Monday, 6 May 2024
Hard News Team

'หุ้นชิปเมกา' ว้าวุ่น!! มูลค่าหายวับ 2.7 ล้านล้านบาท  หลังแบนส่งออกชิปจีนเข้ม ด้าน 'Nvidia' ติดร่างแห

(18 ต.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'เดือดทะลักจุดแตก' โพสต์ข้อความถึงกรณีหุ้นชิปสหรัฐฯ วูบ หลังแบนส่งออกชิปให้กับจีน ว่า...

ดูจากดัชนี PHLX Semiconductor Sector ของตลาดวอลล์ สตรีท สหรัฐอเมริกานะครับ วัดอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ หรือว่า 'ชิป' น่ะเอง ปรากฏว่าหุ้นดิ่งจนมูลค่าหายวับ 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์

ทีแรกว่าจะไม่โพสต์แล้วนะครับ แบนแล้วแบนอีก แบนไม่รู้จบ ซึ่งก็แบนซ้ำๆ --- คนก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าอเมริกา 'แบน' ห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปให้จีน

การแบนโน่นนิดนี่หน่อยเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้มีอันใดน่าประหลาดใจ ... แต่เห็นข่าวนี้มันกระเพื่อมตลาดหุ้นพอควร ก็ต้องโพสต์ครับ!!!

เรื่องใหญ่ยังไง? เดิมก็ 'แบน' อยู่แล้วนะครับ ชิปขั้นสูงสำหรับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อสกัดกั้นจีนมิให้ผงาดง้ำ

แต่ว่าตรงนี้ จะขยับเกณฑ์ความสูงลงมาหน่อย --- ว่าง่ายๆ ก็คือ ชิปขั้นไม่ต้องสูงมากก็ต้องโดนไปด้วย

วงกว้างขึ้นว่างั้น

แล้วก่อนนี้ บริษัท Nvidia ของอเมริกาเอง ที่โดน 'แบน' ชิปรุ่น A100 และ รุ่น H100 นั้น ก็ 'แก้ลำ' ด้วยการออกรุ่น A800 และรุ่น H800 ซึ่งรองๆ ลงมา ผ่านเกณฑ์ที่ส่งออกไปให้จีนได้ (แล้วก็ยังดีพอจะถูไถสำหรับทำ AI แม้จะลดหลั่นลงมา) ... ปรากฏว่าล่าสุด อเมริกาก็รวบรุ่นที่ว่านี้เข้าไปด้วย

เสร็จเลยครับ

สำหรับ หุ้น Nvidia Corp. ร่วงลงมากที่สุดระหว่างวันถึง 7.8% ขณะที่ ณ เวลา 10.26 ตามเวลาประเทศไทยหุ้นชิปดังกล่าวลดลง 4.68% หรือ 21.57 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 439.38 ดอลลาร์

‘Flash Coffee’ ร้านกาแฟสัญชาติอินโดฯ ปิดแล้วทุกสาขาในสิงคโปร์ ด้านใน ‘ไทย’ พบขาดทุนกว่า 100 ล้านบาท หลังติดลบต่อเนื่อง 

เมื่อไม่นานนี้ ‘แฟลช คอฟฟี่’ (Flash Coffee) ร้านกาแฟสตาร์ตอัปสัญชาติอินโดนีเซีย ประเดิมสาขาแรกในบ้านเกิดเมื่อปี 2020 และสามารถขยายไปอีกหลายประเทศทั่วเอเชียได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงไทยที่มีสาขากระจายทั่วทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

ล่าสุดสำนักข่าว ‘เซาท์ ไชน่า มอนิ่ง โพสต์’ (South China Morning Post) รายงานถึงสถานการณ์ล่าสุดของ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ในประเทศสิงคโปร์ว่า บริษัทปิดทำการร้านแฟรนไชส์ทุกสาขาในสิงคโปร์ทั้งหมดแล้ว โดยโฆษกของแบรนด์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของบริษัทจะไม่กระทบกับสาขาในประเทศอื่นๆ อาทิ สาขาในฮ่องกงที่ยังคงดำเนินกิจการตามปกติ พร้อมกันนี้ บริษัทจะยังคงเดินหน้าลงทุนและขยายตลาดในภาคส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตต่อไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสข่าวระบุถึงสาเหตุการถอนทัพจากสิงคโปร์ของ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ว่า อาจมาจากสองประเด็นหลักๆ คือ ‘ภาระหนี้สินบริษัทที่เพิ่มขึ้น’ ส่งผลถึงการหยุดงานประท้วงของพนักงาน เนื่องจากการจ่ายเงินเดือนที่ล่าช้ากว่ากำหนด ทว่า โฆษกของแฟลช คอฟฟี่ได้ออกมายืนยันภายหลังว่า พนักงานในสิงคโปร์ไม่ได้มีการนัดหยุดงานประท้วงแต่อย่างใด บาริสต้าและพนักงานในส่วนอื่นๆ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว เนื่องจากร้านค้ามีการหยุดดำเนินการไปก่อนหน้า

