Tuesday, 6 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

‘ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ’ กำชับทุกหน่วย!! เตรียมพร้อมขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ปราบปรามแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย มีโทษทั้งนายจ้างและลูกจ้าง

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติกำชับหน่วยงานในสังกัดขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการปราบปรามแรงงานต่างด้าว ตามมติ ครม. เมื่อ 28 ก.ย. 64 ให้นายจ้างและแรงงาน 3 สัญชาติ(ลาว กัมพูชา เมียนมา) ดำเนินการเข้าสู่กระบวนการจ้างงานตามกฎหมาย ภายในวันที่ 1-30 พ.ย.64 รวมถึงประสานงานกับหน่วยที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมกลุ่มแรงงาน MOU นั้น

เนื่องด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้บริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเป็นระบบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างและสถานประกอบการที่ขาดแคลนแรงงาน พร้อมกับควบคุมมิให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ อีกทั้งได้มีมติให้มีการตรวจสถานที่ประกอบการต่าง ๆ เพื่อให้คำแนะนำการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าว รวมถึงให้นำแรงงานต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายเข้าสู่ระแบบการจ้างงานตามกฎหมายประเทศไทย เพื่อให้ได้รับการดูแลตามสิทธิที่พึงมี ภายในวันที่ 30 พ.ย. 64 หลังจากนั้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีกับแรงงานต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายอย่างจริงจัง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สนองนโยบายรัฐบาลโดยได้กำชับและสั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ให้ทำการประสานการปฎิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประชาสัมพันธ์พร้อมสร้างการรับรู้ให้กับนายจ้างและแรงงาน 3 สัญชาติ( ลาว กัมพูชา เมียนมา) เพื่อให้มาดำเนินการภายในกำหนดตาม มติ ครม.  โดยหลังจาก 30 พ.ย.64 ให้ประสานการปฎิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการตรวจสอบสถานประกอบการ โรงงาน ที่พักคนงาน และพื้นที่สุมเสี่ยง ทำการสืบสวนปราบปราม จับกุมแรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยผิดกฎหมายและนายจ้างที่เกี่ยวข้อง  เพิ่มการกวดขันการตรวจตราการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง โดยให้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยร่วมปฏิบัติต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง ตลอดจนขยายผลไปยังเครือข่ายผู้ร่วมกระทำความผิดทุกราย  พร้อมให้เจ้าหน้าที่ทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังตามหลักยุทธวิธีตำรวจและถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้กำหนด

หากตรวจพบว่าพื้นที่ใดหย่อนยาน ปล่อยปละละเลย หรือมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จะถือว่าเป็นความบกพร่อง ต่อหน้าที่ อีกทั้งเน้นย้ำให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ควบคุม กำกับดูแล การปฏิบัติของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด ห้ามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือเรียกรับผลประโยชน์ทุกกรณี ไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อมก็ตาม หากพบจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายและดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาดทุกราย

ผู้ที่ให้การช่วยเหลือหรือนำพาบุคคลต่างด้าวลักลอบข้ามพรมแดน จะมีโทษฐานเป็นบุคคลที่นำพาบุคคลต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองซึ่งจะมีโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่ถ้าเกิดมีการช่วยเหลือซ่อนเร้นคือบุคคลต่างด้าวนั้นเข้ามาหลบอยู่ในบ้านท่านหรือมีการอำนวยความสะดวกให้ขึ้นรถหรือว่ามีการหลบหลีกด่านตรวจต่างๆ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีปรับไม่เกิน 50,000 บาท

 

ตร.เตือน!! BEC (Business Email Compromise) ‘แฮก’ หรือ ‘ปลอม’ อีเมลธุรกิจ...ความเสียหายหลักล้าน!!

