Friday, 9 May 2025
ECONBIZ

'รมว.อุตสาหกรรม' เผย ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชีวภาพ เดินหน้าลงทุนเฉียด 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มประเภทโรงงาน เสริมมาตรการสร้างแรงจูงใจ หนุนไทยสู่ Bio Hub ภูมิภาคอาเซียน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ครม. เมื่อ 17 ส.ค. 64 ได้รับทราบข้อมูลความก้าวหน้าของมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี 2561-2570 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ซึ่งเป็นหนึ่งในโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือ BCG Model (Bio, Circular, Green Economy) ซึ่งพบว่าภาคเอกชนยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการลงทุนให้เกิดขึ้นเป็นไปตามแผนแม้ว่าจะเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 

โดยคาดว่าจะมีการลงทุนเบื้องต้นกว่า 149,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตร สร้างงานและรายได้ให้คนในพื้นที่ และนำไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวภาพในอาเซียน Bio Hub of ASEAN ภายในปี 2570

สำหรับโครงการที่สำคัญประกอบด้วย โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ของบริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเทรียล จำกัด (GKBI) ที่ล่าสุดได้ร่วมลงทุนกับบริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชียแปซิฟิก จำกัด (NatureWorks) จากสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตพอลิเมอร์ชีวภาพชนิดโพลีแลคติก แอซิด (PLA) กำลังการผลิตถึงประมาณ 75,000 ตันต่อปี โดยโครงการฯ ระยะที่ 2 มีมูลค่าลงทุน 21,430 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลไทยแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปี 2565 และสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ภายในปี 2567

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน เช่น โครงการไบโอ ฮับ เอเซีย ของบริษัท อิมเพรส กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ที่ฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุน 57,600 ล้านบาท ซึ่งมีนักลงทุนหลายรายจากต่างประเทศที่สนใจร่วมลงทุนในโครงการ เช่น เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมนี สหราชอาณาจักร จีน ฝรั่งเศส และมีแผนลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์จากกัญชาเกรดทางการแพทย์ (Medical grade)

โครงการลพบุรีไบโอคอมเพล็กซ์ ของบริษัท อุตสาหกรรมน้ำตาลชาวไร่ จำกัด ที่จังหวัดลพบุรี มูลค่าลงทุน 32,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างออกแบบโครงการและเจรจากับนักลงทุนที่สนใจ รวมถึงจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการนิคมอุตสาหกรรม Bioeconomy ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ที่จังหวัดขอนแก่น มูลค่าลงทุน 29,705 ล้านบาท อยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบทางด้านพันธุ์สัตว์ในพื้นที่รอบโครงการ และศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง เช่น น้ำตาลแคลอรีต่ำ เบกกิ้งยีสต์ (Baking yeast) จากกากน้ำตาล โครงการนิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานี ของบริษัท อุบลราชธานี อินดัสตรี้ จำกัด มูลค่าลงทุน 8,400 ล้านบาท อยู่ระหว่างจัดทำรายงาน EIA และพิจารณาแก้ไขผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี โดยโครงการฯ ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นพร้อมสร้างการรับรู้กับชุมชนที่อยู่โดยรอบโครงการแล้ว

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐได้มีการออกระเบียบต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการลงทุน รวมถึงการส่งเสริมความต้องการผลิตภัณฑ์ในประเทศเพิ่มขึ้น โดยการออกใบรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพที่ผ่านหลักเกณฑ์แก่ผู้ผลิต (Converter) เพื่อให้ผู้ซื้อคนแรกที่ซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตามประเภทที่กรมสรรพากรกำหนดนำไปเป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจำนวน 1.25 เท่าของค่าใช้จ่ายที่ซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ในช่วงปี 2562-กรกฎาคม 2564 ซึ่ง สศอ.ได้ออกใบรับรองแล้วทั้งสิ้น 48 ผลิตภัณฑ์ จากผู้ผลิตรวม 4 ราย

“ขณะนี้ สศอ. และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายระยะเวลามาตรการกระตุ้นการใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Green Tax Expense) ออกไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการว่ามีตลาดรองรับเพียงพออย่างแน่นอน และจูงใจให้ห้างร้านต่าง ๆ เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพทดแทนปีละไม่ต่ำกว่า 10% ของปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดสิ้นเปลืองทั้งหมด” นายทองชัยกล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'วรวุฒิ' แนะ!! ธุรกิจไทยต้องปั้น 'Omni Channel' ชี้!! ควรทำให้ได้ใน 3-5 ปี ก่อนจีนมาตั้งฐาน

นายวรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้งออฟฟิศเมท อดีตซีอีโอบริษัทซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันเป็น รองหัวหน้าพรรคกล้า เข้าร่วมเป็นวิทยากร ในการสัมมนา Online business opportunities : สร้างโอกาสทางธุรกิจ ปั้นผู้ประกอบการสินค้าไทยให้ดีพร้อม จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายวรวุฒิ กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก ไม่เคยมียุคใดสมัยใดที่บังคับให้เราต้องนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน ขณะเดียวกันการเดินทางระหว่างประเทศก็ไม่มี ส่งผลให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องปรับตัวแบบ 360 องศา ถ้าองศาไหนที่มองแล้วว่ามันดีและไปได้ก็ต้องไป 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า โดยส่วนตัวมีประสบการณ์การทำงานทั้งแบบ บีทูบี บีทูซี และบีทูจี โดยเมื่อแรกตั้งออฟฟิศเมท เราจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มออฟฟิศ องค์กร และหน่วยงานราชการ ส่วนบีทูซี คือกลุ่มลูกทั่วไปที่มาพัฒนาทีหลัง เชื่อว่าผู้ประกอบการหลายรายก็มีกลุ่มลูกค้าในลักษณะเดียวกันนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามในภาวะที่ลูกค้าหายาก จำเป็นต้องขยายตลาดไปยังจุดที่เราไม่เคยทำ ซึ่งในปัจจุบันโอกาสทางตลาดที่น่าสนใจและกำลังมาแรงคือ 'Omni Channel' เป็นช่องทางการสื่อสารและบริการลูกค้าที่หลากหลายและเชื่อมโยงกันให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งแบบออฟไลน์ หรือแบบค้าปลีก และออนไลน์ ซึ่งช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดเอาไว้ เพื่อทำให้การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว เช่น ลูกค้าคือใครและสนใจสินค้าประเภทไหน 

