Saturday, 14 June 2025
Hard News Team

ส่อง ‘ชัชชาติ’ เลกเชอร์ระบบระบายน้ำ กทม. เตรียมรับ ‘น้อนน้ำ’ ย้ำ น้ำเหนือ-น้ำหนุน ไม่น่ากังวลแต่ไม่ประมาท ปิดครบจุดอ่อนริมเจ้าพระยา

เมื่อวันที่ (2 ต.ค. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวรายงานการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำของกรุงเทพมหานคร แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมร่วมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ กรมชลประทานปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

นายชัชชาติ กล่าวว่า กรุงเทพมหานครต้องรับมือกับ 3 น้ำ คือ น้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน สำหรับน้ำเหนือและน้ำหนุนจะอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลัก ปัจจุบันน้ำเหนือเราจะดูที่สถานีจุดวัดน้ำบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยวันนี้ปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,818 ลบ.ม./วินาที ระดับเตือนภัยอยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที วิกฤตอยู่ที่ 3,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งยังเหลืออีกเยอะ 

ด้านน้ำทะเลหนุนสุงสุดจากนี้จะเป็นวันที่ 20 ตุลาคม สำหรับการป้องกันน้ำเหนือและน้ำหนุนของกรุงเทพฯ เรามีเขื่อนตลอดแนวเจ้าพระยายาว 88 กม. และเข้าไปในคลองทวีวัฒนา พระโขนง และมหาสวัสดิ์ โดยความสูงเขื่อนไล่ตามระดับน้ำจากทางด้านเหนือ +3.5 เมตร และด้านล่าง +3 เมตร เพราะด้านล่างน้ำน้อยกว่า 

โดยตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยามีจุดอ่อนน้ำท่วม 120 จุด ปัจจุบันแก้ไปแล้ว 64 จุด ที่เหลืออยู่ในขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมดและมีการเสริมกระสอบทรายป้องกันไว้ ซึ่งเรามั่นใจว่าเขื่อนแนวริมเจ้าพระยามีคุณภาพ คาดว่าปีนี้น้ำเหนือและน้ำหนุนไม่น่ากังวลแต่เราก็ไม่ประมาท

นายชัชชาติ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือน้ำฝน ซึ่งฝนที่ตกในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่แล้วไหลลงสู่เจ้าพระยาโดยมาจากคลองย่อยสู่คลองหลัก หรือจากอุโมงค์ระบายน้ำซึ่งเรามี 4 จุด ยาวรวม 20 กม. แต่ปัญหาการระบายน้ำหลัก ๆ คือเส้นเลือดฝอย ที่ผ่านมาเราลอกท่อไปแล้ว 5,000 กม. และคลองหลัก 200 กม. เปิดทางน้ำไหล 2,000 กม. จึงทำให้โดยรวมน้ำไหลได้ดีขึ้น แต่ปริมาณฝนปีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนภาพรวมยังน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าเดือนตุลาคมฝนจะตกมากขึ้น ซึ่ง กทม. พร้อมรับมือเพราะเตรียมการมาโดยตลอดและร่วมบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน แจ้งว่าปริมาณน้ำผ่านจุดสำคัญ ได้แก่ 
1.สถานีจุดวัดน้ำ จ.นครสวรรค์ ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,383 ลบ.ม./วินาที โดยปริมาณน้ำไหลผ่านที่เฝ้าระวัง อยู่ที่ 3,660 ลบ.ม./วินาที

2.จุดวัดน้ำบริเวณเขื่อนเจ้าพระยา ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,150 ลบ.ม./วินาที โดยปริมาณน้ำไหลผ่านที่เฝ้าระวัง อยู่ที่ 2,730 ลบ.ม./วินาที

3.สถานีจุดวัดน้ำบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,865 ลบ.ม./วินาที โดยปริมาณน้ำไหลผ่านที่เฝ้าระวัง อยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที

‘อนุทิน’ เตรียมเสนอ ครม. จัดงบเยียวยาค่าล้างโคลนเพิ่ม 10,000 บาท คาดไม่เกินสิ้นเดือน เคลียร์แผ่นดินแม่สาย-เชียงราย กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

เมื่อวานนี้ (5 ต.ค. 67) เวลา 10.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ ภริยารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย ใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยได้รับฟังการสรุปสถานการณ์ภาพรวมและลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์ ณ สะพานด่านแม่สาย ก่อนจะเดินทางไปติดตามดูการช่วยเหลือพื้นฟูในจุดต่างๆ พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจปลัดอำเภอและกำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่กรมการปกครองได้ระดมกำลังพลทั่วประเทศเข้ามาสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนใน จ.เชียงราย ฟื้นฟูทำความสะอาดบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกำลังพลทุกนายมีกำลังใจที่ดี ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเสียสละและอดทน

