Friday, 9 May 2025
ECONBIZ

“บิ๊กตู่” กำชับพาณิชย์เร่งดูแลราคาน้ำมันปาล์มขวดราคาพุ่ง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ว่า เรื่องนี้เป็นไปตามกลไกตลาดโลก เนื่องจากผลผลิตปาล์มของอินโดนีเซียและมาเลเซียซึ่งถือเป็นผู้ผลิตรายสำคัญออกสู่ตลอดน้อยลงมากกว่า 5% อันเป็นผลจากสถานการณ์โควิด ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์และกำชับให้กระทรวงพาณิชย์เร่งบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค 

ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์รายงานว่าได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงสกัดตรึงราคาน้ำมันปาล์มดิบให้มากที่สุด และจากการสำรวจราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในห้างค้าปลีกค้าส่งอยู่ที่ 50 – 53 บาทต่อขวด แต่จะเป็นการปรับตัวในระยะสั้นตามภาวการณ์ของตลาดโลก และในช่วงปลายปีจะมีปริมาณน้ำมันถั่วเหลืองเข้ามาทดแทนน้ำมันปาล์มมากขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับประชาชน

”นายกฯ” เตรียมร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 28 พร้อมรับมอบการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมปี 65 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders’ Week: AELW) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ 11 – 12 พฤศจิกายน 2564 โดยมีกำหนดการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน เวลา 19.00 น. นายกรัฐมนตรีร่วมการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC – Leaders’ Dialogue) วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน ช่วงบ่าย ​นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit เวลา 18.00 น. ​นายกรัฐมนตรีร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 28 โดยในตอนท้ายของวันที่ 12 พฤศจิกายน นายกรัฐมนตรีจะร่วมพิธีรับมอบการเป็นเจ้าภาพเอเปค ซึ่ง นางสาวจาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ จะส่งมอบการเป็นเจ้าภาพเอเปคให้นายกรัฐมนตรีไทย

นายธนกร กล่าวว่า ในปี 2564 นี้ นิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคในหัวข้อหลัก (Theme) ร่วมกัน ทำงาน เติบโต ไปด้วยกัน (Join, Work, Grow. Together.) และได้นำเสนอประเด็นสำคัญ 3 ประเด็นได้แก่ 1. นโยบายเศรษฐกิจ และการค้าที่ส่งเสริมการฟื้นฟู (Economic and Trade Policies that Strengthen Recovery) 2. การเพิ่มการมีส่วนร่วมและความยั่งยืนเพื่อการฟื้นฟู
(Increasing Inclusion and Sustainability for Recovery) 3. การมุ่งสู่นวัตกรรม
และการฟื้นฟูที่ใช้ดิจิทัล (Pursuing Innovation and a Digitally-Enabled Recovery)

ประเมินน้ำท่วมสูญ 1.6 ล้านไร่ เสียหาย 5,400 ล้าน

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยฯ ประเมินผลผลิตข้าวที่เสียหายจริงหลังจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านไร่ คิดเป็นเพียง 2.3% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ และคิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 5,400 ล้านบาท โดยผลผลิตข้าวที่ได้รับเสียหายส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัด นครราชสีมา นครสวรรค์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ และพิจิตร เนื่องจากมีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน

สำหรับผลกระทบจากอุทกภัยในปี 2564 ส่งผลเสียหายน้อยเมื่อเทียบกับมหาอุทกภัยในปี 2554 และปัญหาภัยแล้งในปี 2558 โดยอุทกภัยปี 2554 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายจริงอยู่ที่ 11.2 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมถึง 43,600 พันล้านบาท ขณะที่ภัยแล้งในปี 2558 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายจริงอยู่ที่  2.9 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 10,500 ล้านบาท

ธ.ก.ส.จัดเงินกู้หนุนเกษตรกรมีเงินทุนปลูก “กัญชง กัญชา กระท่อม”

