Sunday, 28 April 2024
ECONBIZ NEWS

‘บีโอไอ’ ชี้!! ยอดลงทุน 6 เดือน พุ่ง 3.6 แสนล้าน ‘พริงเกิลส์-โลตัส บิสคอฟ’ ขยายฐานการผลิตในไทยต่อ

(11 ก.ค. 66) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ ‘บีโอไอ’ เปิดเผยสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน) ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมรวมทั้งสิ้น 891 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

สำหรับคำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวน 464 โครงการ มูลค่ารวม 286,930 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ

นอกจากการขยายการลงทุนของผู้ประกอบการรายเดิมทั้งไทยและต่างชาติแล้ว ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ได้มีบริษัทระดับโลกหลายรายตัดสินใจขยายฐานผลิตมาที่ประเทศไทย เช่น บริษัท พริงเกิลส์ ผู้ผลิตมันฝรั่งแผ่นจากสหรัฐอเมริกา และบริษัท โลตัส บิสคอฟ ผู้ผลิตบิสกิตชื่อดังแบรนด์ ‘Lotus Biscoff’ สัญชาติเบลเยี่ยม เป็นต้น 

‘ประเทศไทย’ ติด 1 ใน 10 ประเทศน่าอยู่หลังเกษียณ ต่างชาติพอใจราคา ‘ค่าครองชีพ-ที่พัก-รักษาพยาบาล’ 

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) เผยผลสำรวจ 10 ประเทศที่น่าพำนักอยู่หลังเกษียณ (10 Cheapest Places To Live After Retiring) ปี 2023 จากการจัดอันดับของ Annual Global Retirement Index

ผลสำรวจนี้ประมวลข้อมูลจากค่าครองชีพ สภาพอากาศ วีซ่า ค่าอาหาร ที่พัก และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ที่อาจอยู่ได้โดยแทบไม่ต้องทำงาน หรือใช้เงินจำนวนมาก

โดย 10 ประเทศที่น่าพำนักอยู่หลังเกษียณ ได้แก่ 
1.โปรตุเกส  
2.เม็กซิโก 
3.ปานามา 
4.เอกวาดอร์ 
5.คอสตาริก้า 
6.สเปน 
7.กรีซ 
8.ฝรั่งเศส 
9.อิตาลีและไทย

สำหรับ ‘ประเทศไทย’ คว้าอันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 9 ของโลก (เท่ากับอิตาลี) ถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดในโลก แม้การท่องเที่ยวจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% ของจีดีพี แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตผ่อนคลาย สนุกสนาน และเต็มไปด้วยการผจญภัย

และยังแนะให้ผู้สนใจเลือกใช้ชีวิตทั้งในกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงสีและตึกใหญ่ หรือเลือกอยู่ในจังหวัดภาคเหนือที่อากาศเย็นสบาย

ส่วนค่าใช้จ่ายเรื่องที่อยู่อาศัยไม่แพง สามารถเลือกซื้อคอนโดมิเนียมขนาด 2 ห้องนอนได้ในราคาไม่ถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเลือกเช่าได้ในราคาเพียงเดือนละ 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น

บีโอไอ เผย รถยนต์อีวีจีน ปักหมุดฐานผลิตในไทย ดันมูลค่าลงทุนจากแดนมังกรปีนี้ทะลุ 7.7 หมื่นลบ.

บีโอไอนำธุรกิจไทยโรดโชว์จีน ร่วมมหกรรมแสดงสินค้าที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคตะวันตก เปิดเวทีจับคู่ธุรกิจ ดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมอีวี - พลังงานสะอาด

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุน ณ มหานครฉงชิ่ง และนครเฉิงตู มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 28 - 30 มิ.ย. 2566 โดยคณะได้พบกับผู้บริหารของบริษัทรถยนต์ EV รายใหญ่ของจีน ได้แก่ บริษัท ฉงชิ่ง ฉางอัน ออโตโมบิล จำกัด และบริษัท เฌอรี่ ออโตโมบิล จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ EV อันดับที่ 5 - 6 ของจีน โดยได้หารือกันถึงความคืบหน้าของแผนการลงทุนในประเทศไทย นโยบายส่งเสริมการลงทุนและมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของไทย

นอกจากนี้ บีโอไอได้นำคณะผู้ประกอบการจากสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย เข้าร่วมงานมหกรรมแสดงสินค้าที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคตะวันตกของจีน (WCIF) ซึ่งถือเป็น 1 ใน 10 งานระดับชาติของจีน และประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นประเทศเกียรติยศ เพียงประเทศเดียวในการจัดงานครั้งนี้ โดยภายในงาน บีโอไอได้ร่วมกับมณฑลเสฉวนและสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู จัดสัมมนาในหัวข้อ China (Sichuan) - Thailand Investment Cooperation Conference โดยบีโอไอ ได้นำเสนอโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่จีนมีความเชี่ยวชาญ เช่น EV, อิเล็กทรอนิกส์, ดิจิทัล และ BCG รวมทั้งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งนครเฉิงตู และศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีแห่งเมืองเทียนฟู จัดกิจกรรมสัมมนาและเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการจีนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม รวมทั้งระบบชาร์จไฟฟ้าและอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน เป็นต้น โดยบีโอไอได้นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานจับคู่ธุรกิจหลายราย เช่น สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย และบริษัทในกลุ่ม ปตท., ทีซีซี และสหยูเนี่ยน เป็นต้น

