Monday, 13 May 2024
ECONBIZ NEWS

‘นักธุรกิจไทย’ โกยยอดขาย ‘ตลาดนัดกลางคืน’ ในไหหลำ ปักหมุดแลนด์มาร์กแห่งใหม่ สวรรค์ของนักท่องเที่ยวขาชอป

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ไห่โข่ว รายงานว่า ยามย่ำสู่ค่ำคืนหลังอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ตลาดนัดวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ ‘ไป๋ซา เหมิน’ ในนครไห่โข่ว เมืองเอกของมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีน กลับมีบรรยากาศคึกคักด้วยทัพนักท่องเที่ยวเดินจับจ่ายซื้อของกันอย่างเพลิดเพลิน

ตลาดนัดกลางคืนไป๋ซาเหมินตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 60,000 ตารางเมตร เพิ่งเปิดต้อนรับผู้คนเมื่อราวหนึ่งเดือนก่อนด้วยแผงขายของกินและงานฝีมือทางวัฒนธรรมมากกว่า 600 แผง ซึ่งจากแผงขายของกินทั้งหมด 300 แผง เป็นของพ่อค้าแม่ขายชาวไทยมากกว่า 160 แผง

บรรดาคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวทยอยเดินทางมาเยือนตลาดนัดกลางคืนแห่งนี้ ที่กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมแห่งใหม่ของไห่โข่วกันอย่างไม่ขาดสาย โดยมีนักท่องเที่ยวตบเท้าเข้าเดินซื้อของสูงถึงราว 800,000 คน ในช่วง 20 วันแรกของการเปิดตลาด

อริณธารัตน์ เทพวรรณ เจ้าของแผงขายอาหารไทยอย่างผัดไท ต้มยำกุ้ง และหมูกรอบ จำนวน 4 แผง สาละวนอยู่กับการทักทายลูกค้ามากหน้าหลายตา โดยเขาเผยว่า ยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ราว 1,000-2,000 หยวน (ราว 5,000-10,000 บาท) ต่อวันต่อแผง

เดิมที อริณธารัตน์ทำธุรกิจคลินิกเสริมความงามในไทย และธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนมานานกว่า 18 ปี จนกระทั่งราวสามเดือนก่อน เขาได้ยินข่าวว่า ไห่หนานจะเปิดตลาดนานาชาติสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและต่างชาติ ซึ่งทำให้เขาสนใจและเริ่มพูดคุยกับเพื่อนในไทย

อริณธารัตน์บอกว่า พอรู้จักตลาดจีนมีขนาดใหญ่และคิดว่าเป็นโอกาสดีทางธุรกิจ จึงตัดสินใจมาเปิดแผงขายอาหารที่นี่ โดยแม้เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับไห่หนาน แต่เคยเดินทางไปหลายเมืองของจีน เช่น กว่างโจว เซี่ยเหมิน เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง เลยคิดว่าไห่หนานน่าจะเหมือนและเป็นตลาดใหญ่เช่นกัน

“ผมได้ยินว่า ไห่หนานเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากจีนและประเทศอื่น ๆ และวันแรกที่มาถึงที่นี่ ผมรู้สึกว่าเหมือนอยู่กรุงเทพฯ เลย ทำให้คิดว่าเลือกถูกแล้ว” อริณธารัตน์กล่าว พร้อมแสดงความหวังว่าตลาดแห่งนี้จะโด่งดังในจีน และทั่วโลกจนกลายเป็นแลนด์มาร์กห้ามพลาด

ด้าน อภิญญา ฉัติทิวาพร วัย 27 ปี ซึ่งทำธุรกิจเบเกอรีในไทย เจ้าของแผงขายชาไทยหลากหลายเมนูที่ตลาดนัดกลางคืนไป๋ซาเหมิน เผยว่าเธอตั้งใจมาสั่งสมประสบการณ์และเสาะหาโอกาสใหม่ในตลาดแห่งนี้ที่มีขนาดใหญ่มาก ทิวทัศน์สวยงาม ผู้คนเป็นมิตร และอากาศดี

กิตติศักดิ์ โอสถานันต์กุล ผู้จัดการกลุ่มผู้ค้าชาวไทยของตลาดนัดกลางคืนไป๋ซาเหมิน เปิดแผงขายอาหารของตัวเอง พร้อมกับช่วยเหลือผู้ค้าชาวไทยคนอื่นๆ ตั้งแต่งานเอกสาร การขอวีซ่า จนถึงหาที่พักอาศัย โดยเขามองว่าการทำธุรกิจที่ตลาดแห่งนี้เป็นโอกาสใหม่ในการบุกตลาดจีน

แม้การท่องเที่ยวของไห่หนานจะผันผวนตามฤดูกาล แต่กิตติศักดิ์ยังคงมองเชิงบวกและเฝ้ารอฤดูท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะแห่แหนกันมาที่นี่ รวมถึงวาดหวังขยับขยายธุรกิจไปยังการเปิดร้านนวดแผนไทยหรือร้านอาหารไทยในอนาคตข้างหน้าด้วย

เจิ้งซือซือ นักท่องเที่ยวจากมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน กล่าวว่าอาหารไทยที่ตลาดนัดแห่งนี้มีรสชาติเหมือนต้นตำรับ พอเจอคนขายที่พูดภาษาไทยก็เหมือนอยู่ประเทศไทย ที่นี่มอบประสบการณ์ยอดเยี่ยม และเดินเที่ยวเล่นได้อย่างสนุก

'วิชัย ทองแตง' ปั้นภาคีเครือข่าย 'รัฐ-เอกชน' ดึงกว่า 50 องค์กร ร่วมใจพลิกเชียงใหม่ไร้ฝุ่น PM 2.5

