุมของผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรมา รวมถึงการให้คำปรึกษาแก่ผู้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ แบ่งออกเป็น…

- Facebook มีผู้ติดตาม 3 ล้านบัญชี

- Instagram มีผู้ติดตาม 1.7 ล้านบัญชี

- Twitter มีผู้ติดตาม 3 แสนบัญชี

ส่งผลให้ขณะนี้ แพลตฟอร์ม BarkBox กลายเป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกันอย่างมาก ซึ่งปัจจุบัน BarkBox มีจำนวนสมาชิกรายเดือน 660,000 ราย เติบโตขึ้นเป็น 8 เท่า เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน แถมบริษัทยังมี Retention Rate หรืออัตราการใช้บริการซ้ำมากถึง 95%

แล้วนอกจากบริการกล่องของเล่น ขนม และอาหารแล้ว ตอนนี้ บริษัท BarkBox ยังมีบริการอะไรอีกบ้าง ?

ปัจจุบัน BarkBox มีบริการอยู่ 4 แบบ แบ่งออกเป็น…

1.) BarkBox เป็นบริการรายเดือนที่จะส่งขนม ของเล่น และเกมสำหรับใช้เล่นกับสุนัข ซึ่งเหมาะกับสุนัขขนาดเล็ก

2.) Super Chewer เป็นบริการส่งผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกับ BarkBox แต่สำหรับสุนัขที่มีขนาดตัว หรือปากที่ใหญ่

3.) Bark Bright เป็นนวัตกรรมสำหรับดูแลฟันและลมหายใจของสุนัข และอนาคต BarkBox ได้มีแผนในการต่อยอด Bark Bright ให้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับดูแลสุขภาพของสุนัขแบบครบวงจร

4.) Bark Eats เป็นการให้บริการเลือกอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของสุนัข

สำหรับ Bark Eats นั้น จะมีการสอบถามเพิ่มเติมโดยตรงกับกลุ่มลูกค้า และจะนำข้อมูลที่ได้นั้นไปทำการวิเคราะห์ต่อเพื่อนำไปพัฒนาการนำเสนอ และส่งมอบอาหารที่เหมาะสมกับสุนัขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากจุดนี้เองทำให้ BarkBoxจะแตกต่างจากโมเดลธุรกิจแบบเดิมที่เน้นเฉพาะการขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพียงอย่างเดียว โดยบริการ Bark Bright และ Bark Eats เพิ่งทำการเปิดให้บริการเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งในส่วนบริการใหม่นี้ทางบริษัทได้คาดว่าจะเป็นตัวสำคัญที่สามารถสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับ BarkBox และทางบริษัทคาดการณ์ว่ามันจะเป็นบริการที่เข้ามาดิสรัปอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

แล้วปัจจุบัน BarkBox มีรายได้ขนาดไหน?

ผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมา 3 ปีย้อนหลัง

...ปี 2018 รายได้ 4,520 ล้านบาท

…ปี 2019 รายได้ 5,840 ล้านบาท เติบโต 29 %

...ปี 2020 รายได้ 6,850 ล้านบาท เติบโต 17%

จากข้อมูล เราก็พอสรุปได้ว่า BarkBox สามารถสร้างการเติบโตได้ต่อเนื่องแม้ว่าจะเผชิญกับช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา

ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทก็ได้ตั้งเป้ารายได้โตเฉลี่ยปีละ 47% จากการเพิ่มจำนวนสมาชิกและการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งสะท้อนไปยังบริษัท BarkBox ที่ปัจจุบัน มีมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท

นี่คืออีกธุรกิจที่มีความเข้าใจ และสามารถนำความเข้าใจมาพัฒนาเป็นสินค้า หรือบริการขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง จนตอนนี้มีมูลค่าระดับ 6 หมื่นล้าน ไปแล้วนั่นเอง


ที่มา: https://www.facebook.com/113397052526245/posts/1028981634301111/

สภาพัฒน์ฯ เผย ตัวเลขแรงงานไทยกว่า 14.5 ล้านคน ไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกประกันสังคม ระบุ คนกลุ่มนี้แก่ไปจะลำบาก เหตุบั้นปลายชีวิตมีแค่เบี้ยยังชีพจากรัฐบาลเท่านั้น

