Sunday, 4 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ปูพรม! ‘กวาดล้างเด็กแว้นทั่วประเทศ’ ยึดรถกว่า 20,000 คัน ‘ผู้ปกครอง - ร้านแต่งรถ – แอดมินเพจ’ โดนด้วย!!

วันนี้ (22 พ.ย.64) เวลา 10.30 น. ที่ ตำรวจภูธรภาค1 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการแข่งรถในทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปข.ตร.), พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตต์ ผบช.ภ.1 ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องในห้วงวันที่ 11 - 20 พ.ย.64 หลังยกเลิกเคอร์ฟิว เตรียมเปิดประเทศ จับกุมผู้กระทำผิด 922 ราย ยึดรถกว่า 20,000 คัน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใย สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เร่งปราบปรามการแข่งรถในทางซึ่งอาจจะกลับมารวมตัวกันสร้างความเดือดร้อนให้กับนักท่องเที่ยว และผู้ใช้รถใช้ถนน รวมถึงประชาชนผู้พักอาศัย  และอาจเป็นสาเหตุในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ในช่วงหลังประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว เตรียมเปิดประเทศรับชาวต่างชาติ

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากการประสานข้อมูลกันระหว่าง ศปข.ตร. และตำรวจพื้นที่ ทั้ง บช.น., ภูธร 1-9 ในห้วง 11-20 พ.ย.64 สามารถจับกุมผู้กระทำผิด

1.แข่งรถในทางและขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ และสนับสนุน ให้มีการแข่งรถหรือให้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย 922 ราย

2.ทำทัณฑ์บนกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง ตามคำสั่ง หน.คสช. ที่ 22/2558 และ 46/2558 จำนวน 2,575 ราย

3.ดำเนินคดี ร้านค้า/ดัดแปลง รถหรืออุปกรณ์ 182 ราย

4.ตรวจค้น/ประชาสัมพันธ์ ร้านขาย/ดัดแปลง รถหรืออุปกรณ์ 26,670 ราย

5.ตรวจพบท่อไอเสียไม่ได้มาตรฐาน 3,382 ราย

6.ความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก และ พ.ร.บ.รถยนต์ ที่เกี่ยวข้อง 50,136 ราย

7.ดำเนินคดีกับ Admin Page 13 ราย

8.ตรวจยึดรถยนต์ 118 คัน

9.รถจักรยานยนต์ 19,046 คัน

10.จัดทำประวัติผู้กระทำความผิดและผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะแข่งรถในทาง 9,411 ราย

11.กรณีจับกุมผู้ต้องหาส่งฟ้องศาล และศาลมีคำสั่งให้ริบรถของกลาง 8 ราย

ผอ.ศปข.ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร. ได้กำชับให้เร่งแก้ไขปัญหาเด็กแว๊น อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งจากสถิตินับตั้งแต่ตนมาเป็น ผอ.ศปข.ตร. พ.ศ.2562 พบว่าการร้องเรียนลดลงอย่างมาก มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดแบบครบวงจร ทั้ง ผู้ขับขี่ แอดมินเพจ ผู้สนับสนุน ร้านแต่งรถ รวมถึงผู้ปกครองด้วย ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งผลักดันแก้ไข พ.ร.บ.จราจรทางบก ในเรื่องนี้เพื่อให้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเอาผิดกับ "การรวมกลุ่มมั่วสุมในทาง หรือสาธารณะสถานใกล้ทาง โดยมีพฤติการณ์ที่จะแข่งรถ" จะถือเป็นความผิด "พยายามแข่งรถ" ด้วย

 

สุราษฎร์ธานี - “นิพนธ์” ล่องใต้!! อ.กาญจนดิษฐ์ - ดอนสัก ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม กำชับทุกฝ่ายดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด ตลอดฤดูมรสุมและเร่งรัดฟื้นฟูเยียวยาโดยเร็ว

นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะ ได้เดินทางลงพื้นตรวจเยี่ยมและให้กำลังผู้ที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในพื้นที่ตำบลท่าอุแท อำเภอกาญจนดิษฐ์ และตำบลชลคราม อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมมอบถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบภัย จำนวน 200 ชุด ซึ่งสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 6 - 19 พฤศจิกายน 2564 ในพื้นที่ 14 อำเภอ และสถานการณ์คลี่คลายแล้วทั้งหมด แต่ยังมีการเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ความเสียหายในภาพรวมประสบอุทกภัย ในพื้นที่ 14 อำเภอ 52 ตำบล 268 หมู่บ้าน 3,147 ครัวเรือน 10,087 คน  มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 86 ล้านบาท

