Sunday, 4 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ตร. ตีแผ่ กลลวง มิจฉาชีพ ตีเนียน ปลอมเสียงเป็นคนรู้จักโทรหลอกยืมเงิน ความจริงอาจไม่ได้ใช้ AI อย่างที่คิด

วันนี้ ( 20 ตุลาคม 2566) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงทางโทรศัพท์ หรือที่เรียกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีรูปแบบในการหลอกลวงที่หลากหลาย แตกต่างกัน โดยรูปแบบหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยคือการปลอมเสียงเป็นคนรู้จักโทรศัพท์หาผู้เสียหายเพื่อหลอกยืมเงิน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอมาตีแผ่หนึ่งในเทคนิคกลลวงของกลุ่มคนร้ายปลอมเสียงคนรู้จักเพื่อหลอกยืมเงิน ซึ่งอาจใช้วิธีการที่ง่ายกว่าที่เราคิด และไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมดัดแปลงเสียงต่าง ๆ หรือต้องมีข้อมูลรูปแบบเสียงคนรู้จักของเราแม้แต่น้อย

ซึ่งวิธีการที่พบคือ คนร้ายจะโทรศัพท์หาเป้าหมายแล้วทำทีพูดว่า “จำได้ไหมนี่ใคร” “จำเพื่อนได้รึเปล่า” หรือ “แค่ไม่สบายเสียงเปลี่ยน เปลี่ยนเบอร์โทรนิดหน่อย ก็จำกันไม่ได้แล้วหรือ” แล้วจะพยายามให้เหยื่อพูดชื่อมาก่อน ซึ่งหากเสียงของคนร้ายมีความคล้ายกับเสียงเพื่อนหรือคนรู้จักของเราจริง ๆ แล้วเราพูดชื่อของคนนั้นออกไป คนร้ายก็จะสวมรอยเป็นคนนั้นทันที

จากนั้นคนร้ายก็จะชวนคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเพื่อสร้างความเชื่อใจ แล้วทำทีว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินโดยอ้างว่า แอปธนาคารล่ม, มีแต่เงินสดโอนเงินไม่ได้, มีเหตุด่วนต้องใช้เงิน หรือเหตุผลความจำเป็นอื่น ๆ เพื่อหลอกให้เราโอนเงินให้กับคนร้ายต่อไป

จากกรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า คนร้ายจะใช้เทคนิคในการหลอกล่อให้เราพูดชื่อคนรู้จัก ที่เสียงเหมือนกับคนร้ายออกไป จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เสียหายมักจะเชื่อโดยสนิทใจ ว่าคนที่คุยด้วยคือคนรู้จักจริง ๆ เพราะเป็นคนพูดออกไปเองว่าเสียงของคนร้ายเหมือนเสียงของใคร และทำให้ผู้เสียหายไม่ทันระวัง หลงเชื่อโอนเงินตามที่คนร้ายขอนั่นเอง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อบุคคลที่ติดต่อมาทางโทรศัพท์อ้างว่าเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก โดยเฉพาะการติดต่อจากเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก เพราะอาจเป็นคนร้ายที่มาแอบอ้างหลอกยืมเงินได้

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากคนร้ายที่ปลอมเสียงคนรู้จักแอบอ้างหลอกยืมเงิน สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือสถานีตำรวจในท้องที่ที่ท่านทราบการกระทำความผิด ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับ Ambassdor Cindy Dyer เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา สำนักงานตรวจสอบและต่อต้านการค้ามนุษย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ในโอกาสเข้าร่วมประชุมหารือการปราบปรามการค้ามนุษย์ในประเทศไทย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับ Ambassdor Cindy Dyer เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา สำนักงานตรวจสอบและต่อต้านการค้ามนุษย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในโอกาสร่วมประชุมหารือการปราบปรามการค้ามนุษย์ในประเทศไทย 