วันที่ 26 พ.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

จากกรณีที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาเป็นหญิงไทยจำนวน 3 ราย และชายแคมมารูน จำนวน 1 ราย ซึ่งมีพฤติการณ์แบ่งหน้าที่กันทำ ในการแฮกอีเมลบริษัทผู้เสียหาย ปลอมอีเมลสวมรอยบริษัทเพื่อพูดคุยกับบริษัทลูกค้า การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด จัดหาบริษัท และบัญชีธนาคารในการรับโอนเงิน ไปจนถึงการถอนเงินออกจากบัญชี ซึ่งทำให้บริษัทผู้เสียหายได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนรวมกว่า 12 ล้านบาท ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าว เป็นอาชญากรรมไซเบอร์ในรูปแบบ Business Email Compromise (BEC) หรือ การสร้างความเสียหายต่ออีเมลทางธุรกิจ โดยการแฮกหรือปลอมอีเมลของคู่ค้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อสวมรอยเป็นบริษัทคู่ค้า หรือตัวแทนที่ติดต่อเจรจาทางธุรกิจ และหลอกเอาทรัพย์สิน ข้อมูล หรือผลประโยชน์อื่น ๆ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะบริษัทที่ใช้การติดต่อธุรกิจผ่านทางอีเมล ให้ใช้ความระมัดระวัง และหากมีการแจ้งเปลี่ยนการชำระเงิน หรือสถานที่ส่งสินค้า ให้ติดต่อกับคู่ค้าโดยตรงนอกเหนือจากทางอีเมล เช่น โทรศัพท์ การสนทนาผ่านวีดิโอ หรือช่องทางอื่น ๆ ที่สามารถติดต่อกับคู่ค้าได้โดยตรง ก่อนที่จะทำการโอนเงินหรือส่งมอบสินค้า เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง และขอให้องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญในการให้ความรู้และการอบรมแก่บุคลากร ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงถูกโจมตีในรูปแบบ BEC

 

ฉีดครบก็ไม่รอด! ‘สหรัฐฯ' วิกฤตยอด ‘ป่วยหนัก-ตาย’ พุ่ง เล็งหาทางออกด้วย ‘เข็มบูสเตอร์’!! | Knowledge Times EP.39

????รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
????ฉีดครบก็ไม่รอด! ‘สหรัฐฯ' วิกฤตยอด ‘ป่วยหนัก-ตาย’ พุ่ง เล็งหาทางออกด้วย ‘เข็มบูสเตอร์’!!

ในช่วงที่ผ่านสหรัฐอเมริกา ได้ประสบปัญหายอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นรวมไปถึงผู้ที่ป่วยหนักและผู้เสียชีวิต ซึ่งจากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮ็อปกินส์ ได้ระบุว่า มีจำนวนผู้สังเวยชีวิตให้กับโควิด-19 ในปี 2021 แซงหน้าปี 2020 ไปเป็นที่เรียบร้อย และจะยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง

โดยก่อนหน้านี้ นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ ได้กล่าวโทษประชาชนราว 60 ล้านคน ที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนแต่ไม่เข้ารับวัคซีนว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น 

และได้อ้างถึงข้อมูลของอิสราเอลที่บ่งชี้ว่า วัคซีนป้องกันโควิดเข็มบูสเตอร์ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อและป่วยหนัก ซึ่งทางนักวิจัยในอิสราเอลได้เปิดเผยผลการศึกษาผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ / ไบออนเทคแล้วเกือบ 4.8 ล้านคน

พบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนลดน้อยลงเรื่อย ๆ โดยคนทุกกลุ่มอายุที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าคนที่ได้รับวัคซีนครบโดสในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็สอดคล้องกับเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่กำลังพุ่งสูงขึ้นในสหรัฐฯ 

โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเตือนว่า กำลังพบจำนวนคนที่ฉีดวัคซีนครบเข็มแล้ว แต่ยังป่วยหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือต้องเข้าห้องฉุกเฉินเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งยิ่งตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันลดลงในการป้องกันการติดเชื้ออาการรุนแรง 

ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ถูกคาดหมายว่าจะอนุมัติฉีดเข็มกระตุ้นวัคซีนไฟเซอร์ / ไบออนเทค สำหรับบุคคลอายุ 18 ปีขึ้นไป

โดยแพทย์หญิงโรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) รายงานพบประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงในหมู่คนชราและผู้พักอาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ซึ่งจำนวนมากเป็น กลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว

โดยเธอได้กล่าวว่า "แม้ความเสี่ยงสูงสุดคือคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน แต่เรากำลังพบเห็นคนชราอายุ 65 ปีขึ้นไป ถูกส่งเข้าแผนกฉุกเฉินเพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้กลับมาสูงกว่ากลุ่มคนอายุต่ำกว่าอีกครั้ง”