“สิ่งที่ยากกับการทำตลาด Omni Channel คือ ต้องมีระบบบริหารจัดการข้อมูล ที่เชื่อมต่อกันแบบแบบไร้รอยต่อ พูดง่าย ๆ คือ ในอนาคลูกค้าจะซื้อแบบรีเทลก็ได้ หรือจะซื้อออนไลน์ก็ได้ แต่การเปลี่ยนคืนสินค้า ต้องสามารถทำได้ในทุกระบบ เช่น ซื้ออนไลน์ มาเปลี่ยนหน้าร้านได้ หรือซื้อหน้าร้านก็สามารถเปลี่ยนช่องทางออนไลน์ได้ ข้อดีของตลาดแบบนี้คือ เปิด 24 ชม. วิธีนี้มันเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเทรดดิ้ง และคนที่ทำตลาดแบบนี้ได้ดีที่สุดคือ อาลีบาบา แพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งที่สุดของจีน ถามว่าบ้านเราทำได้ไหม ก็ต้องบอกว่าทำได้ และต้องเร่งทำ แต่ความยากอยู่ที่ระบบปฏิบัติการและตัวฐานข้อมูล ต้องซิงค์และเชื่อมกันแบบไร้รอยต่อ ปัจจุบันยังไม่มีใครทำได้ดีเท่าจีน 

ดังนั้น หากเราไม่เร่งพัฒนาให้แล้วเสร็จภายใน 3 - 5 ปี หลังโควิด โอกาสที่จีนจะเข้ามาตีตลาดเป็นไปได้สูง และเมื่อถึงเวลานั้น เราจะไม่สามารถสู้เขาได้ ทั้งความพร้อมเรื่องโลจิสติกส์ ฐานข้อมูล ระบบเอไอ ที่คำนวณพฤติกรรมผู้บริโภค จีนเขานำเราไปมาก เวลานี้ผู้ประกอบการรายใหญ่และห้างดัง ๆ ส่วนใหญ่ก็ปรับตัวมาใช้ระบบนี้กันมากขึ้น แต่มันไม่ง่ายที่จะทำให้เสร็จในชั่วข้ามวัน ข้ามเดือน เนื่องจากต้องเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างสาขาและระหว่างแชลแนล ที่สำคัญลงทุนสูง แต่ที่น่าสนใจคือ เอสเอ็มอี จะทำได้ง่ายกว่า ด้วยความเล็กมีความยืดหยุ่นสูงระบบการคอนโทรลไม่ซับซ้อนมากนัก” นายวรวุฒิ กล่าว

นายวรวุฒิ กล่าวถึงสินค้าที่โมเดิร์นเทรดต้องการ ว่า ก็ต้องดูว่าสินค้าที่มีความต้องการสูงในเวลานั้นคืออะไร ซึ่งเชื่อว่าทุกห้างก็หากันอยู่แล้ว แต่ถ้าสินค้าเหมือนกันโอกาสเลือกมันก็จะน้อย ที่ผ่านมาสิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเอสเอ็มอีคือ เรื่องของดีไซน์แพคเกจจิ้ง สินค้าหลายตัวเป็นสินค้าที่ดีมาก แต่การตลาดสู้แบรนด์ดังไม่ได้ ทั้งการออกแบบแพคเกจ รวมถึงการออกแบบโปรโมชั่น เช่น ปัจจุบัน สินค้ากลุ่ม อาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ที่มีความต้องการทางการตลาดสูง และการขายของแบบ Multi pack ก็จะเป็นที่นิยมเพราะคนนิยมซื้อสินค้าไว้คราวละมาก ๆ เพื่อไม่ต้องไปซื้อบ่อยครั้ง 

เหล่านี้คือการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคแบบชาญฉลาดก็จะสามารถครองตลาดได้ และมักจะได้รับการคัดเลือกเข้าไปอยู่ในห้าง ปัญหาของเอสเอ็มอี คือต้องตีโจทย์ให้แตก ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ถ้าเป็นอาหาร สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ รสชาติที่ลูกค้าชอบไม่ใช่เราชอบ ให้เอาความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก คุณภาพจะขายตัวเองในระยะยาวโดยไม่จำเป็นต้องทำโปรโมชัน

รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ว่า ต้องพยายามหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด การขาย บีทูบี บางครั้งเราไม่ต้องทำตลาดกับลูกค้าหลากหลายมากนัก แต่ต้องรู้ว่าใครมีอำนาจตัดสินใจซื้อ เข้าถูกคนหรือไม่ ขณะเดียวกัน ข้อมูลหลักฐานต้องเตรียมพร้อม เช่น สินค้าเครื่องไฟฟ้าต้องมี มอก. สิ่งที่ห้างกลัวคือ สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสินค้าปลอม ต้องเช็กให้ดี เพราะห้างจะเดือดร้อน 

นอกจากนี้ศักยภาพและความพร้อมของผู้ประกอบการก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางครั้งต้องทำเป็นบิ๊กล็อต เพื่อวางจำหน่ายในสาขาของห้างทั่วประเทศ กำลังการผลิตเราพอไหม เงินทุนหมุนเวียน ที่จะนำมาใช้จ่ายมีเพียงพอหรือไม่ นอกจากนี้ยังฝากข้อคิดไว้ด้วยว่า ข้อมูลที่เราเคยทำเป็นสินค้าออนไลน์ ได้รับความนิยม เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่สำคัญ ที่ห้างจะชอบ 

“ยุคนี้ลู่ทางที่เราจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น เราต้องพยายามไปทุกที่ เพราะโควิดจะอยู่กับเราไปอีกพักใหญ่ ถ้าเราเร่งการขายให้เกิดได้เราก็ต้องไป เรื่องออนไลน์อย่าละเลย แม้บางครั้ง เราจะยังไม่ขายก็จริง แต่การทำการสื่อสาร ช่องทางออนไลน์มีประโยชน์มาก วันนี้คนไทยใช้โซเชียลมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน ช่องนี้จึงเป็นโอกาสมาก ต้องไปคิดตีโจทย์ให้แตก โดยเฉพาะ การค้าขายแบบ บีทูบี ถ้าเราทำออนไลน์ได้แข็งแรง การจัดซื้อจะตัดสินใจง่ายมาก” นายวรวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.เห็นชอบเพิ่มทุน 4.18 พันลบ. ให้ EXIM Bank มุ่งช่วยเหลือ SME ขยายตลาดในประเทศ CLMV และตลาดใหม่