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2566 เวลา 15.00 น.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร., พล.ต.ท.อาชยน  ไกรทอง ผบช.ประจำฯ/ผู้ช่วย ผอ.ศพดส.ตร.,พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำฯ/ผู้ช่วย ผอ.ศพดส.ตร., พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ที่ปรึกษา ศพดส.ตร., พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท., พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์  สุริยฉาย ผบก.สอท.4, พล.ต.ต.ศารุต แขวงโสภา ผบก.ปคม, นายเชษฐพันธ์ มาสัมพันธ์  อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้, นางจตุพร แสงหิรัญ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีค้ามนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด ,เรือเอก สาโรจน์ คมคาย ที่ปรึกษากฎหมาย กระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ,น.ส.ซาราห์  บินเย๊าะ ที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ,นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ,นายอาริชย์  ทัศน์พันธุ์ รองผู้อำนวยการกองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ,นายประเทศ  ซอรักษ์  ผู้ตรวจราชการกรมประมง และ ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์ รองอธิบดีกรม การปกครอง ให้การต้อนรับ Ambassdor Cindy Dyer United States Ambasssador-at-Large to Monitor and Combat Trafficking in Persons, Ms.Jamie Sutter staff assistant to Ambassador Dyer และ Ms.Alexandria Boling staff assistant to Ambassador Dyer 

ในโอกาสร่วมประชุมหารือการปราบปรามการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ณ ห้องรับรองพรหมนอก อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในโอกาสนี้ทาง Ambassdor Cindy Dyer เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา สำนักงานตรวจสอบและต่อต้านการค้ามนุษย์  ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวขอบคุณผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ในประเทศไทย มีการวางแนวทางและดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังมีผลปฏิบัติเป็นรูปธรรมในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา จากนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เชิญ  Ambassdor Cindy Dyer เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา สำนักงานตรวจสอบและต่อต้านการค้ามนุษย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และคณะ ร่วมประชุมกับคณะทำงานต่อต้านการค้ามนุษย์ประเทศไทย เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาค้ามนุษย์ในประเทศไทย ณ ห้องประชุมศรียานนท์ อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวว่า จากการประชุมหารือกับ Ambassdor Cindy Dyer เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา สำนักงานตรวจสอบและต่อต้านการค้ามนุษย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และคณะ นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพร้อมและมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย อย่างจริงจัง มีการวางแนวทางการปฏิบัติ และมีผลการปฏิบัติที่เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการดำเนินการที่ต้องการความร่วมมือจากทางสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยขับเคลื่อนแนวทางการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย เกี่ยวกับประเด็นการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ทาง Ambassdor Cindy Dyer เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา สำนักงานตรวจสอบและต่อต้านการค้ามนุษย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา รับทราบผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ได้กล่าวชื่มชม และแสดงความพึงพอใจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความจริงจังกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งรับทราบข้อเสนอแนะที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ และสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในระดับภูมิภาคได้ ในอนาคตต่อไป

ผบ.ตร.ต้อนรับทูตตำรวจจีนประจำประเทศไทย เข้าพบเพื่อแสดงความยินดี พร้อมหารือความร่วมมือ ยกระดับมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ คอลเซ็นเตอร์ คดีออนไลน์ และการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวทุกมิติตามนโยบายรัฐบาล

วันนี้ (19 ต.ค.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ให้การต้อนรับ พล.ต.ต.เวิน หย่งกัง ที่ปรึกษาและผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย พร้อมคณะฯ ที่ขอเข้าพบเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหารือมาตรการความร่วมมือป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การดูแลอำนวยความสะดวกความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนตามนโยบายรัฐบาล โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อภิชาติ เพชรประสิทธิ์ ผบช.ส. , พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./โฆษก ตร. ,  พ.ต.อ.เดโช โสสุวรรณากุล รอง ผบก.ศฝร.บช.น. , พ.ต.อ. สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.ตท. ให้การต้อนรับ ณ ห้องพรหมนอก ชั้น 2 อาคาร 1 ตร.

ผบ.ตร.ได้ขอบคุณ พล.ต.ต.เวิน หย่งกัง ที่ปรึกษาและผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะฯ ที่ได้เข้าพบแสดงความยินดีในโอกาสได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้หารือกับผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจของจีน ในการแสวงหาความร่วมมือ บูรณาการในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมออนไลน์ ยาเสพติด ในการร่วมกันป้องกันปราบปรามทุกมิติ นอกจากนี้ ยังมีการหารือยกระดับมาตรการด้านท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวจีนตามนโยบายรัฐบาล ทั้งมิติการช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก การดูแลความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย

ทั้งนี้ การหารือความร่วมมือดังกล่าว เป็นไปตามนโยบาย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว รวมทั้งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่นายกรัฐมนตรี เพิ่งได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านสื่อสารมวลชนและสารสนเทศระหว่างกรมประชาสัมพันธ์กับกลุ่มสื่อแห่งชาติจีน (CMG)ไปเมื่อวานนี้”

Why We Buy: ศาสตร์แห่งการชอปปิง เรื่องไม่ลับ...อะไรทำให้คุณยอมควักเงินจ่าย

“หนังสือ Why We Buy : The Science of Shopping โดย Paco Underhill เล่มนี้เป็นวิทยาศาสตร์ ใครที่เป็นผู้ประกอบการแล้วไม่เคยอ่าน อยากซื้อของได้ราคาดีแล้วไม่เคยอ่าน ไม่อยากเป็นเหยื่อการตลาดแล้วไม่เคยอ่าน หรือใครที่อยากเป็นระดับผู้จัดการที่เก่งแล้วไม่เคยอ่าน ผมบอกเลยว่า...คุณพลาดแล้ว!”

‘หมอเส’ นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงหนังสือเล่มล่าสุดของสำนักพิมพ์มาสเตอร์พีช ‘Why We Buy ศาสตร์แห่งการชอปปิง’ ที่เจ้าตัวเคยอ่านและมีความประทับใจ จนถึงขนาดติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ต้นฉบับ และลิขสิทธิ์ต้นฉบับแปลภาษาไทย นำกลับมาสร้างความประทับใจและเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศาสตร์แห่งการชอปปิงในทุกมิติ

‘Why We Buy ศาสตร์แห่งการชอปปิง’ เคยเป็นหนังสือขายดีติดอับดับ Best Seller ในหลายประเทศ แปลมากกว่า 27 ภาษา โดยผู้เขียน ‘ปาโก อันเดอร์ฮิลล์’ ประธานผู้ก่อตั้งเอ็นไวโรเซล บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาด ใช้แนวคิดพื้นฐานของจิตวิทยาสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้ซื้อในการจัดโครงสร้างให้เอื้อต่อการขายปลีก เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวิเคราะห์แนวโน้มผู้บริโภค และมีลูกค้าสำคัญทั่วโลก อาทิ โค้ก ยูนิลีเวอร์ ซิตีแบงก์ ดิอาจิโอ ฯลฯ

ปาโกตั้งใจเขียนความเป็นอมตะของการชอปปิง ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสืออันมีคุณค่า โดยเฉพาะกับนักขาย นักการตลาด นักประชาสัมพันธ์และสื่อสารการตลาด เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ไม่ว่าสินค้าและบริการของคุณจะอยู่ในจุดไหนของตลาด ไม่ว่าสินค้าและบริการของคุณจะขายแบบออนกราวนด์ หรือออนไลน์ ก็สามารถนำ ‘ศาสตร์แห่งการชอปปิง’ ไปปรับเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เหมือนกันทั้งหมด

ยกตัวอย่างเช่น กระจกทำให้นักชอปปิงเดินช้าลง และมันเป็นเครื่องมือการขายที่สำคัญ นั่นเพราะคนเรามักใส่ใจและชอบดูตัวเอง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการชอปปิงไปจนถึงการทำศัลยกรรมตกแต่ง กระจกจึงเป็นผู้ช่วยที่ดีของคุณ กลิ่นหอมของขนมปังอุ่นๆ ที่เพิ่งออกจากเตาอบ เชื้อชวนและชักจูงให้นักชอปปิงเดินไปหาและหยุดอยู่ที่บริเวณขายขนมอบ ทั้งที่เอาเข้าจริงแล้ว เขาอาจไม่ได้อยากกินเบเกอรี แต่กลิ่นขนมปังหอมฟุ้งมันดันเตะจมูกเข้าอย่างจัง คนในญี่ปุ่นกับยุโรปเมื่อเดินเข้าไปในร้านค้า พวกเขามองไปคนละทางกัน และส่วนใหญ่มักหันไปตามตามเลนเวลาที่ขับรถ หรือทำไมการจัดวางสินค้าบางอย่างต้องอยู่ในระยะสายตา หรือมีการสับเปลี่ยนสินค้าในการวางแต่ละช่วงเวลา เหล่านี้มีการสังเกตการณ์และเก็บสถิติเพื่อเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคไว้เรียบร้อยแล้ว

