Sunday, 4 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

พิษณุโลก สายธารน้ำใจ สู้ภัยน้ำท่วม มทบ.39 ร่วมกับ โรงพยาบาลค่ายฯ และ ปตท.สผ. ช่วยเหลือพี่น้องชาวบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2566 เวลา 1000 นาฬิกา พลตรี กฤษณะ  ภู่ทอง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39 / ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 39 ลงพื้นที่อำเภอบางระกำ โดยมี นายอำเภอบางระกำ และผู้นำท้องที่ - ท้องถิ่น ให้การต้อนรับ และร่วมภารกิจ “สายธารน้ำใจ สู้ภัยน้ำท่วม” นำโดยชุดแพทย์เคลื่อนที่โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ร่วมกับผู้บริหาร บริษัท ปตท. สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพสิ่งของอุปโภคบริโภค – ยารักษาโรคและตรวจสุภาพให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย จากสถานการณ์น้ำในแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนและที่พื้นที่ทำกิน ในพื้นที่ชุมชนหลังวัดสุนทรประดิษฐ์ ตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชน ก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน

มณฑลทหารบกที่39 #ทหารเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่39 ปตท.สผ.

ตำรวจภาค 4(ร้อยเอ็ด) สกัดยาบ้าทะลักเข้าทางอีสานกว่า 9 แสนเม็ด ขณะลำเลียงก่อนเข้าพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 4 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.พิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.สุริเดช วรรณสุทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด,พ.ต.อ.วีระ หางนาค ผกก.สืบสวน ภ.จว.ร้อยเอ็ด โดยเมื่อวันที่ 23 ต.ค.66 ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด สามารถสกัดจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติด 3 คน ขณะกำลังขนยาบ้า 840,000 เม็ด เพื่อนำไปส่งลูกค้าในจังหวัดร้อยเอ็ด 

โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1(เมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จนทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน ก่อนการจับกุม ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนติดตามพฤติการณ์ของขบวนการค้ายาเสพติดที่นำยาเสพติดจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ส่งไปยังลูกค้าในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด จนกระทั่งทราบว่าจะมีการขนยาบ้าล็อตใหญ่ผ่านทางจังหวัดร้อยเอ็ด อีกครั้ง จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 23 ต.ค 66 ตำรวจชุดจับกุม ได้พบรถกระบะยี่ห้อ Toyota สีดำ ทะเบียน xx 2825 อุบลราชธานี และรถกระบะยี่ห้อ Mitsubishi สีฟ้าทะเบียน xx 5891 มุกดาหาร ขับไปบนถนนสายโพนทอง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งตรงกับข้อมูลที่สืบสวนทราบมาว่าเป็นรถขนยาเสพติด 

จึงได้สกัดจับกุม จากการตรวจค้นรถกระบะยี่ห้อ Mitsubishi ทะเบียน xx 5891 มุกดาหาร มีนายเชิดศักดิ์หรือเหลิน เป็นผู้ขับขี่ พบยาบ้าจำนวน 340,000 เม็ดภายในรถ ในขณะที่รถกระบะ Toyota ทะเบียน xx 2825 อุบลราชธานี ได้ขับขึ่หลบหนี ตำรวจชุดจับกุมจึงไล่ติดตามจนกระทั่งจับกุมได้ที่ บริเวณใกล้ป่าละเมาะข้างทาง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยมีนายธนากรหรือชล เป็นผู้ขับขี่ และมีนางประมวญหรือมวล นั่งไปด้วย ซึ่งรับว่านำยาบ้าจำนวน 490,000 เม็ด ซุกซ่อนไว้ภายในป่าละเมาะ ตำรวจชุดจับกุมยึดเป็นของกลาง จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาบ้ารวมทั้งสิ้น 830,000 เม็ด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพนทอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสอบสวนขยายผลหาผู้สั่งการและผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดต่อไป

พิจิตร-ป.ป.ช. พิจิตร ลุยตรวจ เทศบาลเมืองบางมูลนากสร้างถนน ค.ส.ล. พร้อมวางท่อระบายน้ำชาวบ้านร้องเดือดร้อนเหตุสร้างไม่เสร็จสักที

วันที่ 26 ตุลาคม 2566 นาย วราพงษ์ อินต๊ะโมงค์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยกลุ่มงานป้องกันการทุจริต ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างถนน ค.ส.ล. พร้อมวางท่อระบายน้ำ ค.ส.ล. ถนนประเวศน์เหนือ สายหลังบริเวณแยกซอยบ้านนายสุรินทร์ อินทร์น้อย หลังได้รับการแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่ามีการก่อสร้างล่าช้า 

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าโครงการดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองบางมูลนาก ได้รับงบประมาณก่อสร้างตามเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 820,000 บาท

วัตถุประสงค์ของการก่อสร้างเพื่อให้ประชาชนสัญจรเข้าออกได้สะดวก เนื่องจากเป็นบริเวณติดกับแหล่งชุมชน หน่วยงานทำการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) กำหนดราคากลางจำนวน 660,000 บาท 

โดยผู้ที่ชนะการเสนอราคาและเป็นคู่สัญญาได้แก่ บริษัท เบญจกาญจน์ (2015) จำกัด สัญญาจ้างเลขที่ 22/2566 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ราคาตามสัญญาจ้าง 655,789 บาท ระยะเวลาสัญญาเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม – 23 สิงหาคม 2566 รายละเอียดการก่อสร้าง เป็นการก่อสร้างถนน ค.ส.ล. ขนาดกว้าง 3.5 เมตร ยาว 117 เมตร หรือมีพื้นที่ ค.ส.ล. ไม่น้อยกว่า 393 ตารางเมตร วางท่อระบายน้ำ ค.ส.ล. ไม่น้อยกว่า 0.4 เมตร ความยาวบ่อพัก 117 เมตร 