นายนฤตม์ กล่าวว่า จากการเข้าพบบริษัท ฉางอัน ออโตโมบิล จำกัด บริษัทได้ให้ความสำคัญกับประเทศไทย และยืนยันแผนการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทย ด้วยเงินลงทุนในเฟสแรกประมาณ 9,000 ล้านบาท เพราะเล็งเห็นถึงโอกาสของตลาดไทยและภูมิภาคอาเซียน และความพร้อมของไทยในการเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ที่โดดเด่นของภูมิภาค โดยบริษัทมีแผนเปิดตัวรถยนต์ EV ในไทยช่วงปลายปีนี้ สำหรับการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยได้เตรียมการฝั่งประเทศไทยพร้อมหมดแล้ว รอเพียงการอนุมัติในขั้นตอนสุดท้ายจากรัฐบาลจีนเท่านั้น

สำหรับบริษัท เฌอรี่ ออโตโมบิล จำกัด บีโอไอได้หารือกับผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านการลงทุนต่างประเทศของบริษัท ซึ่งมองว่าไทยเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่เหมาะสำหรับการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขับพวงมาลัยขวา เพื่อส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยบริษัทให้ความสนใจประเทศไทยอย่างมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรและพิจารณารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมในไทย ในส่วนของการเข้าสู่ตลาดไทย บริษัทมีแผนนำรถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV รุ่น OMODA 5 เข้ามาเปิดตลาดในไทยเป็นรุ่นแรกในช่วงต้นปี 2567 เพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย

“จากการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์ EV รายใหญ่ของจีนทั้งสองราย มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ EV พวงมาลัยขวา เพราะมีความพร้อมด้านระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ และมีตลาด EV ที่เติบโตสูงที่สุดในภูมิภาค ซึ่งบีโอไอได้ตอกย้ำมาตรการสนับสนุน EV แบบครบวงจรของภาครัฐ รวมทั้งความต่อเนื่องของนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม EV เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับประเทศไทย ได้ชื่อว่า เป็นฐานการผลิตรถยนต์อีวีที่สำคัญของค่ายรถยนต์จากจีน หลายค่ายได้ขยายการลงทุนมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัท GAC AION New Energy Automobile หรือ GAC AION ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศจีน ซึ่งมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 2.7 แสนคันในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 6 แสนคันในปีนี้ ทางบริษัทฯ ได้ตอบรับเดินหน้าลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้เงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 6,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค. - พ.ค.) มีโครงการจากจีนยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 93 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 31,000 ล้านบาท ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 แซงหน้าญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน และเคมีภัณฑ์

และคาดว่า ตลอดทั้งปี 2566 จะมีโครงการจากจีนยื่นขอรับการลงทุนมากกว่าปี 2565 ที่มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท ได้อย่างแน่นอน

‘เศรษฐา’ เตือน ศก.ไทยอยู่บนปากเหว ‘ส่งออกติดลบ-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ พร้อมแนะ!! ภาคธุรกิจ ‘รักษากระแสเงินสด’ และบริหารองค์กรให้ดีที่สุด

(9 ก.ค. 66)เศรษฐา ทวีสิน อดีตประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย บรรยายเรื่อง “Thailand’s Tomorrow & What Needs to be Done!” ในงานสัมมนาของข่าวหุ้นธุรกิจ 

เศรษฐาได้ให้ความเห็นว่า ตอนนี้เศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ปากเหว เนื่องจากตัวเลขส่งออกติดลบ อีกทั้งสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยพุ่งทะลุกว่า 90% ของ GDP ทะยานแตะ 16 ล้านล้านบาท การลงทุนจากต่างประเทศก็ชะงัก เพราะไม่แน่ใจในทิศทางของรัฐบาลใหม่ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นต่างๆ 

ขณะเดียวกัน อีกสามเดือนจะเข้าช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ปัญหาต่างๆก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีน, โลจิสติกส์ภายในประเทศ, สายการบิน และเรื่องของการบริหารจัดการสนามบินภายในประเทศที่ยังคงเป็นปัญหา ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่จะต้องดูแลอย่างเร่งด่วน

และจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ทำให้ตลาดทุนไม่เชื่อมั่นมองว่า ตลาดทุนเป็นตัวชี้นำอย่างหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกได้ถึง Sentiment ของนักลงทุน หากมีปัญหาในการโหวตนายกรัฐมนตรี การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า งบประมาณปี 2567 ไม่ได้ 

ดังนั้นเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น การแข่งขันจบลง และภาคประชาชนได้ทำการเลือกแล้ว เขามองจึงอยากให้การโหวตนายกฯ เป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองไม่แตกแถว และยินดีสนับสนุนคุณพิธา เป็นนายกฯคนที่ 30 ของประเทศไทย