น.ส.จินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช. มีความเป็นห่วงเรื่องของรายได้ของผู้สูงอายุหลังเกษียณจะไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตให้อยู่รอดต่อไปได้ หลังจากพบข้อมูลว่าในปัจจุบันมีแรงงานอีกกว่า 14.5 ล้านคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบ หรือไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกประกันสังคม

ดังนั้นเมื่อเป็นแรงงานกลุ่มนี้มีอายุถึง 60 ปี แล้ว จะได้รับสิทธิประโยชน์เพียงอย่างเดียว คือ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เพียงแค่เดือนละ 600 บาทต่อคนเท่านั้น สวนทางกับค่าใช่จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง

ทั้งนี้แม้ปัจจุบันแรงงานจะมีช่องทางในการสร้างหลักประกันทางรายได้ เช่น การจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคม ตามมาตรา 40 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3.5 ล้านคน และสมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งมีอยู่ 2.4 ล้านคน

แต่สัดส่วนนี้ไม่สมัครเข้าสู่กองทุนการออมที่มีอยู่ อาจเป็นเพราะไม่มีแรงจูงใจพอ เพราะกองทุนยังไม่สามารถจ่ายสิทธิประโยชน์ให้อย่างเพียงพอ ซึ่งรายได้หลังเกษียณที่เหมาะสมควรมีอัตราการทดแทนรายได้หลังเกษียณระหว่าง 50 - 60% แต่ประเทศไทยมีค่าเพียง 37.5% เท่านั้น โดยมีเพียงกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเท่านั้นที่มีอัตราการทดแทนรายได้ในระดับที่เพียงพอ

‘รมว.อุตสาหกรรม’ สั่งเร่งรัดจัดทำมาตรฐานสารสกัดจากกัญชง เพื่อยกระดับเป็นสินค้า มอก. พร้อมเล็งส่งขายเชิงพาณิชย์ออกสู่ตลาดโลก สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ ตามนโยบายเกษตรแปรรูป

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้สั่งการให้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. เร่งรัดจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สินค้าเกษตรแปรรูปจากสมุนไพรไทย โดยเฉพาะกัญชง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ทั้งเปลือก ,ลำต้น, เส้นใย, กิ่งก้าน และราก โดยให้ถือเป็นวาระแห่งชาติในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยเหลือเกษตรกร ในการพัฒนาสินค้าจากกัญชงให้มีคุณภาพ สามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์ อย่างเป็นระบบ เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. กล่าวว่า สมอ. ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยขณะนี้ได้จัดทำมาตรฐานสารสกัดจากสมุนไพรไทย ตามศักยภาพและความต้องการของภาคอุตสาหกรรมแล้ว 29 มาตรฐาน เช่น สารสกัดขมิ้นชันผง, สารสกัดฟ้าทะลายโจรผง ,สารสกัดกระชายดำผง,สารสกัดกระเจี๊ยบแดงผง ,สารสกัดบัวบกผง และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 18 มาตรฐาน เช่น น้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอมไทย สารสกัดมะขามป้อม สารสกัดงาขี้ม่อน สารสกัดน้ำมันถั่วอินคา สารสกัดบุกบง และสารสกัดว่านหางจระเข้ผง เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และสามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์

ส่วนมาตรฐานสารสกัดจากกัญชง สมอ. ได้จัดทำมาตรฐานในชุดของกัญชงซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 6 มาตรฐาน เป็นมาตรฐานวัตถุดิบที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยา เครื่องสำอาง อาหาร เครื่องดื่ม อาหารสัตว์ สิ่งทอ กระดาษ ยานยนต์ และวัสดุก่อสร้าง โดยบอร์ด สมอ. ได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา 5 มาตรฐาน ดังนี้

1.) น้ำมันเมล็ดกัญชง (มอก.3171-2564)

2.) สารสกัดจากกัญชงที่มีปริมาณ CBD รวม ไม่น้อยกว่า 30 % โดยมวล (มอก.3172-2564)

3.) สารสกัดจากกัญชงที่มีปริมาณ CBD รวม ไม่น้อยกว่า 80 % โดยมวล (มอก.3173-2564)