นายอนุทิน กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ระดมทุกภาคส่วนเข้ามาให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยใน อ.แม่สาย ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน และภาคประชาชน ส่วนของท่านเจ้ากรมการทหารช่าง ได้มาประจำอยู่แม่สายเป็นสัปดาห์แล้ว 

ในส่วนของการบัญชาการตอนนี้ที่เชียงรายไม่น่าเป็นห่วงแม้อยู่ในช่วงการรอแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเนื่องจากท่านเดิมเกษียณอายุราชการ แต่ได้มีการตั้งนายโชตนรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้ามารักษาการผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถสั่งการเพื่อจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ 

ส่วนของรองผู้ว่าราชการจังหวัดขณะนี้ก็ได้มีการแต่งตั้งเข้ามาจนครบแล้ว ขณะที่นายอำเภอแม่สายท่านได้เกษียณอายุราชการแล้วแต่ตัวท่านและภรรยาก็ยังคงอยู่ในพื้นที่ช่วยงานราชการซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก และได้รับการยืนยันจากทางปลัดกระทรวงมหาดไทยว่าจะมีการแต่งตั้งนายอำเภอแม่สายท่านใหม่เข้ามากำกับดูแลสถานการณ์ในสัปดาห์นี้

นายอนุทิน กล่าวว่า จากที่ได้ฟังการรายงานจากทางเจ้าหน้าที่ คาดว่าจะสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ภายในไม่เกินสิ้นเดือนนี้ แต่จะทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีจุดที่หนักหน่อยก็คือที่ตลาดสายลมจอย ที่น้ำทะลักเช้าไปมากจนสร้างความเสียหาย ซึ่งมีความเห็นใจผู้ประกอบการ เพราะว่าทราบมาว่าสินค้าอะไรถูกทำลายไปด้วยซึ่งจะต้องพิจารณาต่อไปว่าจะหาวิธีช่วยเหลืออย่างไร

“ในเรื่องของการเยียวยาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย ในวันอังคารนี้ ก็มีการเสนอให้ ครม. พิจารณาปรับเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งเป็นไปตามคำบัญชาของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ว่าจะให้การเยียวยาในระดับสูงสุดก็คือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน 

และก็ยังมีเงินที่ตอนนี้ทางกรมป้องกันสาธารณภัยได้ตั้งเรื่องและได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้วคือ ค่าล้างโคลนบ้านละ 10,000 บาทต่อหลัง ซึ่งเป็นการที่เราพยายามจะหาความช่วยเหลือมาให้ประชาชนให้มากที่สุด 

ท่านรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ตั้งแต่รับตำแหน่งท่านก็ยังไม่ได้เข้าที่ทำงานที่มหาดไทยเลย เพราะมาอยู่ที่นี่ วิ่งรอกระหว่างเชียงใหม่ เชียงราย 2 จังหวัดนี้ตลอด เพื่อบัญชาการ ประสานงานขอความช่วยเหลือสนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งก็ทำให้สิ่งที่มีความจำเป็นทั้งหมดก็มาถึงโดยเร็วอันนี้เป็นการบูรณาการอย่างจริงจังและจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวถึง สถานการณ์น้ำภาพรวมของ อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังการลงพื้นที่ติดตามว่า ในส่วนของปริมาณน้ำนั้นห้ามไม่ได้ มีความเร็ว แรง แต่ด้วยประสบการณ์ที่พื้นที่ได้เจอมา ทำให้รู้ว่าน้ำมาแล้วจะไปทางไหน สามารถบริหารจัดการได้คล่องตัวในการกู้ภัย การฟื้นฟูสภาพก็มีความคล่องตัวมากขึ้น ทำได้เร็วขึ้นกว่าช่วงแรกๆ เหมือนกับอยู่ในช่วงอยู่ตัว แต่เราก็ไม่ได้ถอนกำลังหรือลดทรัพยากรใดๆ ออกไป 

สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือต้องเร่งระบายขยะมูลฝอยและเศษไม้ ต่อไม้ที่มากับน้ำหากติดสะพานปิดกั้นทางน้ำจะทำให้การระบายช้าลง ต้องมีเครื่องมือเครื่องจักรคอยตักออกตลอดเวลา โดยคาดว่าน้ำท่วม ไม่น่าจะเกิดความรุนแรงแล้ว ส่วนการเอาดินออกจากบ้านเรือนประชาชนก็ทำไปได้มากแล้ว โดยจะเร่งทำให้สามารถคืนพื้นที่ให้เร็วที่สุด