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ว่า ครม.เห็นชอบกำหนดให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขั้น แต่ไม่ได้เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ.2558 สามารถใช้เงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อการเพิ่มทุนได้ และอนุมัติกรอบวงเงินที่จะจัดสรรจากกองทุนฯ เพื่อการเพิ่มทุน เพื่อขยายการดำเนินงานให้แก่ ธสน. จำนวนไม่เกิน 4,189 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อมุ่งช่วยเหลือและสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ SMEs เป็นหลัก สามารถทำการค้าและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

โดยมีเป้าหมายขยายการดำเนินงานในกลุ่มตลาด 3 กลุ่ม ได้แก่ 1)ตลาดในประเทศ 2) ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และ3)ตลาดใหม่ (New Frontiers) เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย มัลดีฟส์ เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายสถาบันการเงินเฉพาะกิจระยะ 5 ปี (ปี 2564-2568) ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นควรให้กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีการกำหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์จากการเพิ่มทุน ธสน. อย่างน้อยให้ครอบคลุมตัวชี้วัด เช่น ด้านการขยายสินเชื่อ ด้านฐานะทางการเงิน ด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น

ครม.ไฟเขียวคงเก็บภาษีแวตไว้ที่ 7% นาน 2 ปี

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยให้คงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีที่เกิดขึ้น เป้นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564 - 30 ก.ย. 2566 พร้อมทั้งรับทราบมาตรการภาษีบรรเทาผลกระทบของประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID - 19 ที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการไปควบคู่กัน เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ประชาชนและผู้ประกอบการและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

สำหรับมาตรการภาษีอื่น ๆ มีดังนี้ 1. ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ การนำส่ง และการชำระภาษีอากรผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้เงินหรือสภาพคล่องอยู่ในมือประชาชนและผู้ประกอบการให้ยาวนานขึ้น โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการสาธารณะ โดยการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการฯ จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้อยู่ในมือประชาชนและผู้ประกอบการในระบบเศรษฐกิจประมาณ 181,221 ล้านบาท 

2. งดหรือลดเบี้ยปรับสำหรับกรณีที่ประชาชนและผู้ประกอบการไม่สามารถยื่นแบบแสดงรายการฯ ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะภายในกำหนดเวลา หรือยื่นแบบแสดงรายการฯ ผิดพลาด สำหรับแบบที่ต้องยื่นภายในเดือนก.ย. – ธ.ค. 2564 ตามลำดับ โดยหากยื่นแบบฯ ภายใน 3 เดือน นับแต่พ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบฯ ที่ได้ขยายออกไปข้างต้นจะได้รับการงดหรือลดเบี้ยปรับ โดยงดเบี้ยปรับเมื่อชำระภาษีและเงินเพิ่มครบถ้วน และลดเบี้ยปรับในอัตราต่ำสุด 2% เมื่อชำระภาษีไม่น้อยกว่า 25% ของภาษีที่ต้องชำระ

นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังได้ลดค่าปรับทางอาญากรณีดังกล่าวให้เหลืออัตราต่ำสุด โดยหากมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ลดเหลือ 1 บาท หากมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ลดเหลือ 2 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากค่าปรับทางอาญาเป็นการเปรียบเทียบปรับแทนการฟ้องร้องดำเนินคดี จึงไม่อาจงดค่าปรับให้ได้

กระทรวงอุตฯ ขานรับนโยบาย EV เต็มสูบ ออกมาตรฐาน 'รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า และยานยนต์อัจฉริยะ' รวดเดียว 33 มาตรฐาน คาดทั้งปี ดัน 97 มาตรฐาน ตอกย้ำผู้นำด้านยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์แห่งอาเซียน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (บอร์ด สมอ.) เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลได้ส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ที่มีท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ขานรับนโยบายดังกล่าว 

ล่าสุด บอร์ด สมอ.ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าไปทั้งสิ้น 33 มาตรฐาน ทั้งมาตรฐานรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า ยานยนต์อัจฉริยะ อุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ EV เพื่อเตรียมพร้อมยกระดับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ และรักษาฐานการผลิต ตลอดจนความเป็นผู้นำด้านยานยนต์และชิ้นส่วนของอาเซียนต่อไป

นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เปิดเผยว่า การประชุม บอร์ด สมอ. ในครั้งนี้ ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐานรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า มอก. 3264-25XX หลังจากที่ได้กำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 2 มาตรฐาน คือ มอก.2952-2561 รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และ มอก. 3026-2563 รถยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์นั่ง รถบัส รถปิกอัพ และรถบรรทุก เพื่อขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริม EV ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บอร์ดยังได้เห็นชอบมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งและยานยนต์อัจฉริยะที่เน้นด้านความปลอดภัยในการขับขี่ อาทิ มาตรฐานระบบช่วยตัดสินใจในการเปลี่ยนช่องทางเดินรถ / ระบบตรวจจับคนเดินถนนและลดความรุนแรงจากการชน / ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ / ระบบจอดรถอัตโนมัติ / ระบบไฟเตือนการห้ามล้อฉุกเฉิน และระบบลดความเสียหายจากการชนด้านหน้า 

รวมทั้งมาตรฐานสินค้าประเภทอื่น ๆ อีกด้วย เช่น มาตรฐานเคเบิลเส้นใยนำแสง ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม เครื่องดัดผม เครื่องม้วนผม เครื่องเล่นสนาม และแผ่นฉนวนความร้อน เป็นต้น ทั้งสิ้น 46 มาตรฐาน ซึ่งได้กำชับให้ สมอ. เร่งดำเนินการประกาศใช้มาตรฐานดังกล่าวให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งให้ไปศึกษาและจัดทำมาตรฐานเรือไฟฟ้า เพื่อเร่งประกาศเป็นมาตรฐานให้เร็วที่สุดอีกด้วย