ทั้งนี้ ก่อนจะมีการปิดตัวลงในสิงคโปร์ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ได้ประกาศถอนตัวออกจากไต้หวันไปเมื่อเดือนมีนาคม 2566 รวมถึงสาขาในไทยที่มีการระบุบนเว็บไซต์ทางการว่า เปิดให้บริการกว่า 84 สาขานั้น ได้มีการทำการสำรวจข้อมูลแล้ว ล่าสุดบนแอปพลิเคชัน ‘แฟลช คอฟฟี่’ พบว่า ปัจจุบันมีสาขาเปิดบริการทั้งหมด 42 สาขา ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง หลังจากเข้ามาทำตลาดในไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563

สำหรับข้อมูลผลประกอบการของ ‘บริษัท แฟลช คอฟฟี่ ทีเอช จำกัด’ พบว่า ยังคงมีตัวเลข ‘ติดลบ’ ต่อเนื่องกันทั้งสองปี ดังนี้

- ปี 2563 : รายได้รวม 3.2 ล้านบาท ขาดทุน 8.5 ล้านบาท
- ปี 2564 : รายได้รวม 60 ล้านบาท ขาดทุน 100 ล้านบาท

‘ท่องเที่ยว’ จัดเต็มอีเวนต์ Q4 ชู ‘เคานต์ดาวน์’ หวังดึงต่างชาติ ปักหมุด 'กรุงเทพฯ' อวดโฉมพระปรางค์วัดอรุณฯ และ 'โคราช'

(18 ต.ค. 66) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รุกทำการตลาดและจัดกิจกรรมอีเวนต์เพื่อกระตุ้นบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวให้คึกคักในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เต็มไปด้วยสีสันแห่งการเฉลิมฉลอง ชูไฮไลต์งานเคานต์ดาวน์ในประเทศไทยให้ติดอันดับแลนด์มาร์กโลก หวังผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2566 ไปสู่ระดับ 28-30 ล้านคน

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 ซึ่งเข้าสู่ไฮซีซัน ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมแผนงานทำการตลาด ประชาสัมพันธ์ และจัดอีเวนต์งานเทศกาล เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศ ไฮไลต์สำคัญคือการจัดงานเคานต์ดาวน์ 2566 ในประเทศไทยให้เป็นอีเวนต์ระดับโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และสร้างแรงส่งต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1-2 ปีหน้า ซึ่งจะมีอีเวนต์ใหญ่งานเทศกาลตรุษจีนและสงกรานต์

“ททท.ได้ยื่นของบกลาง 600 ล้านบาท เพื่อนำไปทำการตลาด ประชาสัมพันธ์ และจัดอีเวนต์งานเทศกาลทั้งตลาดในและต่างประเทศช่วงไฮซีซันนี้ ผ่าน 4 โครงการ คาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้การท่องเที่ยวกลับมาไม่น้อยกว่า 31,660 ล้านบาท โดยงานเคานต์ดาวน์ทั้งที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นอีเวนต์หลักในโครงการ ไทยแลนด์ เฟสติวัล เอ็กซ์พีเรียนส์ (Thailand Festival Experience) ที่จะมีการจัดอีเวนต์ต่างๆ กระจายทั่ว 5 ภูมิภาค ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับคือก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านบาท”

โดยสาเหตุที่ต้องยื่นของบกลาง เพราะงบจากร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ กว่าจะใช้ได้ต้องรอไปถึงเดือน มี.ค. 2567

สำหรับข้อเสนอรวม 4 โครงการ ได้แก่

1. อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ พาสปอร์ต พริวิเลจส์ (Amazing Thailand Passport Privileges) งบประมาณ 150 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับคือการรับรู้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายของการชอปปิงเพิ่มขึ้น และขยายลูกค้าใหม่จากตลาดต่างประเทศให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว
2. ไทยแลนด์ เฟสติวัล เอ็กซ์พีเรียนส์ (Thailand Festival Experience) ใน 5 ภาค งบประมาณ 200 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับ ก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านบาท
3. มาร์เก็ตติง แอนด์ พีอาร์ ฟอร์ซ-มูฟ (Marketing & PR Forced-move) งบประมาณ 150 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับจากตลาดทั่วโลกทุกทวีป 30,000 ล้านบาท
4. เดอะ ลิงก์ โลคอล ทู โกลบอล (The Link Local to Global) งบประมาณ 100 ล้านบาท ก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 560 ล้านบาท