‘แพทองธาร’ เตรียมนั่งหัวโต๊ะ ชี้ชะตาเบอร์ 1 สตช. ตั้งตัวชี้วัดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องสางปัญหาอาชญากรรม-ยาเสพติด

(6 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี จะไปเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ในวันพรุ่งนี้ (7 ตุลาคม) เวลา 14.30 น. โดยมีวาระสำคัญ คือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีชื่อผู้มีอาวุโส 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 1, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 2 และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 3

สำหรับขั้นตอนการคัดเลือก ผบ.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 มาตรา 78 ระบุว่า ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดเลือกรายชื่อเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยการประชุมเมื่อเข้าพิจารณาวาระนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พล.ต.อ.ไกรบุญ และพล.ต.อ.ธนา จะต้องออกจากห้องประชุม เนื่องจากถือว่ามีส่วนได้เสียองค์ประชุมจึงมีเพียง นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. นายปิยะวัฒน์ ศิวะรักษ์ เลขาธิการ ก.พ. ในฐานะก.ตร. โดยตำแหน่ง และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ รองศาสตราจารย์ประทิต สันติประภพ และศาสตราจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ เป็นคณะกรรมการพิจารณา

“ไม่ว่าท่านใดจะมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป้าหมายสำคัญตามนโยบายรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาคือการดูแลทุกข์สุข พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้กับพี่น้องประชาชน แก้ไขปัญหายาเสพติดและลดอาชญากรรมทุกประเภทให้ได้”

‘พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์’ เสด็จลงพื้นที่ชุมชนคลองแม่ข่า เชียงใหม่ พร้อมทั้งประทานเครื่องใช้อุปโภค-บริโภค ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม

เมื่อวานนี้ (5 ต.ค. 67) กองทุนพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ได้รายงานว่า

วันนี้ วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2567 เวลา 16.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ 
(เสด็จเป็นการส่วนพระองค์) ลงพื้นที่บริเวณชุมชนคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ ทรงประทานข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ข้าวกล่อง และสิ่งของต่างๆให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ยังสูงมาก 

ทั้งนี้ยังทรงช่วยชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ติดอยู่ในพื้นที่ ที่ยังออกมาไม่ได้ นำส่งไปยังพื้นที่ปลอดภัย และนำนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่งสนามบินเชียงใหม่เพื่อเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย

‘ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง’ ร่ายบันทึกความทรงจำอย่างละเอียด หวังไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำรอย กับสัตว์ประจำชาติอย่าง ‘ช้างไทย’

(6 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง The Thai Elephant Conservation Center Lampang’ ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นกับช้างไทย ว่า 

บันทึกเตือนความจำ
ภัยธรรมชาติที่เกิดจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงสุดขั้วนำมาซึ่งปริมาณน้ำฝนที่ไหลหลั่งลงสู่แหล่งน้ำ จำนวนมหาศาล ไหลบ่าจากป่าสู่เมืองในที่ลุ่มต่ำ ในทางกลับกันเชื่อแน่ว่าไม่ช้าก็เร็วเราน่าจะเจอกับเหตุการณ์ในขั้วตรงกันข้ามคือแล้ง ร้อนสุดโต่งแน่

กันยายนต่อเนื่องถึงตุลาคม ฝนตกต่อเนื่องจนเกิดมวลน้ำจำนวนมหาศาลจากต้นน้ำแม่แตง ไหลเข้าสู่ลำน้ำแม่แตง สายน้ำแห่งการท่องเที่ยวธรรมชาติของเชียงใหม่ ที่ตลอดสองข้างลำน้ำมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมทั้งปางช้างต่างๆเรียงรายตลอดลำน้ำแม่แตง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาจากรายงานของสถาบันคชบาลแห่งชาติ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (2558-2567) พบว่ามีปางช้างถึง 49 ปาง (ช้างจำนวน 546 เชือก) 

เหตุระทึกเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่บ่ายวันพฤหัสที่ 3 ตุลาคม 2567 มวลน้ำจำนวนมากไหลบ่าล้นตลิ่งทั้งสองฝั่งของลำน้ำแม่แตงอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่องจนถึงเช้ามืดวันศุกร์ น้ำเพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว ช้างส่วนใหญ่ถูกอพยพนำขึ้นไปผูกล่ามไว้ในที่สูง  ในขณะที่ปางช้างขนาดใหญ่ (มีช้างมากกว่าหนึ่งร้อยเชือก) ของมูลนิธิช้างและสิ่งแวดล้อม ยังคงสาละวนและพยายามขนย้ายช้างและสัตว์อื่นๆอีกนับพันอาทิ สุนัข แมว แพะ โค กระบือ และสุกร ซึ่งยังคงไม่ทันการณ์ เป็นผลให้มวลน้ำจำนวนมหึมาไหลเข้าสู่ปางช้าง (ระดับน้ำสูงมากกว่า 1.5-2.0 เมตร เมื่อประเมินด้วยสายตา) การขนย้ายช้างนับร้อย เป็นเรื่องที่ยากและสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียมากทั้งชีวิตคนและช้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช้างเหล่านี้มิได้ถูกฝึกหรือสื่อสารกับคนเลี้ยงอย่างใกล้ชิดมาก่อน เราเริ่มจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะพอช่วยเหลือสนับสนุนอะไรได้บ้าง

คณะของสถาบันคชบาลแห่งชาติ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อเช้าตรู่ของวันศุกร์ จากการร้องขอของเจ้าหน้าที่มูลนิธิทางโทรศัพท์ โดยเบื้องต้นรับทราบมาว่าให้ช่วยเคลื่อนย้ายและดูแลช้างเพศผู้ที่ยังอยู่ในคอกแต่ไม่สามารถออกมาได้ ในขณะที่ระดับน้ำกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  คณะทำงานถูกตามตัว รวมทีมและประชุมอย่างเร่งด่วน และออกเดินทางในช่วงสายของวันนั้น 

เมื่อแรกไปถึงพบว่าเส้นทางเข้าถึงปางช้างถูกตัดขาด ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก การติดต่อด้วยโทรศัพท์ไม่สามารถทำได้ ต้องสื่อสารผ่านวิทยุสื่อสารคลื่นสั้นเท่านั้น คณะจึงต้องรอจนถึงบ่ายแก่ๆจึงได้เรือจากหน่วยกู้ภัย จ.กาฬสินธ์ุ ข้ามน้ำเพื่อไปดูช้างตัวผู้ในคอกต่างๆเพื่อประเมินสถานการณ์ เราพบว่าช้างตัวผู้ยังอยู่ครบทั้งสิบเชือก ในสภาพที่ช้างลอยคออยู่ภายในคอก   แต่ที่แปลกใจคือยังมีช้างตัวเมียอีกหลายสิบเชือกติดค้างอยู่ในคอกด้วย บ้างก็พิการขาเป๋ ตาบอด และยังทราบอีกว่าช้างอีกหลายเชือกได้สูญหายลอยไปกับน้ำด้วย เมื่อช่วงก่อนหน้า  

ซึ่งต่อมาพบซากของช้างฟ้าใส(วันเฉลิม)และพลอยทอง เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสีย คณะจึงตัดสินใจแบ่งทีมงานออกเป็น 2 ทีมเพื่อช่วยเหลือช้างให้ครอบคลุมทั้งสองกลุ่มการดำเนินการในภาวะวิกฤติและเร่งด่วนเช่นนี้โดยหลักการแล้ว หากพบว่าช้างกับควาญสามารถสื่อสารกันได้ก็จะให้ควาญช้างเป็นผู้นำและกำหนดทิศทางการเดินของช้างเพื่อความปลอดภัย เพราะช้างเองมักเดินเฉพาะเส้นทางที่เคยชิน ซึ่งในกรณีนี้ช้างมักคุ้นชินกับการเดินแบบอิสระในทุ่งกว้างที่อยู่ติดกับน้ำแม่แตง ที่กำลังไหลเชี่ยว นับว่าอันตรายอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงจำเป็นที่ช้างเหล่านี้จะต้องมีควาญเป็นผู้ควบคุมทิศทาง

ในกรณีช้างเพศเมียหรือช้างที่ไม่ดุร้าย หากช้างกับควาญมิได้มีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน หรือมีแต่เพียงเล็กน้อย ในทางทฤษฎีที่มีการเคลื่อนย้ายช้างป่ามักวางยาซึมและนำทางด้วยผ้าพรางแสงตลอดทางเดินเพื่อนำช้างไปยังจุดที่ต้องการ แต่ในกรณีนี้มีน้ำท่วมสูงจึงค่อนข้างเสี่ยงที่จะวางยาซึม (ยาซึมช้างมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ทำให้งวงตกลงสู่พื้น) โดยในวันนั้นคณะทำงานที่ประกอบด้วยสัตวแพทย์ ควาญช้างจากสถาบันคชบาลแห่งชาติ ควาญพี่เบิ้ม(ปางที่อยู่ติดกัน) และภัทรฟาร์ม ซึ่งมีความชำนาญ ร่วมกับควาญช้างของมูลนิธิช่วยกันควบคุมและกำหนดเส้นทางด้วยเชือกให้ช้างเดินไปยังจุดที่ปลอดภัย แต่ก็ทุลักทุเลพอควรด้วยเพราะควาญกับช้างสื่อสารกันแทบไม่รู้เรื่อง วันนั้นทีมเราช่วยเหลือช้างตัวเมียได้บางส่วนจนกระทั่งมืดค่ำจึงยุติภารกิจในเวลา 19.30 น. 