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลผลักดันโครงการเงินทุนสนับสนุนการเพาะปลูกกัญชาเพื่อการแพทย์ผ่านสินเชื่อ ธ.ก.ส “ธุรกิจชุมชนสร้างไทย” กรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก 0.01% ต่อปี มีเงื่อนไขในการขอสินเชื่อเบื้องต้น คือ 1. ต้องเป็นวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือสหกรณ์การเกษตรที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย 2. มีการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ในการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลระหว่างผู้ขอกู้กับหน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษา ที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัย หรือให้บริการทางการแพทย์  และ 3. ต้องได้รับใบอนุญาตให้ผลิตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ล่าสุด ธ.ก.ส. ได้อนุมัติสินเชื่อวิสาหกิจชุมชนไปแล้วกว่า 10 ราย จาก 157 ราย

“นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการเกษตรไทยโดยเฉพาะค้นหาพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ๆ ตามนโยบายส่งเสริมเกษตร BCG  ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มีนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้กัญชาและกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร จนนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายและออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 โดยปัจจุบันพืช 3 ก. อันได้แก่ กัญชง กัญชา กระท่อม เป็นพืชที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถยกระดับกลายเป็นอาชีพทางเลือก”

ย้อนคำเตือนจาก 'ดร.โกร่ง-ผู้ล่วงลับ' พท. คิดให้ดี ก่อนจะ 'ปลุกผีจำนำข้าว'

คำเตือนจาก 'ดร.โกร่ง-อดีตนักเศรษฐศาสตร์-อดีตรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ' โครงการรับจำนำข้าวเปิดช่องคอร์รัปชัน ทำลายโครงสร้างตลาด ระบุรัฐบาลเสียเงินมากมาย แต่ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ไม่ได้อะไรเลย ชูประกันรายได้-จ่ายส่วนต่างส่งตรงไปยังเกษตรกร ถ้าชาวนา ผู้ใหญ่บ้าน กำนันจะโกง ก็ยังดีกว่าโรงสี ผู้ส่งออก รัฐมนตรีโกง

9 พ.ย. 64 - จากกรณีราคาข้าวตกต่ำ ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อเกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าว ทำให้ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เตรียมที่จะฟื้นโครงการรับจำนำข้าวที่เคยทำไว้ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น

ล่าสุดสังคมเริ่มมีความกังวลว่าหากมีการฟื้นโครงการรับจำนำข้าวจะเกิดการคอร์รัปชันครั้งใหญ่อีกรอบ ขณะที่โซเชียลมีการแชร์ต่อบทความเรื่อง "จำนำข้าวเปิดช่องทางทุจริต ทำลายโครงสร้างตลาด" เตือนไปยังพรรคเพื่อไทย

บทความนี้เขียนโดย นายวีรพงษ์ รามางกูร หรือ "ดร.โกร่ง" นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปัจจุบัน ดร.โกร่ง ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับบทความดังกล่าวตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555 โดยมีเนื้อหาดังนี้

นโยบายและมาตรการอันหนึ่งที่น่าห่วงเพราะใช้เงินเป็นจำนวนมากมีปัญหาทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ โครงการที่ว่านี้คือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด กุ้ง ฯลฯ

ฟังดูว่าจะใช้เงิน 4 แสนล้านบาท มาหมุนเวียนซื้อสินค้าเกษตรเหล่านี้ นโยบายรับจำนำสินค้าเกษตรนี้เป็นนโยบายที่ล้มเหลวที่สุดตั้งแต่ทำกันมา ตั้งแต่ปี 2529 สูญเสียเงินละลายน้ำไปมากมาย โดยผลประโยชน์ไม่ได้ตกถึงมือเกษตรกรอย่างที่คิด ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับโรงสีผู้ส่งออก ลานตากมัน รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพรรคพวกของนักการเมือง จึงไม่มีใครยอมเลิกโครงการนี้