4.) เปลือกกัญชง (มอก.3184-2564)

5.) แกนกัญชง (มอก.3185-2564)

อยู่ระหว่างดำเนินการอีก 1 มาตรฐาน คือ เส้นใยกัญชง คาดว่าจะประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้ นอกจากบอร์ดจะเห็นชอบมาตรฐานสารสกัดจากกัญชงแล้ว ยังเห็นชอบมาตรฐานสารสกัดน้ำมันกฤษณา ด้วย

เลขาธิการ สมอ. ย้ำว่า การประชุมบอร์ด สมอ. เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 บอร์ดได้เห็นชอบมาตรฐานรวมทั้งสิ้น 64 มาตรฐาน ทั้งที่เป็นสินค้าแปรรูปจากสมุนไพร สินค้าทั่วไป และสินค้าที่ สมอ. เตรียมประกาศควบคุมอีก 9 รายการด้วย เช่น ขวดน้ำดื่มพลาสติก เก้าอี้นวดไฟฟ้า เครื่องฟอกอากาศ กล่องพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับการอุ่น และการอุ่นครั้งเดียวในไมโครเวฟ กระทะโลหะและหม้อที่ใช้ความร้อนจากเตาโดยตรง ออกซิเจนทางการแพทย์ และไนทรัสออกไซด์ทางการแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

'สมศักดิ์' ชง!! คลายล็อกกีฬาพื้นบ้าน ไก่ชน - มวย - วัว - ม้า เปิดแข่งแบบไม่มีคนดู - ถ่ายสดผ่านไลฟ์ กระตุ้นปากท้องห่วงโซ่ธุรกิจเกี่ยวข้อง

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ โดยทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีความห่วงใยถึงการแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ และหารือถึงการคลายล็อก ซึ่งตนคิดถึงกีฬาพื้นบ้าน เช่น ไก่ชน, มวย, ม้าและวัวชน จึงได้เสนอที่ประชุมให้มีการเปิดการแข่งขัน โดยที่ไม่ต้องมีผู้เข้าชม

โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาไปไกลแล้ว เราสามารถถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านการไลฟ์สดได้ และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นเราก็จะค่อย ๆ ทยอยเปิดให้มีผู้เข้าชมในสนามได้ เหมือนการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกและวอลเล่ย์บอล ซึ่งสิ่งที่จะได้ประโยชน์ตามมาคือ คนที่ทำงานในซุ้มไก่จะมีงานทำและมีรายได้ เพราะปัจจุบันพบว่า ใน 1 หมู่บ้านจะมีคนที่ทำงานเกี่ยวกับซุ้มไก่ เช่น คนเลี้ยงไก่ คนให้น้ำไก่ ประมาณหมู่บ้านละ 10 คน ซึ่งหากเราเปิดตรงนี้ได้คาดว่าจะสร้างงานได้ถึง 8 แสนคน นี่ยังไม่รวมกับค่ายมวย สนามม้าและสนามวัวอีกที่มีลักษณะคล้ายกัน

"ท่านนายกฯเห็นด้วยกับแนวทางนี้ และสั่งการให้ผู้บริหารไปวางแผนและเร่งดำเนินการ อาชีพต่าง ๆ จะต้องไม่ชะงัก สมาคมต่าง ๆ ที่จะเดินทางมาเรียกร้องก็คงไม่ต้องมาแล้ว เพราะท่านนายกฯรับทราบปัญหาและเข้าใจในจุดนี้โดยได้เร่งแก้ไขให้แล้ว แต่ทั้งนี้ หากเปิดให้ทำกิจกรรมแล้ว ทุกคนต้องต้องรักษากฎเกณฑ์ ไม่ให้มีคนดูก็ต้องห้ามเข้าอย่างเด็ดขาด อย่าชุมนุมคนมากมาย เพื่อให้สถานการณ์ต่าง ๆ ผ่านไปด้วยดี คนที่เลี้ยงม้า เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ ทำค่ายมวย ก็ไม่ตกงาน แต่อาจไม่มีรายได้จากค่าผ่านประตู หรืออาจะมีน้อย ตรงนี้ก็ต้องค่อย ๆ แก้ไขกันไป ซึ่งรัฐบาลพยายามค่อย ๆ ผ่อนคลายเป็นส่วนใหญ่แล้ว"


ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/politic/461530

‘ไรมอน แลนด์’ พลิกโฉมสู่ ‘Super Luxury’ | Game Changer เก่งพลิกเกม EP.4

‘ไรมอน แลนด์’ ในวันที่ต้องการจับ ‘เศรษฐีวัยรุ่น’ ภาพจำ ‘ไรมอน แลนด์’ ที่ผ่านมา คือหนึ่งในผู้นำอสังหาริมทรัพย์หรู (ลักชัวรี่) ที่มีฐานเศรษฐีกระเป๋าหนักทั้งชาวไทยและต่างชาติ ตบเท้าเข้ามาเป็นลูกค้ามาตลอด 33 ปี ปัจจุบัน ‘ไรมอน แลนด์’ อยู่ภายใต้การบริหารงานของกลุ่ม ‘KPN’ ของตระกูล ‘ณรงค์เดช’ หลังเข้ามาถือหุ้นใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อน

ปี 2563 ในวันที่โลกเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจังหวะเดียวกัน ‘ไรมอน แลนด์’ เอง ก็ได้เปลี่ยนขุนพล ด้วยการดัน ‘กรณ์ ณรงค์เดช’ ขึ้นมากุมบังเหียน ในฐานะซีอีโอคนล่าสุดของ ‘ไรมอน แลนด์’ ด้วยเช่นเดียวกัน ภารกิจแรก ของกรณ์ ในฐานะซีอีโอ คือการรีแบรนด์ ไรมอน แลนด์ ให้มีความสดกว่า ใหม่กว่า เพื่อเข้าถึงกลุ่ม Young Generation ได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ยังคงความเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีของประเทศไทย ที่เป็นจุดแข็งมาตลอด 33 ปี เช่นเดิม

THE STATES TIMES จะพาไปคุยกับ ซีอีโอ หนุ่มไฟแรง ถึงทิศทางของ The Next ไรมอน แลนด์ ที่จะสะท้อนตัวตน หรือ DNA ของไรมอน แลนด์ ที่มีความเป็นลักซ์ชัวรี่ ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

.

 

กระทรวงคมนาคม ปักเข็ม 64 เดินหน้าดันโปรเจ็กต์มอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง มูลค่าโครงการรวมกว่า 8.3 หมื่นล้านบาท

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ในปี 64 กระทรวงคมนาคมจะผลักดัน 3 โครงการวงเงินรวมประมาณ 83,520 ล้านบาทให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย

1.) โครงการทางหลวงระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) ช่วงเอกชัย - บ้านแพ้ว ระยะทาง 16.4 กม.วงเงินก่อสร้าง 19,700 ล้านบาท ซึ่งครม. อนุมัติให้กรมทางหลวง (ทล.) ดำเนินการโดยใช้เงินจากกองทุนมอเตอร์เวย์อยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ทล.วางเป้าหมายเปิดประมูลกลางปีนี้ จะเชื่อมต่อทางยกระดับบางขุนเทียน-เอกชัย ระยะทางประมาณ 10 กม. วงเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ที่ทล. กำลังก่อสร้าง และจะแล้วเสร็จภายในเดือนส.ค. 65

2.) โครงการมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ช่วงรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 18 กม. วงเงินก่อสร้าง 28,135 ล้านบาท จะเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) โดยสั่งการให้ ทล. เร่งศึกษาเพื่อขออนุมัติกระทรวงคมนาคมรวมทั้งครม.ภายในปีนี้

และ 3.) โครงการมอเตอร์เวย์ทางยกระดับช่วงศรีนครินทร์-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (M7) ระยะทาง18.5 กม. วงเงิน 35,685 ล้านบาท จะเร่งเสนอครม.ภายในปีนี้เช่นกัน โดยใช้หลักการให้ภาครัฐร่วมลงทุนกับเอกชน( PPP ) คาดว่าจะผลักดันให้เดินหน้าได้และตอบโจทย์การจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้บริหารงานประเทศไทยตั้งแต่ครม. ยุคก่อน (ประยุทธ์ 1) จนถึงปัจจุบันรวมเวลา 6 - 7 ปีแล้ว ต้องการให้เร่งดำเนินโครงการที่ได้ลงทุนไปแล้ว และสามารถเปิดบริการได้