ซึ่งปัจจุบันครบกำหนดสัญญาแล้ว แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ 

โดยมีความคืบหน้างานเทคอนกรีตไปแล้วระยะทางกว่า 70 เมตร ยังคงเหลืออีกประมาณ 40 เมตร และงานฝาท่อระบายน้ำต่าง ๆ ดำเนินการแล้ว ทางเทศบาลให้ข้อมูลว่าเนื่องด้วยเป็นช่วงที่ฝนตกติดต่อกันทำให้การก่อสร้างติดขัด ล่าช้าและเสร็จไม่ทันตามสัญญา 

ซึ่งทางเทศบาลฯได้แจ้งสงวนสิทธิ์ค่าปรับแก่ผู้รับจ้างในการชำระค่าปรับรายวัน วันละประมาณ 1,639 บาท ตามกำหนดในสัญญาแล้ว ทางด้านผู้รับจ้างกำลังจัดทำแผนการดำเนินงานส่งให้ทางเทศบาล ซึ่งทางเทศบาลคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จได้ในประมาณอีก 2 สัปดาห์ 

ซึ่งทางสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพิจิตร ได้กำชับให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชน และให้ระมัดระวังเรื่องฝาท่อระบายน้ำให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจรไปมาของประชาชน

ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพิจิตร ได้รับเอกสารหลักฐานการก่อสร้างเพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้ว หากพบประเด็นที่เป็นเหตุสงสัยอื่นใดจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

สมาคมหนังสือพิมพ์เวียดนามให้การต้อนรับคณะสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย ในการแลกเปลี่ยน วัฒนธรรม ข่าวสาร และ การท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท.)โดยนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมฯได้นำคณะกรรมการบริหารและที่ปรึกษาฯ จำนวน 9 คน ประกอบด้วยนางวิลาสินี เจริญสุข เลขาธิการฯ,นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ อุปนายก ,นายนพดล แสงวิลัย,นายชัชวาล คำไท้ ,นายณรงค์ ภัยกำจัด กรรมการบริหาร ,นางอารยา ณ วงศ์ดี ผช.เลขาธิการ ,นายบุญสืบ แก้วกล้า และนายนิรุทธ์ ลี้ปัทมากุล 2 ที่ปรึกษาสมาคมฯ ซึ่งเป็นนักธุรกิจ นำเข้า-ส่งออก สินค้า

คณะของ สนพท, เดินทางโดยสายการบินไทยจากสนามบินสุวรรณภูมิมายังสนามบินโหน่ยบ่าย กรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม โดยมีนาย บุย ง็อก กวาง นายกสมาคมนักข่าวนิญบิ่ญ (ninh Binh) และคณะกรรมการสมาคมฯให้การต้อนรับ ก่อนที่จะนำคณะของ สนพท.เดินทางไปยังเมืองซาปา จังหวัดลาวกาย ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของเวียดนามตอนเหนือติดชายแดนประเทศสาธรณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้คณะของ สนพท.ได้สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองท่องเที่ยว เป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว โดยเดินทางไปชมความสวยงามของทิวทัศน์ด้วยการนั่งกระเช้าไฟฟ้าสู่ยอดเขาฟานซีปัน และเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวบนสกายวอล์คที่สวยงามและอลังการ ซึ่งทั้งยอดเขาฟานซีปันและสกายวอล์ค เป็นสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวจากประเทศต่าง โดยเฉพาะคนไทยเดินทางไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก 2 คืนที่เมืองซาปา ทำให้คณะของ สนพท.ได้สัมผัสกับบรรยากาศการท่องเที่ยว การแสดงของชนเผ่า ที่เป็นวัฒนธรรมของเมืองซาปาและได้ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสารวัฒนธรรมของทั้งสองสมาคมอย่างใกล้ชิด

หลังจากนั้นในวันที่ 22 ตค,คณะของ สนพท.ก็ได้เดินทางออกจากเมืองซาปามายังจังหวัดนิญบิ่ญ โดยเข้าพักโรงแรม BAI DINH ซึ่งเป็นโรงแรมที่รัฐบาลเวียดนามใช้ในการต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง  และได้เลี้ยงรับรองอาหารเย็นคณะ สนพท.ก่อนที่จะนำไปเยี่ยมชมและไหว้พระที่เจดีย์ไบดิงห์ ซึ่งมีพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ และมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ณ ยอดเจดีย์ชั้นสูงสุด

วันที่ 23 ต.ค.คณะเจ้าภาพจากสมาคมนักข่าวนิญบิ่ญ ได้นำคณะของ สนทพ.ไปล่องเรือเพื่อชมทิวทัศน์ตรังอัน( TRANG AN) หรือที่คนไทยเรียกว่า "ฮาลองบก"ที่สวยงาม และตอนบ่ายวันเดียวกันได้นำคณะของ สนพท.ล่องเรือชมทิวทัศน์ตามก๊อก-บิชดง (TAM COC -  BICH DONG )  สร้างความตื่นตาตื่นใจและประทับใจแก่คณะ สนพท.เป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นได้เข้าพักที่โรงแรม THE REED HOTEL นายกสมาคมนิญบิ่ญ พร้อมคณะกรรมสมาคมฯได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่คณะของ สนพท.ส่วนในวันที่ 24 ต.ค. คณะเจ้าภาพจะได้นำคณะของ สนพท.เดินทางไปเยี่ยมชมอาสนวิหารพัทเดียม (PHAT DIEM STONG CATHEDRAL ) และตอนเย็นจะไปเยี่ยมชมเมือง tUYET TiNH COC และเมืองหลวงโบราณ HOA  LO