>> ททท.จัดเคานต์ดาวน์ใหญ่ 2 จุด ‘กรุงเทพฯ-โคราช’

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวเสริมว่า งานเคานต์ดาวน์ 2566 ที่ ททท.เป็นเจ้าภาพจัดงานเองจะมี 2 จุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ปักหมุดวัดอรุณราชวรารามเหมือนงานเคานต์ดาวน์ปีที่ผ่านมา แสดงพลุหน้าพระปรางค์วัดอรุณฯ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของภาคการท่องเที่ยวไทย พร้อมฉายภาพทัศนียภาพความสวยงามของคุ้งน้ำเจ้าพระยา ส่วนอีกจุดคือ จ.นครราชสีมา ซึ่งทางจังหวัดนครราชสีมาเตรียมจัดงานอีเวนต์ใหญ่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นาน 10 วัน บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดฯ นอกจากนี้ ททท.ยังคงสนับสนุนภาคเอกชนจัดงานเคานต์ดาวน์อย่างต่อเนื่อง เช่น ไอคอนสยาม และเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วย

ส่วนอีเวนต์อื่นๆ เช่น เทศกาลลอยกระทง เดือน พ.ย.นี้ ททท.เป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ที่คลองผดุงกรุงเกษม และงานวิจิตรเจ้าพระยา แสดงแสงสีเสียงตามแหล่งท่องเที่ยวเลียบริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่วันที่ 1-31 ธ.ค. 2566 หลังจากเคยจัดปีที่แล้วเป็นระยะ 2 สัปดาห์เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ได้รับเสียงตอบรับดีจากนักท่องเที่ยว

>> คาด Q4/66 ทัวริสต์ต่างชาติ 7 ล้านคน

สำหรับแนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 คาดว่ามีจำนวนรวมไม่น้อยกว่า 7 ล้านคน เฉพาะเดือน ต.ค. น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ส่วนเดือน พ.ย.-ธ.ค. คาดมีเกิน 2.5 ล้านคนต่อเดือน หลังจากภาพรวมปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศช่วงตารางบินฤดูหนาว 2566/2567 ปัจจุบันพบว่ากลับมากว่า 60% แล้ว

“ตลาดที่ฟื้นตัวกลับมาอย่างโดดเด่นเกิน 80-90% เทียบกับเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด มีนักท่องเที่ยวมาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ส่วนตลาดอื่นๆ ที่มีการเติบโตดีกว่ายุคก่อนโควิดคือ ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงอิสราเอลที่ประเมินว่าจะได้จำนวนนักท่องเที่ยวตามเป้าหมาย 2 แสนคนในปีนี้”

>> ‘เศรษฐา’ บุกจีน หนุน ททท. ผนึก 8 พันธมิตร

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ด้านนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 ในปี 2562 ด้วยจำนวนกว่า 11 ล้านคน จากสถิติล่าสุดช่วง 9 เดือนครึ่งของปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ต.ค. พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสะสม 2,645,885 คน ส่วนเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนตลอดปี 2566 ททท.ยังตั้งเป้าไว้อย่างน้อย 4 ล้านคน

ภายในสัปดาห์นี้ ททท.จะมีการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ร่วมกับ 8 พันธมิตรชั้นนำของจีน ได้แก่ 1. Trip.com 2. Ant International (Alipay) 3. Meituan 4. Huawei 5. Spring Airlines 6. Xinhua Net 7. iQIYI และ 8. JegoTrip ในวันที่ 19 ต.ค.นี้ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

พันธมิตรทั้งหมดล้วนเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริการรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agents: OTA) สายการบิน และผู้ให้บริการเพย์เมนต์ เกตเวย์ (Payment Gateway) เพื่อทำโปรโมชันและโปรโมตการท่องเที่ยวร่วมกัน ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงบวก โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย ส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในตลาดจีน

“ทางนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีกำหนดการไปร่วมประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3 วันที่ 17-18 ต.ค. ณ กรุงปักกิ่ง และการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ต.ค.นี้ที่เมืองจีนอยู่แล้ว จะเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานนี้ด้วย” ผู้ว่าการ ททท.กล่าว

>> ‘ต่างชาติเที่ยวไทย’ 9 เดือนครึ่ง ทะลุ 21 ล้านคน

นางสาวสุดาวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุถึงสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ต.ค. 2566 มีจำนวนสะสม 21,019,800 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 882,450 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด ได้แก่ อันดับ 1 มาเลเซีย 3,431,287 คน อันดับ 2 จีน 2,645,885 คน อันดับ 3 เกาหลีใต้ 1,255,769 คน อันดับ 4 อินเดีย 1,230,125 คน และอันดับ 5 รัสเซีย 1,038,036 คน