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่รัฐบาลได้มีนโยบายเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าออกมา สมอ. ได้ประกาศมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้วทั้งสิ้น 82 มาตรฐาน และอยู่ระหว่างจัดทำอีก 15 เรื่อง คาดว่าทั้งปีนี้น่าจะประกาศได้ 97 เรื่อง โดยในส่วนของมาตรฐานที่เกี่ยวกับยานยนต์อัจฉริยะ เช่น ระบบตรวจจับคนเดินถนน ระบบลดความเสียหายจากการชนด้านหน้า ระบบตรวจจับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ฯลฯ  จะช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถและใช้ถนน สมอ.จะได้พิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดให้รถทุกคันต้องติดตั้งระบบดังกล่าวต่อไป


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สภาอุตฯ เสนอมาตรการป้องกันควบคุมโควิดในภาคอุตสาหกรรม 4 ข้อ ก่อนเศรษฐกิจและประเทศพังพินาศ

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอมาตรการป้องกันควบคุมโควิดในภาคอุตสาหกรรม 4 ข้อ กำหนด Bubble and Seal ภาคอุตสาหกรรมเป็นมาตรฐานเดียว จัดตั้ง Factory Quarantine (FQ) ไปจนถึง Factory Accommodation Isolation (FAI) ให้เพียงพอกับแรงงาน และจัดสรรวัคซีนเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ก่อนเศรษฐกิจและประเทศพังพินาศ

23 ส.ค. 64 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤติและส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนของประเทศ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเกิดการติดเชื้อในโรงงานเป็นจำนวนมากเช่นกัน สภาอุตสาหกรรมฯ ในฐานะองค์กรหลักภาคเอกชนที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ได้จัดทำ “มาตรการควบคุมโควิดในภาคอุตสาหกรรม” เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและอาการรุนแรง พร้อมรักษากำลังการผลิตให้มากที่สุด ซึ่งโรงงานที่ดำเนินการอย่างถูกต้องจะไม่ถูกปิด หากยังสามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่แพร่กระจายเชื้อสู่ภายนอก ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ติดโควิดไม่ต้องปิดโรงงาน” แบ่งออกเป็น 4 ข้อ ดังนี้ คือ...

1.) มาตรการ Bubble and Seal สำหรับภาคอุตสาหกรรมต้องมีความชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติ ได้จริงและเป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกพื้นที่ โดยให้สุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK สม่ำเสมอ 10% ของจำนวนพนักงาน ทุก 14 วัน โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย และให้พนักงานผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำสามารถกลับเข้ามาทำงานใน Bubble ในโรงงานตามปกติ 

2.) สถานประกอบการที่มีพนักงาน 300 คนขึ้นไป เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้ง Factory Quarantine และ Factory Accommodation Isolation โดยให้มีจำนวนเตียงไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงาน และเสนอให้กระทรวงแรงงานจัดตั้งโรงพยาบาลแม่ข่ายในแต่ละพื้นที่ประกันสังคม เพื่อให้บริการโรงงานในพื้นที่ ณ จุดเดียว ตั้งแต่การตรวจหาเชื้อไปจนถึงส่งต่อผู้ป่วยเข้าไปในระบบการรักษา เพื่อลดขั้นตอนในการหาโรงพยาบาล

3.) สำหรับสถานประกอบการที่มีพนักงานต่ำกว่า 300 คน ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมจัดตั้ง Community Quarantine (CQ), Community Isolation (CI) (ศูนย์พักคอยและแยกกักตัว) ให้เพียงพอกับแรงงาน โดยให้มีจำนวนเตียงไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงานในพื้นที่ 

4.) จัดสรรวัคซีนตามเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต โดยจัดสรรตามลำดับความสำคัญทางสาธารณสุข การป้องกันโรค และเศรษฐกิจใน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่อายุ 40-59 ปี กลุ่มพนักงานในสถานประกอบการที่มีติดเชื้อมากกว่า 50% จนต้องปิดกิจการ และกลุ่มพนักงานในอุตสาหกรรมสำคัญยิ่งยวด


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สสว. และ SME D Bank เดินหน้าช่วยเหลือเอสเอ็มอีธุรกิจเกี่ยวเนื่องการท่องเที่ยว ขยายสิทธิ์ยื่นกู้ “โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย” ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ในพื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว เพิ่มเป็น 35 จังหวัด

สสว. และ SME D Bank เดินหน้าช่วยเหลือเอสเอ็มอีธุรกิจเกี่ยวเนื่องการท่องเที่ยว ขยายสิทธิ์ยื่นกู้ “โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย” ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ในพื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว เพิ่มเป็น 35 จังหวัด ใช้เกณฑ์เสียภาษีพิจารณา หนุนเข้าถึงแหล่งทุนง่ายและรวดเร็ว แนะรีบแจ้งความประสงค์ภายใน ส.ค.นี้ 

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า จากที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ SME D Bank ร่วมดำเนินการ “โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย” วงเงิน 1,200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ 1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และธุรกิจสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรม เกสต์เฮาส์ ใน 10 จังหวัด พื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว และกลุ่มธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ใน 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยายกิจกรรม ปรับปรุง ซ่อมแซม ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ โดยเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการแจ้งความประสงค์จำนวนมาก 

อย่างไรก็ตาม จากการหารือกับตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่าง ๆ เช่น สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย  สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เป็นต้น ทำให้ สสว. และ SME D Bank เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนที่ผู้ประกอบการธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว (supply chain) กำลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง ดังนั้น จึงเปิดกว้างขยายให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องการท่องเที่ยว มีสิทธิ์ยื่นกู้โครงการดังกล่าว ดังนี้  

- ธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮาต์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว (Supply Chain) ได้แก่ ธุรกิจนำเที่ยว-ทัวร์ ธุรกิจคมนาคมขนส่ง ธุรกิจสปา และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก จำหน่ายสินค้าที่ระลึก ธุรกิจนันทนาการ และธุรกิจเพื่อความบันเทิง 

- ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอาหาร ได้แก่ เครื่องดื่ม ร้านกาแฟ ขนม เบเกอรี่ เป็นต้น

โดยตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนำร่องเปิดการท่องเที่ยว และจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวม 35 จังหวัด ประกอบด้วย 1.) กรุงเทพมหานคร 2.) กาญจนบุรี  3.) ชลบุรี 4.) ฉะเชิงเทรา 5.) ตาก  6.) นครปฐม 7.) นครนายก 8.) นครราชสีมา 9.) นราธิวาส 10.) นนทบุรี 11.) ปทุมธานี 12.) ประจวบคีรีขันธ์  13.) ปราจีนบุรี  14.) พระนครศรีอยุธยา 15.) เพชรบุรี 16.) ปัตตานี 17.) เพชรบูรณ์  18.) ยะลา 19.) ระยอง 20.) ราชบุรี 21.) ลพบุรี 22.) สงขลา 23.) สิงห์บุรี 24.) สมุทรปราการ 25.) สมุทรสงคราม 26.) สมุทรสาคร 27.) สระบุรี 28.) สุพรรณบุรี 29.) อ่างทอง 30.) ภูเก็ต 31.) กระบี่  32.) พังงา 33.) สุราษฎร์ธานี 34.) เชียงใหม่ และ 35.) บุรีรัมย์ หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติมในอนาคต   

สำหรับผู้ประกอบการที่ได้เคยแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ในโครงการดังกล่าวเข้ามาแล้ว แต่ธุรกิจไม่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายเดิม แต่เข้าค่ายอยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่ปรับใหม่ ธนาคารจะนำข้อมูลกลับมาพิจารณา เพื่อพาเข้าสู่กระบวนการอำนวยสินเชื่อต่อไป  

ทั้งนี้ เกณฑ์การพิจารณา ยังให้สิทธิ์พิเศษเช่นเดิม  โดยดูจากแค่หลักฐานการเสียภาษีในปี 2563 หรือ 2562 ที่ผ่านมา ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น 

ด้านคุณสมบัติผู้ยื่นกู้ ต้องเป็นสมาชิก สสว. กรณียังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สสว. สามารถขอขึ้นทะเบียนก่อนได้ ( http://members.sme.go.th/newportal/ ) เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) ตามนิยามของ สสว. อีกทั้ง ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นฯ โครงการฟื้นฟูฯ หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ รวมถึงต้องไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย 

ส่วนหลักประกัน บุคคลธรรมดา ใช้บุคคลที่น่าเชื่อถือค้ำประกัน นิติบุคคล ใช้กรรมการผู้มีอำนาจแทนนิติบุคคลค้ำประกัน  

วงเงินกู้ สำหรับบุคคลธรรมดา พิจารณาจากการชำระภาษี ภ.ง.ด.90 ในปี 2562 หรือ 2563 ที่สูงกว่า และความเป็นเจ้าของสถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท หากจำนวนเงินที่ชำระภาษี 0-10,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 100,000 บาท, จำนวนเงินที่ชำระภาษี 10,001-20,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท และจำนวนเงินที่ชำระภาษีมากกว่า 20,000 บาทขึ้นไป วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท  กรณีมีสถานประกอบการเป็นของตัวเองหรือบุคคลในครอบครัว ให้วงเงินเพิ่มอีกลำดับละ 50,000 บาท แต่รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท สำหรับนิติบุคคล ไม่เกินร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในงบการเงินปี 2562 หรือ 2563 ที่สูงกว่า สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท  

นางสาวนารถนารี เผยด้วยว่า ความคืบหน้าการดำเนินโครงการดังกล่าว นับตั้งแต่เริ่มเปิดแจ้งความประสงค์จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา มียอดแจ้งความประสงค์เข้าเกณฑ์ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 1 ใน 3 ของวงเงินทั้งหมด และเมื่อมีการขยายกลุ่มเป้าหมาย คาดว่า ความต้องการสินเชื่อจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยการพิจารณาจะใช้กระบวนการมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน (First Come First Serve) กำหนดปิดรับแจ้งความประสงค์ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2564 นี้เท่านั้น หรือเมื่อเต็มวงเงิน 

ดังนั้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ ขอให้รีบดำเนินการแจ้งความประสงค์โดยเร็ว ก่อนที่วงเงินจะเต็ม ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่ สแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิก https://qrgo.page.link/VF6Ka รวมถึง เว็บไซต์ของ SME D Bank, Line OA : SME Development Bank และแอปพลิเคชั่น : SME D Bank สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ส่งออกโต! สวนโควิด เดือนก.ค.พุ่ง 20.27% สูงสุดรอบ 11 ปี

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการส่งออกของประเทศในเดือนก.ค. 2564 ว่า การส่งออกในเดือนนี้ขยายตัวเป็นเดือนที่ 10 ถือว่าสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยอยู่ที่ 20.27% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่ากว่า 22,650.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกเดือนนี้แม้ว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดโควิดในหลายประเทศทั่วโลกกลับมาอีกครั้ง จึงทำให้การส่งออกได้รับผลกระทบไปบ้าง ส่วนทั้งปี ยังคงเป้าหมายการส่งออกของไทยจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4% หรือคิดเป็นมูลค่า 240,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าสินค้า อยู่ที่ 22,467.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นบวก 45.94% โดยไทยยังได้ดุลการค้าในเดือนกรกฎาคม 64 อยู่ที่ 183.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกและนำเข้าในช่วง 7 เดือนของปี 2564 ตั้งแต่เดือนม.ค. – ก.ค. 2564 โดยเป็นยอดส่งออกทั้งสิ้น 154,985.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 16.20% ส่วนการนำเข้ามียอดอยู่ที่ 152,362.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 28.73% ทำให้ไทยเกินดุลการค้าช่วง 7 เดือนอยู่ที่ 2,622.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

สำหรับสินค้าส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดียังคงเป็นสินค้าในกลุ่มอาหารสด ผลไม้ไทยของไทยหลายตัวยังมีความต้องการของตลาดโลกสูงขึ้น รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น ถุงมือยางที่ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำให้ความต้องการยางพาราในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นส่งผลดีกับราคายางพาราของไทยในช่วงนี้ดีขึ้นด้วย รวมถึงกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยเริ่มส่งออกได้มากขึ้น

รีบหน่อย! ออมสินรับมาตรการพักหนี้ 6 เดือนสิ้นสุดเปิดรับใน 30 ส.ค.นี้ 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารได้เปิดให้ลูกค้าสินเชื่อรายย่อย และผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แจ้งความประสงค์ในการพักชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด 6 งวด เริ่มตั้งแต่งวดเดือน ก.ค. – ธ.ค. 64 ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีผู้สนใจเข้ามาตรการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีลูกหนี้อีกบางส่วน ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์พักชำระหนี้ตามมาตรการนี้ จึงขอเชิญชวนให้ผู้ที่ยังไม่ได้แจ้งความประสงค์ขอพักชำระหนี้ โปรดรีบใช้สิทธิ์ ก่อนหมดเขตวันที่ 30 ส.ค. นี้