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดรายได้จากการเก็บค่าผ่านทางกลับเข้ามาซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคม ดำเนินหลายโครงการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี อาทิ โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน ที่เตรียมเปิดบริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบช่วงเดือน พ.ย.64 รวมถึงโครงการมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายพัทยา - มาบตาพุด ที่เปิดให้บริการและเก็บค่าผ่านทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

‘ปิดทองหลังพระ’ ด้วยเศรษฐกิจพอเพียงสร้างรายได้ให้ชุมชน | BizMAX EP.30

จากข่าว "สร้างรายได้จากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ‘ปิดทองหลังพระ’ ช่วยเพิ่มรายได้ชุมชน 426 ล้าน เล็งขยายเพิ่มอีก 9 จังหวัดพื้นที่ต้นแบบในปีนี้"

Link ข่าว : https://thestatestimes.com/post/2021022820 ​

จากเนื้อหาข่าว สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประยุกต์ใช้แก้ปัญหาชุมชนในท้องถิ่น ในพื้นที่ 12 จังหวัด ช่วยสร้างรายได้เพิ่ม 426 ล้าน เล็งขยายเพิ่มอีก 9 จังหวัดในปีนี้ เศรษฐกิจพอเพียงที่ว่านั้นคืออะไรและมีแนวทางอะไรบ้าง มาร่วมวิเคราะห์กันกับ หยก THE STATES TIMES

.

ธปท.ยันยังไม่มีธนาคารกลางใดในโลกที่รับรอง cryptocurrency ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ลั่น ‘ไทยบาทดิจิทัล -THT’ ผิดกฎหมาย เตือนประชาชนอย่ายุ่งเกี่ยว อาจถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ เสี่ยงถูกใช้เป็นเครื่องมือการฟอกเงิน

จากกรณีที่ Terra Platform เตรียมออก Stablecoin ซึ่งเป็น cryptocurrency อีกชนิดหนึ่ง ในชื่อ THT เปรียบเทียบราคา 1 หน่วยของมูลค่า THT เท่ากับ 1 บาท เพื่อใช้เป็นค่าเงินแลกเปลี่ยนในรูปแบบดิจิทัล

ล่าสุด นายพฤทธิพงศ์ ศรีมาจันทร์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ภาคเอกชนมีความพยายามในการพัฒนาคริปโทเคอร์เรนซีด้วยการอิงมูลค่ากับสินทรัพย์หรือเงินตรา เพื่อให้มูลค่าผันผวนน้อยลง ซึ่งคริปโทเคอร์เรนซีประเภทนี้ รู้จักในชื่อว่า "Stablecoin"

ต่อมา ได้มีการพัฒนา Stablecoin ชนิดใหม่ที่ประยุกต์ใช้กลไกสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) ในการเทียบมูลค่าให้เท่ากับสกุลเงินตราต่าง ๆ โดยเริ่มมีกระแสข่าวการออก Stablecoin ชนิดหนึ่ง ชื่อ THT บน Terra Platform ที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งระบุให้ 1 หน่วยของมูลค่า THT เป็น 1 บาท

แม้ในปัจจุบัน THT จะยังไม่ได้ถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แต่ถ้า THT หรือ stablecoin ที่มีลักษณะทำนองเดียวกันถูกนำมาใช้ทดแทนเงินบาทในวงกว้าง จะทำให้เกิดการแบ่งแยกระบบเงินตราของประเทศไทยออกไปมากกว่าหนึ่งระบบ และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและความมั่นคงของระบบเงินตราของประเทศ อันเป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ดังนั้น จึงถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากเป็น การทำ จำหน่าย ใช้ หรือนำออกใช้ วัตถุหรือเครื่องหมายแทนเงินตราที่เป็นความผิดตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501

ทั้งนี้ ประชาชนควรระมัดระวังและไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกรรม THT เนื่องจากไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย รวมทั้งอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการฟอกเงิน

อย่างไรก็ตาม Do Kwon ผู้ร่วมก่อตั้ง Terra Blockchain ได้โพสข้อความบนทวิตเตอร์ส่วน โดยกล่าวถึงการที่ ธปท.ออกมาเตือนเรื่อง “ไทยบาทดิจิทัล (THT)” โดยระบุว่า “พวกเขามักจะกลัวคุณ ก่อนที่จะเข้าร่วมกับคุณ และตอนนี้ก็ทำให้ธนาคารกลางต้องเฝ้าระวัง”

อย่างไรก็ตาม Do Kwon ย้ำว่า THT จะมีการนำไปใช้งาน ไม่ว่า ธปท. จะชอบหรือไม่ก็ตาม

สำหรับ THT Stablecoin จะออกบนแพลตฟอร์ม Terra ที่มีการผลิตเหรียญ stablecoin อื่น ๆ ออกมาแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึง TerraUSD ซึ่งออกครั้งแรกในเดือนกันยายน 2020 และ TerraKRW

Terra นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 2018 ในเกาหลีใต้ โดยได้รับเงินสนับสนุน 32 ล้านดอลลาร์จาก Binance และ Polychain ในเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา

กระทรวงการคลัง ผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดันนโยบาย ‘Made in Thailand’ สนับสนุนหน่วยงานรัฐซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ เปิดโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้มากขึ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน หันมาใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น โดยส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันด้านการตลาดในประเทศได้

ซึ่งที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาอนุมัติกฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานราชการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น ประกาศเป็นกฎกระทรวงที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ประเมินว่า จากกฎกระทรวงฉบับนี้ที่สนับสนุนหน่วยงานให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย คือผู้ประกอบการสามารถเพิ่มยอดขาย และหน่วยงานภาครัฐได้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยตามที่ต้องการ ภาครัฐมั่นใจว่าการสนับสนุนครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการและห่วงโซ่เอสเอ็มอี เข้มแข็งขึ้น จากยอดการซื้อจากภาครัฐ ซึ่งในแต่ละปีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 1.77 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการยกระดับเสริมศักยภาพการแข่งขันและลดภาระด้านการเงินที่ต้องนำมาหมุนเวียนในธุรกิจ

สำหรับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand ได้กำหนดสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% โดยคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand จะเป็นผู้ประกอบการไทยหรือต่างประเทศ ที่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีการจดทะเบียน มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องในประเทศไทย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด

หากสินค้าใดที่ผ่านการรับรองจะได้รับเอกสารรับรองที่ ส.อ.ท. ออกให้แก่ผู้ประกอบการนำ ไปใช้แสดงคุณสมบัติสินค้า Made in Thailand กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อไปในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางอย่างเป็นระบบ

สำหรับกลุ่มสินค้า Made in Thailand ที่มีโอกาสเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ อาทิ วัสดุครุภัณฑ์สำนักงาน, ครุภัณฑ์การศึกษา, จอมอนิเตอร์, เฟอร์นิเจอร์, ชุดยูนิฟอร์ม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์ไฟฟ้าและพลังงาน, วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง อาทิ เหล็ก, ปูนซีเมนต์

รวมถึงจะมุ่งประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลไปยังกลุ่มผู้ค้าส่ง ค้าปลีก ที่เข้าร่วมยื่นเสนองานกับภาครัฐให้เข้าใจในกฎกระทรวงฉบับใหม่และการนำสินค้า Made in Thailand ไปเสนอต่อภาครัฐด้วย ตั้งเป้าหมายในปี 2564 จะมีผู้ยื่นขอการรับรอง Made in Thailand ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายการสินค้า

เอกชนเริ่มทนไม่ไหว วอนรัฐบาลเร่งกระจายวัคซีนโควิด พร้อมมีแผนดำเนินงานอย่างชัดเจน หลังพบวัคซีนโควิด อืดเป็นเรือเกลือ ลั่นบริษัทเอกชนยินดีจ่ายค่าวัคซีนให้พนักงานเอง