เริ่มต้นชื่อก็ผิดแล้ว การรับจำนำนี้ปกติผู้รับจำนำต้องรับจำนำในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดโดยคาดว่าผู้จำนำจะมาไถ่คืน แต่การรับจำนำสูงกว่าราคาตลาดก็ไม่น่าจะเรียกว่าการรับจำนำเพราะไม่มีใครมาไถ่คืนในราคาจำนำที่สูงแล้วเอาไปขายในราคาที่ต่ำในตลาด การตั้งซื้อว่าโครงการรับจำนำจึงเป็นการตั้งชื่อหลอกลวงประชาชนเท่านั้นเอง

ในทางทฤษฎี สินค้าเกษตรที่ส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศทุกตัว เราเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลกของสินค้านั้น ๆ ตลาดภายในของเรากับตลาดโลกเป็นตลาดเดียวกัน เชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิด เพราะเราไม่มีโควตาการส่งออก ไม่มีภาษีขาออก

สินค้าเกษตรทุกตัว ยกเว้น ยางพารากับมันสำปะหลัง เช่น ข้าว จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมา คือ อินเดีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ ในกรณีข้าวโพด อเมริกาเป็นผู้ผลิตมากที่สุด

ข้าวที่ขายหมุนเวียนในตลาดโลกจึงมีสัดส่วนไม่มาก มันสำปะหลังก็เหมือนกัน ผู้ผลิตรายใหญ่ คือ อินโดนีเชีย ในกรณียางพารา แม้ว่าประเทศเราจะยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด แต่ก็ยังมีอินโดนีเซีย มาเลเชีย ศรีลังกา จีน และประเทศอื่น ๆ อีกมากมายผลิตด้วย

นอกจากนั้น สินค้าเกษตรทุกตัวยังมีของทดแทนกันได้เป็นคู่แข่ง เช่น ข้าว ก็มีข้าวสาลี ข้าวโพด และธัญพืชอื่น ๆ เป็นคู่แข่ง เพราะถ้าข้าวราคาแพงผู้บริโภคในจีน อินเดีย และที่อื่นก็หันไปบริโภคหม่านโถว จาปาตี บะหมี่ แทนข้าวได้ ยางพาราที่ใช้ผลิตยางรถยนต์ก็มียางเทียมที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียมเป็นคู่แข่ง มันสำปะหลังก็มีพืชจำพวกแป้งอื่น ๆ เป็นคู่แข่ง

ด้วยเหตุนี้สินค้าเกษตรทุกตัว ราคาจึงถูกกำหนดโดยตลาดโลก รวมทั้งมันสำปะหลังซึ่งเราเป็นผู้ส่งออกสำคัญเพียงรายเดียวของโลก เราจึงเป็น "ผู้รับราคา" หรือ "price taker" ไม่ใช่ผู้กำหนดราคา หรือ "price maker"

นอกจากนั้นสินค้าเกษตรทุกตัวมีปริมาณออกสู่ตลาดโลกตลอดเวลา การกักตุนเพื่อเก็งกำไรไม่สามารถทำได้ หรือการกักตุนของเราก็ไม่ทำให้ราคาตลาดโลกเปลี่ยนแปลงเพราะจะมีผู้ผลิตรายอื่นเสนอขายในตลาดโลกแทนเราและถ้าเราเก็บไว้นาน 3-4 เดือน ก็จะมีผลผลิตใหม่ออกมาแทนที่ พอเราจะขายราคาก็จะตกทันที การกักตุน จึงมีแต่ขาดทุน นอกจากมีไว้เพื่อค้าขายปกติ

ด้วยเหตุนี้ โครงการมูลภัณฑ์กันชน ระหว่างประเทศ หรือ "International Buffer Stocks" ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมูลภัณฑ์กันชนดีบุก หรือแนวคิดเรื่องมูลภัณฑ์กันชนสินค้าประเภทอาหาร โดยข้อเสนอขององค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNCTAD ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงประสบความล้มเหลว ใครเก็บกักข้าวไว้ก็เท่ากับช่วยให้คู่แข่งขายได้ก่อน ราคาอาจจะดีกว่าตอนที่เราขายทีหลัง เพราะถ้ามีใครกักเก็บ ผู้ซื้อผู้ขายก็รู้ว่ายังมีข้าวรอขายอยู่ก็จะไม่ยอมซื้อในราคาแพง