โดยในวันที่ 25 ต.ค. คณะเจ้าภาพจะได้นำคณะของ สนพท.เดินทางไปยังจังหวัดฮานาม ซึ่งนายกสมาคมนักข่าวจังหวัดฮานาม จะทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพให้การต้อนรับ และนำคณะไปเยี่ยมชมเจดีย์ TAM CHUC ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีความเก่าแก่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของ จังหวัดฮานาม ในในตอนเย็นจะได้มีการสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างสมาคมทั้งสามสมาคม เพื่อประโยชน์ในการเดินทางมาเยือนในครั้งนี้

‘ญี่ปุ่น’ เปิดผลสำรวจพบ ‘วัยทำงาน’ 45% นอนน้อยกว่า 6 ชม.ต่อคืน ชี้!! เสี่ยงเป็น ‘ซึมเศร้า’ เร่งหาวิธีร่นเวลาทำงาน-เซฟสภาพจิตใจ

(23 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, โตเกียว รายงานว่า ผลสำรวจจากรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อไม่นานนี้ พบประชาชนที่ทำงานในญี่ปุ่นทั้งหมดร้อยละ 45.5 นอนหลับโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน

สมุดปกขาวที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนนี้ ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามสำรวจร้อยละ 10 เผยว่านอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน ร้อยละ 35.5 นอนหลับคืนละ 5-6 ชั่งโมง และร้อยละ 35.2 นอนหลับคืนละ 6-7 ชั่วโมง

ผลสำรวจพนักงาน 10,000 คน พบราวร้อยละ 70 ของผู้นอนหลับตามปริมาณเวลาอันเหมาะสม ไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล ขณะที่สัดส่วนดังกล่าวลดลงต่ำกว่าร้อยละ 40 ในหมู่ผู้นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 3-5 ชั่วโมง

ผลสำรวจจากกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่น พบร้อยละ 27.4 ของคนทำงานที่นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 4 ชั่วโมง และร้อยละ 38.5 ของคนทำงานที่นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 5 ชั่วโมง มีแนวโน้มป่วยโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลขั้นรุนแรง

กระทรวงฯ เสริมว่า มีความจำเป็นต้องแก้ไขชั่วโมงการทำงานอันยาวนานอย่างยิ่ง และช่วยให้คนงานมีเวลานอนหลับพักผ่อนเพิ่มขึ้น เพื่อพวกเขาสามารถรักษาสภาพจิตใจให้แข็งแรงดีได้

‘กิตติ์ธัญญา’ ชี้ ดิสเครดิต ‘เงินดิจิทัล’ เป็นเรื่องปกติ เหน็บคนไม่เห็นด้วย คงหวั่น ปชช.จะชื่นชอบ ‘พท.’ มากขึ้น

(23 ต.ค. 66) น.ส.กิตติ์ธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีเสียงท้วงติงและบางส่วนอาจมีการด้อยค่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นเจ้าของนโยบายว่าเป็นการดิสเครดิตหรือไม่ ว่า เป็นธรรมดาของการเมืองที่จะมีการดิสเครดิตกัน แต่อยากให้คนที่คอยดิสเครดิตนโยบายต่างๆ ฟังเสียงประชาชนด้วย ทั้งนี้ จากที่ตนได้ลงพื้นที่ไม่มีใครไม่อยากได้ มีแต่คนบอกว่าอยากได้ให้เร็วที่สุด ซึ่งเงินจำนวน 10,000 บาท หากรวมคนในครอบครัว บางครอบครัวก็อาจจะสามารถตั้งตัวได้ และเราไม่ทราบเลยว่าส่งผลเสียตรงไหน

น.ส.กิตติ์ธัญญากล่าวต่อว่า คนที่มาด้อยค่าเงินดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ถามว่าเขามีเงินเดือนหลักแสน หลักห้าหมื่น หกหมื่นต่อเดือน เขาเคยลำบากหรือไม่ว่าวันนี้หางานหาเงิน กินพรุ่งนี้ คำที่บอกว่าหาเช้ากินค่ำ วันนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะหาเช้าวันนี้กินเช้าวันพรุ่งนี้ ทุกวันนี้ชาวบ้านโดยเฉพาะคนที่มีหนี้นอกระบบ เขาหาเงินตัวเป็นเกลียว หากมีเงิน 10,000 บาทมาซัพพอร์ตเขาบ้าง แม้จะไม่ใช่เงินที่ยิ่งใหญ่ที่อาจจะไม่ได้ทำให้เขารวยเป็นมหาเศรษฐี แต่มันสามารถทำให้เขายืดระยะเวลาในการอดมื้อกินมื้อได้

“เหตุผลหลักที่เขาต่อต้านเป็นเพราะเขากังวลว่าจะเป็นนโยบายที่ประชาชนชอบ แล้วจะดึงความสนใจของประชาชนกลับมาที่นายกรัฐมนตรีและพรรคการเมือง แต่คนที่จำเป็นต้องใช้ไม่มีใครต่อต้านเลย มีแต่ถามว่าแค่นี้หรือ ขยายการซื้อได้หรือไม่ เรื่องนี้มีประเด็นเดียวคือประเด็นเรื่องการเมือง กลัวว่าเราเป็นพรรคที่ประชาชนชื่นชมอยู่แล้ว ประชาชนจะยิ่งเครซี (crazy) ในนโยบายพรรคเพื่อไทยที่จะทำได้มากยิ่งขึ้น” น.ส.กิตติ์ธัญญากล่าว