ทั้งนี้ เมื่อดูเฉพาะสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 9-15 ต.ค. มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 470,299 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันละ 67,186 คน โดย 5 อันดับแรกของประเทศที่เดินทางเข้ามาสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย 74,233 คน จีน 61,094 คน อินเดีย 30,170 คน เกาหลีใต้ 27,264 คน และรัสเซีย 22,018 คน

“สัปดาห์ที่ผ่านมามีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเพิ่มขึ้น 6.71% จากสัปดาห์ก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 5,227 คน เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน ประกอบกับสายการบินเริ่มปรับเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวรัสเซีย ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมาในภาพรวมประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 470,299 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 27,226 คน คิดเป็น 5.56%”

สำหรับสัปดาห์ถัดไป ตั้งแต่วันที่ 16-22 ต.ค. คาดว่านักท่องเที่ยวจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากการสิ้นสุดวันหยุดยาว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคโอเชียเนีย ความกังวลต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทย รวมถึงการเข้าสู่ภาวะสงครามของอิสราเอล นอกจากนั้นการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเหตุความขัดแย้ง ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

กลุ่ม ปตท. จัดงาน ‘PTT Group CG Day 2023’ ครั้งที่ 15 ผนึกกำลังยกระดับความโปร่งใสสู่การเป็น ‘วัฒนธรรมองค์กร’

เมื่อไม่นานมานี้ นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทในกลุ่ม ปตท. ประกอบด้วย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP), บริษัท พีทีที  โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC), บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP), บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC), บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) และ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ร่วมแสดงพลังขับเคลื่อนธุรกิจด้วยหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ในงาน PTT Group CG Day 2023 ครั้งที่ 15 ภายใต้แนวคิด ‘Good to Great : CG Empowering for the Future ผสานพลังร่วม รวมพลังสร้าง สู่อนาคตยั่งยืน’ ซึ่งเป็นการแสดงพลังร่วมของกลุ่ม ปตท. ที่ให้ความสำคัญและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล และต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ

นายนพดล เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. ร่วมกันจัดงาน PTT Group CG Day อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นเวทีแสดงพลังร่วมของกลุ่ม ปตท. ในการมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล พร้อมส่งเสริมบุคลากรในกลุ่ม ปตท. ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ และนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีไปปรับใช้ในการทำงานทั้งภายในและภายนอกองค์กร  

นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันของกลุ่ม ปตท. ลูกค้า คู่ค้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี เตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสู่อนาคตที่ยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ งาน PTT Group CG Day 2023 จัดขึ้นในรูปแบบ Hybrid เพื่อตอบสนองต่อรูปแบบการทำงานในปัจจุบัน มีผู้ร่วมงาน ณ ห้อง Synergy Hall ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคาร C กว่า 400 คน และมีผู้ร่วมงานผ่านระบบออนไลน์จากทั่วประเทศ โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การแสดงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารระดับสูงของกลุ่ม ปตท. การประกวดผลงานด้าน CG ของพนักงานกลุ่ม ปตท. และการเสวนาหัวข้อ CG Talk : Great of Trust โดย ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ 

นอกจากนี้ ภายในงานมีการจัดนิทรรศการ รวมไปถึงกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี แก่ผู้บริหาร พนักงาน คู่ค้า ลูกค้า แขกรับเชิญจากหน่วยงานต่าง ๆ และสื่อมวลชน อีกด้วย

‘นายกฯ มาเลเซีย’ ประกาศหนุน ‘กลุ่มฮามาส-ชาวปาเลสไตน์’ ลั่น!! พร้อมช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม บรรเทาทุกข์เหยื่อสงคราม

นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ประกาศตัวชัดเจน ให้การสนับสนุนกลุ่มฮามาสและชาวปาเลสไตน์ แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากชาติตะวันตก พร้อมเรียกร้องอิสราเอลยุติการโจมตีฉนวนกาซา และเปิดพื้นที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

(17 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เผยแพร่ข้อความผ่านบัญชีอย่างเป็นทางการของตนในโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊กและ X หรือทวิตเตอร์เดิม เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (17 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ประกาศยืนยันการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ และเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการทิ้งระเบิดโจมตีฉนวนกาซาทันที และจัดตั้งเขตปลอดภัยจากการสู้รบที่เมืองราฟาห์ ซึ่งมีจุดผ่านแดน ‘ด่านราฟาห์’ จากกาซาไปอียิปต์ เพื่อให้ความช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์
.
นายกรัฐมนตรีอันวาร์ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) เขาโทรศัพท์ไปพูดคุยกับนายอิสมาอิล ฮานิเยะห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส เพื่อแสดงการสนับสนุนอย่างแน่วแน่ของมาเลเซียต่อชาวปาเลสไตน์

“เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายมากในฉนวนกาซา ผมจึงขอเรียกร้องให้ยุติการทิ้งระเบิดทันที พร้อมจัดตั้งระเบียงมนุษยธรรม (Humanitarian Corridor) (เขตปลอดภัยจากการสู้รบ ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการอพยพพลเรือน) นอกพื้นที่สู้รบ ที่เมืองราฟาห์” นายอันวาร์ กล่าว

นายกฯ อันวาร์ยังเรียกร้องให้อิสราเอลละทิ้งอุดมการณ์ทางการเมืองผ่านการแย่งชิง (Politics of Dispossession) และดำเนินการตามสันติวิธีเพื่อยุติความขัดแย้งนี้

นอกจากนี้ นายอันวาร์ได้ให้คำมั่นว่าจะมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะอาหาร และยารักษาโรค เพื่อบรรเทาความทุกข์ของเหยื่อจากการสู้รบนี้

ทางการมาเลเซียได้เปิดเผยว่า พวกเขาได้รับแรงกดดันจากชาติตะวันตกให้ออกมาประณามการบุกโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาส ซึ่งนายกฯ อันวาร์ ก็ได้กล่าววานนี้ว่า พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการกดดันจากชาติตะวันตก อีกทั้งมาเลเซียก็มีความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสมาตั้งนานแล้ว และประเทศจะคงความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสต่อไป

ทั้งนี้ มาเลเซียถือเป็นหนึ่งในชาติที่มีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มฮามาส และให้การสนับสนุนชาวปาเลสไตน์มาเป็นเวลานาน อีกทั้งมาเลเซียก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล

‘สนค.’ เล็งเจาะตลาดอ่าวอาหรับ หวังเพิ่มโอกาสให้การค้าไทย หลัง ‘รถ-ยาง-เครื่องประดับแท้-ไก่-ข้าว’ นำกลุ่มส่งออกโตต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 66 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้วิเคราะห์ตลาดกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ 6 ประเทศ (Gulf Cooperation Council : GCC) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย, คูเวต, โอมาน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์ และบาห์เรน เพื่อหาโอกาสสำหรับการเปิดตลาดใหม่เพิ่มเติมตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ โดยเน้นตลาดใหม่ ที่มีกำลังซื้อสูง แต่ยังมีมูลค่าการค้ากับไทยไม่มากนัก จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทยที่จะหาโอกาสขยายการค้าในตลาดใหม่

สนค. พบว่า กลุ่ม GCC ถือเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคตะวันออกกลาง มูลค่าจีดีพีของกลุ่มประเทศ GCC คิดเป็นสัดส่วน 46.7% ของจีดีพี รวมของภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงทุกประเทศมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยสูงกว่าไทย โดยในปี 2565 กาตาร์ เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ GCC อยู่ที่ 88,046 เหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าไทยถึง 12.7 เท่า และมีจำนวนประชากรรวม 58.9 ล้านคน ใกล้เคียงจำนวนประชากรของไทย โดยซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศมีประชากรมากที่สุดในกลุ่มประเทศ GCC คิดเป็น 61% ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มประเทศ GCC สำหรับการค้าระหว่างประเทศ แหล่งนำเข้าสำคัญของกลุ่มประเทศ GCC 3 ลำดับแรก คือ จีน, อินเดีย และสหรัฐฯ โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 19 คิดเป็น 1.4% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด

แม้ว่าปัจจุบันไทยส่งออกไปยังตลาดกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับได้ไม่มาก แต่สินค้าไทยยังมีโอกาสเข้าถึงตลาดกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับได้อีก จากข้อมูลการส่งออกของไทย 8 เดือนแรกของปี 2566 ไปยังกลุ่มประเทศ GCC มีมูลค่ารวม 4,588 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 4.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็น 2.4% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดจากไทยไปโลก โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกของไทยไปยังกลุ่มประเทศ GCC 44.6% และ 37.3% ตามลำดับ ซึ่งตลาดส่งออกรองลงมา คือ คูเวต, โอมาน, กาตาร์ และบาห์เรน ตามลำดับ

โดยมีสินค้าส่งออกหลัก เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไฟเบอร์บอร์ด เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับในระยะต่อไป สนค. มองว่าไทยมีสินค้าศักยภาพหลายรายการที่มีโอกาสเจาะตลาดในกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับได้เพิ่มเติม โดยสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกเพิ่มเติม แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ สินค้าดาวเด่น, สินค้าศักยภาพ และสินค้าแนะส่งเสริม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