สำหรับ มาตรการพักชำระหนี้ลูกค้าสินเชื่อรายย่อย ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 200,000 บาท และไม่ใช้หลักทรัพย์  ค้ำประกัน สำหรับผู้ได้รับผลกระทบทำให้ต้องเลิกกิจการ ถูกเลิกจ้าง ขาดรายได้ ฯลฯ ฯลฯ (ยกเว้นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ) โดยพักเงินงวดผ่อนชำระให้สูงสุด 6 งวด เริ่มตั้งแต่งวดเดือนก.ค. – ธ.ค. 2564 หลังจากเมื่อสิ้นสุดระยะการพักชำระหนี้ ให้กลับมาจ่ายเงินงวดตามเงื่อนไขเดิม โดยเงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้พักไว้ จะถูกนำไปรวมชำระในงวดสุดท้ายของสัญญาเงินกู้หรือข้อตกลงที่ทำกับธนาคาร และช่วงระยะเวลาที่พักชำระหนี้ ไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระและไม่ส่งผลต่อข้อมูลเครดิตของลูกค้า รวมถึงไม่มีดอกเบี้ยผิดนัดชำระและค่าปรับใด ๆ

ทั้งนี้สามารถเข้าตรวจสอบสิทธิ์ในแอป MyMo และกดทำรายการได้ทันทีที่ปรากฏเมนูพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ส่วนผู้ที่ยังไม่มีแอป MyMo แต่มีบัตรเดบิต สามารถดาวน์โหลดและเปิดใช้งานแอป MyMo   ด้วยตนเองได้โดยใช้ข้อมูลบัตรเดบิต  ซึ่งจะได้รับความสะดวกในการขอพักชำระหนี้โดยไม่ต้องเดินทางไปติดต่อ  ที่สาขาธนาคาร สำหรับมาตรการพักชำระหนี้กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ เซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์ ที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ SMEs มีวงเงินกู้ไม่กิน 250 ล้านบาท ติดต่อเข้าร่วมมาตรการได้ที่สาขาธนาคาร หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115

ท่องเที่ยว-คลัง หนุนจัดเงินกู้ช่วยธุรกิจท่องเที่ยว 8 พันล้าน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ถึงแนวทางการเยียวยาธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกใหม่ โดยขอให้กระทรวงการคลังช่วยพิจารณาจัดวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยว จากธนาคารออมสิน และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) วงเงิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับทราบเรื่องนี้และพร้อมประสานธนาคารทั้ง 2 แห่ง จัดเตรียมวงเงินให้แล้ว

เบื้องต้นในแนวทางการช่วยเหลือจะให้การช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยว 5 สมาคมก่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยื่นหนังสือมายังกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ คือ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) สมาคมโรงแรมไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมสปาไทย และสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย โดยที่ผ่านมาภาคเอกชนกลุ่มนี้ ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก และยังได้รับผลกระทบจากการจำกัดกิจกรรมและกิจการต่าง ๆ ด้วย 

“ในการหารือครั้งนี้กระทรวงการคลังยังได้รับข้อเสนอของเอกชนท่องเที่ยวที่เสนอเข้ามาถึงการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการกู้เงินจากเดิมที่กำหนดให้ใช้สินทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ มาเป็นการกำหนดให้ผู้กู้ที่เป็นภาคเอกชนจาก 5 สมาคมนี้ สามารถค้ำประกันไขว้กันแทนได้ เช่น ค้ำไขว้กันระหว่างบริษัทต่อบริษัท หรือผู้บริหารตัวต่อตัว เพราะแนวทางนี้จะสามารถปลดล็อกการกู้เงินได้สะดวกมากกว่า และทำให้ผู้ปรักอบการสามารถเข้าถึงแหล่งวงเงินได้ง่าย ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับไปพิจารณาและมอบหมายให้ธนาคารต่าง ๆ เร่งไปปรับเงื่อนไขโดยเร็ว เพื่อให้สามารถกู้เงินได้ภายในปลายเดือนส.ค.นี้ หรือต้นเดือนก.ย.64 ต่อไป”

“จุรินทร์” ไฟเขียว! งบกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร กว่า  2,500 ล้านบาท พร้อมออก 5 มาตรการดันราคาพืชผลเกษตร ปี 65

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ครั้งที่ 1/2564 (ครั้งที่ 250) ผ่านระบบ Zoom  วานนี้ (20 ส.ค. 64) ณ ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน และนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมด้วย

นางสาวรัชดาฯ กล่าวว่า รองนายกฯจุรินทร์ได้ให้นโยบายการดูแลเกษตรกรภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ที่ต้องเป็นไปอย่างครอบคลุม เข้าถึงปัญหาอย่างรวดเร็ว และดูแลอย่างเป็นธรรม โดยในปีงบประมาณ 2564  นับตั้งแต่ 1 ต.ค. 2563 - 15 ก.ค. 2564 กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้จัดสรรงบประมาณ ไปแล้ว 2.1 พันล้านบาท ในการดูแลเกษตรกรในกลุ่มสินค้าผลไม้ ไข่ไก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน พืชหัว พริก ข้าวเหนียว ปศุสัตว์/ประมง เป็นการช่วยเหลือผ่านการเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าออกนอกแหล่งผลิต ผลักดันการส่งออก และชดเชยดอกเบี้ยเพื่อการชะลอการจำหน่ายโดยการเก็บสต๊อก 

สำหรับปีงบประมาณ 2565 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณกองทุนฯ  จำนวน 2,562 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือสินค้าเกษตร 10 กลุ่มสินค้า ได้แก่ ผลไม้ พืชหัว พืชผัก ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปศุสัตว์ ประมง กล้วยไม้ ผ่านมาตรการ 1) เพิ่มช่องทาง/ระบายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิต 2) เสริมสภาพคล่องด้านเงินทุน ชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อใช้ในการรับซื้อผลผลิตจากการเกษตรกรเพื่อจำหน่ายหรือเก็บสต๊อกไว้รอจำหน่าย 3) สร้างการรับรู้เพื่อเพิ่มการบริโภค/กระตุ้นการบริโภค 4) ผลักดันและบริหารจัดการส่งออก เพื่อลดอุปทานส่วนเกินในประเทศ 5) ส่งเสริมด้านปัจจัยการผลิตเพื่อพัฒนาคุณภาพปรับคุณภาพและด้านทุนการผลิต  นอกจากนี้มีการกำหนดราคาเป้าหมายสินค้าเกษตรปี 2565 เพื่อกองทุนฯจะได้ใช้เป็นเกณฑ์ในการช่วยเหลือเกษตรกร