เมื่อถามว่า กังวลว่าจะกระทบกับความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อพรรค พท.หรือไม่ น.ส.กิตติ์ธัญญากล่าวว่า คนที่กังวลไม่ใช่เราแต่เป็นชาวบ้านที่เขารอความหวังจะใช้เงินนี้ ชาวบ้านเขาพูดว่าเห็นคนรวยมาบอกไม่ให้แจก แล้วถ้าคนรวยไม่ยอมให้แจก ส.ส.กับนายกรัฐมนตรีจะกลัวคนรวยไม่เลือกหรือไม่ แล้วจะยังมองเห็นคนจนอยู่หรือไม่ คนจนอยากได้ อย่าฟังแต่เสียงคนรวย ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็มองว่าไม่สามารถแบ่งคนรวยกับคนจนได้ เพราะเงินที่นำมาให้ก็เป็นเงินภาษีของทุกคน ย้ำว่าเราไม่กังวลเพราะเป็นนโยบายที่เราจะทำ

“ดิฉันมองว่าแม้แต่พระพุทธเจ้ายังถูกวิพากษ์วิจารณ์ แล้วนับประสาอะไรกับพรรคการเมือง นายกรัฐมนตรี หรือนักการเมืองที่จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียดสี แต่ทั้งนี้หากเรามองแค่คนกลุ่มหนึ่ง แล้วไปแคร์แค่กลุ่มเดียว คนอีกล้านๆ คนที่เขาต้องการ เราจะไม่แคร์เขาหรือ คนที่กังวลในการที่ด้อยค่าหรือบูลลี่ในเงินหมื่นบาท ไม่ใช่เรา ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่เป็นประชาชนตาดำๆ ที่เขารอคอยความหวังกับเงินนี้ เราแคร์และเราฟังทุกเสียง ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อะไรที่มีข้อเสียน้อยที่สุด และเราจะทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์มากที่สุดให้กับประชาชน” น.ส.กิตติ์ธัญญา กล่าว

เมื่อถามว่า อยากสื่อสารอะไรถึงประชาชนที่ทั้งเห็นด้วยและอาจมีเสียงท้วงติงหรือไม่ น.ส.กิตติ์ธัญญากล่าวว่า ปัจจุบันถามว่าระหว่างสุขภาพดีกับมีเงินจะเลือกอะไร ฉะนั้น พรรค พท.เราทำควบคู่กันไป เรารื้อเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อจะให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้เรายังพยายามลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสให้ประชาชน

‘ทิพานัน’ ชี้!! ผลงาน ‘บิ๊กตู่’ 9 ปี มีเพียบ ยกผลงานเจรจาการค้าเด่น หนุนเปิดประเทศ-เปิดโอกาส ชู ‘ศักยภาพผู้นำที่ดี’ พาไทยแกร่งรอบด้าน

‘ทิพานัน’ ติงนักวิชาการ ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ยกผลงานเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ยุค ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ผลงานเพียบ เปิดประเทศ เปิดโอกาส และเปิดแนวทางใหม่การลงทุนในภูมิภาคสุดปัง ชู ‘ภาวะผู้นำที่ดี’ ทำทีมไทยแกร่ง 6 ด้าน

(23 ต.ค. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘อ้น ทิพานัน ศิริชนะ’ ถึงกรณีที่นักวิชาการแสดงความเห็นเปรียบเทียบ การเจรจาการค้าระหว่างประเทศระหว่าง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า…

ลุงตู่มีวิสัยทัศน์ที่ดี ทั้งเปิดประเทศ เปิดโอกาส เปิดแนวทางใหม่การลงทุนในภูมิภาค

ที่สำคัญเพราะ ‘ภาวะผู้นำที่ดี’  จึงมีดังนี้

#รัฐบาลลุงตู่ มีผู้แทนการค้าไทยที่แข็งแกร่ง

#รัฐบาลลุงตู่ มีทูตทางการค้าที่เข้าใจลูกค้า

#รัฐบาลลุงตู่ มีนโยบายจากBOIที่ชวนมาลงทุนโดยเฉพาะ

#รัฐบาลลุงตู่ มีกฎหมายอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะ

#รัฐบาลลุงตู่ เดินหน้าเจรจาการค้ากับต่างประเทศมาตลอด 9 ปี

#รัฐบาลลุงตู่ พัฒนาทุกมิติไม่ใช่แค่หิ้วกระเป๋าไปขายของ

สิ่งเหล่านี้คือ ‘รากฐาน’ สำหรับการไปขายของในอนาคต

บทความตอนหนึ่งที่กล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จาก รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2566 ว่า…

“เพราะถ้ามีการเปรียบเทียบทั้งสองคน ในแง่การไปเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สมัย พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องการเจรจาพูดคุยอะไรต่างๆ กับต่างชาติติดลบ”

“และการเดินสายต่างประเทศคงเป็นความพยายามหลังจากที่ขาดหายไปนานในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จึงถือเป็นความพยายามอีกอย่างหนึ่งท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่หลากหลาย”

การนำเสนอตรงนี้อาจไม่ครบถ้วน ตรงตามหลักวิชาการ และคนอาจเชื่อตามข้อมูลนั้นไปแบบไม่ครบถ้วน จึงขอนำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วนอีกด้าน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครบถ้วนทุกมิติ ที่ทำให้เห็นว่า ลุงตู่วางรากฐานการลงทุนที่จับต้องได้ ไม่ขายฝัน และ #มีคนทำงานแต่ละด้านที่เป็นมืออาชีพ จนสำเร็จลุล่วง และเดินหน้าพบปะกับต่างชาติทั่วโลกมาตลอดระยะเวลา 9 ปี และมีผลงานโดดเด่นมากมาย เช่น ซาอุฯ จีน เป็นต้น