'หยุดเผา เรารับซื้อ' หนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ 'ภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ ร่วมใจขจัด PM 2.5 และลดโลกร้อน' ผ่านการร่วมกันคิดและทำให้สำเร็จ ด้วยการรับซื้อซังข้าวโพดจากเกษตรกร สกัดการเผาทำลายซังข้าวโพด อันเป็นสาเหตุสำคัญที่เกิด PM 2.5 โดยนำมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งส่งไปสู่ระบบคาร์บอนเครดิต ด้วยมาตรฐานระดับโลกที่โรงงานต่าง ๆ ทั่วโลก ที่พร้อมจะรับซื้อต่อไปได้

(12 ก.ค.66) ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “ผมได้ร่วมหารือกับทุกภาคส่วนและกำหนดเป็นวาระเร่งด่วน สำคัญที่สุดในอันที่จะแก้ปัญหานี้ให้ได้ เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนของพี่น้อง ลูกหลานเราโชคดีเหลือเกินที่เรามีภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง เกิดการร่วมแรงร่วมใจที่ทรงพลังอย่างยิ่ง อย่างที่ไม่เคยปรากฏเหมือนที่ใดมาก่อนเหมือนในวันนี้”

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “พวกเราประจักษ์รู้ในความเป็นจริงกันทุกคนว่าแท้จริงแล้ว มันเกิดจากฝีมือมนุษย์เราเอง การเผาป่า เรือกสวน กิ่งไม้ ไร่นา เพื่อพลิกฟื้นผืนดินทำกินของพวกเรากันเอง นั้นเกิดประโยชน์มหึมาแต่ก็เกิดโทษมหาศาล ทางอบจ.เราเองได้จัดงบลงไปปีละหลายสิบล้าน เพื่อแก้ไขปัญหา PM 2.5 บรรเทาทุกข์ให้กับชาวเชียงใหม่ ในวันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ชาวเชียงใหม่จัดตั้งเป็นภาคีเครือข่าย ซึ่งถือเป็นการแสดงครั้งสำคัญของพวกเรา” 

ด้าน คุณวิชัย ทองแตง นักธุรกิจผู้มีแรงบันดาลใจที่มุ่งหวังให้ จ.เชียงใหม่และภาคเหนือปลอด PM 2.5 ได้กล่าวว่า “ภาคีเครือข่ายนี้ถือเป็นการแสดงพลังของชาวเชียงใหม่ พวกเราต้องเป็นแกนนำผลักดันการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของเชียงใหม่และของประเทศไทย อยู่ที่ทุกท่านร่วมมือร่วมใจกันเดินหน้าไปพร้อมกันในวันนี้ และถือเป็นครั้งแรกที่วันนี้ได้มารวมตัวกัน แม้ผมจะเป็นผู้ริเริ่มแต่การผลักดันให้สำเร็จก็อยู่ที่ท่านทุกคน และผลของความสำเร็จก็จะตกอยู่ที่ชาวเชียงใหม่และประเทศชาติของเรา”

ด้าน ผศ.วีระชัย ลิ้มพรชัยเจริญ ที่ปรึกษาโครงการบริษัท ชีวมวลอัดเม็ด จอมทอง จำกัด กล่าวว่า “ผมเล็งเห็นว่าการที่เกิดปัญหา PM 2.5 เยอะขนาดนี้ แสดงว่าชีวมวลก็เยอะเช่นกัน ทีมงานจึงได้ลงสำรวจพื้นที่ในการแก้ปัญหาเพื่อเสริมแหล่งผลิตชีวมวล ในการรักษาสภาพแวดล้อม โดยเริ่มต้นที่ อ.จอมทอง เพื่อเปลี่ยนเศษซากทางการเกษตร พร้อมขยายเพิ่มอีก 3 จุดในภาคเหนือ โดยนำไปใช้ในอุตสหกรรม เพื่อพลังงานทดแทนสะอาด เป็นชีวมวลอัดเม็ดพร้อมคาดหวังให้ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีรายได้กระจายสู่ชุมชน ถือเป็นความพยายามของภาคเอกชนโดย บริษัท ชีวมวลอัดเม็ด จอมทอง จำกัด ยินดีให้ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเชียงใหม่เพื่อลดปัญหา PM 2.5 ให้ได้อย่างยั่งยืน”

ดร.ก้องเกียรติ สุริเย ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต กล่าวว่า “ผมพร้อมเชื่อมโยงธุรกิจคาร์บอนเครดิตมาช่วยจังหวัดเชียงใหม่ แก้ปัญหา PM 2.5 เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน นับเป็นอีกช่องทางสนับสนุนโดยนำธุรกิจเข้ามาสร้างเม็ดเงินสู่ภาครัฐและภาคประชาชนให้มีรายได้เพียงพอที่จะสามารถกลับมาคิดพร้อมพัฒนาช่วยเรื่องของสิ่งแวดล้อมในเชียงใหม่ได้ ซึ่งประเด็นในเรื่องของคาร์บอนเครดิต ที่เกิดมาจากสภาวะโลกร้อน คือการที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากเกินไป โชคดีที่ประเทศไทยตระหนักในเรื่องของคาร์บอนเครดิตมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง ส่วนนี้จึงเป็นที่มาของการเอาคาร์บอนเครดิตมาช่วยสร้างธุรกิจ และเอาธุรกิจนั้นมาสร้างเม็ดเงินป้อนกลับมาสู่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วทำให้จังหวัดเชียงใหม่นั้นมีรายได้มากขึ้น เพื่อนำเม็ดเงินนั้นไปพัฒนาสิ่งแวดล้อมแก้ปัญหา PM 2.5 นั้นให้ดีขึ้น โดยสิ่งที่ทางภาคีเครือข่ายต้องโฟกัสคือการจัดการขยะทางการเกษตร และการดูแลรักษาป่าเพื่อธุรกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