สินค้าดาวเด่น เป็นสินค้าส่งออกหลักของไทยในกลุ่มประเทศ GCC ที่มีแนวโน้มเติบโตดี สะท้อนว่าตลาดยังมีความต้องการ โดยใน 8 เดือนแรกของปี 2566 ประเทศไทยส่งออก ‘รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ’ สัดส่วน 37% ของสินค้าส่งออกไทยไปกลุ่มประเทศ GCC ทั้งหมด ขยายตัวสูงถึง 17.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และส่งออก ‘ยางยานพาหนะ’ สัดส่วน 4.1% ขยายตัว 19.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในปี 2565 ไทยครองส่วนแบ่งตลาด รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ในตลาดกลุ่มประเทศ GCC อยู่ที่ 5.6% และ ยางยานพาหนะที่ 7.4% ซึ่ง สนค. มองว่าสินค้าดังกล่าวยังมีโอกาสขยายการส่งออกและขยายส่วนแบ่งตลาดได้อีก

สินค้าศักยภาพ เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ แต่มีส่วนแบ่งของไทยในตลาดกลุ่มประเทศ GCC ต่ำกว่าส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งปี 2565 ไทยครองส่วนแบ่งในตลาดกลุ่มประเทศ GCC อยู่ที่ 1.1% เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลกที่ 4.3% ขณะที่การส่งออกใน ช่วง 8 เดือนแรกปี 2566 ขยายตัวที่ 1.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และ เครื่องประดับแท้ ซึ่งไทยครองส่วนแบ่งในตลาดกลุ่มประเทศ GCC อยู่ที่ 1.9% เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลกที่ 5% ขณะที่การส่งออกในช่วง 8 เดือนแรกปี 2566 เพิ่มขึ้น 14.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าแนะส่งเสริม เป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการ แต่กลุ่มประเทศ GCC ยังนำเข้าจากไทย ค่อนข้างน้อย หรือมูลค่าการนำเข้าจากไทยมีไม่ต่อเนื่อง จึงเป็นสินค้าไทยที่แนะนำให้เข้าไปเปิดตลาดใหม่ ได้แก่ ‘ไก่’ และ ‘ข้าว’ อย่างไรก็ดี การเข้าสู่ตลาดใหม่ในสินค้าดังกล่าวเป็นเรื่องที่ท้าทายทั้งจากคู่แข่งทางการค้าเดิม ที่มีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างสูง และมาตรฐานสินค้าและกฎระเบียบในกลุ่มประเทศที่ค่อนข้างสูงกว่ากลุ่มประเทศอื่น

“ตลาดกลุ่มประเทศ GCC เป็นตลาดที่น่าจับตามอง แต่ไทยยังมีการค้ากับประเทศเหล่านี้ค่อนข้างน้อย มีโอกาสเข้าสู่ตลาดนี้ได้อีกมาก นอกจากนี้ ไทยมีสินค้าที่มีศักยภาพหลายรายการที่สามารถเข้าไปเจาะตลาดกลุ่มนี้เพิ่มเติม จากการวิเคราะห์ด้วย ‘Data Analytics Dashboard’ แม้ปัจจุบัน ไทยจะส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไปยังกลุ่มประเทศ GCC เป็นหลัก หรือมากกว่า 88% ของมูลค่าการส่งออกจากไทย แต่จะเห็นได้ว่าไทยมีศักยภาพเจาะตลาดสินค้าเกษตรและอาหารด้วย โดยเฉพาะสินค้าไก่และข้าว

ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ อยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คาดว่าจะสรุปผลการเจรจาได้ในปี 2566 นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ดีขึ้นอย่างมากหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน อีกครั้ง กระทรวงพาณิชย์มีแผนเจรจา FTA ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศ GCC ในอนาคตอีกด้วย” นายพูนพงษ์ กล่าว

ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 'เบนจา-สมยศ-ณัฐชนน' ผิดข้อหาดูหมิ่นศาล หลัง 'ชุมนุม-มั่วสุม' หนุนแม่เพนกวิน

ศาลอาญาพิพากษาจำคุก'เบนจา-สมยศ-ณัฐชนน'ผิดข้อหาดูหมิ่นศาล จากการชุมนุมให้กำลังใจ ‘แม่เพนกวิน‘ หน้าศาลอาญา โดยสองรายแรกรวมโทษจำคุก 1 ปี 8 เดือน ปรับ 30,100 บาท แต่ศาลให้รอการลงโทษ 2 ปี ขณะที่'สมยศ'คุก 1 ปี 8 เดือน 40 วัน ก่อนศาลให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์

เมื่อวานนี้ 17 ต.ค. 66 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ณัฐชนน ไพโรจน์, เบนจา อะปัญ, และสมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ฐานดูหมิ่นศาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198, ชุมนุมมั่วสุมให้เกิดความวุ่นวายและไม่เลิกชุมนุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215-216, ฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จากการชุมนุมเมื่อ 30 เม.ย. 2564 เพื่อให้กำลังใจมารดาของ ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ในการยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวพริษฐ์ที่ศาลอาญา ซึ่งขณะนั้นพริษฐ์อดอาหารประท้วงในเรือนจำเพื่อเรียกร้องสิทธิในการประกันตัว