การเดินทางพบผู้นำและประชุมระดับโลกและอาเซียน ของลุงตู่ เพื่อการค้าและการลงทุน และมิติอื่นๆ มีอะไรบ้าง ขอยกตัวอย่างดังนี้

- 12-15 ธ.ค. 65 ประชุมสุดยอดอาเซียน–สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ที่บรัสเซลส์ เบลเยียม

- 25-27 พ.ค. 65 ประชุมInternational Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum) ครั้งที่ 27 ที่โตเกียว ญี่ปุ่น

- 12-13 พ.ค. 65 การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ที่ วอชิงตันดี.ซี สหรัฐอเมริกา

- 25 ม.ค. 65 เยือนซาอุดีอาระเบีย เป็น ‘ความสำเร็จในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย - ซาอุดีอาระเบีย’ ให้กลับมาอยู่ใน ‘ระดับปกติ’ อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นการสิ้นสุด 3 ทศวรรษแห่งความห่างเหิน และเป็นก้าวแรกของ ‘โอกาสอันมากมายมหาศาล’ 9 ด้าน คือ

1.) การท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ไทยไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี

2.) พลังงาน (เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชาติของ 2 ประเทศ) ร่วมลงทุน-วิจัยพลังงานดั้งเดิม พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน

3.) แรงงานไทย สนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ใน ‘วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ. 2030’ (Saudi Vision 2030)

4.) อาหาร ผลิต-ส่งออกอาหารฮาลาลให้แก่ซาอุดีฯ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง GCC

5.) สุขภาพ-การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความร่วมมือทางการแพทย์ของไทย

6.) ความมั่นคง ไทยจะได้รับประโยชน์จากซาอุดีฯ ประเทศมหาอำนาจในกรอบองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) เช่น ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ความร่วมมือด้านข้อมูลข่าวสารความมั่นคง การต่อต้านการก่อการร้าย

7.) การศึกษาและศาสนา ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิม

8.) การค้าและการลงทุน ลู่ทางธุรกิจและหุ้นส่วนทางการค้าในซาอุดีฯ และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และการดึงดูดซาอุดีฯ ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ของไทยด้านพลังงาน นวัตกรรม โทรคมนาคม อวกาศ เทคโนโลยีสีเขียว โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ

9.) กีฬา เช่น มวยไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง

- 1 พ.ย. 64 เข้าร่วมประชุม ‘UN Climate Change Conference’ (COP 26) ครั้งที่ 26 ที่เมืองกลาสโกว์ อังกฤษ และประกาศคำมั่นสัญญาใหม่ของไทยอย่างเป็นทางการในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutral ภายในปี 2065 #จนเป็นที่มานโยบายด้านนี้ในไทย ที่ขับเคลื่อนจริง และนักลงทุนสนใจมาลงทุน

- 24 ก.ย. 64 เข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 76 ที่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

- 24-27 พ.ย. 62 เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-เกหลีใต้ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับเกาหลีใต้ ครั้งที่ 1 ที่ปูซาน เกาหลีใต้

- 21-27 ก.ย. 62 เข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 74 ที่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

- 28-29 มิ.ย. 62 ในฐานะประธานอาเซียน เข้าร่วมประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ที่โอซากา ญี่ปุ่น

- 25 มิ.ย. 61 หารือทวิภาคีกับนายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่ฝรั่งเศส

- 20 มิ.ย. 61 หารือทวิภาคีกับนางเทรีซา เมย์ นายกฯ อังกฤษ ที่อังกฤษ

- 2-4 ต.ค. 60 หารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สหรัฐอเมริกา

- 14-16 ต.ค. 59 เข้าร่วมการประชุมผู้นําเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Meeting - ASEM) ครั้งที่ 11 ที่อูลานบาตอร์ มองโกเลีย

- 16-18 มิ.ย. 59 เยือนอินเดีย เพื่อความร่วมมือด้านการค้า-ความมั่นคง

- 17-21 พ.ค. 59 เยือนรัสเซีย ฟื้นความสัมพันธ์ในรอบ 11 ปี

- 9-11 พ.ย. 57 เข้าร่วมประชุมเอเปค ครั้งที่ 22 ที่ปักกิ่ง จีน

- 16-17 ต.ค. 57 เข้าร่วมการประชุมผู้นําเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Meeting - ASEM) ครั้งที่ 10 ที่มิลาน อิตาลี

รัฐบาลลุงตู่ต้อนรับผู้นำที่มาเยือนไทย แสดงให้ต่างชาติเห็นศักยภาพบ้านเมืองไทยที่เจริญ และน่าลงทุนจริงๆ

- 14 ก.พ. 66 นายกฯ มาเลเซีย

- 10 ก.ค. 65 รมว.ต่างประเทศของอเมริกา และไทยและสหรัฐฯ ลงนามร่วมกันในแถลงการณ์ว่าด้วยความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์

- 4-5 ก.ค. 65 มนตรีแห่งรัฐ และ รมว.ต่างประเทศของจีน

- ส่งเสริมการลงทุนใน EEC

- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยง

- รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวกับระบบรางและรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนของไทย

- ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ

- ลงนาม MOU ด้านการรรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

- 13 มิ.ย. 65 รมว.กลาโหมของอเมริกา

- 1-2 พ.ค. 65 นายกฯ ญี่ปุ่น

- 20-23 พ.ย. 62 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส

- 8 ส.ค. 60 รมว.ต่างประเทศของอเมริกา

- 27 ม.ค. 60 ผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศของอังกฤษ

ความสำเร็จที่โดดเด่น และปังที่สุด คือ

- 18-19 พ.ย. 65 ลุงตู่ เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเอเปค ‘APEC2022’ ต้อนรับผู้นำจาก 21 เขตเศรษฐกิจ และได้รับคำชมเชยจาก ผอ.เลขาธิการเอเปค ยกย่องไทย จัดประชุม APEC2022 ได้ยอดเยี่ยม ระดับ world class และผลักดัน “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG” สำเร็จในเวทีโลก