หลังจากนั้นได้มีการเสวนาในหัวข้อ เราจะร่วมใจกันอย่างไรให้เชียงใหม่หมด PM 2.5 โดยมีผู้เข้าร่วมได้แก่ คุณชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ , คุณพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ , คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ กรรมการ บริษัท แอทเซส เวิล์ด คอเปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต , คุณอนุชา มีเกียรติชัยกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ , ดร.ณรงค์ชัย ชลภาพ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจคาร์บอน องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ , คุณชนนิกานต์ สุพิทยาพร นางสาวไทย ประจำปี 2566 , ผศ.วีระชัย ลิ้มพรชัยเจริญ ที่ปรึกษาโครงการบริษัท ชีวมวลอัดเม็ด จอมทอง จำกัด พร้อมฟังความคิดเห็นจากภาคีเครือข่าย นับเป็นการแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ของภาคีเครือข่ายที่น่าประทับใจ และพร้อมที่จะพลักดัน หยุดเผา เรารับซื้อ ให้สัมฤทธิ์ผลเป็นลำดับต่อไป

สนใจนำเศษซาก ตอซังข้าวโพด เข้าร่วมโครงการ หยุดเผา เรารับซื้อ ของบริษัท ชีวมวลอัดเม็ด จอมทอง จำกัด สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0934165953

‘ซาอุดีอาระเบีย’ ตั้งเป้าพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ ทุ่ม 2.5 แสนล้าน ดัน ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางการพัฒนา

(12 ก.ค. 66) ช่องยูทูบ ‘ถามอีก กับอิก TAM-EIG’ โพสต์วิดีโอชื่อ ‘ซาอุฯ ทุ่ม! 2.5 แสนล้าน ดันไทยเป็นศูนย์กลางไฮโดรเจนสีเขียว’ พร้อมได้อธิบายความในวิดีโอไว้ว่า…

ซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตะวันออกกลาง จากข้อมูลของธนาคารโลก World Bank ระบุว่า GDP ภายในประเทศซาอุฯ มีขนาดประมาณ 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าประเทศไทย 1 เท่าตัว โดยมีบริษัทเรือธงที่เดินหน้าลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยก็คือ ‘Saudi Aramco’

Saudi Aramco เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ก่อตั้งเมื่อปี 1933 โดยประกอบธุรกิจปิโตรเลียมแบบครบวงจร และได้มีการเซ็นสัญญา MOU ว่าจะเข้ามาทำธุรกิจด้านพลังงานหลากหลายด้านในประเทศไทย เช่น ธุรกิจจัดหาน้ำมันดิบ ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ LNG ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ธุรกิจสำรวจพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวและสีฟ้าด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยซื้อน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียมากเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ร้อยละ 18 (เป็นรองแค่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) หมายความว่าความเรื่องระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียในรอบนี้ จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ไทยในระยะยาวด้วย

และล่าสุด ไทยและซาอุดีอาระเบียได้ประกาศลงทุนพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ ด้วยเม็ดเงินการลงทุนกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.5 แสนล้านบาท

>>หลายคนคงสงสัยว่า ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ คืออะไร?
ต้องบอกก่อนว่า ไฮโรเจนเป็นธาตุที่เบาที่สุด และถูกพบมากที่สุดในเอกภพ รวมถึงเป็นองค์ประกอบของน้ำ เป็นสารประกอบที่มีมากที่สุดในโลก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย มีการเผาไหม้ที่สะอาด ไม่เป็นพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ด้วยความพิเศษนี้ จึงเกิดแนวคิดที่ว่า จะสกัดไฮโดรเจนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซธรรมชาติ และน้ำ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จากนั้นก็ทำมาป้อนกับเซลล์เชื้อเพลิง หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมกับเชื้อเพลิงต่าง ๆ เพื่อเป็นการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะให้ค่าพลังงานสูงกว่าเชื้อเพลิงทั่วไป 2-4 เท่า และถ้ามีการใช้พลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เช่น แสงอาทิตย์ ลม น้ำ และพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ผลลัพธ์ที่ได้คือ ‘ไฮโรเจนสีเขียว’

>> แล้วทำไมซาอุดีอาระเบีย ถึงสนใจพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ อย่างมาก?
ความมุ่งมั่นในครั้งนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ โดยมีชื่อว่า ข้อริเริ่มซาอุดีอาระเบียสีเขียว (Saudi Green Initiative) เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ เพราะซาอุดีอาระเบียเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก และกำลังประสบปัญหามลพิษ สิ่งแวดล้อม และที่แย่คือเริ่มส่งผลกระทบต่อประชาชนแล้ว

สิ่งที่ซาอุดีอาระเบียวางแผนจะทำมี 4 ด้าน ได้แก่...
- ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนร้อยละ 4 หรือประมาณ 130 ล้านตัน 
- ปลูกต้นไม้จำนวน 1 หมื่นล้านตัวทั่วประเทศ
- เพิ่มอาณาเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมถึงรักษาระบบนิเวศทั้งบนบกและทะเล ให้ครอบคลุมพื้นที่ประเทศมากกว่า ร้อยละ 30 
- ใช้พลังงานทดแทนเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ร้อยละ 50 ภายในปี 2573 ซึ่งถือเป็นไฮไลต์หลักที่น่าสนใจ เพราะปัจจุบันใช้พลังงานทดแทนเพียงร้อยละ 1-2 เท่านั้น หากจะบรรลุเป้าหมาย ซาอุดีอาระเบียต้องลงแรงอีกเยอะ และเป็นเหตุผลในการทุ่มทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ประเทศไทย

>> ประโยชน์ของ ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’
- การกลั่นน้ำมัน การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ที่นำไปใช้ปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันดิบ 
- เซลล์เชื้อเพลิง ใช้สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า 
- อุตสาหกรรมอาหาร สามารถเปลี่ยนโครงสร้างกรดไขมันไม่อิ่มตัวในไขมันสัตว์และน้ำมันพืช ให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวได้
- เภสัชภัณฑ์ ใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตเครื่องสำอางและสารตึงผิว
- อุตสาหกรรม การเชื่อมโลหะ หรือการตัดโลหะ 
- การบินและอวกาศ สามารถเป็นพลังงานทางเลือกสำหรับเป็นเซลล์เชื้อเพลิง เนื่องจากมีน้ำหนักเบา