นายนิพนธ์ กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยขณะนี้ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งรัฐบาลมีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนที่พี่น้องประชาชนกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ จึงขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้เร่งรัดฟื้นฟูเยียวยาประชาชนโดยเร็วที่สุด โดยกระทรวงมหาดไทยนั้นมีภารกิจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ซึ่งในฐานะที่ตนกำกับดูแลกรมปภ. มีหน้าที่ในการดูแลประชาชนโดยตรงเมื่อเกิดทั้งภัยน้ำท่วมและน้ำแล้ง สิ่งสำคัญที่เน้นย้ำคือการสร้างที่ให้น้ำอยู่ ทำทางให้น้ำไหล จะเป็นการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยจากน้ำได้อย่างครบวงจร สามารถบรรเทาความรุนแรงของภัยได้ รวมทั้งการแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้รับทราบข้อมูลข่าวสารก่อนเกิดภัยก็จะมีส่วนช่วยให้ลดความรุนแรง ความสูญเสียได้อย่างมาก

 

‘อดีตรองอธิการบดี มธ.’ เปรย "เป็นเรื่องน่าเสียดาย" หากหลานชาย (ไอติม) ร่วมก๊วนล้มสถาบันฯ

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Harirak Sutabutr’ ถึง ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ แกนนำกลุ่ม Re-Solution โดยมีใจความว่า ผมไม่เคยได้พบกับไอติมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่เห็นปรากฏอยู่ในข่าว ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะถ้านับญาติกันจริง ๆ ไอติมก็นับเป็นหลาน เพราะคุณยายของไอติมเป็นลูกผู้พี่ของผม คือเป็นลูกของคุณอาแท้ ๆ หรือน้องแท้ ๆ ของคุณพ่อผม นับว่าเป็นญาติที่ค่อนข้างใกล้กันไม่น้อย 

อย่างที่ผมเคยเขียนหลายครั้งว่า ผมไม่ได้เลือกพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เพราะไม่เห็นด้วยกับวิธีการทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็เข้าใจดีว่า นั่นเป็นวิธีที่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลและไม่ให้พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณกลับมาครอบงำประเทศได้อีก แต่ผมก็ยังเลือกไม่ลงอยู่ดี

เมื่อไอติมลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ พอดีลงสมัครในเขตผม ผมและทุกคนในครอบครัวจึงไม่ลังเลเลยที่จะพากันไปลงคะแนนให้ไอติม ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นญาติ แต่เป็นเพราะเชื่อว่าไอติมคือคนหนึ่งที่เป็นความหวังของการเมืองไทย เป็นคนรุ่นใหม่ พื้นฐานครอบครัวดี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่เข้ายากแสนยาก แต่ไอติมก็สอบตก และผู้ที่ชนะในเขตนั้นก็คือผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ 

ทำไมไอติมจึงสอบตก ทั้งที่มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง ทำไมคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ในเขตที่ลงสมัครจึงไม่เลือกไอติม แต่พากันไปเลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ คงไม่ใช่เพราะมีความนิยมชมชอบในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่นิยมชมชอบพลเอกประยุทธ์ก็ตาม นั่นเพราะสมการการเมืองไทยไม่ง่ายเหมือน 1+1 = 2 แต่ในโลกของความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่านั้นมาก คนส่วนใหญ่ไปลงคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะเขาหมดหวังในพรรคประชาธิปัตย์ และเชื่อว่า หากไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทยต้องกลับมาเป็นรัฐบาลแน่ และระบอบทักษิณที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการชุมนุมประท้วงครั้งประวัติศาสตร์จนนำไปสู่การรัฐประหาร 2557 ก็จะกลับมาพร้อมกับพรรคเพื่อไทย คนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมเชื่อว่าทักษิณยังคงครอบงำพรรคเพื่อไทยอยู่ บัดนี้น่าจะเริ่มเชื่อแล้ว

