Sunday, 3 December 2023
THE STATES TIMES TEAM

ผบ.ตร. มอบของขวัญต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ เปิดตัวแอปพลิเคชันหนึ่งเดียวที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลให้นักท่องเที่ยว พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พร้อมเปิดศูนย์รักษาความปลอดภัยให้บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ย้ำความมั่นใจท่องเที่ยวปลอดภัย

วันนี้ (2 ธันวาคม 2566) เวลา 10.00 น.ที่จุดตรวจศาลเจ้าพ่อ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดศูนย์รักษาความปลอดภัยและให้บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ โดยมี พล.ต.ท.ฐากูร นัทธีศรี ผบช.ภ.3 , นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ,พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. , พล.ต.ต.วิวัฒน์ สีลาเขตต์ รอง ผบช.ภ.3 , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.ณรงค์ฤทธิ์ ด่านสุวรรณ์ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา , พล.ต.ต.ฐากูร นิ่มสมบุญ ผบก.ทท.2 , พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส. , นายคณัสชนม์ ศรีเจริญ นายอำเภอปากช่อง , นายชัยยา ห้วยหงษ์ทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ , ดร.มัลลิกา สังข์สนิท รองอธิการบดีฝ่ายพันธกิจสัมพันธ์ นวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี(มทส.) , ดร.วัชรี ปรัชญานุสรณ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา , นางสาวพันชนะ วัฒนเสถียร นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ , ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยว ร่วมเปิดศูนย์กว่า 500 คน

ผบ.ตร. เปิดศูนย์รักษาความปลอดภัยและให้บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ด้วยการสแกน QR Code เพื่อเข้าสู่แอปพลิเคชัน Korat Safe Trip ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันแรกที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ในการดูแลนักท่องเที่ยวจากหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดนครราชสีมา รวมไว้ในที่เดียว ถือเป็นโมเดลต้นแบบ นำร่องเป็นแห่งแรก จากนั้น ผบ.ตร.ได้เยี่ยมชมบูทผู้ประกอบการท่องเที่ยว และมอบผ้าห่ม แจกไอศกรีมให้กับนักเรียนในพื้นที่ พร้อมปล่อยแถวเจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมดูแลความปลอดนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

โดยการเปิดศูนย์รักษาความปลอดภัยและให้บริการนักท่องเที่ยว (TOURIST SERVICE CENTER) ณ จุดตรวจศาลเจ้าพ่อ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สืบเนื่องจากนโยบายของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการเปิดประเทศส่งเสริมการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้ประเทศ ภายหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สอดรับกับนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 จึงสนองนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงให้เปิดศูนย์ดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัย และให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทย โดยเน้นใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการการทำงาน เพื่อลดปริมาณงานของกำลังพล แต่ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพของงานให้มีคุณภาพมากขึ้น 

ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้บริการดูแลนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยจะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว รวมถึงเบอร์โทรฉุกเฉินต่างๆ เพื่อจะให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูล และสามารถแจ้งข้อมูลได้ทันท่วงที รวมถึงตัดปัญหาการสื่อสารระหว่างกันในเรื่องภาษาที่อาจสื่อสารกันไม่เข้าใจ เพื่อให้บริการดูแลนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ในส่วนของกำลังพลในการรักษาความปลอดภัยและให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ร่วมปฏิบัติในศูนย์แห่งนี้ ประกอบด้วยกำลังตำรวจของ 5 สถานีในพื้นที่อำเภอปากช่อง ร่วมกับ ตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยมีฝ่ายปกครอง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยกู้ภัย รวมทั้งหมดภาคเอกชนผู้ประกอบการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวให้การสนับสนุน จึงเชื่อมั่นว่าศูนย์แห่งนี้ จะสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย และการบริการที่ดีแก่นักท่องเที่ยวอันจะส่งผลดีต่อภาพรวมของการท่องเที่ยวของประเทศต่อไป

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ภารกิจดังกล่าว ถือเป็น 1 ใน 4 นโยบายเน้นหนักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ต้องการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อให้เขาเกิดความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัย รวมทั้งการให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หรือกรณีที่นักท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือ ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องมาช่วยกัน เราจะทำอย่างไรที่จะให้ชาวต่างชาติอยากมาเที่ยวประเทศไทย และคนไทยเองก็อยากมาเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา เรื่องของความปลอดภัยและการบริการที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับแอปพลิเคชัน Korat Safe Trip ถือว่าเป็นการแสวงหาความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ สถาบันการศึกษาอย่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พัฒนาแอปพลิเคชัน ให้บริการดูแลนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งเป็นของขวัญต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ ให้กับนักท่องเที่ยว