ซึ่งในปัจจุบันมีหลาย ๆ ประเทศในเอเชียเริ่มใช้ ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ กันบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่อยู่ในวงการยานยนต์ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน โดยสัดส่วนความต้องการในปัจจุบันยังไม่มาก แต่ในอนาคต ปี 2050 อาจมีมูลค่ามากถึง 2 ล้านล้านบาท

จะเห็นได้ว่าหากความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นการสร้าง New S-Curve ให้ประเทศในระยะยาวได้ และยังมีปัจจัยบวกด้านอื่น ๆ อีก เช่น นิคมอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การส่งออก ก็จะได้รับประโยชน์จากการร่วมมือนี้ด้วย

‘อัญยา เมดิเทค’ ประกาศเดินหน้าธุรกิจ - ขยายตลาด พร้อมขึ้นแท่นผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับ

อัญยา เมดิเทค มั่นใจพร้อมขึ้นแท่นผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพ เพื่อการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ หลังดึงวรวุฒิ อุ่นใจ นักธุรกิจมือฉมัง ระดับแถวหน้าของประเทศร่วมลงทุน และให้คำปรึกษาในการบริหารจัดการ พร้อมผุดกลยุทธ์ขยายตลาด Healthcare เพิ่ม Co-Investors ทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาค ปรับโครงสร้างราคาเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ารับการบริการได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ปักธงขยายบริการให้ครอบคลุมทั้งในส่วนเรื่องการนอนและการป้องกันโรคโดยเน้น เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ 

(11 ก.ค. 66) คุณทักษอร (อุ้ม) คงคาประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด เปิดเผยว่า “ปัญหาการนอนไม่มีคุณภาพ เป็นภัยเงียบใกล้ตัว และคือหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เช่น เบาหวานความดัน หัวใจ อัลไซเมอร์ และโรคภัยต่างๆ อีกมากมาย การนอนไม่มีคุณภาพเป็นปัญหาที่ทุกคนไม่ควรนิ่งนอนใจและไม่สามารถเพิกเฉยได้ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OBSTRUCTIVE SLEEP APNEA: OSA) มีการกล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากพบสถิติตัวเลขอุบัติการณ์ที่เป็นกันมากขึ้น คือ มีตัวเลขประชากรเกือบ 20% ที่อาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นนี้ รวมทั้งข้อมูลจากต่างประเทศพบว่า ประชากรทั้งโลกป่วยเป็นภาวะนี้ประมาณ 1 พันล้านคน หรือประมาณ 14% ของประชากรทั้งโลก ซึ่งจำนวนผู้ป่วยที่เป็นมากขึ้นในปัจจุบันทำให้เราต้องให้เกิดการ screening และ monitoring มากขึ้น

อัญยา เมดิเทค เรามุ่งเน้นการรักษาเชิง Preventive care ซึ่งเป็นศาสตร์ป้องกันโรค ตั้งแต่เรื่องการนอน จนถึงการดูแลรักษาที่เน้นความร่วมมือกับทีมบริษัทที่มีนวัตกรรมทางการแพทย์ ซึ่งในวันนี้เรามีความพร้อมที่จะที่จะขยายตลาด และฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น โดยเราได้เริ่มดำเนินการมีแผนการขยายสาขาเปิดรับ Co-Investors ทั้งในประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคและต่างประเทศ ภายในสิ้นปีนี้เราตั้งใจว่าจะขยายไปยังเมืองใหญ่ต่าง ๆ ทั่วภูมิภาค โดยประเดิม Co investor ที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเป็นแห่งแรก ซึ่งกลุ่มลูกค้าจะเป็นคนในพื้นที่ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซีย ประกอบกับกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างราคา ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น 

โดยในช่วงที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของยอดจำหน่าย และการเข้ารับรักษานั้นเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 30% และคาดว่าจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องอีกแน่นอนค่ะ”

นายวรวุฒิ อุ่นใจ หนึ่งในผู้ถือหุ้น กุนซือใหญ่ บริษัท อัญยา เมดิเทค ได้กล่าวถึงการเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจนี้ว่า “หลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย จนนำมาซึ่งการเปิดประเทศ ทำให้ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกันมากขึ้นจนกลายเป็นเทรนด์สุขภาพ ในปี 2566 ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศไทยแลนด์ 4.0 ที่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายกลุ่ม New S-curve ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต โดยการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ตามความก้าวหน้าทางการแพทย์ ระบบสาธารณสุข และเทคโนโลยีของโลกที่มีการเติบโตขึ้น ซึ่งความก้าวหน้าของบริการทางการแพทย์เหล่านี้จะสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการแพทย์ นั่นจึงเป็นที่มาของการมาร่วมลงทุนดำเนินธุรกิจกับ อัญยา เมดิเทค ในครั้งนี้จะเพื่อเปิดประตูสู่การขยายธุรกิจ และเพื่อปูทางสู่การผลักดันการแพทย์ใหม่ๆ และนั่นทำให้ผมมั่นใจครับว่า การเข้ามาถือหุ้น และ ทำธุรกิจ อัญยา เมดิเทค นั้นมีโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่สูงมาก และเชื่อว่า เราจะทำให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายมากยิ่งขึ้นจากการปรับโครงสร้างราคาและการรุกตลาดตามแผนที่บริษัทฯ ได้วางไว้”

‘ซีพีเอฟ’ ประเดิม 3 เมนูให้นักบินปลายปี 66 กระเพราไก่จานแรก ส่วนอีก 2 เมนูรอพัฒนา

นำร่อง ‘ไก่ไทย’ สู่อวกาศปลายปี 66 ซีพีเอฟประเดิม 3 เมนู ส่งกระเพราไก่จานแรก ส่วนอีก 2 เมนูอยู่ระหว่างการพัฒนา หลังเป็นสินค้าแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การนาซาให้ส่งสินค้าให้นักบินรับประทาน