และเธอได้ชี้ให้เห็นถึงข้อมูลเปรียบเทียบ จากอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างคนที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มกับคนที่ฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว โดยกล่าวว่า "อัตราการติดเชื้อต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัดสำหรับคนที่ฉีดเข็มกระตุ้น แสดงให้เห็นว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นของเรากำลังได้ผล" 

อย่างไรก็ตาม แม้เคสฉีดวัคซีนครบเข็มแล้วแต่ยังป่วยหนักถึงเข้าโรงพยาบาล แต่ทั้งเฟาซีและวาเลนสกี เน้นย้ำว่าผู้ป่วยหนักเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่แล้วยังคงเป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

โดยจากข้อมูลของทางซีดีซีระบุว่าจนถึงตอนนี้มีประชาชนชาวสหรัฐฯ อย่างน้อย 31 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นของไฟเซอร์ โมเดอร์นาและจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน แม้อัตราคนฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ แต่ เฟาซีคาดหมายว่าจะมีคนฉีดวัคซีนแล้วเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น เนื่องจากวัคซีนไม่ได้มีประสิทธิภาพ 100% ในการป้องกันการป่วยหนัก

โดยล่าสุดคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบสหรัฐฯ ได้ขยายขอบเขตผู้มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น แก่ประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกคน เปิดทางให้ชาวอเมริกันอีกหลายล้านคนได้รับภูมิคุ้มกันเพิ่มเติม เพื่อต้านทานไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับคนที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทค หรือ โมเดอร์นา ครบ 2 เข็ม มาเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน

หลังจากก่อนหน้านี้คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบสหรัฐฯ ได้อนุมัติฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นวัคซีนเข็มเดียวของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 2 เดือนหลังฉีดเข็มแรกไปแล้ว 

และที่ผ่านมา สหรัฐฯ อนุมัติฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่บุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ กลุ่มคนชราอายุ 65 ปีขึ้นไปและบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ ที่ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงสูงติดเชื้ออาการรุนแรง รวมไปถึงคนที่มีอาชีพหรือสภาพความเป็นอยู่เสี่ยงติดเชื้อไวรัส ซึ่งจนถึงตอนนี้มีชาวอเมริกันเข้าฉีดเข็มกระตุ้นแล้วมากกว่า 32 ล้านคน

ในขณะที่ ปัจจุบันมีชาวสหรัฐฯ ฉีดวัคซีนครบเข็มแล้วคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 60% ซึ่งหมายถึงการฉีดวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทคหรือโมเดอร์นา ครบ 2 เข็ม และฉีดวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันเข็มเดียว 

ดังนั้นปัญหายอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นในสหรัฐฯ ที่สวนทางกับยอดผู้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ลดลงของวัคซีน ทำให้ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ตระหนักถึงปัญหาและได้ออกนโยบายให้ประชาชนได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อหวังให้ยอดผู้ติดเชื้อและป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลนั้นลดลง ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป ว่าสหรัฐฯ จะสามารถก้าวพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้หรือไม่

ปทุมธานี - จัดพิธีมอบเงินพระราชทาน ช่วยเหลือสถานศึกษา ที่ปรับสถานศึกษาเป็นโรงพยาบาลสนามโควิด-19

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10.00 น. ที่อาคารศาลารักษ์ปทุม ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี อำเภอเมืองปทุมธานี  จังหวัดปทุมธานี นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานในพิธีมอบเงินพระราชทานพระบาทสมเด็จ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมี นางสาวกนิษฐา ทองเลิศ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 นายเทอดเกียรติ ยามโสภา รองฯผอ. สพป. ปทุมธานี เขต 2 นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ วัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี ด้วยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานเงินส่วนพระองค์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 ให้ความช่วยเหลือสถานศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ปรับสถานศึกษาเป็นโรงพยาบาลสนาม หรือสถานที่กักตัว หรือศูนย์พักคอย ให้แก่ผู้ป่วย COVID - 19