ศรชล.ภาค 1 ร่วมจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ในหลวง ร.9

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.ภาค ) โดย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จว.สมุทรสงคราม และศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือ จว.สมุทรสงคราม (ศรชล./ศคท.จว.สส.) โดย น.อ.อชิตะสิน กำมะณี รอง ผอ.ศรชล.จว.สส.ศรชล.ภาค 1 มอบหมายให้ ร.อ.ไพศาล อิสระฉันท์ จนท.วิเคราะห์นโยบายและแผน ศรชล.จว.สส. และ ร.ท.พรสวรรค์ พึ่งพร จนท.ยุทธการและการข่าว ศรชล.จว.สส. พร้อมด้วย ร.ท.สุชาติ เอี่ยมสะอาด  เจ้าหน้าที่ส่งกำลังบำรุง ศรชล.จว.สส. ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 8 กอ.รมน.สมุทรสงคราม มณฑลทหารบกที่ 16 ทสจ.สมุทรสงคราม ศูนย์ป่าไม้สมุทรสงคราม รร.วัดคลองโคน อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล จัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันพ่อแห่งชาติ วันชาติ และวันดินโลก วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2566

โดยมีนายเกรียง มหาศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางและชายฝั่งที่ 8 เป็นประธานในพิธี โดยปลูกป่าชายเลนภายในพื้นที่โครงการปลูกป่า เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู ป่าต้นน้ำ ป่าชายเลนและป้องกันไฟป่า จังหวัดสมุทรสงคราม บริเวณชายฝั่งทะเลตำบลคลองโคน อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม 

ผบ.ทรภ.1 เยี่ยมกำลังพลและครอบครัว ในสังกัดสังกัด รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ สร้างขวัญกำลังใจ

พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่1 พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมกำลังพลและครอบครัว ในสังกัดทัพเรือภาคที่ 1 ที่เข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จำนวน 2 นาย 1. พันจ่าเอก วรวุฒิ ยันตะพันธ์ (ภรรยาคลอดบุตร) 2. พลทหาร วีระพล  มรรคผล (ผ่าตัดไส้ติ่ง) เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพล และ ครอบครัวของผู้ใต้บังคับบัญชา “ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องมีขวัญ กำลังใจ และสวัสดิการที่ดี”

การปฏิบัติเป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ “ผู้บังคับหน่วยต้องให้ความสนใจ ดูแลกำลังพลและครอบครัวผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างสม่ำเสมอ

พังงา หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ส่งชุดครูฝึกฯ ฝึกทบทวน USAR TEAM

ที่ กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งและกองพันรักษาฝั่งที่ 11 ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา พลเรือโท สุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3,นาวาโท ศักรินทร์ ซื่อสงวน ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 ,นาวาโท กัณฑภณ ศุกระรงคะ ผู้บังคับกองพันรักษาฝั่งที่ 11,นาวาโท พุทธพร สุขอนันต์ รองผู้บังคับการ กองฝึกช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการบรรเทาสาธารณภัยทางทะเลและชายฝั่ง และชุดครูฝึกค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง(USAR TEAM)ได้ฝึกการอบรมทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติฝึกทบทวน USAR TEAM 

เป็นการพัฒนาศักยภาพการกู้ชีพและแนะนำอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยโดยระบบเชือกขั้นพื้นฐาน และการบำรุงรักษาอุปกรณ์,ระบบบัญชาการณ์เหตุการณ์ และการปฏิบัติงานค้นหาและกู้ภัย,การใช้เปลตะกร้าและเปลSked, การค้นหาและกู้ภัยอย่างรวดเร็ว( ASR3 )การค้นหาทางกายภาพ,เทคนิคการตัดเจาะ,เทคนิคการเคลื่อนย้ายวัตถุหนักออกจากผู้ประสบภัยและการทำระบบเชือกในแบบต่างๆผู้เข้าฝึกในครั้งนี้จำนวน 36 คน การอบรมครั้งนี้อบรมตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2566ถึง 2 ธันวาคม2566 รวมเป็นระยะเวลา 11 วันและวันนี้มีการตรวจเยี่ยม ชมการสาธิตต่างๆ การกู้ภัยให้กับ ชุด USAR TEAM ของกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 และมีหน่วยงานต่างๆเข้าชม การสาธิตครั้งนี้ด้วย

นาวาโท ศักรินทร์ ซื่อสงวน ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 กล่าวว่า การจัดตั้งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search and Rescue: USAR) มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถสำหรับเป็นทรัพยากรส่วนหนึ่งของโครงสร้างการสนับสนุนในภาวะฉุกเฉิน (สปฉ.) ในส่วนงานด้านการค้นหาและกู้ภัยหรือ สปฉ.9โดยมีกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ซึ่งจะถูกสถาปนาขึ้นเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการค้นหาและกู้ภัยของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเมื่อเกิดสาธารณภัยระดับ 3และ 4 และ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอ และศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด สำหรับสาธารณภัยระดับ 1 และ 2 ดังที่ระบุไว้ในแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2558 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ ผบ.ทร. และหน่วยควบคุมทางยุทธการโดย ผบ.ทรภ.3 ที่ต้องการมีหน่วยที่จะใช้งานในการค้นหาและช่วยชีวิตในเขตเมืองในภาวะวิกฤติ นอกจากกำลังพลของ ทร.ปกติที่ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนทุกครั้งเมื่อเกิดความเดือดร้อนต่างๆ ที่กระทำในทันทีที่มีภัย  ดังนั้น สอ.รฝ.จึงได้จัดให้มีชุดครูฝึก USAR 