(11 ก.ค. 66) นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ซีพีเอฟ’ (CPF) เปิดเผยว่า ซีพีเอฟจะเริ่มส่งอาหารให้กับองค์การนาซา สำหรับให้นักบินอวกาศรับประทานประมาณปลายปี 66

ทั้งนี้ เบื้องต้นจะเริ่มนำร่องส่ง ‘ไก่ไทย’ ด้วย 3 เมนู ได้แก่ กะเพราไก่ และอีก 2 เมนูอยู่ระหว่างการพัฒนา จากปกตินักบินอวกาศจะรับประทานอาหารเม็ด แคปซูล ที่ทางองค์การนาซาเป็นผู้ผลิตให้เท่านั้น

“ซีพีเอฟถือเป็นสินค้าแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การนาซา ให้ส่งอาหารขึ้นไปให้กับนักบินอวกาศรับประทานด้วยเมนูไก่แปรรูป”

สำหรับการนำอาหารขึ้นไปบนอวกาศนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะนักบินอวกาศต้องการอาหารที่มีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนทุกขั้นตอน การนำไก่ไทยขึ้นไปสู่อวกาศได้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับอนาคตอาหารของประเทศไทย

รวมถึงเป็นจุดแข็งของคนไทยเรื่องการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูงให้คนทั่วโลก ดังนั้นการส่งอาหารขึ้นไปบนอวกาศจะทำให้ทั่วโลกได้รับทราบว่าอาหารของซีพีเอฟ มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยช่วยแรกบริษัทได้รับมาตรฐานด้านไก่ สดที่ไม่มีสารปนเปื้อน การเลี้ยงที่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ขั้นตอนต่อไปอยู่ระหว่างขอมาตรฐานอาหารแปรรูป

ปัจจุบันไก่เป็น 1 ในสินค้าส่งออกของไทยมากถึงปีละกว่า 1 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยที่ซีพีเอฟส่งออกปีละประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท สัดส่วน 25% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารแปรรูป 50% ส่วนใหญ่ส่งออกไปอังกฤษ ญี่ปุ่น และเยอรมนี

ขณะที่ปีนี้จะเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไก่ ให้เข้ากับแต่ละประเทศและการขยายโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ ที่เป็นธุรกิจไก่ หมู กุ้ง ไข่ เพิ่มเพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัว คาดว่าปีนี้มีรายได้รวม 660,000 ล้านบาท

‘บีโอไอ’ ชี้!! ยอดลงทุน 6 เดือน พุ่ง 3.6 แสนล้าน ‘พริงเกิลส์-โลตัส บิสคอฟ’ ขยายฐานการผลิตในไทยต่อ

(11 ก.ค. 66) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ ‘บีโอไอ’ เปิดเผยสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน) ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมรวมทั้งสิ้น 891 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

สำหรับคำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวน 464 โครงการ มูลค่ารวม 286,930 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ

นอกจากการขยายการลงทุนของผู้ประกอบการรายเดิมทั้งไทยและต่างชาติแล้ว ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ได้มีบริษัทระดับโลกหลายรายตัดสินใจขยายฐานผลิตมาที่ประเทศไทย เช่น บริษัท พริงเกิลส์ ผู้ผลิตมันฝรั่งแผ่นจากสหรัฐอเมริกา และบริษัท โลตัส บิสคอฟ ผู้ผลิตบิสกิตชื่อดังแบรนด์ ‘Lotus Biscoff’ สัญชาติเบลเยี่ยม เป็นต้น 

‘ประเทศไทย’ ติด 1 ใน 10 ประเทศน่าอยู่หลังเกษียณ ต่างชาติพอใจราคา ‘ค่าครองชีพ-ที่พัก-รักษาพยาบาล’ 

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) เผยผลสำรวจ 10 ประเทศที่น่าพำนักอยู่หลังเกษียณ (10 Cheapest Places To Live After Retiring) ปี 2023 จากการจัดอันดับของ Annual Global Retirement Index

ผลสำรวจนี้ประมวลข้อมูลจากค่าครองชีพ สภาพอากาศ วีซ่า ค่าอาหาร ที่พัก และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ที่อาจอยู่ได้โดยแทบไม่ต้องทำงาน หรือใช้เงินจำนวนมาก

โดย 10 ประเทศที่น่าพำนักอยู่หลังเกษียณ ได้แก่ 
1.โปรตุเกส  
2.เม็กซิโก 
3.ปานามา 
4.เอกวาดอร์ 
5.คอสตาริก้า 
6.สเปน 
7.กรีซ 
8.ฝรั่งเศส 
9.อิตาลีและไทย

สำหรับ ‘ประเทศไทย’ คว้าอันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 9 ของโลก (เท่ากับอิตาลี) ถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดในโลก แม้การท่องเที่ยวจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% ของจีดีพี แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตผ่อนคลาย สนุกสนาน และเต็มไปด้วยการผจญภัย

และยังแนะให้ผู้สนใจเลือกใช้ชีวิตทั้งในกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงสีและตึกใหญ่ หรือเลือกอยู่ในจังหวัดภาคเหนือที่อากาศเย็นสบาย

ส่วนค่าใช้จ่ายเรื่องที่อยู่อาศัยไม่แพง สามารถเลือกซื้อคอนโดมิเนียมขนาด 2 ห้องนอนได้ในราคาไม่ถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเลือกเช่าได้ในราคาเพียงเดือนละ 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น

บีโอไอ เผย รถยนต์อีวีจีน ปักหมุดฐานผลิตในไทย ดันมูลค่าลงทุนจากแดนมังกรปีนี้ทะลุ 7.7 หมื่นลบ.