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทางรอดเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติโควิด เรื่องของวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสิ่งสำคัญต่อการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ แต่ไทยเพิ่งเริ่มฉีดวัคซีนได้เพียงแค่ 40,000 โดสในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ส่วนแผนกระจายของรัฐบาล ทราบว่า ได้ทำสัญญาซื้อไปแล้ว 60 ล้านโดส แต่จะเริ่มฉีดให้กับคนไทยได้อย่างเต็มที่เดือนละ 10 ล้านโดสเริ่มเดือน มิ.ย.64 นั้น ถือว่า ล่าช้ามาก

ทั้งนี้หอการค้าไทยเสนอ 4 แนวทาง คือ

1.)การกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง โดยในภาคธุรกิจนั้น กลุ่มที่มีความเสี่ยงในธุรกิจบริการที่ต้องมีการติดต่อทั้งกับคนไทยและคนต่างชาติ ควรได้รับการฉีดเป็นลำดับต้น ๆ

2.) รัฐต้องมีแผนกระจายวัคซีนที่ชัดเจน เพื่อให้เอกชนสามารถบริหารจัดการธุรกิจให้สอดคล้องกับแผนการกระจายวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.) เร่งฉีดอย่างรวดเร็ว โดยเอกชนสามารถร่วมทำแผนการกระจายวัคซีนเพื่อให้เข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว และบริษัทที่มีกำลังก็ยินดีจ่ายค่าวัคซีนให้พนักงานเอง

และ 4.) การสื่อสารสร้างความมั่นใจ โดยทุกฝ่ายต้องช่วยกันสื่อสารชี้แจงถึงความปลอดภัยของวัคซีน ซึ่งจะเป็นแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยให้เร็วยิ่งขึ้น

กรมการจัดหางาน เผยข่าวดี แรงงานไทยเดินทางทำงานไต้หวัน ไม่ต้องจ่ายเงินค่ากักตัว 14 วัน เตือนอย่าหลงเชื่อ จ่ายเงินคนแอบอ้าง

นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากสำนักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ไทเป เรื่องมาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 ล่าสุดกระทรวงแรงงานไต้หวัน ได้กำหนดให้นายจ้าง/บริษัทจัดหางาน เป็นผู้รับผิดชอบค่ากักตัวให้แก่แรงงานเมื่อเดินทางไปทำงานไต้หวัน โดยนายจ้าง/บริษัทจัดหางาน เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายการจัดเตรียมสถานที่กักตัว ค่าอาหารทุกมื้อ ค่าตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ค่าพาหนะรับ-ส่งจากสนามบินถึงที่พัก

นอกจากนี้ทางการยังกำหนดให้จัดห้องพักให้แรงงานห้องละ 1 คน หากไม่สามารถทำได้จะต้องเว้นระยะห่างทางสังคม 1.5 เมตร และต้องสวมหน้ากากอนามัย ติดตั้งอุปกรณ์ฆ่าเชื้อ ทั้งนี้หลังจากกักตัวครบ 14 วัน นายจ้าง/บริษัทจัดหางานต้องจัดหารถรับ - ส่งแรงงานไทยเดินทางไปตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ โรงพยาบาลตามที่ศูนย์ควบคุมโรคไต้หวันกำหนด โดยศูนย์ฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจโรค ในส่วนของค่าจ้างระหว่างกักตัว นายจ้างและลูกจ้างต้องตกลงกันเอง

หากนายจ้างไม่รับผิดชอบ ลูกจ้างสามารถยื่นขอรับเงินชดเชยการขาดรายได้จากกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันได้ ในอัตราวันละ 1,000 เหรียญไต้หวัน เฉพาะวันทำงานปกติ โดยมีกำหนดยื่นภายใน 2 ปี หลังสิ้นสุดการกักตัว ยกเว้นผู้ที่เดินทางกลับประเทศไทยหลังวันที่ 17 มีนาคม 2563 และเดินทางกลับมาทำงานที่ไต้หวันอีกครั้ง จะไม่มีสิทธิยื่นขอเงินชดเชยดังกล่าว

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชน/คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานไต้หวันระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่ผู้ใดเป็นค่ากักตัว 14 วัน และเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี ได้แก่

1.) บริษัทจัดหางานจัดส่ง

2.) กรมการจัดหางานจัดส่ง(รัฐจัดส่ง)