เข้าใจดีว่า รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ไม่ใช่รัฐบาลในฝันของประชาชน แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ไอติมกลับไปนิยมชมชอบพรรคและกลุ่มการเมืองที่มีจุดหมายไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยและผู้ที่อยู่เหนือพรรคเพื่อไทย ทั้งยังมีความคิดไปในทิศทางเดียวกันกับพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองเหล่านั้น ไม่ยอมรับผลการลงประชามติรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่มีคนลงคะแนนให้ถึง 16 ล้านเสียง อ้างอยู่ร่ำไปว่า การลงประชามติครั้งนั้นไม่ได้ทำอย่างเสรี และไม่เป็นธรรม อ้างว่าผู้ประท้วงคัดค้านไม่ให้คนไปลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ถูกจับกุมเนินคดี ทั้งที่รู้ดีว่าการจับกุมดำเนินคดี เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ 2559 

การดำเนินการตามกฎหมาย จึงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งคำถามแนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับบทเฉพาะกาลผ่านการทำประชามติด้วยคะแนนเสียงกว่า 16 ล้านเสียง เหตุผลหลักที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งคำถามแนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับบทเฉพาะกาลผ่านการทำประชามติ ก็เป็นเหตุผลเดียวกับการที่คนจำนวนมากจำใจต้องลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคพลังประชารัฐนั่นเอง

Netflix เปิดตัว Feature ใหม่ หวังดึงแฟนภาพยนตร์เข้าสู่ตลาดเกมมือถือ | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช EP.29

Netflix เปิดตัว Feature ใหม่ 'Netflix Games' 
หวังดึงแฟนภาพยนตร์เข้าสู่ตลาดเกมมือถือ

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

"เที่ยวฤดูหนาว ตามรอยโครงการพระราชดำริ" ทิวทัศน์สวย รวยความรู้ | MEET THE STATES TIMES EP.40

 ???? "เที่ยวฤดูหนาว ตามรอยโครงการพระราชดำริ" ทิวทัศน์สวย รวยความรู้ คู่ความชิล!!
???? โครงการในพระราชดำริของพ่อหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงช่วยให้ชาวประชามีความเป็นอยู่ดีที่ขึ้น…

???? ในรายการ MEET THE STATES TIMES ข่าวคุยเพลิน

???? ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

“คุณสมบัติ” ประธานอินเตอร์ลิ้งค์ฯ แชร์ประสบการณ์ “How to Smart Industrial Cabling & Networking” แก่ทั่วประเทศกว่า 100 หน่วยงาน!!

วันที่ 20 พ.ย. 2564 “คุณสมบัติ อนันตรัมพร” ประธาน กลุ่ม อินเตอร์ลิ้งค์ฯ มาแชร์ประสบการณ์ “How to Smart Industrial Cabling & Networking” ครั้งแรกกับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศกว่า 100 หน่วยงาน 

พร้อมนำทีมวิทยากรชั้นนำที่มาเจาะลึกรายละเอียดการเลือกใช้สายสัญญาณ และอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเห็นภาพจริงและไปประยุกต์ใช้ได้กับยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น 

 

‘ดร.เฉลิมชัย’ พร้อมร่วมเจรจา CPTPP ย้ำจุดยืนชัดเจน!! เกษตรกรต้องไม่เสียเปรียบ ยึดผลประโยชน์เกษตรกรต้องมาก่อน

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงประเด็นการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP ของประเทศไทย ว่า ในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความพร้อมในการร่วมเจรจาความตกลง CPTPP ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาล และทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ได้ศึกษาในรายละเอียด ประเด็นผลดี ผลเสีย และความพร้อมของไทยมาโดยตลอด โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอยืนยันว่า ภาคเกษตรไทยต้องไม่เสียเปรียบ โดยกรอบการเจรจาจะยึดผลประโยชน์เกษตรกรเป็นหลักถ้าหากประเทศไทยตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP ในครั้งนี้

สำหรับการจัดทำกรอบการเจรจาเพื่อรับพันธกรณีความตกลง CPTPP ในส่วนของผลต่อภาคการเกษตร มี 2 ประเด็นหลักสำคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องคำนึงถึง คือ ด้านพันธุ์พืช และด้านการค้าสินค้าให้กับประเทศไทย ซึ่ง ด้านพันธุ์พืช เงื่อนไขการเข้าร่วมความตกลง CPTPP กำหนดให้ประเทศที่เข้าร่วมจะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญา UPOV1991 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ทำให้หลายฝ่ายกังวลในประเด็นต่างๆ อาทิ เกษตรกรไม่สามารถเก็บส่วนขยายพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้ และเมล็ดพันธุ์พืชของไทยถูกผูกขาดทางการค้า ซึ่งประเด็นดังกล่าว ไทยจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวหลายปี ทั้งการทำความเข้าใจสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เกษตรกร และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 