- 15 พ.ย. 63 ไทยร่วมก่อตั้งและลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค #RCEP กับ 14 ประเทศ (บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้) ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันกว่า 2,200 ล้านคน (30% ของ GDP โลก) เพิ่มโอกาสและศักยภาพในการแข่งขันให้กับสินค้าไทยให้ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 65

- 16 ธ.ค. 62 ‘ประเทศแรกในเอเชีย’ ไทยประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน

- ปี 61-66 ไทยคงสถานะอันดับสูงสุดในอาเซียน 5 ปีซ้อน สำหรับดัชนีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Index)

- ปี 58-61 ไทยได้รับเลือกให้เป็นประเทศผู้ประสานงานระหว่างอาเซียนกับ EU
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ รัฐบาลลุงตู่ วางรากฐานความเชื่อมั่น เปิดประเทศและไปแนะนำประเทศ ให้คนทั่วโลกรู้จักและมาลงทุนในไทย

ดังนั้น อาจมีใครหลายคนที่อาจจะยังไม่ทราบข้อมูลและวิจารณ์บนพื้นฐานไม่รู้… จะได้รู้เพิ่มเติมค่ะ

ข้อมูลจาก https://www.soc.go.th/?page_id=10338

รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ (1) ปีที่ 1-4 และ (2) ปีที่ 1-3 
#ลองหาอ่านดูเผื่อใครสนใจค่ะ

23 ตุลาคม 2566
Cr. เพจ อ้น ทิพานัน ศิริชนะ

รมว.พิพัฒน์ ตรวจเยี่ยมท่าเรือซุปเปอร์ยอร์ช เร่งอัพสกิลแรงงานฝีมือป้อนอู่ซ่อมเรือ เพื่อส่งเสริม จ.ภูเก็ต เป็นศูนย์กลางด้านซ่อมบำรุงเรือยอร์ชอย่างครบวงจร

วันที่ 21 ตุลาคม 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมท่าเรือซุปเปอร์ยอร์ช พอร์ต มัจฉานุ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงการท่าเรือและแผนพัฒนาในระยะยาว พร้อมสำรวจพื้นที่โครงการท่าเรือยอร์ช และ อู่ซ่อมเรือยอร์ช พร้อมผู้บริหารกระทรวงแรงงาน, ผู้บริหารโครงการฯ, หัวหน้าส่วนราชการ และ ผู้ประกอบการในพื้นที่ ณ บริเวณท่าเทียบเรือพอร์ตมัจฉานุ ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันนี้ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้ลงพื้นที่มาเยี่ยมชมโครงการท่าเรือซุปเปอร์ยอร์ช “พอร์ต มัจฉานุ”
 
และ เป็นที่น่ายินดีมากที่ จ.ภูเก็ต ที่จะมีท่าเรือยอร์ช และ อู่ซ่อมเรือยอร์ช ที่ได้มาตรฐานในระดับนานาชาติ ซึ่งโครงการนี้จะมีส่วนร่วมในการกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต และ สร้างกระแสเงินสดหมุนเวียนในอุตสาหกรรมทั้งระบบ รวมถึง การสร้างอัตราการจ้างงานของแรงงานฝีมือทั้งในระดับพื้นที่และระดับภูมิภาค

จากที่หารือกับ ผู้บริหารโครงการฯ เราได้ทราบถึงความต้องการการแรงงานทักษะฝีมือสูง จำนวนกว่า 1,500 คน โดยเฉพาะในส่วนของช่างเชื่อม และ ช่างเชื่อมใต้น้ำ ที่ Up Skill เพิ่มมาตรฐาน เทคนิคการเชื่อม 4G ถึง 6G เป็นเทคนิคการเชื่อมอลูมิเนียมขั้นสูงของอุตสาหกรรมการซ่อมเรือยอร์ช ทั่วโลก

ดังนั้น กระทรวงแรงงาน โดย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่มีนโยบาย ในส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยการพัฒนาฝีมือแรงงานที่ตอบสนองความต้องการแรงงานในพื้นที่ เพื่อการสร้างการจ้างงาน และ รายได้ตามทักษะฝีมือแรงงาน สำหรับแรงงานภายหลังจากการเข้ารับการอบรม รวมถึงการสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมในระดับพื้นที่อย่างยั่งยืน และ ในขั้นต้น ผมได้มอบหมาย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในการเร่งอบรมอัพสกิล "ช่างเชื่อมและช่างเชื่อมใต้น้ำ" จำนวน 300 คน เพื่อรองร้บการจ้างงาน ณ โครงการแห่งนี้ ซึ่งผู้ที่ผ่านการอบรมจะมีงานรองรับเลยทันที มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากทักษะฝีมือแรงงาน ซึ่งทำให้แรงงานกลุ่มนี้หลุดพ้น จากค่าแรงขั้นต่ำ
 
กระทรวงแรงงาน พร้อมเสมอในการสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมในทุกภาคส่วน หากอุตสาหกรรม หรือ ผู้ประกอบการใด ที่มีความต้องการแรงงานฝีมือ สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศไทย โดยทางกระทรวงแรงงานจะพยายามอย่างเต็มที่ ในการเร่ง UPSKILL ฝีมือแรงงานที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรม และ ตลาดแรงงาน ทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ เพื่อทำให้พี่น้องแรงงานไทยหลุดพ้นจากค่าแรงขั้นต่ำ ” นายพิพัฒน์ กล่าวท้ายสุด

นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ด้านแรงงานจังหวัดภูเก็ต พบว่า ปัจจุบันมีกำลังแรงงาน 342,568 คน เป็นผู้มีงานทำ 340,433 คน ผู้ว่างงาน 2,135 คน มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม 229,588 คน มีสถานประกอบการ 12,570 แห่ง โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม 5 แห่ง มีแรงงานต่างด้าว 70,749 คน
 
โดยจังหวัดภูเก็ต มีความต้องการแรงงานคุณภาพที่ตอบสนองความต้องการในระดับพื้นที่จำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคท่องเที่ยวและบริการ อาทิ พนักงานนวดและสปา พนักงานบริการอาหาร พนักงานต้อนรับส่วนหน้า แม่บ้านโรงแรม พนักงานขับรถบริการ และมัคคุเทศก์ เป็นต้น ดังนั้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้รับนโยบาย ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในการเร่งพัฒนาทักษะแรงงานด้านภาคท่องเที่ยวและบริการจำนวนกว่า 40,000 คน พร้อมมุ่งเน้นในการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน, ภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาเกาหลี เพื่อการบริการนักท่องเที่ยว และ สร้างความประทับใจแด่นักท่องเที่ยว เพื่อการทำให้ประเทศไทย เป็นหนึ่งในจุดหมายท่องเที่ยวในใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกตลอดไป

ผบ.ตร.ร่วมกับ อาจารย์เฉลิมชัย ศิลปินแห่งชาติ จัดสร้าง 'พระพุทธราชสวัสดิ์มงคล' มอบเป็นพระพุทธรูปประจำหน่วยปฏิบัติการพิเศษ(คอมมานโด) เพื่อเป็นศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจ มีหลักธรรมในการปฏิบัติหน้าที่รับใช้สังคม

วันนี้ (21 ต.ค. 2566 ) เวลา 14.00 น. ณ อาคารประชุมสัมมนาและฝึกอบรม ตร. (เมืองทองธานี) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.พร้อม อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ และอาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง ศิลปินเชียงราย ร่วมแถลงข่าวจัดสร้าง 'พระพุทธราชสวัสดิ์มงคล' เพื่อมอบประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประจำกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมจัดหารายได้ให้สวัสดิการตำรวจ จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ และทุนการศึกษา 

สำหรับแนวคิดการจัดสร้าง 'พระพุทธราชสวัสดิ์มงคล' สืบเนื่องมาจาก กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ ซึ่ง พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับการคนแรก ยังไม่มีศูนย์ร่วมจิตใจของข้าราชการตำรวจ ผบ.ตร. จึงมีดำริให้จัดสร้างพระพุทธประจำกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งเป็นเครื่องเตือนใจ ให้ข้าราชการตำรวจสังกัดกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ น้อมนำหลักธรรม คำสอนมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สร้างขวัญและกำลังใจ พลังความเข้มแข็งให้แก่ข้าราชการตำรวจในการรับใช้สังคม และประชาชนด้วยความเสียสละ โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ได้ให้เกียรติสร้างพระพุทธรูปปางประทานพร ขนาดหน้าตักกว้าง 19 นิ้ว และกำหนดนามให้ว่า 'พระพุทธราชสวัสดิ์มงคล' มอบให้กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อีกทั้งออกแบบซุ้มหอพระให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ตั้งอยู่หน้าอาคารกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ รายได้จากการสร้างพระจะมอบให้กับ กองทุนสวัสดิการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปจัดสวัสดิการด้านต่างๆ ให้แก่ข้าราชการตำรวจในสังกัด  จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ นำเข้าสนับสนุนสมาคมขัวศิลปะ เพื่อสมทบการจัดสร้างหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย

สำหรับการจัดสร้างพระพุทธราชสวัสดิ์มงคล จะมีพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 19 นิ้ว 1 องค์ ประดิษฐาน ไว้ ณ ซุ้มหอพระ บริเวณกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ ลาดพร้าว โชคชัย 4  พระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 10 นิ้ว มอบไว้บูชาประจำหน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และหน่วยงานอื่นๆ จำนวน 14 องค์  พระพุทธรูปและพระกริ่ง จัดสร้างเพื่อมอบไว้แก่ผู้ร่วมบริจาคหรือผู้ร่วมสั่งจอง พระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว จัดสร้าง 610 องค์  เอพี. (Artist Proof) 10 องค์  เปิดบูชา 600 องค์ เป็นสีพิเศษ 1 จำนวน  99 องค์ , สีพิเศษ 2 จำนวน 199 องค์ , ทั่วไป จำนวน 302 องค์ และพระกริ่งขนาดหน้าตัก 2 เซนติเมตร เนื้อทองคำ, เนื้อเงิน, เนื้อ นวะโลหะ จัดสร้าง 99 ชุด , เนื้อเงิน จัดสร้าง 910 องค์ เนื้อนวะโลหะพิเศษ จัดสร้าง 7,910 องค์ เนื้อนวะโลหะ จัดสร้าง 20,000 องค์    