ส่วนของความคาดหวังภาพรวมเศรษฐกิจไทยหลังจากการจัดรัฐบาลสำเร็จ เศรษฐา ประเมินว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีเรื่องดีๆอีกเยอะ เพียงแต่ว่าต้องการผู้นำที่เป็น ‘ผู้นำ’ จริงๆ ต้องการรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย และคำนึงถึงประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้นเชื่อว่าหากจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว เศรษฐกิจไทยจะขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี และตลาดหุ้นก็จะไปในทิศทางที่ดีอย่างแน่นอน

เมื่อมีคำถามว่า วิกฤตการเงินตอนนี้กับวิกฤตเศรษฐกิจอะไรหนักหนากว่ากัน เศรษฐามองว่า วิกฤตเศรษฐกิจนั้นมีอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกำลังซื้อ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ไม่เหมือนกับเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือสมัยก่อนต้มยำกุ้งก็คงต่อสู้กันไปได้ แต่วิกฤตการเมืองของประเทศไทยตอนนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ 

จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่าประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ แต่เรื่องของจัดตั้งประธานสภาฯ ที่แม้จะมีปัญหา หรือเรื่องตัวนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้ แม้การเลือกตั้งจะจบลงไปแล้วกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ช้าเรื่องของการทำเรื่องงบประมาณปี 2567 ก็จะล่าช้าไปด้วย แต่หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในอาทิตย์แรกของเดือนสิงหาคม งบประมาณปี 2567 จะถูกใช้ได้อย่างเร็วสุดคือ 15 มีนาคม 2567 

และทราบว่างบประมาณแผ่นดินของไทย หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศไทย ในแต่ละปีงบประมาณ ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีจึงนับเป็นปัญหาใหญ่ 

ดังนั้นในฐานะของคนทำธุรกิจท่ามกลางวิกฤติเช่นนี้ควรจะต้องมีส่วนช่วยในการสนับสนุนให้มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ หากไม่ได้ ณ วันนั้นก็จะต้องทำให้เกิดขึ้นได้เร็วที่สุด 

ในส่วนของเรื่องเศรษฐกิจแม้จะมีปัญหาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของหนี้ครัวเรือนที่สูงมากถึง 90% ปัญหาเรื่องการส่งออกที่ตกต่ำมาโดยตลอด และหลายๆ เรื่องน่าเป็นห่วง ก็อยากให้มองว่าแม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤต แต่ก็ยังคงมีโอกาส ซึ่งประเทศไทยมีดีในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว ความมั่นคงทางด้านอาหาร ก็เป็นเรื่องที่เราควรให้ความสนใจ และจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ในปัจจุบันมีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้น แต่เรื่องของวีซ่ายังคงเป็นปัญหา ซึ่งหลายๆ เรื่องต้องได้รับการดำเนินการอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นเมื่อไปถึงช่วงไฮซีซั่นตอนเดือนตุลาคมก็จะเกิดปัญหาได้ 

ฉะนั้นหากทำทุกอย่างได้เร็วตามที่วางไว้ จากวิกฤตทั้งหมดก็อาจจะบริหารจัดการยากขึ้น และท้าทายมากขึ้น ฉะนั้น ‘ล็อกทางการเมือง’ ก็นับว่าทำให้เกิดการ ‘ติดล็อกทางเศรษฐกิจ’ ด้วยอย่างมีนัยสำคัญ 

ขณะเดียวกันทางด้านนักลงทุนอยากให้ความชัดเจนของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้อง หากดูตัวเลขเสถียรภาพทางเศรษฐกิจก็ไม่มีจุดใดที่ไม่มีเสถียรภาพ

ทั้งนี้หากเป็นนักลงทุนควรจะต้องรักษากระแสเงินสดให้ดี เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากกำลังซื้อเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องจับตามองและที่สำคัญตอนนี้ทุกคนคอยรัฐบาลใหม่ อย่างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะต้องพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศก็ยังคอยความชัดเจน และหนี้ครัวเรือนก็เป็นเรื่องสำคัญ

สำหรับคีย์สำคัญที่จะทำให้เราได้รู้ว่าต่อไปเราจะตัดสินใจอย่างไรนั้นคือ ต้องดูเรื่องของการเมือง รักษากระแสเงินสด บริหารจัดการองค์กรของตนเองให้ดี เข้าใจลูกค้าตนเอง และพยายามเปิดตลาดใหม่ๆ เพราะปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล การเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ จึงจะเป็นผลดีต่อภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นอะไรที่นักธุรกิจหลายคนค่อนข้างทราบพอสมควร

ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่คุณเศรษฐาได้มีการบริหารกิจการตัวเองก็มีการปรับตัวมาโดยตลอด ดังนั้นขอบเขตการรอถึงแค่จุดจุดหนึ่งเท่านั้น ทั้งสายป่านก็ดี เงินใช้จ่ายก็ดี เงินหมุนของภาคธุรกิจก็ดี สิ่งเหล่านี้ที่สุดความสามารถในการปรับตัวถึงได้แค่จุดจุดหนึ่งหรือไม่นั้น หากย้อนไปก่อนสมัยต้มยำกุ้งบริษัทเอกชนทั้งหลายที่ประสบปัญหามามีการเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบลงทุนค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจทั้งหลายได้ถูกยกระดับขึ้นมาสูงมาก จึงนับว่าภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ฉะนั้นจะเห็นอะไรหลายๆอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เราทุกคนเสมือนอยู่ในสงครามแต่กระนั้นท่ามกลางวิกฤต ย่อมมีโอกาส แต่ว่าโอกาสที่จากนี้ไปที่คนไทยทั้งประเทศควรจะได้ และในสายตาเวทีโลกจะกลับมาชื่นชมประเทศไทยได้ดีขึ้นกว่าเดิมเหมือนกับหลายทศวรรษที่ผ่านมา 

เศรษฐา กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน หลายๆ เรื่องที่เราคาดไม่ถึงอย่างเช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลที่เรามีอยู่ เวลานักลงทุนเข้ามาลงทุนจะมีการย้ายถิ่นพำนักเข้ามาจากประชากรจะต้องมองตรงจุดนี้ด้วย อีกทั้งเรื่องของ Internet โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งหลายเป็นต่อประเทศ ดังนั้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งหนี้เสียก็สูงขึ้นจากตัวเลขที่สูงขึ้นอย่างมีนัย ดังนั้นจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะงบดุลของบริษัทเอกชนทั้งหลายแข็งแกร่งมาก 

รวมทั้งเขามองว่า 2-3 เดือนล็อกการเมืองต้องคลาย ดังนั้นหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ดี ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีตลาดทุนก็จะกลับมาคึกคัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากการที่ได้ลงพื้นที่ไปพบว่าภัยแล้งก็ถือเป็นปัญหาสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากลงไปถึงระดับฐานราก โดยพบว่าประเทศไทยพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเยอะมาก แม้จะเป็นเพียงแค่ 10% ของ GDP ก็ตาม แต่กลับมีคนที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมสูงถึง 40 ล้านคน 

และหากจะถามว่ามีแสงสว่างอะไรไหมภายใต้ความมืดมนนี้ ก็จะมี 11 ขุนพล ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของแต่ละสาขา แต่ประเทศไทยมีข้อดีจำนวนมาก และมีโอกาส ดังนั้นเราต้องการรัฐบาลที่แข็งแกร่ง และการจัดตั้งรัฐบาลที่เร็วที่สุด เพราะหลายๆ เรื่องไม่สามารถผลักดันได้หากไม่มีรัฐบาล อย่างเช่นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะไม่มาแน่นอนหากไม่มีรัฐบาลใหม่ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในขณะนี้ 

ดังนั้นภายใต้วิกฤตที่มี ‘โอกาส’ ก็มี นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องกลับมาดูตัวเอง ในบ้านตัวเองทั้งบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทขนาดใหญ่ ต้องกลับมาดูกระแสเงินสดเป็นส่วนสำคัญ รวมทั้งการบริหารจัดการภายในองค์กร การหาตลาดใหม่ๆ ก็สำคัญ เพราะด้วยการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลให้ดีมานด์ต่างๆ หดหายไป ดังนั้นถ้าเราสามารถไปเปิดตลาดใหม่ๆ ได้ก็จะเป็นโอกาสที่ดี และธุรกิจใหม่ๆ ในประเทศไทยอย่างธุรกิจความมั่นคงทางด้านอาหาร หรืออาหารแห่งอนาคตเป็นเรื่องที่เราสามารถ Build on จากภาคเกษตรกรรมของเราได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือบริหารจัดการเรื่องน้ำให้ดีเป็นอันดับแรก

‘พงษ์ภาณุ’ แนะดู ‘อินเดีย’ เป็นแบบอย่าง หลังผงาดทาบรัศมีมหาอำนาจโลก

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 66 โดยระบุว่า ในความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก อินเดียได้กลายเป็นประเทศที่เนื้อหอมที่สุดในสายตามหาอำนาจของโลก สัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐ อเมริกา ได้เชิญนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดีมาเยือนสหรัฐฯ แบบ state visit และกล่าวปาฐกถาในการประชุมร่วมของสภาคองเกรสอีกด้วย ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ผู้นำประเทศน้อยคนจะได้รับ

ประเทศไทย สามารถเรียนรู้จากความสำเร็จของอินเดียได้ในหลายมิติ อินเดียภายใต้ผู้นำ นเรนทรา โมดี ได้มีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วและทั่วถึง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ปัจจุบันคนเชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่นอกประเทศประสบความสำเร็จก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลและธุรกิจสำคัญหลายแห่ง

นโยบายการทูตและการต่างประเทศที่มีความสมดุล (Balance) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้อินเดียได้ประโยชน์จากโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และขั้วอำนาจโลก อินเดียเริ่มเอนเอียงเข้าหาสหรัฐฯและตะวันตกมากขึ้น หลังจากอิงรัสเซียมาตลอดหลังได้อิสรภาพ ด้วยเล็งเห็นโอกาสจาก Global Supply Chains ที่กำลังกระจายออกจากจีน และจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมอย่างมีนัยสำคัญ ย่างก้าวของอินเดียอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอำนาจเก่าในรัสเซียกำลังถดถอยลง