ฟังว่าจะใช้เงิน 4-5 แสนล้านบาท หมุนเวียนซื้อสินค้าเกษตรมากักตุน ก็เท่ากับคิดจะปั่นราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก หรือที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าจะ "corner the market" ตลาดโลกข้าวมันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด จึงเป็นไปไม่ได้ คนเคยทำแล้วล้มละลายก็มีมาก ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ที่ล้มก็สืบเนื่องมาจากการพยายามปั่นตลาด หรือจะ corner ตลาดใบยาสูบ ดังนั้น เมื่อผลิตได้เท่าไร รีบส่งออกได้มากเท่าไรยิ่งดี แล้วก็ปลูกใหม่

สภาอุตฯ ชงข้อเสนอรัฐบาล 4 ข้อเร่งฟื้นเศรษฐกิจประเทศ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ได้จัดทำข้อเสนอถึงภาครัฐเกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ 4 ข้อ คือ

1. เร่งรัดการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนตามเกณฑ์ขั้นต่ำเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยเฉพาะจังหวัดที่เปิดรับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ

2. ภาครัฐควรมีแผนรองรับการเปิดประเทศ และมาตรการด้านสาธารณสุขที่ชัดเจน เพื่อให้การเปิดประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งควรมีการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนรับทราบเพื่อสร้างความเข้าใจ

3. เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายใต้มาตรการควบคุมโรค เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ

และ 4. ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน ราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อต้นทุนประกอบการภาคอุตสาหกรรม

รมว.เฮ้ง สั่งกกจ.ดันโครงการช่วย SMEs หวั่นนายจ้าง สถานประกอบการ SMEs ลงทะเบียนรับสิทธิไม่ทัน

รมว.แรงงาน ย้ำเตือนนายจ้างสถานประกอบการ ลงทะเบียนร่วมโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เพื่อรับสิทธิภายใน วันที่ 20 พ.ย. 64  มอบกกจ.แจงชัดวิธีลงทะเบียน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เชิญชวนนายจ้าง/สถานประกอบการภาคเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคม และมีลูกจ้างรวมทุกสาขาไม่เกิน 200 คน ลงทะเบียนร่วมโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs ผ่านเว็บไซต์ “ส่งเสริมการจ้างงานเอสเอ็มอี.doe.go.th” เพื่อรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในอัตรา 3,000 บาทต่อลูกจ้างสัญชาติไทย 1 คนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ในเดือนพฤศจิกายน 2564 -มกราคม 2565 โดยเงินจำนวนนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้วแต่กรณี ไม่ต้องนำไปคิดเป็นรายได้ หรือคำนวณเป็นรายจ่ายในการหักภาษี ซึ่งการอุดหนุนเงินช่วยนายจ้างในโครงการฯ นี้เป็นสิทธิประโยชน์ของนายจ้าง ที่รัฐบาลโดยการนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน เห็นถึงความสำคัญที่จะต้องเสริมสภาพคล่อง สร้างความแข็งแรงและฟื้นฟูกิจการในธุรกิจ SMEs อย่างไรก็ดีตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. - 8 พ.ย. 64 มีสถานประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 98,135 ราย หรือร้อยละ 24.86 ช่วยรักษาระดับการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทย 1,645,539 คน หรือร้อยละ 40.8 โดยมีนายจ้างจำนวนมากที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนร่วมโครงการ ซึ่งกรมการจัดหางานกำหนดให้ลงทะเบียนได้ถึง วันที่ 20 พ.ย. 64  หรือขณะนี้เหลือเวลาเพียง 12 วันเท่านั้น
“ผมฝากถึงพี่น้องสื่อมวลชน ช่วยเป็นกระบอกเสียงประชาสัมพันธ์โครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs อีกแรง เพื่อให้นายจ้างในกิจการเล็กๆ ที่ยังไม่ทราบข่าวว่าตนมีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐไปฟื้นฟูกิจการ เงื่อนไขของโครงการไม่ยาก หลักฐานที่ต้องยื่นเฉพาะที่จำเป็นเพื่อเป็นยืนยันว่านายจ้างมีตัวตน เป็นสถานประกอบการตัวจริง มีการจ้างงาน และจ่ายประกันสังคมให้พนักงานของท่านจริงเท่านั้น ผมเองได้สั่งการกรมการจัดหางาน เร่งโทรศัพท์หานายจ้างในพื้นที่รับผิดชอบทุกวัน หวังให้นายจ้างไม่เสียสิทธิ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า  