ทั้งนี้ ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 ทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198 เฉพาะจำเลยที่ 1-2 มีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่รับอนุญาต

พิพากษาจำคุกณัฐชนนและเบนจา ฐานดูหมิ่นศาล คนละ 2 ปี ปรับ 30,000 บาท ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำคุก 6 เดือน ปรับ 15,000 บาท ฐานใช้เครื่องขยายเสียงฯ ปรับคนละ 100 บาท จำเลยทั้งสองให้การเป็นประโยชน์ต่อกาารพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงโทษจำคุก 1 ปี 8 เดือน ปรับ 30,100 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี ให้คุมประพฤติเป็นเวลา 1 ปี รายงานตัว 4 ครั้ง และทำงานบริการสังคมตามที่เจ้าพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร

ส่วนสมยศเพิ่มโทษจากคดีก่อนหน้าหนึ่งในสาม ลงโทษจำคุกเฉพาะข้อหาดูหมิ่นศาล 2 ปี 8 เดือน ลดโทษเนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาหนึ่งในสาม เหลือโทษจำคุก 1 ปี 8 เดือน 40 วัน โดยไม่รอลงอาญา

จากนั้น ทนายความได้ยื่นขอประกันตัวสมยศระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา ต่อมาเวลา 16.45 น. ศาลมีคำสั่งให้ประกันสมยศ โดยเห็นว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับจำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวในชั้นพิจารณา ไม่ปรากฏพฤติการณ์หลบหนี ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยที่ 3 ชั่วคราว ในระหว่างอุทธรณ์”

ศาลให้วางหลักทรัพย์ประกันในชั้นอุทธรณ์จำนวน 100,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ สมยศจึงได้รับการปล่อยชั่วคราวเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อไป

'รองโฆษก รทสช.' ยกเหตุการณ์ 'ฮามาส' บุก 'อิสราเอล' หนุนไทยยังต้องมีเกณฑ์ทหารและฝ่ายค้านบางพรรคควรตระหนัก

(18 ต.ค. 66) นายชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก 'เก็ต ชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา' ระบุว่า...

ทำไมไทยถึงยังต้องมีเกณฑ์ทหาร?

ดูเหตุการณ์ปะทะระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์สิครับ

กองกําลัง Hamas สามารถบุกเข้าโจมตีอิสราเอลได้ ลักพาตัวประกันได้ (นี่ขนาดอิสราเอลมีเกณฑ์ทหารทั้งชายเเละหญิง)

หันมาที่บ้านเรา ก่อนที่ฝ่ายค้านจะค้านว่าเราไม่ได้มีสงคราม หรือ เป็นศัตรูกับใคร อย่าลืมว่าเฉกเช่นกับการเมืองไทย การเมืองโลกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ชนวนความขัดแย้งภูมิภาคสามารถปะทุได้ทุกเมื่อ หากเรามีกองกําลังไม่พอ พอเกิดเหตุการณ์ที่ ‘ไม่คาดฝัน’ เราจะไม่มีอะไรมาประกันความปลอดภัยของคนไทยนะครับ

เเน่นอนเรื่องปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย และจัดการเรื่อง corruption ในกองทัพต้องมีการแก้ไขเเละตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา

ผมสนับสนุนให้ยังคงมีเกณฑ์ทหาร เพิ่มสัดส่วนภาคสมัครใจควบคู่กันไป เพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อย และงบการฝึกซ้อมยุทโธปกรณ์ เพื่อที่กองทัพไทยจะพร้อมรบ ปกป้องดินแดนไทยเเละคนไทยครับ

‘ต้องเต’ ผู้กำกับ ‘สัปเหร่อ’ ขอบคุณทุกเสียงสนับสนุน หลังภาพยนตร์กวาดรายได้ทั่วไทยทะลุ 300 ลบ.แล้ว

(18 ต.ค.66) แม้จะเข้าฉายสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว ทว่าความนิยมในภาพยนตร์ไทยเรื่อง สัปเหร่อ หนังเรื่องใหม่ของจักรวาลไทบ้าน ฝีมือกำกับของ ต้องเต ธิติ ศรีนวล พุ่งทะยานต่อเนื่อง ล่าสุดตัวเลขรายได้ของเช้าวันนี้ จากการฉายทั่วประเทศไทยมากกว่า 300 ล้านบาทแล้ว