เพื่อมาทบทวนและเพิ่มขีดความสามารถให้กับกำลังพลชุด USAR ในพื้นที่ ได้เกิดความมั่นใจในการดำเนินการเมื่อมีภัยเกิดขึ้นในพื้นที่ และ ชุด USAR ที่เป็นกำลังพลของ พัน.สอ.22 และ พัน.รฝ.11ที่จัดเตรียมไว้สำหรับใช้สนับสนุนงานการค้นหาและช่วยชีวิตในเขตเมืองที่สามารถใช้ทำงานร่วมสนับสนุนการช่วยชีวิตประชาชน เมื่อเกิดภัยได้อย่างทันทีที่ได้รับการร้องขอจากจังหวัดภูเก็ต และพังงา เพื่อให้การค้นหาและช่วยชีวิตใน เขตเมืองในพื้นที่ภูเก็ต พังงา มีประสิทธิภาพและทันท่วงที และมีกำลังพลที่รับการฝึกจัดจากกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 และกองพันรักษาฝั่งที่ 11 หน่วยละ 1 ทีม ๆ ละ 18 นาย ประกอบด้วยนายทหารสัญญาบัตร 1 นาย และนายทหารประทวน จำนวน 17 นาย โดยได้รับการสนับสนุนทีมครูฝึกจาก สอ.รฝ. ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 18 ภูเก็ต ร่วมกับ สำนักงานบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงาและทีมกู้ภัยทางสูงจาก เซาท์เทิร์น โรปทีม (Southern Rope Team)ตัวแทนจาก ระนองและพังงา

สำหรับผู้เข้ารับการอบรมในครั้งนี้จัดการอบรมภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ทัพเรือภาคที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือครั้งนี้เป็นการอบรมครั้งที่ 2 และครั้งนี้ทางกองพันรักษาฝั่งที่ 11เป็นชุดออกปฏิบัติงานหลักร่วมกับกองพันต่อสู้อากาศยาน ที่22 

ในการฝึกและสาธิตครั้งนี้กองพันรักษาฝั่งที่ 11 กรมรักษาฝั่งที่1จัดชุดค้นหาและกู้ภัยในเขตเมืองหรือชุด USAR TEAM โดยให้กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นหน่วยรับผิดชอบจัดกำลังพลเป็นชุด USAR TEAM ในการบัญชาการณ์เหตุการณ์และพร้อมให้การช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ เมื่อได้รับการแจ้งจากทัพเรือภาคที่ 3

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขานรับ ตำรวจสากล ออกระเบียบ ระวังการส่งต่อข้อมูลล่วงละเมิดทางเพศเด็ก หลังพบสถิติเด็กถูกล่วงละเมิดซ้ำทางโซเชียลมีเดีย สร้างรอยแผลทางใจแม้ว่าเหยื่อจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ภาพความทรงจำยังคงอยู่ในระบบ ลบยาก

ปิดฉากลงแล้วสำหรับ การประชุมสมัชชาใหญ่ตำรวจสากล (INTERPOL) ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน โดยมีซึ่งกลุ่มประเทศสมาชิกกว่า 195 ประเทศ และประเทศที่เพิ่งเข้าร่วมใหม่ล่าสุดอีกหนึ่งประเทศ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียงเพื่อฟังรายงานการดำเนินงานของตำรวจสากล (INTERPOL) ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเด็นการใช้งบประมาณที่ได้จากการสนับสนุนของกลุ่มประเทศ ปีละกว่า 8000 ล้านบาท ในการจัดการปัญหาอาชญากรข้ามชาติ

นอกจากการรับฟังผลการดำเนินการมาตลอดทั้งปีแล้วที่ประชุมยังได้เสนอแผนงานที่จะทำร่วมกันในปีต่อไปในแต่ละด้าน โดยเฉพาะการจัดทำข้อมูลอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ตามสังคมยุคใหม่ ทำให้การก่ออาชญากรรมทำได้อย่างรวดเร็วและมีการส่งต่อข้อมูลดิจิทัล ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ขณะที่ผู้ก่อเหตุก็ มีช่องทางในการหลบหนีออกนอกประเทศหลังการกระทำผิด หรือไปกบดานตามประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อติดต่อกลุ่มเครือข่าย

ล่าสุดมีการนำเสนอคลิปวิดีโอสั้นที่เผยแพร่อยู่ในประเทศเยอรมนีและปิดบังการเข้าถึงของประเทศไทยภายในคลิปแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการค้ามนุษย์ของกลุ่มคนร้าย ซึ่งแม้ว่ากรณีนี้จะมีการจับกุมตัวคนร้ายได้ แต่หนึ่งในบางท่อนของคลิปวิดีโอระบุชัดว่า คนร้ายยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้แก่ข้าราชการเพื่อเปิดช่องทางในการหลบหนีออกจากประเทศไทย ไปยังประเทศปลายทางซึ่งเป็นแหล่งกบดาน