นายจ้างสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “ส่งเสริมการจ้างงานเอสเอ็มอี.doe.go.th” เพื่อรับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ และหากไม่สะดวกดำเนินการผ่านระบบด้วยตนเอง สามารถนำเอกสารซึ่งประกอบด้วย หนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ 30 บาท สำเนาบัตรประชาชนผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ สำเนาหน้าสมุดธนาคาร (กรณีใช้บัญชีกระแสรายวัน ให้ใช้สมุดหน้าเช็คที่มีชื่อนายจ้างและเลขบัญชี) และสำเนาหนังสือรับรองการจะทะเบียนนิติบุคคล หรือสำเนาบัตรประชาชน (นายจ้างบุคคลธรรมดา) โดยลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ ติดต่อที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการให้ หรือหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมให้ติดต่อที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 
สำหรับหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการมีดังนี้ 

ทช. ดัน 2 สะพานข้ามทะเล ‘เกาะลันตา & สงขลา’ รอเสนอ ครม.สัญจร อนุมัติงบก่อสร้าง 6.2 พันลบ.

รายงานข่าวจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.) แจ้งว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เตรียมลงพื้นที่ จ.พัทลุง และ กระบี่ เพื่อตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันและติดตามโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมรวมทั้งเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่ จ.กระบี่ ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ย. นี้

ในส่วนของ ทช.จะเสนอความคืบหน้าการดำเนินงาน 2 โครงการ งบประมาณรวม 6,283 ล้านบาท ได้แก่ 

1.) โครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา ต.เกาะกลาง - ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ระยะทาง 2.200 กม. วงเงิน 1,648 ล้านบาท โดยออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ ผ่านการรับฟังความคิดเห็นภาคประชาชนเรียบร้อย อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนม.ค. 65 รวมทั้งเสนอ ครม. ขอยกเว้นมติห้ามใช้ป่าชายเลนในเดือนก.พ. 65 และเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณค่าก่อสร้างโครงการเงินกู้ หากได้รับอนุมัติจะประกวดราคาหาผู้รับจ้าง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 66 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี แล้วเสร็จปี 69

ลักษณะโครงการก่อสร้างสะพานแห่งใหม่เชื่อมต่อเกาะลันตากับแผ่นดินใหญ่ จุดเริ่มต้นบนทางหลวงหมายเลข 4206 ต.เกาะกลางสิ้นสุดเชื่อมต่อกับทางหลวงชนบทสาย กบ.5035 ต.เกาะลันตาน้อย ความยาวรวม 2.200 กม. ช่วงสะพานยาว 1.920 กม. และทางเชื่อมยาว 280 เมตร สะพานมีขนาด 2 ช่องไปกลับ กว้างช่องละ 3.75 เมตร ไหล่ทางกว้างด้านละ 2.50 เมตร สามารถจัดให้เป็น 4 ช่องได้ในอนาคต 

ส่วนรูปแบบสะพานมีความกว้างช่องลอด 110 เมตร ความสูงช่องลอด 15.40 เมตร เพื่อใช้เดินเรือ ประกอบด้วย สะพานคานขึง (Extradosed Bridge) และสะพานคานยื่น (Balance Cantilever Bridge) เมื่อแล้วเสร็จจะลดเวลาการเดินทางเพียง 2 นาที ตลอด 24 ชม. จากปัจจุบันข้ามแพขนานยนต์จากท่าเรือบ้านหัวหิน ต.เกาะกลาง ไปเกาะลันตาน้อยประมาณ 2 ชม. รวมทั้งมีข้อจำกัดให้บริการ 06.00 น. - 22.00 น.