ซึ่งหลังจากภารกิจเป็นโรงพยาบาลสนาม หรือสถานที่กักตัว หรือศูนย์พักคอยแล้วเสร็จ และเมื่อมีการส่งคืนพื้นที่และอาคารสถานที่ให้แก่สถานศึกษาแล้ว สถานศึกษาแต่ละแห่งอาจมีภาระต้องชำระค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารให้คืนสู่สภาพเดิมเพื่อจัดการเรียนการสอน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ให้ความร่วมมือปรับสถานศึกษาเป็นโรงพยาบาลสนาม 1 แห่ง จำนวน 50 เตียง และปรับสถานศึกษาเป็นศูนย์พักคอย 3 แห่ง จำนวน 67 เตียง รวมทั้งสิ้น 117 เตียง บัดนี้หน่วยงานที่เข้าใช้ ได้ส่งคืนพื้นที่และอาคารสถานที่ให้แก่สถานศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน’ เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการจ้างงานในประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานระหว่างและหลังการระบาดของโควิด-19

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการจ้างงานในประเทศไทย “การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานระหว่างและหลังการระบาดของ COVID-19” Employment in Thailand Labour Market Transitions during and post the COVID-19 pandemic ณ ห้องประชุมมารีน่า แกรนด์ บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมโนโวเทลมารีน่า ศรีราชา แอนด์ เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี

โดยกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อแรงงาน และเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อบริบทด้านแรงงาน ดังนี้

1) แรงงานถูกเลิกจ้าง

2) ชั่วโมงการทำงานลดลง

3) รายได้ของแรงงานลดลง และ

4) ความก้าวหน้าและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีดิจิทัล

ส่งผลให้แนวโน้มอาชีพและรูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนแปลงไป กระทรวงแรงงานได้มีการดำเนินงานเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้าง ว่างงาน และเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานและการจ้างงาน เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการจัดหางาน มีอาชีพ มีงานทำ และมีคุณภาพชีวิตอย่างมั่นคงและยั่งยืน จึงได้กำหนดมาตรการการส่งเสริมการจ้างงาน และมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้

1.การเตรียมความพร้อมแก่กำลังแรงงานให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทุกกลุ่มให้ทราบข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน และใช้เป็นแนวทางในการเลือกศึกษา และเลือกประกอบอาชีพ

2.จัดทำมาตรการเพื่อส่งเสริมการจ้างงานและการประกอบอาชีพ โดยมีผลการดำเนินงาน ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่

โดยภาครัฐและภาคเอกชน (Co - Payment) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งวันที่ 1 ตุลาคม 2563 - 31 ธันวาคม 2564 เป้าหมาย 50,000 คน ผลการดำเนินงานปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564) อนุมัติการจ้างงานแล้ว จำนวน 55,735 คน ก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจรวมจำนวน 3,213,122,750 บาท และให้ความช่วยเหลือนายจ้าง/สถานประกอบการในกลุ่มธุรกิจ SMEs เพื่อส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เพื่อลดปัญหาการว่างงาน ผลการดำเนินงานปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2564) มีนายจ้างในธุรกิจ SMEs เข้าร่วมโครงการ จำนวน 223,838 ราย รักษาระดับการจ้างงาน และส่งเสริมการจ้างงานใหม่ลูกจ้างสัญชาติไทย จำนวน 3,068,152 คน เป็นต้น 3.พัฒนาระบบการให้บริการจัดหางาน ซึ่งกระทรวงแรงงานโดยกรมการจัดหางาน ยกระดับการให้บริการจัดหางานและจ้างงานผ่านระบบออนไลน์บนแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” เพื่อให้คนหางานเข้าถึงการจ้างงานที่สะดวกรวดเร็ว จับคู่ตำแหน่งงานว่างและคนหางานที่สอดคล้องกับความต้องการส่งเสริมให้คนไทยมีงานทำตอบโจทย์การทำงานในยุคดิจิทัลและการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้ได้รับการบรรจุงานแล้ว จำนวน 192,948 คน

อย่างไรก็ดี ยังเห็นว่ามีการดำเนินงานด้านการพัฒนาแรงงานด้านอื่น ๆ และประเด็นท้าทายที่จะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานและสอดคล้องกับแรงงานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ต้องให้ความสำคัญและมีการวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงต่อไป เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการสนับสนุนให้มีการจ้างงานกลุ่มเปราะบาง และประชากรเฉพาะกลุ่ม การปรับตัวของแรงงานทั้งในและนอกระบบของไทยให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงโดยการพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะและสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคปัจจุบัน หรือ Up-Skill และ Re-Skill ในสาขาที่เป็นที่ต้องการของห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมการบริการที่มีความต้องการแรงงานที่มีทักษะ การคุ้มครองแรงงานเพื่อส่งเสริมการทำงานที่มีคุณค่าเพื่อให้แรงงานได้รับโอกาสในการจ้างงานจ้างและมีความมั่นคงในชีวิตตลอดจนมีหลักประกันทางสังคม

นายสุรชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอบคุณสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทยและองค์การแรงงานระหว่างประเทศที่ร่วมจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาแรงงานของประเทศ และหวังว่าผลการประชุมจะนำมาซึ่งข้อเสนอเชิงนโยบายด้านแรงงานด้านการจ้างงานที่มาจากความเห็นของทุกภาคส่วนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำไปขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาแรงงานของประเทศต่อไป

 

‘อธิบดีผู้พิพากษา ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง’ เป็นประธานในพิธีอบรมและปฏิญาณตนของผู้พิพากษาสมทบ ในศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดสงขลา - ปัตตานี - สตูล และนครศรีธรรมราช

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.45 – 16.00 น. ที่ผ่านมา ณ โรงแรม บีพี สมิหลา บีช สงขลา นายประกอบ ลีนะเปสนันท์ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เป็นประธานในพิธีอบรมและปฏิญาณตนของผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสงขลา จำนวน 42 คนจังหวัดปัตตานี 26 คน จังหวัดสตูล 21 คน และจังหวัดนครศรีธรรมราช 36 คน รวมทั้งสิ้น 125 คน 

โดยได้รับเกียรติจากมี นางสาววิไล จิวังกูร ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 9 นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา/ นายปัญญา ช่อมณี อธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 / นายก่อเกียรติ สุพลพงษ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาค 9 / นายประคอง เตกฉัตร อธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 / นายสถาพร ประสารวรรณ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 / นางวิรา ยากะจิ ณ พิกุล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล 

จิตอาสาพัฒนา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” เนื่องในวันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ภายในลานอเนกประสงค์ เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ นางสาวทัสนันทร์ ภมรพล ปลัดอำเภอ รักษาราชการแทน นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ ประธานจัดกิจกรรม จิตอาสาพัฒนา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” นำหัวหน้าส่วนราชการ จิตอาสาพระราชทาน ข้าราชการตำรวจและประชาชน ร่วมถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้ง ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เนื่องในวันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

โดยมี นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ นำคณะผู้บริหารเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ร่วมให้การต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่ จิตอาสาพระราชทาน ตลอดจนเข้าร่วมในกิจกรรม จิตอาสาพัฒนา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” โดยมี นายบุญธรรม อินทรแย้ม รองนายกเทศมนตรี นางสาวศิริพร ทับคล้าย รองนายกเทศมนตรี นายธนสัน วสันต์ กำนันตำบลแพรกษาใหม่

 

ปทุมธานี – รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสา "เราทำความดีด้วยหัวใจ" พัฒนาคลองรังสิตประยูรศักดิ์ เนื่องในโอกาสวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09:00 น. นายจรูญศักดิ์ สิงหเดช รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมจิตอาสา "เราทำความดีด้วยหัวใจ" พัฒนาคลองรังสิตประยูรศักดิ์ เนื่องในวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า หรือ วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยมี นางสาวกันตรัตน์ เริ่มสูงเนิน นายอำเภอธัญบุรี ร้อยตำรวจเอก ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต นางยุพเยาว์ หลีนวรัตน์ รองนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี พร้อมด้วย คณะ จิตอาสาพระราชทาน เจ้าหน้าที่เทศบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ในอำเภอธัญบุรี เข้าร่วมพิธีการและทำกิจกรรมจิตอาสาฯ ในวันนี้ ที่บริเวณริมเขื่อนเทศบาลตำบลธัญบุรี ตำบลลำผักกูด อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี

ทั้งนี้ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงประกอบพระราชกรณียะกิจ นานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติ ทั้งในอดีตและพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ตลอดจน เป็นการดำเนินการตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการบำเพ็ญประโยชน์พื้นที่ชุมชนและผู้อื่น ด้วยความเสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทน และดำเนินการตามศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ในการปฏิบัติกิจกรรมจิตอาสา ในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย ตามความเหมาะสมในบริบทของพื้นที่