พร้อมกันนี้ นายพงษ์ภาณุ ยังแนะด้วยว่า ควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เหตุค่าเงินเยนของญี่ปุ่นได้ตกต่ำมาเป็นระยะหนึ่งและยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากกลัวว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะกลับเข้าสู่ภาวะตกต่ำอีก ผลจากค่าเงินเยนตกต่ำทำให้ดุลการท่องเที่ยวไทย-ญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ วันนี้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่านักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่มาเมืองไทยแล้ว การค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศก็กำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงด้วย

นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ผ่าธุรกิจ MASTER ศูนย์ความงามระดับ ‘มหาชน’ โตไวเพราะ ‘เชี่ยวชาญ+แผนการตลาดขั้นเซียน’

ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมความงาม ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนมากลูกค้าหน้าใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น มักมาจากการบอกต่อ และการใช้บริการซ้ำๆ จากลูกค้าเดิมในธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ’ หรือ MASTER ศูนย์บริการด้านศัลยกรรมครบวงจรอันดับ 1 ก็ได้รับอานิสงส์นี้ด้วยเช่นกัน โดยในช่วงต้นปีมานี้ ได้โกยรายได้แตะ 435 ล้านบาท เติบโต 83% เทียบจาก Q1/65 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 237 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้นความน่าสนใจของธุรกิจความงามระดับมหาชนรายนี้ ยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นไปอีก โดยเรื่องนี้ นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล หรือ ‘หมอเส’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (MASTER) ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ ได้ให้มุมมองถึงทิศทางดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า... 

แนวทางในการขายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของ MASTER นั้น จะนำรูปแบบกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) มาประยุกต์ โดยวางหลักเกณฑ์ 3 เรื่องในการเข้าพิจารณาลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่ 1.ซื้อกิจการหรือธุรกิจที่มีแพชชัน เจ้าของเดิมยังบริหารต่อ และเติบโตไปด้วยกัน 2.เป็นกิจการหรือธุรกิจท้องถิ่น มีชื่อเสียง และความสัมพันธ์ที่ดีต่อพื้นที่นั้นๆ และ 3.มีการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างธุรกิจกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ 

เบื้องต้นในปีนี้ ทาง MASTER ได้เข้าไปร่วมลงทุนกับ บริษัท มีแพลนดี จำกัด ผู้ดำเนินกิจการคลินิกเสริมความงาม WIND Clinic ซึ่งมีประสบการณ์ในยกกระชับและปรับรูปหน้ายาวนานกว่า 10 ปี และมีผลิตภัณฑ์ รวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังมีชื่อเสียงและฐานลูกค้าหนาแน่นอย่างมากในโซนภาคอีสาน โดยปัจจุบัน WIND Clinic มีอยู่ด้วยกัน 2 สาขา ทั้งที่อุบลราชธานี และกรุงเทพฯ ซึ่งแต่ละสาขาก็มีความโดดเด่นด้วยสไตล์การตกแต่งแบบรีสอร์ตหรูหรา ให้บรรยากาศอันผ่อนคลาย ด้วยจุดเด่นนี้ ทำให้ WIND Clinic กลายเป็นพาร์ตเนอร์สุดล้ำค่าที่ตอบโจทย์การจับมือร่วมธุรกิจกับ MASTER เป็นอย่างยิ่ง

สำหรับการร่วมมือกันระหว่าง MASTER กับ WIND Clinic นั้น จะเป็นรูปแบบของการร่วมลงทุนกับพันธมิตร (มีการซื้อหุ้น) ซึ่งหมอเสเอง ก็ไม่มีนโยบายที่จะควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A) แต่จะเป็นการทำ Merger & Partnership (M&P) หรือการร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตร และไปช่วยเติมเต็มศักยภาพให้กับพาร์ตเนอร์ที่ไปร่วมลงทุน

“MASTER มีองค์ความรู้ในเรื่องของการจัดการบริหาร, การตลาด, การขาย และความเชี่ยวชาญในด้านศัลยกรรมที่ได้รับการยอมรับของในวงการและแพทย์ ฉะนั้นเราตั้งใจจะนำประสบการณ์ที่มีของ MASTER เข้ามาช่วยให้ธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่แล้ว เติบโตไปได้ยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันการที่ MASTERเลือกโฟกัสมายังจังหวัดอุบลราชธานีเพราะเราต้องการเปิดตลาด ต้อนรับกลุ่มลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจุบันต้องบอกว่าประเทศเพื่อนบ้านรอบไทยมาใช้บริการกับ MASTER เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย, สิงคโปร์, กัมพูชาและลาว ที่เป็นกลุ่มลูกค้าศักยภาพ ฉะนั้นจังหวัดอุบลราชธานีจึงเป็นชัยภูมิที่ดี ในการขยายโอกาสใหม่ๆ ให้กับทั้ง MASTER และ WIND Clinic ภายใต้แนวทาง ‘การกินแบ่ง ไม่กินรวบ’ ไม่ต้องวางตัวแข่งกับทุกคนทั่วประเทศ นี่คือคีย์สำคัญสำหรับการร่วมพาร์ตเนอร์ในครั้งนี้” หมอเส กล่าว