‘ต้องเต ธิติ’ เปิดเผยทางเฟซบุ๊กของเขาว่า “ขอบคุณหลายๆ เด้อครับ ผมขอบคุณอีหลี 💚🙏🏻

หนังมันเดินทางมาไกลเกินฝันหมู่เฮาแฮง มันเกิดขึ้นได้เพราะมีแฟนคลับทุกคนที่คอยสนับสนุน คอยมาเป็นกำลังใจให้หมู่เฮา ขอบคุณทุกท่านจากใจจริงครับ”

ระเบิด 'โรงพยาบาลฉนวนกาซา' ดับครึ่งพัน ส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็ก 'ฮามาส' ชี้!! นี่คืออาชญากรรมสงคราม ฟากอิสราเอลปัดเอี่ยว

(18 ต.ค. 66) เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่โรงพยาบาลในฉนวนกาซาซึ่งเต็มไปด้วยผู้ได้รับบาดเจ็บรวมถึงชาวปาเลสไตน์อื่น ๆ ที่หาพี่พักพิงเพื่อหลบหนีความรุนแรง เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขกาซา ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 500 ราย

เหตุระเบิดโรงพยาบาลที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นที่อัล-อะห์ลี ซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากโรงพยาบาลอื่น ๆ ในฉนวนกาซาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่เต็มไปด้วยชาวปาเลสไตน์จำนวนมากซึ่งพากันลี้ภัยไปอยู่ในโรงพยาบาล โดยหวังว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากการทิ้งระเบิด หลังจากอิสราเอลได้สั่งให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองทั้งหมดรวมถึงพื้นที่โดยรอบทางตอนเหนืออพยพลงไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา

ภาพวิดีโอที่ได้รับการยืนยันว่า มาจากโรงพยาบาลที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นเพลิงไหม้ลุกท่วมอาคาร ขณะที่บริเวณโรงพยาบาลเต็มไปด้วยศพผู้คนที่ฉีกขาดจากแรงระเบิด ผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นเพียงเด็กเล็ก ซึ่งรอบศพของพวกเขาที่อยู่บนพื้นหญ้ามีผ้าห่ม เป้สะพายหลังของโรงเรียน และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ กระจัดกระจายอยู่

หลังเกิดเหตุระเบิดทั้งรถพยาบาลและรถยนต์ส่วนตัวได้เร่งนำผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 350 คนไปยังโรงพยาบาลอัล-ชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในฉนวนกาซาที่เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บจากการโจมตีจากที่อื่นๆ อยู่แล้ว โดยสภาพภายในโรงพยาบาลผู้บาดเจ็บต่างนอนจมกองเลือดบนพื้นและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ด้าน อิสราเอลและปาเลสไตน์ ต่างกล่าวโทษกันและกันว่าเป็นฝ่ายยิงจรวดใส่โรงพยาบาลดังกล่าว โดยฮามาสอ้างว่าเป็นการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล และเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นการสังหารหมู่ที่น่าสยดสยอง

ขณะที่ กองทัพอิสราเอล ก็กล่าวโทษว่าโรงพยาบาลถูกโจมตีจากจรวดที่ยิงพลาดเป้าของกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตล์ ที่ได้ทำการยิงจรวดจำนวนมากใกล้กับโรงพยาบาลในขณะนั้น โดยอ้างข่าวกรองจากหลายแหล่งที่อิสราเอลมีในมือซึ่งบ่งชี้ว่า กลุ่มญิฮาดอิสลามเป็นผู้รับผิดชอบต่อการยิงจรวดที่ล้มเหลวครั้งนี้

ในเวลาต่อมาฝ่ายสื่อของรัฐบาลฮามาสได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า การโจมตีโรงพยาบาลในฉนวนกาซาถือเป็นอาชญากรรมสงคราม เพราะโรงพยาบาลเป็นที่พักพิงของผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บหลายร้อยคน รวมถึงผู้ที่ถูกบังคับให้ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นจากบ้านเรือนของตนเอง และขณะนี้มีเหยื่อหลายร้อยคนยังคงติดอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังของโรงพยาบาลดังกล่าว

ขณะที่โฆษกของกองทัพอิสราเอลไม่สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้น หรือไม่โดยบอกเพียงว่ากำลังตรวจสอบอยู่

นอกจากเหตุโจมตีโรงพยาบาลแล้ว องค์กรบรรเทาทุกข์และจัดหางานแห่งสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยสำหรับขาวปาเลสไตน์ของยูเอ็นยังระบุด้วยว่า รถถังของอิสราเอลได้ยิงจรวดโจมตีโรงเรียนของยูเอ็นในตอนกลางของฉนวนกาซา ซึ่งมีชาวปาเลสไตน์ลี้ภัยอยู่ราว 4,000 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 รายและได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานของยูเอ็นในพื้นที่ฉนวนกาซาอย่างน้อย 24 แห่งที่ถูกโจมตีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 14 ราย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top