บีโอไอนำธุรกิจไทยโรดโชว์จีน ร่วมมหกรรมแสดงสินค้าที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคตะวันตก เปิดเวทีจับคู่ธุรกิจ ดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมอีวี - พลังงานสะอาด

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุน ณ มหานครฉงชิ่ง และนครเฉิงตู มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 28 - 30 มิ.ย. 2566 โดยคณะได้พบกับผู้บริหารของบริษัทรถยนต์ EV รายใหญ่ของจีน ได้แก่ บริษัท ฉงชิ่ง ฉางอัน ออโตโมบิล จำกัด และบริษัท เฌอรี่ ออโตโมบิล จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ EV อันดับที่ 5 - 6 ของจีน โดยได้หารือกันถึงความคืบหน้าของแผนการลงทุนในประเทศไทย นโยบายส่งเสริมการลงทุนและมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของไทย

นอกจากนี้ บีโอไอได้นำคณะผู้ประกอบการจากสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย เข้าร่วมงานมหกรรมแสดงสินค้าที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคตะวันตกของจีน (WCIF) ซึ่งถือเป็น 1 ใน 10 งานระดับชาติของจีน และประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นประเทศเกียรติยศ เพียงประเทศเดียวในการจัดงานครั้งนี้ โดยภายในงาน บีโอไอได้ร่วมกับมณฑลเสฉวนและสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู จัดสัมมนาในหัวข้อ China (Sichuan) - Thailand Investment Cooperation Conference โดยบีโอไอ ได้นำเสนอโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่จีนมีความเชี่ยวชาญ เช่น EV, อิเล็กทรอนิกส์, ดิจิทัล และ BCG รวมทั้งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งนครเฉิงตู และศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีแห่งเมืองเทียนฟู จัดกิจกรรมสัมมนาและเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการจีนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม รวมทั้งระบบชาร์จไฟฟ้าและอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน เป็นต้น โดยบีโอไอได้นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานจับคู่ธุรกิจหลายราย เช่น สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย และบริษัทในกลุ่ม ปตท., ทีซีซี และสหยูเนี่ยน เป็นต้น

นายนฤตม์ กล่าวว่า จากการเข้าพบบริษัท ฉางอัน ออโตโมบิล จำกัด บริษัทได้ให้ความสำคัญกับประเทศไทย และยืนยันแผนการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทย ด้วยเงินลงทุนในเฟสแรกประมาณ 9,000 ล้านบาท เพราะเล็งเห็นถึงโอกาสของตลาดไทยและภูมิภาคอาเซียน และความพร้อมของไทยในการเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ที่โดดเด่นของภูมิภาค โดยบริษัทมีแผนเปิดตัวรถยนต์ EV ในไทยช่วงปลายปีนี้ สำหรับการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยได้เตรียมการฝั่งประเทศไทยพร้อมหมดแล้ว รอเพียงการอนุมัติในขั้นตอนสุดท้ายจากรัฐบาลจีนเท่านั้น

สำหรับบริษัท เฌอรี่ ออโตโมบิล จำกัด บีโอไอได้หารือกับผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านการลงทุนต่างประเทศของบริษัท ซึ่งมองว่าไทยเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่เหมาะสำหรับการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขับพวงมาลัยขวา เพื่อส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยบริษัทให้ความสนใจประเทศไทยอย่างมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรและพิจารณารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมในไทย ในส่วนของการเข้าสู่ตลาดไทย บริษัทมีแผนนำรถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV รุ่น OMODA 5 เข้ามาเปิดตลาดในไทยเป็นรุ่นแรกในช่วงต้นปี 2567 เพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย

“จากการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์ EV รายใหญ่ของจีนทั้งสองราย มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ EV พวงมาลัยขวา เพราะมีความพร้อมด้านระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ และมีตลาด EV ที่เติบโตสูงที่สุดในภูมิภาค ซึ่งบีโอไอได้ตอกย้ำมาตรการสนับสนุน EV แบบครบวงจรของภาครัฐ รวมทั้งความต่อเนื่องของนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม EV เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับประเทศไทย ได้ชื่อว่า เป็นฐานการผลิตรถยนต์อีวีที่สำคัญของค่ายรถยนต์จากจีน หลายค่ายได้ขยายการลงทุนมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัท GAC AION New Energy Automobile หรือ GAC AION ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศจีน ซึ่งมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 2.7 แสนคันในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 6 แสนคันในปีนี้ ทางบริษัทฯ ได้ตอบรับเดินหน้าลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้เงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 6,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค. - พ.ค.) มีโครงการจากจีนยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 93 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 31,000 ล้านบาท ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 แซงหน้าญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน และเคมีภัณฑ์

และคาดว่า ตลอดทั้งปี 2566 จะมีโครงการจากจีนยื่นขอรับการลงทุนมากกว่าปี 2565 ที่มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท ได้อย่างแน่นอน

‘เศรษฐา’ เตือน ศก.ไทยอยู่บนปากเหว ‘ส่งออกติดลบ-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ พร้อมแนะ!! ภาคธุรกิจ ‘รักษากระแสเงินสด’ และบริหารองค์กรให้ดีที่สุด

(9 ก.ค. 66)เศรษฐา ทวีสิน อดีตประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย บรรยายเรื่อง “Thailand’s Tomorrow & What Needs to be Done!” ในงานสัมมนาของข่าวหุ้นธุรกิจ 

เศรษฐาได้ให้ความเห็นว่า ตอนนี้เศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ปากเหว เนื่องจากตัวเลขส่งออกติดลบ อีกทั้งสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยพุ่งทะลุกว่า 90% ของ GDP ทะยานแตะ 16 ล้านล้านบาท การลงทุนจากต่างประเทศก็ชะงัก เพราะไม่แน่ใจในทิศทางของรัฐบาลใหม่ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นต่างๆ 