การเตรียมความพร้อมภาคการเกษตร ทั้งด้านความต้องการใช้พันธุ์พืชของเกษตรกร การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการผลิตพันธุ์และการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืชให้เกษตรกร การจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรพันธุกรรมพืชของประเทศ เพื่อรวบรวมลักษณะประจำพันธุ์ของพันธุ์พื้นเมือง สำหรับใช้อ้างอิงป้องกันไม่ให้มีการนำพันธุ์พื้นเมืองหรือพันธุ์ท้องถิ่นไปจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ ตลอดจนการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 

โดยจะต้องหารือกับทุกภาคส่วนพิจารณากำหนดเงื่อนไขให้เกษตรกรรายย่อย สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้ตามวิถีดั้งเดิมของเกษตรกร และอยู่ภายใต้ความเหมาะสมของบริบทประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเตรียมการ ดังนั้น การเจรจาในประเด็นด้านพันธุ์พืช กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดประเด็นที่จะเจรจาขอสงวนสิทธิ์ไว้หรือขอเว้นการปฏิบัติเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสำคัญ หรือเจรจาขอระยะเวลาในการปรับตัว  เพื่อเตรียมความพร้อม เป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี ถึงจะพร้อมปฏิบัติตามสัตยาบันอนุสัญญา UPOV1991

ด้านการค้าสินค้า เนื่องด้วยสมาชิก CPTPP มีการยกเลิกหรือลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันในระดับที่สูงมากถึงร้อยละ 95 – 100 ซึ่งแน่นอนว่า จะส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรของไทยที่มีศักยภาพแข่งขันน้อย เช่น กลุ่มสินค้าปศุสัตว์และสินค้าประมงบางรายการ จึงจำเป็นต้องมีระยะเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย 

โดยจะเห็นได้ว่าประเทศสมาชิกเดิมอย่างญี่ปุ่นและเวียดนาม ขอใช้ระยะเวลาในการลดภาษีนานถึง 21 ปี นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องการยกเว้นการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ หรือ Special Safeguard (SSG) กับประเทศสมาชิก CPTPP แต่ประเทศไทย เราได้ใช้มาตรการ SSG ซึ่งผูกพันไว้กับองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับสินค้าเกษตร 23 รายการเพื่อรองรับผลกระทบในกรณีที่มีปริมาณการนำเข้าสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือราคานำเข้าที่ลดต่ำลงอย่างผิดปกติ 

จะเห็นได้จากปี 2563 และ 2564 ไทยได้ใช้ประโยชน์จากมาตรการ SSG กับสินค้ามะพร้าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเมื่อมีการนำเข้าเกินกว่าระดับปริมาณนำเข้าที่กำหนด ก็จะมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเจรจาในประเด็นด้านการค้า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอสงวนการบังคับใช้มาตรการ SSG ของไทยสำหรับสินค้าเกษตรทั้ง 23 รายการไว้ตามเดิม

ครูไทยหัวใจต้องแกร่ง! ไขข้อข้องใจ​ทำไมการศึกษาไทยไปไม่ถึงไหน | MEET THE STATES TIMES EP.39

????‘เกิดเป็นครูไทย...หัวใจต้องแกร่ง! ไขข้อข้องใจ​ ทำไมการศึกษาไทยไปไม่ถึงไหน?'
????เปิดปมการศึกษาไทย...ทำไมนับวันยิ่งถอยหลังลงคลอง!!?  มาหาคำตอบไปพร้อมกัน!!

ในรายการ MEET THE STATES TIMES

ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

‘มก.- อปท.’ ร่วมลงนามความร่วมมือพัฒนาบุคลากรส่วนท้องถิ่น

​มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ 5 ปี กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดทำและพัฒนาหลักสูตรสำหรับใช้ในการจัดฝึกอบรมพัฒนาข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตำแหน่งต่าง ๆ รวมถึงข้าราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้มีความรู้ ทักษะสมรรถนะที่เหมาะสมกับตำแหน่งและมีความเป็นมืออาชีพในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นที่ยอมรับเชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชน

19 พฤศจิกายน 2564 เวลา 13.00 น. - 15.00 น. ณ ห้องกำพล อดุลย์วิทย์ ชั้น 2 อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเป็นผู้ร่วมลงนาม โดยมี ดร.อัศวิน โชติพนัง ที่ปรึกษาผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม รศ.สุวิสา พัฒนเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม นาศศิน พัฒนภิรมย์ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