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้กล่าวขอบคุณ ศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ที่กรุณารังสรรค์ผลงานที่งดงาม เป็นพลังศรัทธาอันเป็นเกียรติสูงยิ่งของข้าราชการตำรวจ เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของข้าราชการตำรวจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราหวงแหน เป็นสิ่งล้ำค่า มีคุณค่าทางจิตใจ คุณค่าทางศิลปะ และคุณค่าทางพุทธคุณ เพื่อย้ำเตือนสติตำรวจให้ยึดมั่นทำความดี รับใช้สังคม พร้อมจะบำบัดทุกข์ บำรุงสุข รับใช้พี่น้องประชาชน ยึดมั่นในหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของตำรวจ เพื่อสนองตอบนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นพลังศรัทธาในการต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่างๆอย่างมีสติและปัญญา ในการจัดสร้างยังมีพระเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นทองคำพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก เงินพิมพ์ใหญ่และเนื้อนวโลหะ เป็นพระกริ่งลอยองค์ที่ ศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย กรุณาสร้างสรรค์ผลงาน ศาสตร์แห่งศิลปะ ควบคุมการสร้าง การผลิต การดำเนินการต่างๆ อย่างละเอียดในทุกขั้นตอน ต้องถือโอกาสขอบพระคุณพี่น้องประชาชน และข้าราชการตำรวจที่มีจิตใจศรัทธาร่วมกันบริจาค ทุนทรัพย์ที่ได้ไม่ไปไหน จะใช้พัฒนาตำรวจนำเข้ากองทุนสวัสดิการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จัดซื้อเครื่องมือแพทย์มอบให้โรงพยาบาลตำรวจ และสนับสนุนสมาคมขัวศิลปะ เพื่อสมทบการจัดสร้างหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย เพื่อส่งเสริมให้แก่ผู้ที่มีความสนใจศึกษาด้านศิลปะ เผยแพร่ผลงานศิลปะให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ 

ศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย กล่าวว่า ในการการสร้าง 'พระพุทธราชสวัสดิ์มงคล' อยากให้เป็นพระที่วิเศษที่สุด สิ่งหนึ่งที่ยอมรับทำพระครั้งนี้ ไม่ใช่ทำเพื่อขาย ไม่ใช่ทำเพื่อไปอยู่บ้านเศรษฐี หรือไปอยู่บ้านคนเล่นพระ ทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง เพราะพระที่ไปประจำที่ตำรวจนั้น เป็นสมบัติของชาติ เป็นของแผ่นดิน จึงอยากให้พระองค์นี้ งดงามในรูปแบบของตน เป็นงานศิลปะที่ถือว่าเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ลอกใคร มีความงดงามในแบบแผนของเฉลิมชัย และสิ่งสำคัญมากอีกอย่างนั้นคือความศักดิ์สิทธิ์ ศิลปินเขาสร้างด้วยหัวใจที่เสียสละอันบริสุทธิ์ ตั้งมั่นในการที่จะสร้างพระให้สวยงาม เราจึงได้เห็นได้กราบพระที่ทรงคุณค่าทางสุนทรียภาพ เพราะมาจากหัวใจของศิลปีนผู้ปั้นผู้สร้างสรรค์อันบริสุทธิ์ แล้วในขณะเดียวกันก็มาจากพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่เข้มขลังเพื่อนำไปสู่ยังการทำให้พระบูชานั้นศักดิ์สิทธิ์และสวยงามด้วย พระของเรานี้จึงพร้อมทุกด้าน

รองผู้ว่ากระบี่เปิดงานโครงการ Roadshow and Consumer Fair Andaman สินค้าชุมชนและบริการท่องเที่ยวของเครือข่ายการท่องเที่ยวระดับประเทศ

วันที่ 20 ตุลาคม 2566 เวลา 18.00 น.ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายอนุวรรตน์ โหมดพริ้ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Roadshow and Consumer Fair Andaman สินค้าชุมชนและบริการท่องเที่ยวของเครือข่ายการท่องเที่ยวระดับประเทศ (ภูเก็ต ระนอง กระบี่ พังงา ตรัง และสตูล) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ครั้งที่ 2 โดยมี ดร.นิวัตน์ ลิ้มสุขนิรันดร์ อธิบดีกรมพลศึกษา พร้อมด้วย ดร.วนิดา พันธ์สะอาด รองอธิบดีกรมพลศึกษา ,นายจรูญ แก้วมุกดากุล รองอธิบดีกรมพลศึกษา และคณะผู้บริหาร พร้อมทั้งนายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ และยังได้รับเกียรติจาก นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) นางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางปุณณานันท์ ทองหยู ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสตูล นางณัฏฐิรา แพงคุณท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนนทบุรี , ผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหาร และผู้ประกอบการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ร่วมในพิธี

สำหรับกิจกรรมในวันนี้นับว่าเป็นการจัดงานครั้งที่ 2 ที่มุ่งหมายประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และเปิดตลาดสินค้าด้านการท่องเที่ยว สินค้าชุมชนของกลุ่มจังหวัดอันดามันสู่สายตาประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคกลาง โดยผลการจัดงานครั้งแรกในพื้นที่ภาคเหนือ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงใหม่ แอร์พอร์ต จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 5 - 8 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมานั้น ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี มียอดผู้เข้าร่วมงานทั้ง 4 วัน มากถึง 35,362 คน และยอดการจำหน่ายสินค้าและบริการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน จำนวน 2,214,874 บาท นับเป็นความสำเร็จที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนให้เติบโตและยั่งยืน  และนำนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่าง ๆ เดินทางมาท่องเที่ยวสู่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ต่อยอดการสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม

ทั้งนี้งานมหกรรม "Roadshow and Consumer Fair Andaman สินค้าชุมชนและบริการท่องเที่ยวของเครือข่ายการท่องเที่ยวระดับประเทศ" ครั้งถัดไปจะถูกจัดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 9 - 12 พฤศจิกายน 2566 ณ เซ็นทรัลอุดร จังหวัดอุดรธานี และภาคใต้ ระหว่างวันที่ 23 - 26 พฤศจิกายน 2566 ณ เซ็นทรัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามลำดับ ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top