กาฬสินธุ์ - กู๊ดไอเดีย!! เปิดตัว “ตู้ผู้ว่าฯ ห่วงใยอัจฉริยะ” ผ่าน APP Line เพื่อแจ้งเบาะแสยาเสพติด

จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดยุทธการฟ้าแดดสงยาง ระดมกวาดล้างยาเสพติดจังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปี 2565 พร้อมพัฒนา “ตู้ผู้ว่าฯ ห่วงใจอัจฉริยะ” ผ่าน Line  เข้าถึงง่าย ใช้ง่าย เพื่อรับแจ้งเบาะแสยาเสพติด การเข้ารับการบำบัดยาเสพติด คาดหวังจะช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชน

เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ที่บริเวณหน้าศาลากลาง จ.กาฬสินธุ์ นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานปล่อยแถวชุดปฏิบัติการ ตามยุทธการฟ้าแดดสงยาง ระดมกวาดล้างยาเสพติดจังหวัดกาฬสินธุ์ ปีงบประมาณ 2565 เพื่อมุ่งสู่ชุมชนมั่นคง สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับประชาชน โดยมีนายพิชัย ส่งสุขเลิศสันติ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมปล่อยแถว

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การปล่อยแถวชุดปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ พร้อมกันทั้งจังหวัด รวม 86 จุดเป้าหมาย โดยกำหนดดำเนินการทั้งด้านการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาไปพร้อมกัน นอกจากนี้ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จ.กาฬสินธุ์ (ศอ.ปส.จ.กส.) ยังได้เปิดปฏิบัติการระดมกวาดล้าง ปิดล้อมตรวจค้น โดยนำเทคโนโลยีการสื่อสาร App Line มาพัฒนาเป็น “ตู้ผู้ว่าฯ ห่วงใยอัจฉริยะ” ในการรับข้อมูลข่าวสารจากประชาชนเกี่ยวกับการแจ้งเบาะแสยาเสพติด ขอเข้ารับการบำบัด และการรายงานต่าง ๆ อีกด้วย

 

กระบี่ - ‘ทหารจิตอาสา’ สนธิกำลัง ‘ตำรวจอาสารักษาดินแดน’ เข้าฟื้นฟูบ้านที่ดินสไลด์ทับห้องครัว – ห้องน้ำเสียหา เพื่อช่วยเหลือในพื้นที่ตำบลเขาเขน ให้อยู่ต่อได้

เมื่อวันที่ 25พฤศจิกายน 2564 พันเอก ภาณุวัฒน์ สุคชเดช ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 จังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนาวาอากาศเอก อาทิตย์ ภากรสังขรัตน์ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 45 สำนักงานพัฒนาภาค 4 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย พลตำรวจตรี ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ และนายวินัย ดินแดง นายอำเภอปลายพระยา สนธิกำลังทหารจิตอาสา ตำรวจจิตอาสา และอาสารักษาดินแดนอำเภอจิตอาสา เราทำความดีเพื่อชาติศาสตร์กษัตริย์  ระดมกำลังเข้าร่วมฟื้นฟูพัฒนาบ้านเรือนพร้อมนำสิ่งของบริโภคและอุปโภค ไปมอบให้กับนายเล็ก และนางสุจินต์ คำศิริ อยู่บ้านเลขที่ 296 หมู่ที่  6 บ้านคลองปัญญา ตำบลเขาเขน อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่

ที่ถูกดินจากเนินเขาหลังบ้านสไลด์ไหลลงมาทับบ้านได้รับความเสียหายบางส่วน โดยเฉพาะห้องครัว ห้องน้ำ โรงรถยนต์ เนื่องจากฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้ดินอุ้มน้ำจนอิ่มตัวจึงเกิดดินล้วนซุยไม่สามารถเกาะตัวกันได้ จึงเปิดดินสไลด์ไหลลงมาทับบ้านกลังดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 นาฬิกา ที่ผ่านมา ซึ่งในวันเกิดเหตุทหารจิตอาสาของ กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 จังหวัดกระบี่ และอาสารักษาดินแดนอำเภอปลายพระยา ร่วมถึงตำรวจจิตอาสาสถานีตำรวจภูธรอำเภอปลายพระยา ได้เข้าให้การช่วยเหลือไปครั้งหนึ่งแล้ว

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top