ดร.ยุพวัลย์ ทองใบอ่อน รองผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ร่วมในงานครั้งนี้ด้วย เพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัย จัดทำ และพัฒนาหลักสูตรสำหรับการฝึกอบรมข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่นทุกตำแหน่ง การพัฒนาหลักสูตรเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำหรับบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 

รวมถึงข้าราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และความร่วมมือด้านการจัดโครงการฝึกอบรม สัมมนา หรือกิจกรรมพัฒนาความรู้ ทักษะและสมรรถนะในการบริหารงานและการปฏิบัติงานให้กับข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งต่าง ๆ รวมถึงข้าราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2569

ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ได้ให้ความไว้วางใจร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เนื่องจากเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสี่ยง มีความเชี่ยวชาญ มีผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป และมีประสบการณ์ในการดำเนินงานทางวิชาการ ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มอบหมายให้สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้านวิชาการ การจัดทำโครงการและงบประมาณ รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยมีสถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำและพิจารณากลั่นกรองร่วมด้วยทุกโครงการ

​ในส่วนของความร่วมมือในการจัดหลักสูตรการฝึกอบรมนั้น เป็นหลักสูตรภาคบังคับของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น 

แบ่งเป็น ประเภทอำนวยการท้องถิ่น ได้แก่ หลักสูตรนักบริหารงานการเกษตร ประเภทวิชาการ ได้แก่ หลักสูตรนักวิชาการเกษตร หลักสูตรนักวิชาการประมง หลักสูตรนักวิชาการสวนสาธารณะ หลักสูตรนักวิชาการสิ่งแวดล้อมหลักสูตรนักวิชาการสุขาภิบาล หลักสูตรนายสัตวแพทย์ 

ตำนานบทใหม่ ‘จีน 3.0’ !! “มติครั้งประวัติศาสตร์” ส่ง ‘สี จิ้นผิง’ นั่งแท่นปกครองจีนตลอดกาล?! | Knowledge Times EP.37

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? ตำนานบทใหม่ ‘จีน 3.0’ !! “มติครั้งประวัติศาสตร์” ส่ง ‘สี จิ้นผิง’ นั่งแท่นปกครองจีนตลอดกาล?! 

การประชุมใหญ่แบบเต็มคณะครั้งที่ 6 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจบลงแล้ว! ซึ่งก็เป็นไปตามคาดการณ์ เมื่อที่ประชุมมีการรับรอง “มติประวัติศาสตร์” คือ การยกย่องให้ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ปูทางให้ครองอำนาจต่อสมัยที่ 3 รวม 15 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น…หลังจากก่อนหน้านี้จีนได้แก้กฎหมายที่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ 2 สมัย เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

ผู้สังเกตการณ์บางคนมองว่า “มติประวัติศาสตร์” เป็นความพยายามเสริมสร้างสถานะของ “สีจิ้นผิง” ให้เทียบเท่า “เหมาเจ๋อตง” ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ “เติ้งเสี่ยวผิง” ผู้สืบทอดอำนาจทางการเมืองต่อจากประธานเหมา และเป็นผู้ที่เปิดประเทศจีน

เพราะในอดีตมีการผ่านมติลักษณะดังกล่าวเพียง 2 ครั้งเท่านั้น คือในยุคของประธาน “เหมาเจ๋อตง” และครั้งที่ 2 คือ “เติ้งเสี่ยวผิง” นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่า นัยสำคัญของ “มติประวัติศาสตร์” คือการใช้เป็นเครื่องมือ หรือช่องทางแก้ไขความผิดพลาดในอดีต และเป็นหมุดหมายในการปรับทิศทางสังคมครั้งใหญ่

ย้อนไปเมื่อครั้งแรกที่ประกาศในที่ประชุมใหญ่พรรคเมื่อปี 1945 “มติประวัติศาสตร์ ครั้งที่ 1” ช่วยให้ “เหมาเจ๋อตง” รวบรวมความเป็นผู้นำเพื่อให้มีอำนาจเต็มที่ ก่อนการประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 ส่วน “มติประวัติศาสตร์ ครั้งที่ 2” เกิดขึ้นเมื่อปี 1981 หลังเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นสู่อำนาจได้ 2 ปี ในคราวนั้นได้พยายามชำระประวัติศาสตร์ด้วยการวิจารณ์ความผิดพลาดนโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ของ “เหมาเจ๋อตง” ที่ทำให้ประชาชนอดอยากและล้มตายเป็นจำนวนมาก   