ธุรกิจโรงแรมที่พักเดือนต.ค.เริ่มฟื้น ทยอยปัดฝุ่นเปิดให้บริการแล้ว 67%

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า สมาคมฯ ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการโรงแรมที่พัก ประจำเดือนตุลาคม 2564 ระหว่างวันที่ 11-28 ตุลาคมที่ผ่านมา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 189 แห่งทั่วประเทศ พบว่า ผู้ประกอบการโรงแรมที่พักแรมได้รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด-19 รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย ทำให้เห็นโรงแรมทั่วประเทศกลับมาเปิดกิจการตามปกติ 67% เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน อยู่ที่ 51%

จากภาพรวม โรงแรมในทุกภูมิภาคกลับมาเปิดกิจการปกติเพิ่มขึ้น แต่ยังคงมีโรงแรมที่ยังไม่กลับมาเปิดกิจการปกติ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มองว่า ต้นทุนในการเปิดดำเนินการ อาทิ ค่าสาธารณูปโภค และค่าจ้างพนักงาน อยู่ในระดับสูง และนักท่องเที่ยวยังอยู่ในระดับต่ำเป็นสำคัญ โดยมีโรงแรมที่ปิดกิจการชั่วคราว ประมาณ 8% ส่วนอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 23.5% เพิ่มขึ้นประมาณ 51.6% จากเดือนกันยายน ที่มีอัตราเข้าพัก 15.5% โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของโรงแรมในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคตะวันออก เป็นเพราะรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดโควิด-19 ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน และผลของมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ รวมถึงโรงแรมส่วนใหญ่คาดว่าอัตราการเข้าพักในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 6.38% จากเดือนตุลาคม อยู่ที่ 25% ซึ่งเป็นเดือนที่โรงแรมส่วนใหญ่ยังมีรายได้อยู่ในระดับต่ำ แต่ปรับดีขึ้นจากเดือนกันยายน ที่ผ่านมา

‘สสว.’ ชู ‘SME Restart’ ขานรับเปิดประเทศ ดัน 5 องค์ความรู้ท่องเที่ยววิถีใหม่

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า ปลายปีงบประมาณ 2564 ที่ผ่านมา สสว. ได้ดำเนินการโครงการเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจรายย่อย กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวสู่การท่องเที่ยววิถีใหม่ (SME Restart) ปีงบประมาณ 2564 หรือโครงการ SME Restart ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สสว. และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการขานรับแผนการเปิดประเทศ 120 วัน ซึ่งประกาศโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ผอ.สสว. เผยอีกว่า วัตถุประสงค์โครงการดังกล่าว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจรายย่อย ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งระบบ ทั้งนี้เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาเข้มแข็งขึ้นและสร้างรายได้ให้ประเทศ เป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรี โดยโครงการดังกล่าว ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวสู่การท่องเที่ยววิถีใหม่ และสามารถดำเนินการได้ใน 3 จังหวัด คือ ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี และพังงา ซึ่งมีผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการกว่า 1,000 ราย

'กรณ์' มองกรณีศึกษา SCBS เทก Bitkub เพราะสุดท้ายดิจิทัล = ธุรกิจแบงก์ยุคต่อไป

"กรณ์" ชี้ 5 สัญญาณสำคัญ อนาคตการเงิน หลังกลุ่มธนาคาร ซื้อกิจการ Crypto Exchange 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงกรณี บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยพาณิชย์ ทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) ว่า เห็นสัญญาณบางเรื่องจากดีล Bitkub x SCBx ซึ่งการที่กลุ่มธนาคารมาซื้อกิจการ Crypto Exchange ด้วยเงินมหาศาลส่งสัญญาณสำคัญหลายข้อ คือ 