ทำไมแผนกเครื่องแก้ว จานชาม ถึงต้องจัดโซนแก้วเบียร์วางรวมอยู่ข้างกันด้วย ทั้งที่จริงแล้วแก้วเบียร์ไม่ได้ทำกำไรให้ แต่ต้องมีเพราะผู้ชายจะได้ไม่มากวนใจ และปล่อยให้ผู้หญิงเลือกซื้อเครื่องแก้ว จานชามที่เธอชอบได้อย่างเป็นอิสระ

ทำไมเนกไทถึงมาวางอยู่ในโซนนี้ มันดูผิดที่ทาง แต่ขายได้...หนังสือเล่มนี้มีคำตอบ

‘Why We Buy ศาสตร์แห่งการชอปปิง’ เคยตีพิมพ์ฉบับภาษาไทยมาก่อนหน้านี้ และติดอันดับหนังสือขายดี ทว่าหายจากแผงหนังสือไปกว่า 10 ปี ครั้งนี้สำนักพิมพ์มาสเตอร์พีชได้นำต้นฉบับแปลเดิม โดย สุนิสา กาญจนกุล มาเรียบเรียงและตีพิมพ์ใหม่อีกครั้ง โดยความตั้งใจคือนำหนังสือดี มีประโยชน์ และขยายขอบข่ายศักยภาพการขายทั้งมิติของออฟไลน์และออนไลน์ในวงกว้าง  กลับสู่บรรณพิภพอักษรอีกครั้งหนึ่ง

“หลังจากอ่านจบ ผมเกิดความรู้สึกว่า ‘เจ๋ง’ โลกนี้สามารถคิดแบบนี้ได้จริงหรือ การค้าขายที่ดูเหมือนจะง่าย แต่แท้จริงแล้วมีรายละเอียดแบบนี้เลยเชียวหรือ มันมีรายละเอียดของศาสตร์เหล่านี้อยู่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ กับเมื่อทำความเข้าใจแล้วก็สามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในทุกด้าน

“วันนี้ที่ MASTER เติบโตจนมาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะเราเข้าใจลูกค้า เข้าใจทีมงาน เข้าใจหมอ เราเข้าใจในธุรกิจ ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือหนังสือเล่มนี้นี่ละครับ ทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนั้น และเมื่อทีมงาน ผู้บริหาร พาร์ตเนอร์ของเราได้อ่านหนังสือ ‘Why We Buy ศาสตร์แห่งการชอปปิง’ เล่มนี้ พวกเขาจะสามารถเข้าใจในแบบที่ผมเข้าใจด้วยเช่นกัน” หมอเสสรุป

ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อหนังสือ ‘Why We Buy ศาสตร์แห่งการชอปปิง’ ฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุดได้ที่ ตัวแทนจำหน่าย บริษัท เคล็ดไทย จำกัด โทร. 0-2225-9536-9 หรือ www.kledthai.com และมีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วมการประชุม International Police Summit 2023 แสวงหาความร่วมมือในระดับสากล เร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืนแก่ประเทศชาติและประชาชน

วันนี้ ที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล ที่มุ่งให้ความสำคัญ ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท ซึ่งในปัจจุบันมีแนวโน้มพัฒนารูปแบบเป็นอาชญากรรมข้ามชาติและมีลักษณะเป็นองค์กร ขนาดใหญ่ ทวีความรุนแรง เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอันมาก สมควรที่จะแสวงหาความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมบูรณาการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงในระดับสากลอย่างมีประสิทธิภาพ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมคณะ ประกอบด้วย พ.ต.อ.พงษ์เดช คำใจสู้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ และ พ.ต.อ.ศิลา ตันตระกูล ผกก.ฝ่ายความร่วมมือและกิจการระหว่างประเทศ ตท. เดินทางไปร่วมประชุม International Police Summit 2023 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 - 20 ตุลาคม 2566 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ร่วมกับ นาย Shahkar Fasai ที่ปรึกษาพิเศษ