ที่ประชุมยังได้ เสนอที่จะออกระเบียบควบคุมการส่งต่อข้อมูลการล่วงละเมิดทางเพศของเด็กผ่านช่องทางต่างๆโดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มีความรัดกุมป้องกันข้อมูลหลุดรอดออกจากระบบไปถึงผู้ใช้รายอื่น รวมถึงการใช้ข้อมูลระหว่างประเทศเพื่อติดตามคนร้าย ป้องกันการกระทำซ้ำในรูปแบบของเครือข่าย 

ซึ่งเรื่องนี้ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวในเวทีการประชุม ว่า เห็นด้วยกับแนวทางการจัดการปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศกับกลุ่มเยาวชน ซึ่งพบว่าที่ผ่านมามีความรุนแรงขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มเอเชีย จะตกอยู่ในเป้าหมายของกลุ่มคนร้าย ทั้งการล่วงละเมิดทางเพศ การถ่ายทำคลิปวิดีโออนาจาร และการล่อหลวงไปขายประเวณี 

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังย้ำด้วยว่า คลิปวิดีโอการกระทำผิดถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็วทางโซเชียลมีเดีย จนยากจะลบออกจากระบบ ทำให้เหยื่อถูกกระทำอนาจารซ้ำซาก แม้ว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ ภาพการถูกกระทำก็ยังฝังอยู่ในระบบ และมีข้อมูลไม่น้อยถูกส่งต่อโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ระมัดระวังในการใช้ข้อมูล ทำให้ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐตกไปอยู่ในมือของกลุ่มของคนร้าย

ดังนั้นจึงเห็นด้วย ที่จะออกระเบียบให้ทุกประเทศ เข้ามาร่วมกันจัดการปัญหาการส่งต่อข้อมูลเหยื่อถูกกระทำอนาจารอย่างระมัดระวัง และเปิดให้เข้าถึงข้อมูลในรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ใช่การส่งต่อคลิปวิดีโออนาจารต้นฉบับ เข้าไปในระบบ 

นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ประเทศต้นทางของผู้ต้องหาและประเทศใกล้เคียง ร่วมกันสร้างแนวทางสกัดกั้นการหลบหนีของคนร้ายจากประเทศปลายทาง โดยให้กระทำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการส่งต่อข้อมูลหมายจับ เส้นทางทรัพย์สิน รวมไปถึงกลุ่มเครือข่าย
เพื่อไม่ให้กลุ่มคนร้ายสามารถไปรวมตัวกันได้ และกระทำการอนาจารซ้ำไปซ้ำมา จนยากที่จะแก้ปัญหานี้ให้หมดสิ้นไป

ทั้งนี้ผลจากการส่งต่อข้อมูลอย่างรวดเร็วและทันท่วงทีในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยศูนย์เพื่อเด็กหายและถูกฉวยผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (U.S. National Center for Missing and Exploited Children หรือ NCMEC) และคณะทำงานปราบปรามอาชญากรรมทางอินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดต่อเด็ก สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย (Thailand Internet Crimes Against Children หรือ TICAC) ซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงแบ่งปันข้อมูลเพื่อต่อต้านการแสวงประโยชน์จากเด็ก ทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย สามารถเข้าถึงรายงานของ NCMEC เกี่ยวกับคดีการแสวงประโยชน์จากเด็กอย่างรวดเร็ว 

และแม้ว่าปัจจุบัน TICAC จะได้รับข้อมูลจาก NCMEC ผ่านสำนักงานในไทยของหน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กระทรวงความมั่นคงแห่งสหรัฐอเมริกา แล้ว แต่การได้รับข้อมูลโดยตรง จะช่วยให้ TICAC สามารถปฏิบัติการได้รวดเร็วฉับไวต่อกรณีฉุกเฉินและเข้าถึงข่าวกรองด้านอาชญากรรมได้โดยตรง เช่น การปราบปรามการแสวงประโยชน์จากเด็ก

และนี่ทำให้สถิติการแก้ปัญหาในประเทศไทย ดีขึ้นตามลำดับ โดยพบว่า ในปี 2021 มีสถิติการจับกุมจากข้อมูล 79 เคส มีการขยายผลไปสู่ข้อมูลเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง 589 ข้อมูล กระทั่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เข้ามาดำเนินการแก้ปัญหา ก็พบว่าในปี 2022 มีการจับกุมเพิ่มขึ้นจากข้อมูล 482 เคส มีการขยายผลไปสู่ข้อมูลเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง 9569 ข้อมูล ขณะที่ในปี 2023 จนถึงปัจจุบันมีการจับกุมจากข้อมูล 461 เคส มีการขยายผลไปสู่ข้อมูลเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง 8328 ข้อมูล ทำให้คลิปที่ปรากฏอยู่ในระบบเกือบ 600000 คลิป ลดลงมา เหลือเพียง 332639 คลิป ในปีปัจจุบัน