BizMAX THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้ EP.4/3 ตอน ติดเชื้อวิกฤต ธุรกิจอื่นร่วง แต่ ‘ประกัน’ ยังรุ่ง

BizMAX THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้  EP.4/3 ตอน ติดเชื้อวิกฤต ธุรกิจอื่นร่วง แต่ ‘ประกัน’ ยังรุ่ง

พบกับ ‘คุณไพโรจน์ บุญมาก’ 
รองกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท ศรีกรุงโบรคเกอร์

ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES 

.

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สัญญาณการก้าวสู่โลกเงินดิจิทัลในไทยเริ่มเด่นชัด เมื่อแบงก์ชาติเตรียมทดลองใช้ 'เงินบาทดิจิทัล' เพื่อนำไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสดในโลกอนาคตผ่าน 'CBDC' (Central Bank Digital Currency) ไตรมาส 2/65

นางสาววชิรา อารมย์ดี ผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ช่วยผู้ว่าการ) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมทดสอบการใช้งานจริง (Pilot Test) ของสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางสำหรับรายย่อย (Retail CBDC) พร้อมกับเปิดให้ผู้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมเข้ามาพัฒนาเชื่อมต่อระบบไปพร้อมกัน โดยคาดว่าจะเริ่มในไตรมาส 2 ปี 2565 แต่จะทดลองใช้ในวงจำกัดภายใน ธปท. ก่อนที่จะขยายไปยังประชาชนทั่วไป ร้านค้าขนาดใหญ่และขยาดย่อมมีธุรกรรมการใช้จ่ายของประชาชนรายย่อยที่สูง รวมถึงผู้ให้บริการทางการเงินที่เป็นธนาคารและสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร (นอนแบงก์)

สำหรับเงินดิจิทัล แม้จะฟังดูเป็นเรื่องใหม่ แต่ที่ผ่านมาคนไทยก็ใช้จ่ายและโอนเงินไปมาผ่านระบบดิจิทัลกันมาบ้างแล้วในระดับหนึ่ง

ทว่าโครงการเงิน 'บาทดิจิทัล' ของแบงก์ชาติในครั้งนี้ จะเป็นคนละรูปแบบกันกับ 'เงินบาท' ที่เคยใช้งานในแอปพลิเคชันทั่ว ๆ ไป นั่นก็เพราะเงินใช้ในแอปฯ ทุกวันนี้ จะเรียกว่า e-Money หรือเป็นการพิมพ์ธนบัตรออกมาก่อน แล้วค่อยมาแปลงเป็นตัวเลขภายหลัง 

ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสั่งพิมพ์ธนบัตรออกมา ก่อนที่จะป้อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านทางธนาคารต่าง ๆ หรือนโยบายของรัฐ ซึ่งธนบัตรก็จะถูกเก็บเอาไว้ในคลังของธนาคารเอง รวมถึงยังถูกนำมาหมุนเวียนใช้จ่ายกันผ่านตัวกลางต่าง ๆ

แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน ใครที่ไม่มีแอปฯ หรือระบบออนไลน์ใด ๆ ก็จะต้องไปถอนเงินสดมาใช้ จ่ายเงินกันเปลี่ยนมือไปเรื่อย ๆ ส่วนใครที่มีแอปฯ เงินเหล่านั้น ก็จะถูกเปลี่ยนจากกระดาษมาเป็นตัวเลขในแอปฯ เท่านั้นเอง

>> แต่เงินบาทที่เป็น 'บาทดิจิทัล' ที่กำลังจะมีการเปิดทดสอบใช้งานนั้น คือ เงินดิจิทัลจริง ๆ 

โดยที่ธนาคารกลางจะออกเงินมาบนระบบบล็อกเชน (การออกเงินยังต้องมีสินทรัพย์อื่น เช่น เงินสด หรือทองคำ ค้ำประกันเหมือนเดิม)

แล้วเงินดังกล่าวก็สามารถป้อนเข้าสู่ระบบได้โดยตรง เช่น ผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ หรืองบประมาณประจำปี แล้วก็เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของคนไทย ที่แต่ละคนก็จะมีกระเป๋าเงินดิจิทัลเฉพาะตัว

คนไทยที่จะใช้เงิน ก็สามารถเอาเงินเหล่านั้นไปจ่ายกันได้เลยเหมือนการใช้เงินสด แม้จะไม่มีแอปฯ ของธนาคารมาเป็นตัวกลางก็ตาม

แต่จะมีความแตกต่างจากเงินสดก็คือ ทุกการใช้จ่ายระหว่างกัน จะมีการบันทึกธุรกรรมลงระบบบล็อกเชนเอาไว้ตลอด ทำให้สามารถติดตามเงินได้ทุกบาท ว่าถูกใช้ทำอะไร หรือผ่านมือใครมาบ้าง เช่น หากกระเป๋าเงินบาทดิจิทัลของข้าราชการคนหนึ่ง มีเงินก้อนโตเข้ามาอย่างผิดปกติ ทางศูนย์กลางก็จะรับรู้ได้ในทันที เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม บาทดิจิทัลก็ไม่เหมือนกันกับ Bitcoin เสียทีเดียว เพราะ Bitcoin หรือสินทรัพย์ดิจิทัลหลาย ๆ อย่าง เกิดขึ้นมาบนแนวคิด Decentralize ที่ไม่มีใครมาควบคุมเป็นหลัก

แต่เงินบาทดิจิทัล จะถูกดันออกมาและมีการควบคุมโดย CBDC หรือก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย นั่นเอง

อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือความผันผวนของราคา ในขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัลหลาย ๆ อย่าง จะราคาขึ้นลงตามความต้องการของตลาด บางครั้งอาจจะขึ้นลง +10% และ -10% ในวันเดียว