ด้านงานตำรวจ องค์การสหประชาชาติ (UNPA) และหัวหน้าองค์กรตำรวจและผู้แทนจาก 34 ประเทศ ตลอดจนผู้แทน UNDPO, UNDP และ Europol โดยมีนาย Yoon Hee Keun ผบ.ตร.สาธารณรัฐเกาหลี และ นาย Cho Ji Ho รอง ผบ.ตร.สาธารณรัฐเกาหลี ให้การต้อนรับ ในการนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ และคณะ ได้เข้าร่วมงานวันตำรวจแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี เป็นการแสดงออกถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมกับ นาย Bun Kee Moon อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสาธารณรัฐเกาหลี เอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ และหัวหน้าหน่วยงานตำรวจจาก 34 ประเทศทั่วโลก โดยมี นาย Yoon Suk Yeol ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ให้การต้อนรับ พิธีเป็นไปอย่างอบอุ่นและสมเกียรติ

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การประชุม International Police Summit 2023 เป็นการร่วมหารือและดำเนินกลยุทธ์เพื่อป้องกันและต่อสู้กับอาชญากรรมทุกประเภทที่มีอยู่และเกิดขึ้นใหม่ โดยในปัจจุบันบริบทการทำงานของตำรวจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สืบเนื่องจากอาชญากรรมและภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของประชาชนที่ซับซ้อนและรุนแรง ภัยพิบัติทางด้านสุขภาพของประชากรโลก และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการทำงานของตำรวจ ดังนั้น การประชุมตำรวจนานาชาติในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีของผู้บริหารหน่วยงานตำรวจจากทั่วโลกที่จะร่วมกันบอกเล่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา ระดมแนวคิดสำหรับการดำเนินการเชิงรุกในการรับมือกับภัยคุกคามในอนาคต และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระยะยาว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญต่อการแสวงหาร่วมมือกับหน่วยงานตำรวจของประเทศอื่นๆ อย่างมาก มีการปฏิบัติที่สำคัญในความร่วมมือ เช่น แผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง (2023-2027) (LM-LECC) อันเป็นความร่วมมือของกันระหว่าง 6 ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค เน้นความสำคัญในอาชญากรรมข้ามชาติอันร้ายแรง และในช่วง 3 เดือนแรก สามารถช่วยเหลือบุคคลที่ถูกหลอกลวงมาทำงาน และจับกุมผู้ต้องหากลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 39 คน นอกจากนี้ยังการมีปฏิบัติการร่วมกับกัมพูชา ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ในเมืองสีหนุวิลล์ และสามารถช่วยเหลือเหยื่อชาวไทยกว่า 800 ราย โดยมีมาตรการต่อไปคือการส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมพื้นที่การปฏิบัติที่อยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง  เพื่อศึกษาสาเหตุที่แท้จริงและออกมาตรการใหม่ต่อไป 

ในส่วนของอาชญากรรมออนไลน์ 18 เดือนที่ผ่านมา เราได้รับรายงานมากกว่า 330,000 ครั้ง มูลค่าความเสียหาย ประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ออกมาตรการ จัดตั้งระบบรายงานเหตุออนไลน์ จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนและศูนย์แจ้งเตือนอาชญากรรมทางไซเบอร์ รวมทั้งเพิ่มหน่วยงานเฉพาะทาง เช่น ตำรวจไซเบอร์ขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับแก้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนความร่วมมือระดับภูมิภาค ได้เพิ่มความพยายามในการป้องกันการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลข้ามชาติ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ร่วมมือกับภาคเอกชนพัฒนาระบบสื่อสาร และฝึกอบรมบุคลากรที่เชี่ยวชาญ 

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ร่วมประชุมหารือทวิภาคีกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐเกาหลี ทั้ง 2 ประเทศได้บรรลุความตกลงมาตรการเสริมสร้างความร่วมมือที่ดี ร่วมกันรักษาความปลอดภัยให้พลเมืองไทย จำนวน 2 แสนคน ที่เป็นนักท่องเที่ยว และทำงานในประเทศเกาหลี ตลอดจนพลเมืองเกาหลีที่เป็นนักท่องเที่ยว เรียน และทำงานในประเทศไทย อย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยในอนาคตจะผลักดันให้มีผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ เพื่อรองรับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
 
นอกจากนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ร่วมประชุมหารือทวิภาคีกับกระทรวงความมั่นคง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้ง 2 ประเทศได้บรรลุความตกลงมาตรการเสริมสร้างความร่วมมือที่ดี โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประเทศไทย จะเข้าร่วมโครงการ International Initiative of Law Enforcement for Climate (I2LEC) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือของผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ร่วมกับ UNODC, Interpol, UNPOL และ 41 ประเทศ ร่วมกันแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า climate change เป็นผลกระทบโดยตรงจากปัญหาอาชญากรรมขนาดใหญ่ เช่น การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ ฯลฯ และตำรวจเป็นองค์กรแรกที่ต้องจัดการกับปัญหาต่างๆ สร้างเครือข่ายระหว่างผู้บังคับใช้กฎหมายในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมกรรมที่เกี่ยวข้องกับหรือเป็นต้นเหตุของ climate change ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลไทยก็ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับ climate change หรือ environmental crime อย่างจริงจังและยั่งยืน 

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า การแสวงหาความร่วมมือในทุกมิติผ่านการประชุม International Police Summit 2023 ในครั้งนี้ ส่งผลให้ทุกประเทศที่เข้าร่วมประชุมบรรลุเจตนารมณ์ร่วมกันในการเล็งเห็นความสำคัญและการตระหนักถึงผลกระทบ ของอาชญากรรมทุกประเภท ซึ่งในปัจจุบันมีลักษณะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติและมีลักษณะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งทวีความรุนแรง เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมของทุกประเทศ และจะร่วมกันยกระดับการประสานความร่วมมือในการบูรณาการปราบปรามและแก้ไขปัญหานี้อย่างใกล้ชิดและจริงจังอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในระดับทวิภาคี พหุภาคี และระดับสากล เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย เกิดสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมแม่ทัพภาคที่2-ป.ป.ส.-ดีเอสไอ บูรณาการทุกหน่วยงาน ร่วมมือแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพ

วานนี้ (18 ตุลาคม 2566) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมประชุมและหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและ พล.ท. อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2 ในการดำเนินการร่วมกันเรื่องการดำเนินการของ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ อาคารกระทรวงยุติธรรม

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือและแลกเปลี่ยนกรอบแนวคิด สภาพปัญหา และแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล โดยปัญหาเรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่ต้องแก้ไขปัญหาให้ลดน้อยลงและหมดไป ปัญหายาเสพติดนั้นมีหลายมิติ หากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันจะเป็นจุดเริ่มต้นในการขจัดปัญหานี้ออกไปจากสังคมไทย

“ตั้งเป้าปัญหาการนำเข้ายาเสพติดให้เป็นศูนย์” พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังกล่าวด้วยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประกาศแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมย้ำทุกหน่วยงานต้องร่วมมือแก้ไขปัญหา บังคับใช้กฎหมายยาเสพติดอย่างจริงจัง และมีประสิทธิภาพ 

ที่ประชุมยังได้หารือถึงการแก้ปัญหาร่วมกัน 3 ข้อ คือ 1.) นโยบายแก้ปัญหายาเสพติดที่เข้มแข็ง 2.) การตั้งงบประมาณที่สอดคล้องกัน และ 3.) การประสานงานที่เข้มแข็ง โดยมีเป้าหมายคือ สกัดกั้นยาเสพติดในรูปแบบมิติใหม่ ที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร ท้องถิ่น และประชาชน เข้าร่วมด้วยกัน โดยภายใน 1 ปี ต้องให้เห็นผลจากการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน

ก.แรงงาน ส่งเจ้าหน้าที่ชุดที่ 2 เพิ่มอีก 5 คน ขึ้นเครื่องกองทัพอากาศ ปฏิบัติภารกิจอพยพแรงงานจากอิสราเอลกลับไทย