1.) เป็นการยืนยันว่า นายธนาคารมองว่า crypto เป็นส่วนสำคัญใน "อนาคตการเงิน" แน่นอน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่จะเกิดจากการ synergy ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารปัจจุบันร่วมกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริหารการลงทุนของนักลงทุนไทยในสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามต่อว่าจะทำให้เงินทุนหมุนเวียนในตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์) ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เมื่อนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นหรือได้รับการชี้ชวนจากสถาบันการเงินเดิมที่ตนเชื่อมั่นและคุ้นเคย 

2.) แนวโน้มจากที่ในอดีตธนาคารพาณิชย์ขยายฐานธุรกิจด้วยการซื้อหรือควบรวมกันเอง จากนี้เราจะเห็นธนาคารพาณิชย์ซื้ออนาคตด้วยการลงทุนใน alternative finance (การเงินทางเลือกใหม่) ซึ่งแปลว่าธนาคารที่ขาดวิสัยทัศน์หรือขาดกำลังทุนมีแนวโน้มสูญพันธุ์สูง การตอบโต้ทางการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์กันเองในเรื่องนี้ จะมีผลสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมการเงินไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

กรอ. ประกาศพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศใหม่ ระยะที่ 2 รวม 15 พื้นที่ หลังระยะแรกไร้สะดุด

กรมโรงงานอุตสาหกรรมเดินหน้าประกาศพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระยะที่ 2 : 15 พื้นที่ใหม่ หลังประสบความสำเร็จ ระยะที่ 1 : 18 พื้นที่มาแล้ว พร้อมดันนโยบาย BCG เต็มที่

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามแผนงานยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมาย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) จัดทำโครงการพัฒนาและยกระดับเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่เมืองสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย BCG ของกระทรวงอุตสาหกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การใช้การหมุนเวียนทรัพยากร และการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการกับพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระยะที่ 1 : 15 จังหวัด 18 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดระยอง, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, นครปฐม, ปทุมธานี, ปราจีนบุรี, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, ราชบุรี, สุราษฎร์ธานี และสงขลา 

พร้อมกันนี้ ได้เตรียมผลักดันให้เกิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศใน ระยะที่ 2 เพิ่มอีก 15 พื้นที่ใหม่ ใน 11 จังหวัดเดิม (จังหวัดระยอง, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, สมุทรสาคร, นครปฐม, ปทุมธานี, ปราจีนบุรี, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, นครราชสีมา และราชบุรี) และ 4 จังหวัดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนหรือ SEZ (จังหวัดมุกดาหาร, สระแก้ว, ตาก และตราด) 

ระยะที่ 3 เพิ่มอีก 20 พื้นที่ใหม่ 20 จังหวัดใหม่ (จังหวัดกาญจนบุรี, เพชรบุรี, สุพรรณบุรี, เชียงราย, เชียงใหม่, กำแพงเพชร, นครสวรรค์, ชุมพร, ลำปาง, ลำพูน, ชัยภูมิ, นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, พิษณุโลก, บุรีรัมย์, อุดรธานี, อุบลราชธานี, ประจวบคีรีขันธ์, กระบี่ และลพบุรี) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายในปี 2579 

ข้าวหอมมะลิ-มันสำปะหลัง-ปาล์มน้ำมัน เตรียมราคาพุ่ง 

นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนพ.ย. 2564 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 10,237 - 10,462 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5.02 - 7.32% เนื่องจากปัญหาอุทกภัยในแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง 

ส่วนมันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.17 - 2.22 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4.85 - 7.25% เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูกาลผลิตมันสำปะหลังปีการผลิต 2564/65 ทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดไม่มาก ขณะที่ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 7.62 - 7.72 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.24 - 2.30% เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ภาวะการค้าน้ำมันปาล์มภายในประเทศอาจชะลอตัวลงบางส่วนโดยเฉพาะการใช้พลังงานทดแทน 