ขณะที่ นายเจอร์เก้น สต๊อก เลขาธิการตำรวจสากล  อินเตอร์โพล กล่าว ขอบคุณกลุ่มประเทศสมาชิกทั้ง 196 ประเทศที่ให้ความร่วมมือเข้ามาติดตามประเมินผลการบริหารงาน ของตำรวจสากล ซึ่งในปีนี้มีผลงานการดำเนินการที่ก้าวกระโดดจากการ แสวงหาความร่วมมือร่วมกัน และเชื่อมั่นว่าในปีต่อไปก็จะประสบความสำเร็จเพิ่มมากขึ้นโดยในปีหน้าจะย้ายสถานที่การประชุมไปที่ประเทศสกอตแลนด์เป็นครั้งที่ 93 หรือปีที่ 101 ของการก่อตั้ง ตำรวจสากล

นราธิวาส-ดีเดย์...ไอแบงก์เปิดบริการ “ibank Appication” สะดวกกว่า ง่ายกว่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สังคมไร้เ​งิน​สด​บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง  

เมื่อวันที่ 1 ธค.  ณ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ไอแบงก์เปิดตัว "ibank Application" บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง อย่างเป็นทางการ โดย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมว.คลัง ให้เกียรติส่งสารแสดงความยินดีผ่านบันทึกวีดิทัศน์ว่า "ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ถือเป็นสถาบันการเงินหลักของรัฐที่ให้การดูแลพี่น้องมุสลิมด้านธุรกรรมทางการเงินที่ปลอดดอกเบี้ยและถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม ขอแสดงความยินดีกับ ไอแบงก์ ที่สามารถยกระดับการให้บริการลูกค้าผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานแล้วกว่า 40 ล้านคน เป็นบริการที่เข้ากับการใช้ชีวิตของคนยุคสมัยนี้ อำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างสะดวกกว่า ง่ายกว่า และปลอดภัย ที่สำคัญคือ ถูกต้องและสอดคล้องกับวิถีมุสลิม" โดยมีลูกค้า แขกผู้เกียรติ สื่อมวลชน ร่วมงานและร่วมแสดงความยินดีอย่างอบอุ่น ดร..ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เผยว่า ขณะนี้ไอแบงก์พร้อมให้บริการ “bank Application” 

ซึ่งเป็นโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารที่อยู่บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง (Paotang) โดยไอแบงก์ได้ร่วมออกแบบและพัฒนาระบบกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อยกระดับการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัล ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบาย เข้ากับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลของลูกค้าธนาคาร “เป็นอีกปรากฏการณ์ของไอแบงก์ที่ทุกคนรอคอย ซึ่งถือเป็นแอปพลิเคชั่นแรกของสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ถูกต้องตามหลักชะรีอะฮ วันนี้ไอแบงก์ได้รับเกียรติให้เปิดตัวบริการ ibank Application ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เพราะนอกจากจะเป็นศาสนสถานทางศาสนาอิสลามที่งดงามที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามของมุสลิมไทยทุกคนแล้ว มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานียังเป็นจุดศูนย์กลางของพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญของไอแบงก์อีกด้วย 

ในระยะแรกนี้ ผู้ใช้บริการ ibank Appication สามารถโอนเงินจากแอปพลิเคชันไปยังบัญชีบุคคลอื่นในธนาคาร บัญชีธนาคารอื่น และโอนเงินไปยังหมายเลขพร้อมเพย์ เรียกดูข้อมูลบัญชี และรายการย้อนหลัง อีกทั้งยังสามารถคำนวณซะกาตซึ่งถือเป็นหน้าที่ทางศาสนาของมุสลิมทั้งหมดที่มีทรัพย์สินตรงตามเงื่อนไข การค้นหาสาขาและเอทีเอ็มของธนาคาร รวมถึงช่องทางในการติดต่อธนาคารอีกด้วย ธนาคารมุ่งหวังให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด จึงจะพัฒนาบริการ ibank Application อย่างต่อเนื่อง และทยอยเปิดให้บริการเพิ่มเติมในระยะต่อไป เช่น การจ่ายบิล การเติมเงิน การบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ การสแกนเพื่อซำระเงิน การจัดการรายการโปรด บริการแจ้งเตือน การจัดการบัญชีสินเชื่อ การตั้งรายการโอนเงินล่วงหน้า การสร้างคิวอารโค้ดเพื่อรับเงิน การสมัครใช้บริการพร้อมเพย์ การถอนเงินไม่ใช้บัตร การเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็ม และการเปิดบัญชีออนไลน์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้าให้มากกว่าเก่า และให้ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ลูกค้าไอแบงก์ที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตังแล้ว สามารถลงทะเบียนใช้บริการ 'bank Application' บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป่าตังก่อนใช้บริการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ibank Contact Center โทร. 1302 หรือแชททาง Messenger @ibank.h และ LINE @ibank ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ลำปาง-บริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม 2566