ด้าน BBC รายงานบทวิเคราะห์ของ “อดัม นี” บรรณาธิการ China Neican ว่า “สีจิ้นผิง” กำลังทำตัวเองให้เหมือนเป็นฮีโร่ในมหากาพย์เส้นทางการเดินทางของประเทศ ด้วยการผลักดันผ่านมติประวัติศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้เขาเข้าไปอยู่เป็นศูนย์กลางเรื่องเล่าอันยิ่งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์และจีนสมัยใหม่

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนวิเคราะห์ว่า “มติประวัติศาสตร์” นี้ เป็นสัญญาณว่าจีนอาจย้อนกลับไปสู่ ‘ลัทธิบูชาบุคคล' หลัง “สีจิ้นผิง” เดินหน้ากระชับอำนาจมานานหลายปี เพราะจีนมีบทเรียนที่เคยพาประเทศไปสู่โศกนาฏกรรมมาแล้วในอดีต ย้อนไปสมัย “เหมาเจ๋อตง” ผู้นำคนแรกที่นำแนวคิด “มาร์กซิส” มาใช้ ส่งผลให้ในทศวรรษถัดมา จีนเผชิญกับ ‘ทุพภิกขภัย’ ครั้งใหญ่ และมีผู้เสียชีวิตจากความอดอยากมากถึง 30 ล้านคน!! 

ความสุดโต่งของนโยบายนี้เอง จึงทำให้ “เติ้งเสี่ยวผิง” ผู้นำคนถัดมา ได้เปลี่ยนรูปแบบการบริหาร ป้องกันการรวมอำนาจปกครองไว้ที่ผู้นำเพียงคนเดียว ด้วยการให้คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์สูงสุดจำนวน 7 คน เพื่อคานอำนาจผู้นำพรรค

อย่างไรก็ตาม ข้ามเวลามาใน ปี 2018 สภาประชาชนแห่งชาติจีน กลับลงมติรับรองให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกบทบัญญัติที่จำกัดจำนวนวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่เกิน 2 สมัย เพื่อเปิดทางให้ “สีจิ้นผิง” ครองอำนาจในฐานะประมุขของประเทศไปตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะสละตำแหน่ง ส่งผลให้ในปัจจุบัน “สี จิ้นผิง” คือ ผู้นำจีนที่ทรงอำนาจที่สุดนับตั้งแต่ยุคเหมาเจ๋อตง และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลก ซึ่งมาไกลเกินกว่าที่คนรุ่นก่อนจะคาดคิด

ขณะที่ “ดร.ชง จา เอียน” จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า จีนยืนอยู่ในจุดที่สามารถมองย้อนกลับไปเห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการได้รับการยอมรับสถานะในฐานะชาติมหาอำนาจของโลก โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และบรรดาผู้นำต่างอยู่ในอำนาจโดยที่ไม่มีฝ่ายค้านในประเทศ "อาจพูดได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนในยุค สี จิ้นผิง ได้ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จสำหรับตัวพรรคและสำหรับประเทศจีน"

ถึงอย่างนั้นแล้ว การเมืองเป็นเรื่องที่อาจพลิกผันได้ และแม้จะมีหลักฐานมากมายว่า “สี จิ้นผิง” ได้กุมอำนาจไว้อย่างเหนียวแน่น แต่ในขณะเดียวกัน “อดัม นี” ก็กล่าวทิ้งท้ายไว้อีกด้วยว่า “แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในอนาคต การเมืองระดับชนชั้นนำของจีนเต็มไปด้วยความลับ และมีเรื่องราวอีกมากที่เรายังไม่รู้" 

ส่วนความท้าทายใหญ่ที่สุดในการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 3 กำลังเผชิญกับศึกใหญ่ทั้ง 2 ทาง คือการแข่งขันกับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ สงครามการค้าและเทคโนโลยี บวกกับบรรยากาศทางการเมืองระหว่างประเทศที่ไม่เป็นมิตร รวมทั้งกรณีไต้หวันและทะเลจีนใต้ 

และการเผชิญกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ด้วยโครงสร้างประชากรสูงอายุ และความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจ แม้ว่า “สีจิ้นผิง” มองว่าความท้าทายเหล่านี้จำเป็นต้องมีผู้นำที่แข็งแกร่ง... แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นความเสี่ยงมหาศาลที่ต้องพิสูจน์ฝีมือตัวเองเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top