สำหรับรายได้ของ MASTER ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 1,490 ล้านบาท โดยในช่วงต้นปีนี้ (2566) Q1 มีรายได้แตะ 435 ล้านบาท เติบโต 83% เทียบจาก Q1/65 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 237 ล้านบาท นอกจากนี้ทาง MASTER ยังได้สร้างห้องผ่าตัดใหม่เพิ่มขึ้นอีก 10 ห้อง จากเดิมมีอยู่ 7 ห้อง เป็น 17 ห้อง จากเงินไอพีโอ มั่นใจ Q3 - Q4 จะเห็นการเติบโตที่สดใสรออยู่

‘นิพนธ์’ ร่วมเปิดงาน ‘MONEY EXPO HATYAI 2023’ ครั้งที่ 13 ชี้!! เป็นช่องทาง ‘SME-เกษตรกร’ เข้าถึงแหล่งทุนต่อยอดธุรกิจ

(7 ก.ค. 66) นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 13 MONEY EXPO HATYAI 2023 โดยมีนายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo Hatyai 2023 นางสาวภาคนี ประธานจัดงานร่วม ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน ผู้ประกอบการภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมในพิธีเปิด ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 และหาดใหญ่ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล หาดใหญ่  อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

นายนิพนธ์กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 13 MONEY EXPO HATYAI 2023 ที่ วารสารการเงินธนาคาร ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Green Finance for Green Living’ การเงินสีเขียว เพื่อชีวิตสีเขียว”

“ปัจจุบันความมั่นคงและความมั่งคั่งทางการเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง หลังจากที่เราได้ฟื้นตัวจากภาวะที่ได้ชะลอตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เราต้องเจอกับสภาวะของเศรษฐกิจ ดังนั้นการที่จะให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงในภาวะเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงินในช่วงต่าง ๆ ที่สำคัญการที่จะให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจเราเริ่มฟื้นตัว” นายนิพนธ์ กล่าว

นายนิพนธ์กล่าวต่อว่า “งานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ในครั้งที่ 13 ที่วารสารการเงินได้จัดขึ้น จึงเป็นโอกาสดี ที่จะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางได้มีโอกาสพบกับแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะเกษตรกรซึ่งถือว่ายังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ ทั้งยางพารา ปาล์ม และพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่คิดว่าพืชเศรษฐกิจที่จะเป็นดาวรุ่งตัวหนึ่ง เพราะพื้นที่ในจังหวัดสงขลาเริ่มมีการปลูกทุเรียนกันมากขึ้น ซึ่งจังหวัดยะลาเริ่มที่จะนำร่องไปก่อนแล้ว และก็จะทำให้ยะลาเป็นฮับ หรือศูนย์กลางการของทุเรียนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรามีสินค้าทุเรียนส่งออกไปยังจีน มูลค่าแสนกว่าล้านในขณะนี้ ฉะนั้นพืชเศรษฐกิจเหล่านี้จะเป็นรายได้หลักในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ฉะนั้นการที่จะได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนต่าง ๆ ของเกษตรกรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะมีโอกาสมากขึ้น ดังนั้นการจัดงานครั้งนี้จึงส่งผลดีให้เกิดรายได้ในทุกภาคทั้งเกษตร อุตสาหกรรม เพราะหลาย ๆ พื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นพื้นที่ภาคเกษตร ดังนั้นการกระจายแหล่งเงินทุนเข้าระบบอย่างนี้ จะทำให้เศรษฐกิจในภาคใต้มีความเข้มแข็งมากขึ้น การกระจายรายได้ การกระจายเงินเข้าสู่ภาคต่าง ๆ ก็จะทำให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น”

นอกจากนี้ ยังกล่าวอีกว่า “ผมเชื่อว่าวันนี้เรา มีคนที่เข้าสู่วัยแรงงาน มากขึ้น มีคนที่จบการศึกษาเข้าสู่แรงงานมากขึ้น แต่คนที่เป็นแรงงานใหม่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ดังนั้นทำอย่างไรให้คนเหล่านี้เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากขึ้น ผมเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ ที่เข้ามาก็จะให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ คน จบจากสถาบันต่าง ๆ ลดความต้องการที่จะไปเข้ารับราชการ มีแนวโน้มที่จะทำงานในกิจการของตนเองมากขึ้น ดังนั้นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เอสเอ็มอีต่างๆจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเหล่านี้ และก็สร้างโอกาสให้กับแรงงาน หรือกิจการใหม่ ๆ ซึ่งการที่วารสารการเงินการธนาคารได้จัดกิจกรรมเหล่านี้ จึงเป็นประโยชน์ในพื้นที่อย่างยิ่งในการอำนวยความสะดวกทั้ง แหล่งเงินทุน และคนที่คิดจะหาที่อยู่อาศัย ซึ่งก็จะใช้โอกาสนี้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ”