แต่เงินบาทดิจิทัล จะถูกผูกค่ากับเงินบาทแบบ 1:1 ซึ่งก็จะมีหน่วยงานอย่างธนาคารกลาง มาคอยควบคุมในจุดนี้อยู่แล้ว เพื่อไม่ให้ราคาผันผวนจนเกินไป

สำหรับโครงการเริ่มต้นใช้งานเงินบาทดิจิทัล หรือที่แบงก์ชาติเรียกว่าโครงการ Retail CBDC นี้ น่าจะเริ่มใช้ได้ในไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นต้นไป (2022) โดยเบื้องต้นจะเริ่มมีการปล่อยทดสอบใช้ในวงจำกัด เช่น การใช้งานกับเอกชนบางราย และนักพัฒนาที่ผ่านเกณฑ์ก่อน

อย่างไรก็ตาม หากจะตั้งคำถามว่า 'ดิจิทัลบาท' จะเป็นอนาคตของการใช้จ่ายเงินในไทยแค่ไหนนั้น ก็ต้องกลับไปมองดูว่า 'ระบบบล็อกเชน' จะเป็นอนาคตแห่งโลกการเงินแค่ไหนเสียก่อน ซึ่งหากระบบบล็อกเชนถูกพัฒนาไปถึงจุดที่โลกเชื่อมั่น แม้แต่ Bitcoin หรือสกุลเงินอื่น ๆ ก็พร้อมถูกนำมาเป็นอัตราการแลกเปลี่ยนได้จริงไม่ยาก... 


อ้างอิง: บทวิเคราะห์จากเพจ Billionway >> https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1278609719247432/

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/955561


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เคาะประกันภัยมันสำปะหลัง ชงครม.ไฟเขียวงบ 6,811 ล้าน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการ มันสําปะหลัง มีมติเห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 3 โดยเหมือนปี 1 และ ปี 2 ยกเว้นระยะเวลาการรับสิทธิของเกษตรกรที่จะครอบคลุมเกษตรกรอย่างทั่วถึงมากขึ้น กำหนดราคาและปริมาณประกันรายได้เท่ากับปีที่ผ่านมา คือ มันสำปะหลัง เชื้อแป้ง 25% กก.ละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน ไม่ซ้ำแปลง วงเงินงบประมาณ 6,811 ล้านบาท

สำหรับผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย ต้องขึ้นทะเบียนเพาะปลูกมันสำปะหลังกับกรมส่งเสริมการเกษตร ที่มีวันเพาะปลูกตั้งแต่ 1 ต.ค. 2563 ถึง 31 มี.ค. 2565 และแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวนับจากวันที่เพาะปลูกไม่น้อยกว่า 8 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน ระยะเวลาชดเชยส่วนต่าง 1 ธ.ค. 2564 – 1 พ.ย. 2565 โดยขั้นตอนต่อจากนี้จะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็ว ๆ นี้ ได้พิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการคู่ขนาน 4 โครงการ ที่จะเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง และ โครงการเพิ่มศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง และเห็นชอบการเข้าร่วมโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 ที่ตกหล่น ของเกษตรกรที่มีวันเพาะปลูกก่อน 1 เม.ย. 2563 และเก็บเกี่ยวหลังวันที่ 1 ธ.ค.2563 จำนวน 8 หมื่นกว่าราย 

พร้อมทั้งเห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ เดิมสิ้นสุดโครงการวันที่ 30 ก.ย. 2564 เป็น สิ้นสุดโครงการวันที่ 31 มี.ค. 2565 เห็นชอบค่าขนส่งเพิ่มเติมภายใต้กรอบวงเงินค่าท่อนพันธุ์เดิมที่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. จำนวน 24.8 ล้านบาท โดยใช้กรอบวงเงินเดิมที่เคยได้รับอนุมัติแล้ว

รฟม.ดันรถไฟฟ้าสีม่วงใต้-สีส้มสุวินทวงศ์

นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูนราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ว่า หลังจาก รฟม.ได้เปิดขาย ซองเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ตั้งแต่ 5 ก.ค.-7 ต.ค.2564 ปัจจุบันมีเอกชนสนใจซื้อเอกสาร 8 ราย แบ่งเป็นเอกชนไทย 6 ราย และต่างชาติ 2 ราย โดยขั้นตอนต่อจากนี่ รฟม.กำหนดให้เอกชนยื่น ข้อเสนอได้ในวันที่ 8 ต.ค.2564 โดย รฟม.จะใช้เวลาพิจารณาถึงปลายเดือน ธ.ค.2564 และคาดว่าจะได้ตัวผู้รับจ้าง งานโยธาทั้ง 6 สัญญา ภายในเดือนม.ค.2565  

ขณะที่ความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งที่ผ่านมา รฟม.ได้ยกเลิก ประกวดราคา และอยู่ระหว่างเตรียมการประกวดราคาครั้งใหม่ ขณะนี้ รฟม. ได้เปิดรับฟังความเห็นเอกชนไปแล้ว แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ ไม่สามารถจัดประชุมคณะกรรมการ ตามมาตรา 36 เพื่อพิจารณาร่างทีโออาร์ใหม่ได้ เพราะการประชุมด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่บังคับใช้กับกรณีโครงการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน แต่ล่าสุด รฟม.ได้มีหนังสือไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อบรรจุสายสีส้มเข้าข้อตกลงคุณธรรม และกำลังรอหนังสือตอบกลับ เพื่อนำตัวแทนเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ จากนั้น จะประชุมคณะกรรมการ ม.36 และพิจารณาทีโออาร์ครั้งใหม่ 

นายภคพงศ์ กล่าวว่า จากการประเมินกรอบ การดำเนินงาน คาดว่าเมื่อสามารถ เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมได้แล้ว จะมี การจัดประชุมคณะกรรมการ ม.36 พิจารณาร่างทีโออาร์ฉบับใหม่ใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน และออกประกาศเชิญชวนเอกชน โดยเบื้องต้นจะเชิญชวนเอกชนภายใน ต.ค.นี้ และให้เวลาเอกชนทำข้อเสนอ 60 วัน คาดว่าปลายไตรมาส 1 ปีหน้า ประมาณเดือนมี.ค.-เม.ย.2565 จะได้เอกชน ร่วมลงทุนในโครงการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top