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 เวลา 09.00  น. มณฑลทหารบกที่ 32/ศูนย์อำนวยการ จิตอาสาพระราชทานมณฑลทหารบกที่ 32  พร้อมหน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดลำปาง นักศึกษาวิชาทหาร ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่ 32  จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2566 เพื่อร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้  กิจกรรมสำคัญนี้หน่วยเชิญชวนกำลังพลจิตอาสาร่วมใจกันบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลลำปาง เหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง  ที่ขาดแคลนโลหิตสำหรับช่วยเหลือผู้ป่วย โดยมีกำลังพลจิตอาสาของหน่วยเข้าร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 74 นาย  สามารถบริจาคโลหิตได้ 36 นาย ได้ปริมาณโลหิต 14,400 ซีซี และมีกำลังพลบริจาคดวงตา, บริจาคอวัยวะ จำนวน 24 นาย ณ สโมสรนายทหารค่ายสุรศักดิ์มนตรี อำเภอเมืองลำปาง  จังหวัดลำปาง 

ในการนี้ พลตรี พรชัย นพรัตน์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 /ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานมณฑลทหารบกที่ 32 เดินทางเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกำลังพล และนักศึกษาวิชาทหาร ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่ 32 ที่ร่วมกิจกรรม พร้อมได้พบปะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลลำปาง สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง  อีกทั้งให้ความเชื่อมั่นที่จะร่วมมือกันดูแลพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ทหาร จะเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส

โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมวันเอดส์โลก 2023 ให้ความรู้ ตรวจร่างกาย และตรวจหาเชื้อ HIV กับข้าราชการตำรวจและประชาชน

วันนี้ (1 ธ.ค.66) พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ , พล.ต.ต.หญิง พันวดี รัตนสุมาวงศ์ นายแพทย์ (สบ 7)โรงพยาบาลตำรวจ และประธานคณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ และ พล.ต.ต.หญิง ดร.สุรัมภา รอดมณี ผู้บังคับการวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ นำนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ ร่วมตัดริบบิ้นเปิดกิจกรรมโครงการ “Word AIDS Day 2023 - Let Communities  lead" ณ หน้าอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ชั้น 1 โรงพยาบาลตำรวจ 

เนื่องด้วยในวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก  ปีนี้โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมยิ่งใหญ่ไม่แพ้ทุกปี โดยปล่อยแถวรณรงค์ภัยร้ายจากโรคเอดส์ ซึ่งเจ้าหน้าที่และบุคลากรของโรงพยาบาลตำรวจถือป้ายเดินขบวนรณรงค์จากหน้าอาคาร มภร. ชั้น 1 โรงพยาบาลตำรวจ ไปยังห้องโถง อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ ชั้น 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายแพทย์ใหญ่  (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ เปิดกิจกรรม มีการบรรยายให้ความรู้เรื่อง “โรคแทรกซ้อนสำคัญของระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการติดเชื้อ  HIV", ความรู้เรื่อง “โรคตับอักเสบและการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม" จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลตำรวจ นอกจากนี้ ยังให้บริการตรวจพยาธิสภาพตับด้วยเครื่อง Fibro Scan และให้คำปรึกษาก่อนเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ  HIV, ซิฟิลิส, เชื้อไวรัสตับอักเสบบี, เชื้อไวรัสตับอักเสบซี และภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี 

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่(สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV จะลดน้อยลง เพราะที่ผ่านมาหลายหน่วยงานรณรงค์ให้ความรู้ถึงภัยร้ายและการป้องกัน ให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญ ซึ่งโรงพยาบาลตำรวจเล็งเห็นความสำคัญของโรคเอดส์ จัดกิจกรรมรณรงค์อย่างต่อเนื่อง อาทิ ให้บริการตรวจหาเชื้อ HIV กับข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ให้คำปรึกษากับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และแนะนำวิธีการป้องกันอย่างถูกวิธี อีกทั้งให้การสนับสนุนเครือข่าย ที่ร่วมรณรงค์แก้ไขปัญหา เพื่อลดจำนวนผู้ป่วย และกลุ่มเสี่ยงให้มีจำนวนน้อยที่สุด

ด้าน พล.ต.ต.หญิง พันวดี รัตนสุมาวงศ์ นายแพทย์(สบ 7)โรงพยาบาลตำรวจ และประธานคณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ กล่าวว่า สถิติการระบาดของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทั่วประเทศปี 2565 พบประเทศไทยมีผู้ติดที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 560,000 คน เสียชีวิต 11,000 รายและมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9200 รายเพิ่มจากปี 2564 ร้อยละ 42 สาเหตุมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน คณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์มีหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 ถึง 2573 โดยให้ทุกคนตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อ ส่งเสริมสนับสนุน การป้องกันมากขึ้น รวมถึงจัดกิจกรรมต่อต้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการยอมรับและห่วงใยผู้ป่วยเอดส์ อีกทั้งเผยแพร่ความรู้ให้กว้างขวางขึ้น

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า วันนี้โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมรณรงค์วันเอดส์โลก เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความรุนแรงของโรคเอดส์ ซึ่งจัดกิจกรรมเดินรณรงค์ การให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคเอดส์ รวมถึงการป้องกันอย่างถูกวิธี โรงพยาบาลตำรวจ ขอเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป ร่วมกันรณรงค์ในทุกมิติ เพื่อยุติปัญหาดังกล่าว โอกาสนี้โรงพยาบาลตำรวจขอขอบคุณ โรงเรียนวัดปทุมวนาราม ที่นำวงดุริยางค์มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย สำหรับข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ สามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ที่ เพจเฟสบุ๊ก โรงพยาบาลตำรวจ หรือโทร 02-2076000