3.) นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ

4.) นายจ้างส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ

5.) คนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อได้รับการคุ้มครองสิทธิ และสวัสดิการตามมาตรฐานที่พึ่งมี และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์

หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาระบบการไปทำงานในต่างประเทศ โทรศัพท์ 02-245-6708-9 ในวันและเวลาราชการ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694

ไทยครองแชมป์ดื่มเบียร์แห่งเอเชีย หลัง Expensivity เผยรายงาน World Beer Index 2021 หรือดัชนีเบียร์โลก ประจำปี 2021 โดยทำการรีเสิร์ชราคาเบียร์จากซูเปอร์มาเก็ตทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ numbeo.com ว่า…

ใน 5 ประเทศแรกที่มีประชากรดื่มเบียร์มากสุดในเอเชีย ปี 2021 (เกณฑ์วัด: เบียร์ขวด 330 มล.) ผลปรากฎว่า ประเทศไทยครองแชมป์ โดยมีอัตราการบริโภคเฉลี่ย 142 ขวดต่อคนต่อปี ตามมาด้วย 2.) เกาหลีใต้ (130 ขวด/คน/ปี) 3.) จีน (127 ขวด/คน/ปี) 4.) ฟิลิปปินส์ (114 ขวด/คน/ปี) และ 5.) ญี่ปุ่น (88 ขวด/คน/ปี)

ขณะเดียวกันประเทศแรกที่มีค่าใช้จ่ายในการดื่มเบียร์สูงที่สุดในเอเชีย เฉลี่ย ก็ยังเป็นประเทศไทยที่ครองแชมป์อีกด้วย เฉลี่ย 686 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี 2.) เกาหลีใต้ (595 ดอลลาร์/คน/ปี) 3.) ญี่ปุ่น (544 ดอลลาร์/คน/ปี) 4.) ฟิลิปปินส์ (485 ดอลลาร์/คน/ปี) และ 5.) สิงคโปร์ (439 ดอลลาร์/คน/ปี)

นอกจากนี้ World Beer Index 2021 ยังมีรายงานผลในส่วนอื่นๆ อีก โดยประชากรดื่มเบียร์มากสุดในโลก ปี 2021 ได้แก่ 1.) สาธารณรัฐเช็ก (468 ขวด/คน/ปี) 2.) สเปน (417 ขวด/คน/ปี) 3.) เยอรมนี (411 ขวด/คน/ปี) 4.) โปแลนด์ (398 ขวด/คน/ปี) และ 5.) ออสเตรีย (389 ขวด/คน/ปี)

ประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการดื่มเบียร์สูงที่สุดในโลก ปี 2021 คือ 1.) เยอรมนี (1,908 ดอลลาร์/คน/ปี) 2.) โปแลนด์ (1,738 ดอลลาร์/คน/ปี) 3.) ลิธัวเนีย (1,586 ดอลลาร์/คน/ปี) 4.) ออสเตรีย (1,554 ดอลลาร์/คน/ปี) และ 5.) อังกฤษ (1,554 ดอลลาร์/คน/ปี)

ส่วนประเทศที่มีราคาเบียร์แพงสุดในเอเชีย ปี 2021 ได้แก่ 1.) จีน (7.71 ดอลลาร์/ขวด) 2.) ญี่ปุ่น (6.16 ดอลลาร์/ขวด) 3.) สิงคโปร์ (5.17 ดอลลาร์/ขวด) 4.) ไทย (4.82 ดอลลาร์/ขวด) และ 5.) มาเลเซีย (4.74 ดอลลาร์/ขวด)


ที่มา: https://www.bltbangkok.com/news/33715/?fbclid=IwAR0_lOrfe-mHhG095snyLkaeH4Nh79xYCW5P6SuHLGZDoLjjtpYSusP8RUg

Huawei จะมาขายรถยนต์ไฟฟ้าเพราะยอดขายมือถือ ‘ตกฮวบ’ | Story Telling EP.4

Huawei จะมาขายรถยนต์ไฟฟ้า เพราะยอดขายมือถือ ‘ตกฮวบ’ เกิดอะไรขึ้นกับ Huawei ทำไมถึงมีข่าวเกี่ยวโยงกับรถยนต์ไฟฟ้า

.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top