ขณะเดียวกัน อีกสามเดือนจะเข้าช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ปัญหาต่างๆก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีน, โลจิสติกส์ภายในประเทศ, สายการบิน และเรื่องของการบริหารจัดการสนามบินภายในประเทศที่ยังคงเป็นปัญหา ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่จะต้องดูแลอย่างเร่งด่วน

และจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ทำให้ตลาดทุนไม่เชื่อมั่นมองว่า ตลาดทุนเป็นตัวชี้นำอย่างหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกได้ถึง Sentiment ของนักลงทุน หากมีปัญหาในการโหวตนายกรัฐมนตรี การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า งบประมาณปี 2567 ไม่ได้ 

ดังนั้นเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น การแข่งขันจบลง และภาคประชาชนได้ทำการเลือกแล้ว เขามองจึงอยากให้การโหวตนายกฯ เป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองไม่แตกแถว และยินดีสนับสนุนคุณพิธา เป็นนายกฯคนที่ 30 ของประเทศไทย

ส่วนของความคาดหวังภาพรวมเศรษฐกิจไทยหลังจากการจัดรัฐบาลสำเร็จ เศรษฐา ประเมินว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีเรื่องดีๆอีกเยอะ เพียงแต่ว่าต้องการผู้นำที่เป็น ‘ผู้นำ’ จริงๆ ต้องการรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย และคำนึงถึงประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้นเชื่อว่าหากจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว เศรษฐกิจไทยจะขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี และตลาดหุ้นก็จะไปในทิศทางที่ดีอย่างแน่นอน

เมื่อมีคำถามว่า วิกฤตการเงินตอนนี้กับวิกฤตเศรษฐกิจอะไรหนักหนากว่ากัน เศรษฐามองว่า วิกฤตเศรษฐกิจนั้นมีอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกำลังซื้อ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ไม่เหมือนกับเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือสมัยก่อนต้มยำกุ้งก็คงต่อสู้กันไปได้ แต่วิกฤตการเมืองของประเทศไทยตอนนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ 

จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่าประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ แต่เรื่องของจัดตั้งประธานสภาฯ ที่แม้จะมีปัญหา หรือเรื่องตัวนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้ แม้การเลือกตั้งจะจบลงไปแล้วกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ช้าเรื่องของการทำเรื่องงบประมาณปี 2567 ก็จะล่าช้าไปด้วย แต่หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในอาทิตย์แรกของเดือนสิงหาคม งบประมาณปี 2567 จะถูกใช้ได้อย่างเร็วสุดคือ 15 มีนาคม 2567 

และทราบว่างบประมาณแผ่นดินของไทย หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศไทย ในแต่ละปีงบประมาณ ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีจึงนับเป็นปัญหาใหญ่ 

ดังนั้นในฐานะของคนทำธุรกิจท่ามกลางวิกฤติเช่นนี้ควรจะต้องมีส่วนช่วยในการสนับสนุนให้มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ หากไม่ได้ ณ วันนั้นก็จะต้องทำให้เกิดขึ้นได้เร็วที่สุด 

ในส่วนของเรื่องเศรษฐกิจแม้จะมีปัญหาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของหนี้ครัวเรือนที่สูงมากถึง 90% ปัญหาเรื่องการส่งออกที่ตกต่ำมาโดยตลอด และหลายๆ เรื่องน่าเป็นห่วง ก็อยากให้มองว่าแม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤต แต่ก็ยังคงมีโอกาส ซึ่งประเทศไทยมีดีในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว ความมั่นคงทางด้านอาหาร ก็เป็นเรื่องที่เราควรให้ความสนใจ และจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ในปัจจุบันมีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้น แต่เรื่องของวีซ่ายังคงเป็นปัญหา ซึ่งหลายๆ เรื่องต้องได้รับการดำเนินการอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นเมื่อไปถึงช่วงไฮซีซั่นตอนเดือนตุลาคมก็จะเกิดปัญหาได้ 

ฉะนั้นหากทำทุกอย่างได้เร็วตามที่วางไว้ จากวิกฤตทั้งหมดก็อาจจะบริหารจัดการยากขึ้น และท้าทายมากขึ้น ฉะนั้น ‘ล็อกทางการเมือง’ ก็นับว่าทำให้เกิดการ ‘ติดล็อกทางเศรษฐกิจ’ ด้วยอย่างมีนัยสำคัญ 

ขณะเดียวกันทางด้านนักลงทุนอยากให้ความชัดเจนของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้อง หากดูตัวเลขเสถียรภาพทางเศรษฐกิจก็ไม่มีจุดใดที่ไม่มีเสถียรภาพ

ทั้งนี้หากเป็นนักลงทุนควรจะต้องรักษากระแสเงินสดให้ดี เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากกำลังซื้อเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องจับตามองและที่สำคัญตอนนี้ทุกคนคอยรัฐบาลใหม่ อย่างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะต้องพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศก็ยังคอยความชัดเจน และหนี้ครัวเรือนก็เป็นเรื่องสำคัญ

สำหรับคีย์สำคัญที่จะทำให้เราได้รู้ว่าต่อไปเราจะตัดสินใจอย่างไรนั้นคือ ต้องดูเรื่องของการเมือง รักษากระแสเงินสด บริหารจัดการองค์กรของตนเองให้ดี เข้าใจลูกค้าตนเอง และพยายามเปิดตลาดใหม่ๆ เพราะปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล การเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ จึงจะเป็นผลดีต่อภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นอะไรที่นักธุรกิจหลายคนค่อนข้างทราบพอสมควร

ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่คุณเศรษฐาได้มีการบริหารกิจการตัวเองก็มีการปรับตัวมาโดยตลอด ดังนั้นขอบเขตการรอถึงแค่จุดจุดหนึ่งเท่านั้น ทั้งสายป่านก็ดี เงินใช้จ่ายก็ดี เงินหมุนของภาคธุรกิจก็ดี สิ่งเหล่านี้ที่สุดความสามารถในการปรับตัวถึงได้แค่จุดจุดหนึ่งหรือไม่นั้น หากย้อนไปก่อนสมัยต้มยำกุ้งบริษัทเอกชนทั้งหลายที่ประสบปัญหามามีการเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบลงทุนค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจทั้งหลายได้ถูกยกระดับขึ้นมาสูงมาก จึงนับว่าภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ฉะนั้นจะเห็นอะไรหลายๆอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เราทุกคนเสมือนอยู่ในสงครามแต่กระนั้นท่ามกลางวิกฤต ย่อมมีโอกาส แต่ว่าโอกาสที่จากนี้ไปที่คนไทยทั้งประเทศควรจะได้ และในสายตาเวทีโลกจะกลับมาชื่นชมประเทศไทยได้ดีขึ้นกว่าเดิมเหมือนกับหลายทศวรรษที่ผ่านมา 

เศรษฐา กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน หลายๆ เรื่องที่เราคาดไม่ถึงอย่างเช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลที่เรามีอยู่ เวลานักลงทุนเข้ามาลงทุนจะมีการย้ายถิ่นพำนักเข้ามาจากประชากรจะต้องมองตรงจุดนี้ด้วย อีกทั้งเรื่องของ Internet โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งหลายเป็นต่อประเทศ ดังนั้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งหนี้เสียก็สูงขึ้นจากตัวเลขที่สูงขึ้นอย่างมีนัย ดังนั้นจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะงบดุลของบริษัทเอกชนทั้งหลายแข็งแกร่งมาก 

รวมทั้งเขามองว่า 2-3 เดือนล็อกการเมืองต้องคลาย ดังนั้นหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ดี ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีตลาดทุนก็จะกลับมาคึกคัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากการที่ได้ลงพื้นที่ไปพบว่าภัยแล้งก็ถือเป็นปัญหาสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากลงไปถึงระดับฐานราก โดยพบว่าประเทศไทยพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเยอะมาก แม้จะเป็นเพียงแค่ 10% ของ GDP ก็ตาม แต่กลับมีคนที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมสูงถึง 40 ล้านคน 

และหากจะถามว่ามีแสงสว่างอะไรไหมภายใต้ความมืดมนนี้ ก็จะมี 11 ขุนพล ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของแต่ละสาขา แต่ประเทศไทยมีข้อดีจำนวนมาก และมีโอกาส ดังนั้นเราต้องการรัฐบาลที่แข็งแกร่ง และการจัดตั้งรัฐบาลที่เร็วที่สุด เพราะหลายๆ เรื่องไม่สามารถผลักดันได้หากไม่มีรัฐบาล อย่างเช่นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะไม่มาแน่นอนหากไม่มีรัฐบาลใหม่ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในขณะนี้ 

ดังนั้นภายใต้วิกฤตที่มี ‘โอกาส’ ก็มี นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องกลับมาดูตัวเอง ในบ้านตัวเองทั้งบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทขนาดใหญ่ ต้องกลับมาดูกระแสเงินสดเป็นส่วนสำคัญ รวมทั้งการบริหารจัดการภายในองค์กร การหาตลาดใหม่ๆ ก็สำคัญ เพราะด้วยการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลให้ดีมานด์ต่างๆ หดหายไป ดังนั้นถ้าเราสามารถไปเปิดตลาดใหม่ๆ ได้ก็จะเป็นโอกาสที่ดี และธุรกิจใหม่ๆ ในประเทศไทยอย่างธุรกิจความมั่นคงทางด้านอาหาร หรืออาหารแห่งอนาคตเป็นเรื่องที่เราสามารถ Build on จากภาคเกษตรกรรมของเราได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือบริหารจัดการเรื่องน้ำให้ดีเป็นอันดับแรก

‘พงษ์ภาณุ’ แนะดู ‘อินเดีย’ เป็นแบบอย่าง หลังผงาดทาบรัศมีมหาอำนาจโลก

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 66 โดยระบุว่า ในความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก อินเดียได้กลายเป็นประเทศที่เนื้อหอมที่สุดในสายตามหาอำนาจของโลก สัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐ อเมริกา ได้เชิญนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดีมาเยือนสหรัฐฯ แบบ state visit และกล่าวปาฐกถาในการประชุมร่วมของสภาคองเกรสอีกด้วย ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ผู้นำประเทศน้อยคนจะได้รับ

ประเทศไทย สามารถเรียนรู้จากความสำเร็จของอินเดียได้ในหลายมิติ อินเดียภายใต้ผู้นำ นเรนทรา โมดี ได้มีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วและทั่วถึง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ปัจจุบันคนเชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่นอกประเทศประสบความสำเร็จก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลและธุรกิจสำคัญหลายแห่ง

นโยบายการทูตและการต่างประเทศที่มีความสมดุล (Balance) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้อินเดียได้ประโยชน์จากโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และขั้วอำนาจโลก อินเดียเริ่มเอนเอียงเข้าหาสหรัฐฯและตะวันตกมากขึ้น หลังจากอิงรัสเซียมาตลอดหลังได้อิสรภาพ ด้วยเล็งเห็นโอกาสจาก Global Supply Chains ที่กำลังกระจายออกจากจีน และจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมอย่างมีนัยสำคัญ ย่างก้าวของอินเดียอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอำนาจเก่าในรัสเซียกำลังถดถอยลง

พร้อมกันนี้ นายพงษ์ภาณุ ยังแนะด้วยว่า ควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เหตุค่าเงินเยนของญี่ปุ่นได้ตกต่ำมาเป็นระยะหนึ่งและยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากกลัวว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะกลับเข้าสู่ภาวะตกต่ำอีก ผลจากค่าเงินเยนตกต่ำทำให้ดุลการท่องเที่ยวไทย-ญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ วันนี้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่านักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่มาเมืองไทยแล้ว การค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศก็กำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top