ลำพูน - สถานทูตเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ จัดเสวนา 'โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย' ที่จังหวัดลำพูน

สถานทูตเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ จัดเสวนาในหัวข้อ "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 10:00 ถึง 12:30 นาฬิกา ณ ห้องจามจุรี 1 ชั้น 2 อาคารสัมมนา เดอะแกรนด์จามจุรี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล ลำพูน ตำบลเหมืองง่า อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 

สาระสำคัญเริ่มที่ นางปอโลมี  ทริปาติ อุปทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวต้อนรับฯ ถัดมา นายอนุพงษ์ วาวงศ์มูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวสุนทรพจน์ ลำดับถัดไป นายมนัส เกียรติเจริญวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์/ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน พร้อมด้วย นายบรรจง วิพรหมชัย ประธานหอการค้าจังหวัดลำพูน กล่าวคำปราศรัย และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ นำเสนอหัวข้อ "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย โดยมีผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าชั้นนำทั้งสองประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหารือโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยอินเดีย

นางปอโลมี ตริปาฐี อุปทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวต้อนรับว่า ก่อนอื่น ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณสำหรับความสนับสนุนที่ได้รับจาก นายอนุพงษ์ วาวงศ์มูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ลำพูนที่ได้จัดการสัมมนา "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย" ข้าพเจ้าขอขอบคุณนักธุรกิจไทยทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่าของท่านเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ นับเป็นความยินดีอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้าที่ได้มีโอกาสมาเยือนจังหวัดลำพูนที่สวยงามนี้ 

ทุกท่าน อินเดียและไทยเป็นประเทศที่มีความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและอารยธรรมอย่างลึกซึ้ง ดังที่เห็นได้จากอิทธิพลที่แข็งแกร่งจากรามเกียรติและพุทธศาสนาในทั้งสองประเทศ ในฐานะเพื่อนบ้านทางทะเล เรามีความเชื่อมโยงทางภูมิรัฐศาสตร์และมีวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ รวมถึงรากเหง้าของภาษาร่วมกัน ความเชื่อมโยงทางประเพณีของเรานั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นแฟ้น และในปัจจุบันก็ได้รับการเสริมสร้างด้วยความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แข็งแกร่งของเรา ทั้งในความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและการลงทุนที่เติบโตขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนมากขึ้น ผ่านการท่องเที่ยวและการศึกษา

อินเดียเป็นประเทศที่ประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นประชากรในวัยหนุ่มสาว ด้วยจำนวนประชากรที่มีจำนวนมาก และมีจุดเน้นที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งในด้านการศึกษา อินเดียได้กลายเป็นจุดศูนย์รวมความเป็นเลิศในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และการเป็นผู้ประกอบการ ในปัจจุบันมีคนอินเดียทำหน้าที่เป็นผู้บริหารบริษัทข้ามชาติมากกว่า 21 แห่ง ทั้งบริษัท google, Microsoft, IBM และอื่น ๆ จุดเน้นทางการศึกษาและสภาพแวดล้อมทางโอกาสที่เหมาะสมก็ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของบริษัท Startups เป็นอย่างมากในประเทศอินเดีย การค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงแนวคิดจากการเป็นคนหางานเป็นคนให้งานของกลุ่มคนหนุ่มสาวในอินเดียถือเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงมีบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมากกว่า 111 แห่ง เป็นมูลค่ากว่า 349 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 สำหรับอินเดียในภูมิภาคอาเซียน ทั้งไทยและอินเดียมีเป็นประเทศเกษตรกรรมมาโดยตลอด และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อกลายเป็นศูนย์การผลิตของภูมิภาค การค้าทวิภาคีระหว่างอินเดียและไทยแตะจุดสูงสุดประมาณ 17.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ส่วนการลงทุนทวิภาคีก็มีการเจริญเติบโตที่เป็นที่น่าพอใจในหลายปีที่ผ่านมา และมีบริษัทหลายแห่งในไทยได้ลงทุนในประเทศอินเดีย

ตลอดสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้บรรลุความก้าวหน้าอย่างน่าชื่นชมในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนจากประเทศที่มีรายได้น้อยไปยังประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าทึ่งกำลังถูกบันทึกไว้ในอินเดียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกแม้กระทั่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินมาตรการนโยบายและโครงการต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจในอินเดียและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาในหลายด้าน เช่น ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ระบบนิเวศนวัตกรรม การแข่งขัน เป็นต้น คุณทราบหรือไม่ว่า อินเดียได้ก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 79 ในห้าปีที่ผ่านมา และปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 63 ในการจัดอันดับความสะดวกในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกสำหรับปี 2022 (2565) อินเดียอยู่ในอันดับที่ 40 ในดัชนีนวัตกรรมโลก 2023 (Global Innovation Index 2023 )ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)

ประเทศอินเดียมีระบบการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เปิดกว้างเกือบทุกภาคส่วน เช่น การก่อสร้าง การธนาคาร ประกันภัย รถไฟ ค้าปลีก สื่อ สายการบิน การป้องกันประเทศ ฯลฯ และมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 100% ในภาคส่วนส่วนใหญ่ผ่านเส้นทางอัตโนมัติ อินเดียได้บันทึกการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ประจำปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 83.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว

ปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างระบบการผลิตชิปเซ็ตที่แตกต่างและหลากหลาย แผนการอุดหนุนล่าสุดที่ประกาศสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยรัฐบาลทำให้อินเดียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดที่สุดในเอเชียสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ ภายใต้โครงการอุดหนุนการเชื่อมโยงการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รัฐบาลอินเดียได้ประกาศการสนับสนุนทางการคลังแบบสม่ำเสมอ 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายโครงการสำหรับการจัดตั้ง Semiconductor Fabs ในอินเดีย เพื่อนร่วมงานของฉันจะนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการและแผนริเริ่มต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมความสะดวกในการดำเนินธุรกิจในอินเดีย

ประเทศอินเดียมีโอกาสการลงทุนอย่างมากมายในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ถนน ท่าเรือ ภาคพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ การแปรรูปอาหาร พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีดิจิทัล โลจิสติกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า ในระหว่างการประชุมและการพูดคุยของฉันกับภาคธุรกิจในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ฉันรู้สึกยินดีที่เห็นว่าความร่วมมือของเราแข็งแกร่งขึ้นและมีสภาพแวดล้อมแห่งความไว้วางใจระหว่างธุรกิจของทั้งสองประเทศ ประชากรจำนวนมากของอินเดียไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลกเท่านั้น แต่ยังเปิดทางให้ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์และการลงทุนของไทย 

นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียยังได้เสนอให้มีการประสานงานกันในภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) เพื่อส่งเสริมการค้าและสนับสนุนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของทั้งสองฝ่าย ฉันทราบดีว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในลำพูนอยู่ในประเภท SME (ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม) และพวกเขาจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนจากความร่วมมือดังกล่าว

ทุกท่าน นับตั้งแต่เราได้รับเอกราช อินเดียได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่หยุดยั้ง และเรายังคงก้าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งขับเคลื่อนโดยนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาลอินเดียกำลังจะนำอินเดียไปสู่จุดศูนย์กลางเวทีโลก วิสัยทัศน์และภารกิจของอินเดียในปี 2047 ซึ่งเราเรียกว่า "อมฤตกาล" และนโยบาย Thailand 4.0 เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของเจตจำนงของเราที่มีต่อความเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้า ฉันเชื่อว่าความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันและบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้

ในนามของสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับกลุ่มธุรกิจของลำพูน ที่จะเข้ามาเพื่อสำรวจตลาดอินเดียเพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนที่มากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่และสิ่งจูงใจที่รัฐบาลอินเดียมอบให้ ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีประสิทธิภาพในงานสัมมนาฯ และพร้อมรับข้อเสนอแนะของคุณ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้าร่วมสัมมนาในวันนี้(30 พ.ย. 66)..นางปอโลมีฯ กล่าวในที่สุด

(สุรินทร์) กกล.สุรนารี ร่วมติดปีกสานฝันปันน้ำใจให้น้องๆชายแดน สู้ศึก 'การแข่งขัน Robocup Asia Pacific Junior 2023'

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.30 น. พลตรี ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เป็นผู้แทนคณะที่ปรึกษากองกำลังสุรนารี มอบเงินสนับสนุนการเดินทางแก่ทีมหุ่นยนต์โรงเรียนทับทิมสยาม 04 ในพระอุปถัมภ์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าร่วมการแข่งขัน Robocup Asia  Pacific Junior 2023 ณ เมือง Gangwon ประเทศเกาหลีใต้ โรงเรียนทับทิมสยาม 04 ในพระอุปถัมภ์ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 

เป็นโรงเรียนตามแนวชายแดน ที่เด็กนักเรียนมีความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เข้าร่วมการแข่งขันหุ่นยนต์ยุวชน Robo Soccer ประจำปี 2566 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แล้วได้รับรางวัลชนะเลิศ พร้อมได้สิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันชิงแชมป์เอเชียที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-9 ธันวาคม 2566 โดยโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ด้วยการเป็นโรงเรียนห่างไกล ขาดทุนทรัพย์ คณะผู้บริหารได้หารือกับ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี 

จึงได้รวบรวมเงินสนับสนุน จากคณะที่ปรึกษาผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี จนได้เงินสนับสนุนเพียงพอต่อการเดินทาง จำนวน 204,800 บาท(สองแสนสี่พันแปดร้อยบาทถ้วน)  ทำให้เด็กๆปลื้มใจ และสัญญาจะนำรางวัลชนะเลิศมามอบให้คุณลุงณัฎฐ์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top