วันที่ 18 ตุลาคม 2566 เวลา 09.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ส่งทีมเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน เพิ่มเติมอีกจำนวน 5 คน จากชุดแรกที่ได้เดินทางไปเมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา มุ่งหน้าสู่อิสราเอลด้วยเที่ยวบินพิเศษจากกองทัพอากาศ เพื่อสมทบการปฏิบัติภารกิจอพยพแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอลกลับประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 พร้อมด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค ได้แก่ ข้าวสาร อาหารแห้ง ซึ่งผู้ประกอบการภาคเอกชนบริจาคสมทบให้กระทรวงแรงงานนำไปช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบในอิสราเอลและไม่สามารถออกมาทำงานได้ เนื่องจากต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่หลบภัย โดยมี พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร  ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงแรงงาน ได้ส่งเจ้าหน้าที่ชุดแรกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจรับพี่น้องแรงงานไทยกลับบ้านที่อิสราเอลร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพอากาศ นั้น เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานได้เริ่มปฏิบัติภารกิจการอพยพ ช่วยเหลือแรงงานไทยในทันทีที่เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ Ben Gurion อิสราเอล ซึ่งขณะนี้สามารถอพยพแรงงานไทยในจุดต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่อันตรายมาอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันมีผู้แจ้งความประสงค์ขอกลับประเทศไทยเข้ามาจำนวนมากเกือบ 8,000 คน จึงทำให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังต้องการเจ้าหน้าที่สนับสนุนภารกิจ และเป็นกำลังเสริม ดังนั้นเพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานไทยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และคล่องตัวมากยิ่งขึ้น กระทรวงแรงงานจึงส่งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดเพิ่มเติมอีก 5 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นผู้มีจิตอาสาและสมัครใจไปปฏิบัติภารกิจ ที่มีเจตนารมย์เดียวกันที่ต้องการให้แรงงานไทยที่ต้องการกลับบ้านได้เดินทางกลับอย่างปลอดภัยและสามารถดำเนินการอพยพให้เร็วที่สุด

นายไพโรจน์ ยังกล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานชุดที่ 2 นี้ จะไปสมทบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานชุดแรกจำนวน 5 คน รวมเป็น 10 คน ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่จุดอพยพต่างๆ รวมทั้งที่สนามบิน เพื่อทำหน้าที่ในการประสาน อำนวยความสะดวกด้านเอกสาร รวมถึงการรวบรวมแรงงานไทย นอกจากนี้ ยังได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคไปเพิ่มเติม ได้แก่ ข้าวสาร อาหารแห้ง ที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบการ ภาคเอกชน สมาคม ตลอดจนห้างร้านต่างๆ ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานครั้งนี้ด้วย เพื่อมอบให้กับทูตแรงงานที่อิสราเอล นำไปแจกจ่ายให้กับแรงงานไทยที่พักพิงอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น 

“ ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยแรงงานไทยที่ไปทำงานที่อิสราเอลทุกคน และให้ความสำคัญกับภารกิจการช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยในครั้งนี้  ผมและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทุกคนจะดำเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถและขอให้เชื่อมั่นว่าพวกเราจะสามารถพาแรงงานไทยทั้งหมดกลับมาได้อย่างปลอดภัย” นายไพโรจน์ กล่าวท้ายสุด

สำหรับรายชื่อทีมเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานชุดที่ 2 จำนวน 5 คน ที่เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจในการอพยพแรงงานไทยที่อิสราเอลกลับประเทศไทยในครั้งนี้ ได้แก่1) จ่าเอก พันธ์ชิต กิจหวัง ผู้อำนวยการกลุ่มงานช่วยอำนวยการ กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน 2) นายธีระศักดิ์ อยู่เพชร นักวิชาการแรงงานชำนาญการพิเศษ กองพัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 3) นายธนัตถ์ ช่างสาน นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ กองการเจ้าหน้าที่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 4) นายเบญจรงค์ ว่องจรรยากุล หัวหน้าสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง สำนักงานประกันสังคมและ 5) นางสาวบุษบัญชลี ภู่แก้วเผือก นักวิชาการแรงงานชำนาญการ สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีสดุดีข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต จากการปฏิบัติหน้าที่ พิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนาม ของข้าราชการตำรวจและนักเรียนนายร้อยตำรวจ

วันที่ 17 ต.ค.66 เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยคุณ นิภาพรรณ  สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมพิธีเนื่องใน “วันตำรวจ” ประจำปี 2566 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งมีรายละเอียดการจัดงาน ดังนี้

• เวลา 15.15 น. พิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 และถวายราชสักการะพระบรมรูป รัชกาลที่ 9 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม

• เวลา 15.40 น. พิธีสดุดีข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ประจำปี 2566 ณ หอประชุมชุณหะวัณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม และประกอบ
พิธีวางพวงมาลา และตรึงหมุดแผ่นจารึกรายชื่อข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต แท่นที่ 10 ณ อนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

• เวลา 17.00 น. พิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของข้าราชการตำรวจ และนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ ลานฝึกศรียานนท์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม

ผบ.ตร. มอบ “แหวนอัศวิน” ให้ รอง สวป.เข้าระงับเหตุกราดยิง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สืบต่อประเพณี พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มอบแหวนอัศวิน เพื่อยกย่องข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติงานโดดเด่นเป็นประจักษ์ สร้างคุณประโยชน์