ขณะที่ สุกร ราคาอยู่ที่ 67.67 - 68.14 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.09 - 2.53% เนื่องจากความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลาย มาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐในช่วงต้นเดือนพ.ย. 2564 ทำให้ร้านอาหาร โรงเรียน และสถานประกอบการอื่นๆ กลับมาเปิดให้บริการตามปกติ เช่นเดียวกับกุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 128.27 – 129.78 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.80 – 3% และโคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 95.40 – 95.62 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.11 - 0.34%

‘สมอ.’ ลงพื้นที่หน้าด่าน สุ่มตรวจสินค้านำเข้า สกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้าไทย 

สมอ. ยกระดับมาตรการคุมเข้ม ป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าควบคุมที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน เตรียมลงพื้นที่หน้าด่าน สุ่มตรวจสินค้านำเข้า

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้ สมอ. ยกระดับความเข้มข้นของมาตรการเชิงรุกในการนำเข้าสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศและการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดและทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่อยู่ในการควบคุมของ สมอ. ทั้ง 126 รายการ ที่มีการโฆษณาผ่านทางทีวีดิจิทัลและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งหากไม่ได้มาตรฐานจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยให้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น กรมศุลกากร, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อร่วมกันทำงานเชิงรุกในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าในท้องตลาดอย่างเข้มงวด 

นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. ขานรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) อย่างเคร่งครัด เดินหน้ามาตรการคุมเข้มป้องกันไม่ให้สินค้าด้อยคุณภาพเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเฉพาะสินค้าที่ สมอ. ควบคุมทั้ง 126 รายการ เช่น ปลั๊กพ่วง, เตาปิ้งย่าง, กระทะไฟฟ้า, หม้ออบลมร้อน, ไดร์เป่าผม, ที่หนีบผม, พัดลม, หม้อหุงข้าว, หลอดไฟ, สปอตไลต์, หลอดไฟแอลอีดี, ภาชนะจานชามเมลามีน, ของเด็กเล่น, พาวเวอร์แบงก์ และ อะแด็ปเตอร์ เป็นต้น 

เกาะความคิด ‘ปอ-ณัฐภูมิ รัฐชยากร’ กรรมการผู้จัดการ นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป | Game Changer เก่งพลิกเกม EP.6

เกาะความคิด ‘ปอ-ณัฐภูมิ รัฐชยากร’ กรรมการผู้จัดการ นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป

ชายผู้คว้าทุกโอกาสทางธุรกิจ ด้วยแนวคิด ‘Make it Better’

พร้อมกับย่างก้าวสำคัญในการนำพา ‘นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป’ รีแบรนด์ดิ้ง ปรับยุทธศาสตร์ธุรกิจเพิ่มความหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์โลกธุรกิจยุค Next Normal ได้แบบไร้รอยต่อ

กลุ่มบริษัท ‘นิวสเปคทีฟ’ รีแบรนด์ดิ้ง ปรับโฉมธุรกิจใหม่หมดจด ตอบรับยุค Next Normal ภายใต้แนวคิด ‘Let’s Make it Better คิดจะทำ ต้องทำให้ดีสุดๆ’ ประเดิมสำนักข่าวออนไลน์สำหรับคนรุ่นใหม่ THE STATES TIMES, ธุรกิจช็อปปิ้งออนไลน์ THE SHOPS TIMES รวมถึงการได้รับการแต่งตั้งให้เป็น FORD Licensed Product ในประเทศไทยและอีก 4 ประเทศเอเชียแปซิฟิก การที่ KIT MUSIC เป็นผู้แต่งเพลง ‘เชียร์ยูโร แอโร่ซอฟ’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงฟุตบอลยูโร 2020 ที่ผ่านมา ประกาศพร้อมหาโอกาสและรุกธุรกิจใหม่ที่หลากหลาย กระตุ้นรายได้ ฝ่ากระแสวิกฤตโควิด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top