“ผมขอขอบคุณ คุณสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ได้จัดงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณ ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ ธนาคารของรัฐ สถาบันการเงินทุกท่าน ที่เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ในครั้งนี้ ที่ได้ร่วมกันสร้างความตื่นตัวแก่ธุรกิจและประชาชนในภาคใต้ ซึ่งจะมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ให้ก้าวหน้าต่อไป” นายนิพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับการจัดงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 13 MONEY EXPO  2023 HATYAI จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กรกฎาคม 2566 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 และ หาดใหญ่ ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ ภายใต้แนวคิด ‘Green Finance For Green Living การเงินสีเขียว เพื่อชีวิตสีเขียว’ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชน และธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการภาครัฐ และเอกชน สามารถเข้าถึง Green Financing มากที่สุด เพื่อร่วมกันฟื้นฟูโลกของเราให้กลับคืนมาเป็น ‘โลกสีเขียว’ ที่ยั่งยืนตลอดไป โดยผู้เข้าชมงานจะได้เลือกใช้บริการอย่างครบวงจรจากธนาคาร สถาบันการเงินที่เข้าร่วมงาน ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต สินเชื่อเอสเอ็มอี สินเชื่อเพื่อการส่งออก และนำเข้า เงินฝากทุกประเภท ประกันชีวิต ประกันภัย ประกันสุขภาพ รวมถึงการลงทุนในหุ้น พร้อมด้วยแคมเปญโปรโมชันพิเศษสุดในรอบปี สิทธิประโยชน์ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ และผลตอบแทนที่คุ้มค่าอีกมากมาย

AOT จ่อใช้ระบบสแกนใบหน้าขึ้นเครื่อง ยกระดับการบิน ไม่ต้องโชว์ ‘ตั๋ว - บัตรปชช.’

AOT เตรียมใช้การสแกนใบหน้า แทนโชว์ ‘ตั๋ว - บัตรประชาชน’ ยกระดับด้านบริการ นำร่องเปิดใช้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ - ดอนเมือง ภายในปี 2567

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า AOT อยู่ในระหว่างผลักดันและพัฒนาระบบ Biomatic เข้ามาใช้ในท่าอากาศยาน โดยจะมีระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (automated biometric identification system) เทคโนโลยี facial recognition (สแกนใบหน้า) เพื่อใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสาร หลังผู้โดยสารเช็กอินผ่านเคาน์เตอร์, ผ่านระบบมือถือ หรือเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ 

หลังจากนั้นระบบ biometric จะนำข้อมูลใบหน้าผู้โดยสารมาสร้างเป็นข้อมูล One ID เก็บไว้ ส่งผลให้ผู้โดยสารสามารถเข้าใช้บริการจุดต่าง ๆ ภายในสนามบิน ไม่ว่าจะเป็น จุดตรวจค้นสัมภาระ จุดตรวจบัตรโดยสารก่อนขึ้นเครื่อง ณ ประตูทางออกขึ้นเครื่องได้ด้วย โดยไม่จำเป็นต้องใช้การยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนคู่กับ boarding passอีกต่อไป

ผู้โดยสารที่มาเช็กอินที่เคาน์เตอร์เช็กอินปกติ หรือที่เครื่อง CUSS หากผู้โดยสารให้การยินยอมใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ระบบ biometric จะนำข้อมูลใบหน้าผู้โดยสารผสานรวมกับข้อมูลการเดินทางของผู้โดยสาร สร้างเป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการตรวจสอบยืนยันตัวตน เรียกว่าข้อมูล One ID

เมื่อดำเนินการสำเร็จ ผู้โดยสารจะใช้เพียงใบหน้าสแกนเพื่อโหลดกระเป๋าสัมภาระที่เครื่อง CUBD รวมถึงใช้ยืนยันตัวตนแทนการใช้ boarding pass ณ จุดตรวจค้น และในขั้นตอนการตรวจบัตรโดยสารก่อนขึ้นเครื่อง ณ ประตูทางออกขึ้นเครื่องด้วย โดยทุกขั้นตอนไม่ต้องแสดงหลักฐานตั๋วโดยสารและบัตรประชาชน

โดยระบบ biometric ใช้เวลาน้อย มีความแม่นยำสูง และช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวในการตรวจสอบแต่ละจุดให้บริการ ซึ่งขณะนี้ AOT ได้ติดตั้ง พัฒนาและอยู่ระหว่างทดสอบระบบร่วมกับสายการบิน คาดว่าจะมีความพร้อมให้บริการในช่วงกลางปี 2567

‘สตาร์บัคส์’ ลั่น!! เปิดร้านในไทยให้ได้ 800 สาขาในปี 2030 พร้อมตั้งเป้าขยายร้านกาแฟชุมชนให้ครบ 8 แห่งภายในปีเดียวกัน

ไม่นานมานี้ ‘เนตรนภา ศรีสมัย’ กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า การเดินทางกว่า 25 ปีของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย ทำให้แบรนด์มีร้านสาขาทั่วประเทศถึง 465 สาขา เป็นสาขาหลัก 396 สาขา, ไดรฟ์ทรู 56 สาขา และสตาร์บัคส์รีเสิร์ฟ 13 สาขา 

“สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ซึ่งมีพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) กว่า 4,300 คนที่ร่วมกันส่งมอบประสบการณ์สตาร์บัคส์ในทุกวัน ให้บริการลูกค้ามากกว่า 800,000 คนในทุกสัปดาห์ ยังคงเดินหน้าในการสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับลูกค้าและชุมชน พร้อมมองหาโอกาสในการสร้างสัมพันธภาพที่มากขึ้นผ่านแก้วกาแฟ”

ทั้งนี้ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนร้านสาขาจนครบ 800 แห่ง พร้อมกับร้านกาแฟเพื่อชุมชนครบ 8 แห่งภายในปี 2030 เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะเร่งการเติบโตในไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีพลวัตมากที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่ไปกับการกระชับความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

สำหรับร้านกาแฟสตาร์บัคส์เพื่อชุมชน (Starbucks Community Store) ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นร้านสาขาที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้พาร์ทเนอร์ สามารถเป็นส่วนหนึ่งและมีส่วนร่วมกับชุมชนในรูปแบบเฉพาะ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละร้านสาขา

และล่าสุดสตาร์บัคส์ได้เปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนสาขาที่ 2 ที่ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยรายได้ 10 บาทจากการจำหน่ายกาแฟทุกแก้ว จะได้รับการแบ่งปันอย่างเท่าเทียมกันให้แก่ 2 องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร

ซึ่งได้แก่ มูลนิธิพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (Integrated Tribal Development Foundation – ITDF) และ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (Scholars of Sustenance – SOS)

นอกจากนี้ ร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งใหม่นี้ ยังสอดคล้องกับพันธกิจของสตาร์บัคส์ที่จะเปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนให้ได้ทั้งหมด 1,000 แห่งทั่วโลกภายในปี 2030 ด้วย

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย บอกว่า เหตุผลที่เลือกไอคอนสยามเป็นร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งที่ 2 ต่อจากสาขาแรกที่หลังสวน เนื่องจากสาขาไอคอนสยามเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในไทย มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมากทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ และนั่นหมายถึงเกิดโอกาสที่จะมีรายได้ไปแบ่งปันให้กับชุมชนมากขึ้นด้วย

“ร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งใหม่ที่ไอคอนสยามนี้ สะท้อนคำมั่นสัญญาของแบรนด์สตาร์บัคส์ในการสร้างความเป็นไปได้แบบไร้ขีดจำกัดเพื่อการเชื่อมโยงสัมพันธภาพระหว่างผู้คน และการก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของไทย” เนตรนภา กล่าวเสริม

‘BYD Dolphin’ เคาะราคาแล้ว 6.9 แสนบาท ล็อตแรกพร้อมส่งมอบให้ผู้จอง 17 ก.ค. นี้

เมื่อวานนี้ (6 ก.ค. 66) บริษัท Rêver Automotive จำกัด  เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าอีวี รุ่นที่ 2 เป็นรุ่นที่ถัดมาจากรุ่น ATTO 3 ซึ่งขายดีตีตลาดอย่างถล่มทลาย ด้วยยอดขายกว่าหมื่นคันภายในระยะเวลาอันสั้นไม่กี่เดือน ‘BYD Dolphin’ รถไฟฟ้าสไตล์ Hatchback ขนาดเล็ก ได้เปิดตัวพร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยได้เปิดตัวมาพร้อมกันทั้งสิ้น 2 รุ่น เริ่มต้นกันที่รุ่น BYD Dolphin Standard Range ที่มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดย่อมเยา 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ BYD Blade Battery ขนาด 44.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้รถไฟฟ้าใหม่คันนี้สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดที่ 410 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จไฟระบบ DC ได้สูงสุด 60 กิโลวัตต์ ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 12 วินาที

ส่วนรุ่นท็อปสุด BYD Dolphin Extended Range รถใหม่ 2023 เป็นรถไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังแรงระดับ 204 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ BYD Blade Battery ขนาด 60.48 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้รถไฟฟ้าใหม่คันนี้สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดที่ 490 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จไฟระบบ DC ได้สูงสุด 80 กิโลวัตต์ ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 7 วินาที

การดีไซน์นั้นถือได้ว่ามีความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรูปร่างของ โลมา ที่มีทั้ง ตา ปาก และ รูปทรง ของตัวรถ และเมื่อตอนขับด้วยความที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งมีความเงียบ ดังนั้นก็จะมีเสียงของโลมา “อุ๋ง อุ๋ง” เพื่อบอกเตือนผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนนร่วมกัน และก็ยังมีเสียงเตือนหากลืมคาดเข็มขัดนิรภัยที่เป็นเสียงราวกับอยู่ในท้องทะเลอีกด้วย

สำหรับ BYD Dolphin เปิดราคาไว้กับทั้ง 2 รุ่นดังนี้...
•BYD Dolphin Standard Range ราคา 699,999 บาท
•BYD Dolphin Extended Range ราคา 859,999 บาท

ทั้งนี้ รถไฟฟ้า BYD Dolphin เปิดรับจองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ตัวแทนจำหน่ายทุกแห่ง และจะเริ่มส่งมอบคันแรกให้แก่ผู้จองได้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top