วันนี้ (18 ต.ค.66) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีมอบ “แหวนอัศวิน” ให้กับ ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ รอง สว.สส.ปฏิบัติหน้าที่ รอง สวป.สน.ปทุมวัน ที่เข้าระงับเหตุคนร้ายกราดยิง  เพื่อยกย่องข้าราชการตำรวจ ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น สร้างคุณประโยชน์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังคม และประเทศชาติ  วานนี้ (17 ต.ค.66) หลังพิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของข้าราชการตำรวจและนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ ลานฝึกศรียานนท์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม  

สำหรับความเป็นมาของ “แหวนอัศวิน” สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ต้องการจะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจ ที่ทำงานเสี่ยงตาย ทำชื่อเสียงในด้านปราบปราม และงานอื่น อันเป็นประโยชน์ต่อทางราชการตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายภูธร หรือฝ่ายนครบาล / จึงได้มอบเป็นแหวนทองลงยา ที่หัวแหวนเป็นตราหน้าหมวกตำรวจสีแดง โดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ได้ตั้งชื่อแหวนนี้ว่า “แหวนอัศวิน”

“แหวนอัศวิน” ถือเป็นของอันทรงเกียรติ ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับ และเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมา ทั้งนี้ ผบ.ตร. มีแนวคิดที่จะรื้อฟื้นประเพณีการมอบ “แหวนอัศวิน” เพื่อยกย่องข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติงานโดดเด่นและสร้างคุณประโยชน์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังคม และประเทศชาติ จนเป็นที่ประจักษ์ ตามแนวทางของ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ให้กลับคืนมาอีกครั้ง เพราะการ  “เชิดชูคุณความดีตอนมีชีวิตดีที่สุด” ซึ่ง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจคนที่ 14 และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 เช่นเดียวกัน

โดย “แหวนอัศวิน” วงแรกมอบให้ ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จนสามารถหยุดสถานการณ์ได้อย่างเรียบร้อย จากเหตุการณ์ในวันที่ 3 ตุลาคม 2566 เพื่อเป็นเกียรติแก่ ร.ต.อ.ธัญอมรฯ และครอบครัว

สมาคมแม่บ้านตำรวจประกาศผลการตัดสินการประกวดแต่งคำกลอนและบทความ "ความภาคภูมิใจในครอบครัวตำรวจ" เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2566

วันนี้ (18 ต.ค.66) คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดเผยว่า หลังจากสมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดกิจกรรมประกวดคำกลอน และบทความ “ความภาคภูมิใจในครอบครัวตำรวจ” เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2566 เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในการเป็นครอบครัวตำรวจ โดยเปิดรับผลงานของบุตรหลานข้าราชการตำรวจนั้น

สมาคมแม่บ้านตำรวจได้พิจารณาคัดเลือกผลงานที่ได้รับรางวัลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ประกาศรางวัลการประกวดคำกลอนสำหรับระดับกองบัญชาการหรือเทียบเท่า และกองบังคับการในสังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานละ 3 รางวัล ประกอบด้วยรางวัลชนะเลิศ จำนวนเงิน 5,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1  จำนวนเงิน 3,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2  จำนวน 2,000 บาท 

ส่วนการประกวดการบทความ “ความภาคภูมิใจในครอบครัวตำรวจ” รางวัลการประกวด ประกอบด้วยรางวัลชนะเลิศ จำนวนเงิน 10,000 บาท  รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 จำนวนเงิน 3,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 2,000 บาท 

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดโครงการดังกล่าว เพื่อเปิดโอกาสให้บุตรหลานข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ได้แสดงความสามารถ และแสดงออกถึงความรักความภาคภูมิใจในความเป็นตำรวจของบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจได้ร่วมกันคัดเลือกผลงานที่ได้รับรางวัล ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลทุกคน ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจจะมอบเงินรางวัลให้กับหน่วยต่างๆ เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ที่ได้รับรางวัลต่อไป ทั้งนี้ สามารถติดตามประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลได้ทางเว็บไซต์สมาคมแม่บ้านตำรวจ policewives.police.go.th หรือเพจเฟซบุ๊ก “สมาคมแม่บ้านตำรวจ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top