ในกรณีช้างเพศผู้ เราไม่สามารถวางยาซึมช้างในขณะที่ยังอยู่ในน้ำได้ ซึ่งจากข้อมูลที่ทีมงานได้รับพบว่าช้างทุกเชือกไม่เคยผ่านการฝึกและบางเชือกมีประวัติทำร้ายคนมาก่อน จึงเกิดคำถามว่าหากเคลื่อนย้ายออกมาได้แล้วจะนำช้างไปผูกล่ามอย่างไร ที่ไหน ทั้งในภาวะซึมหรือปกติ ด้วยเพราะช้างไม่คุ้นเคยกับคนหรือช้างใดๆ ช้างแต่ละเชือกอยุ่ตัวเดียวในคอกมานาน ซึ่งจากการประเมินพบว่าช้างทุกเชือกยังมีสภาพร่างกายปกติ (ยกเว้นพลายขุนเดชที่บาดเจ็บที่ขาหน้า) ดังนั้นจึงใช้วิธีวางแท่นพยุงให้ช้างสามารถใช้งวงยึดพยุงมิให้จมน้ำ หากพบว่าระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีก เพราะจากประสบการณ์ตรงของคณะทำงานพบว่าช้างมักลอยน้ำและอยู่ในน้ำได้นานถึง 2 วัน 1 คืนในสภาพน้ำนิ่ง โดยไม่เกิดอันตราย ซึ่งจากสภาพช้างภายในคอกพบว่ากระแสน้ำยังคงไหลแต่ไม่เชี่ยวมากนักเมื่อเทียบกับในลำน้ำ ช้างน่าจะยังพอพยุงตัวเองไว้ได้ในระยะเวลาหนึ่ง ด้วยเพราะธรรมชาติของน้ำทางภาคเหนือมักมาเร็วไปเร็ว ไม่น่าจะท่วมนาน เราจึงกำหนดให้ทำแพต้นกล้วยไว้ให้ช้างเพื่อช่วยพยุง ต้นกล้วยยังเป็นอาหารและมีน้ำช่วยประทังชีวิตให้ช้างได้อีกด้วย ทั้งนี้ให้เฝ้าระวังพลายขุนเดชเป็นพิเศษ

โชคดีในช่วงเย็นของวันเดียวกันระดับน้ำเริ่มลดระดับลง เป็นสัญญาณว่าน้ำน่าจะลดลงเป็นปกติในไม่ช้า 
วันรุ่งขึ้นระดับน้ำลดลง เหลือเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช้างเพศเมียถูกเคลื่อนย้ายขึ้นที่สูง ช้างตัวผู้ยังอยู่ในคอกของตัวเอง แต่ทุกตัวยังมีชีวิตอยู่แม้บางเชือกอาจแสดงอาการอ่อนเพลียบ้าง ดังนั้นการฟื้นฟูสุขภาพกาย และสภาวะจิตใจของช้างและควาญจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะโรคต่างๆที่มาหลังน้ำท่วม ก็ดี   น้ำป่าที่อาจเข้าสู่ร่างกายช้างในช่วงก่อนหน้าทั้งทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารก็ดี ดินโคลนที่มีรสชาดเย้ายวนต่อการลิ้มลองของช้างก็ดี หรือแม้กระทั่งอาหารที่อาจปนเปื้อน ที่ล้วนนำมาซึ่งความเจ็บป่วยของช้างเหล่านี้ได้ และสภาพจิตใจของช้างที่อาจตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เหล่านี้จำเป็นต้องฟื้นฟูและเฝ้าระวังกันต่อไป

สรุปยอดรวมช้างในปางก่อนเกิดเหตุ จำนวน 118 เชือก ภายหลังน้ำลด พบช้างเพศเมีย 106 เชือก เป็นช้างเพศผู้ 10 เชือก สูญหายและเสียชีวิต 2 เชือก

วันนี้ฝนตกเบาบางลงแล้ว แต่หากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันอีก การเรียนรู้บทเรียนและเตรียมแผนเผชิญเหตุทั้งของปางและผู้เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่ต้องจัดทำ  

แม้ในวันนี้ช้างบ้านของไทยจะมีสถานะเป็นทรัพย์สินของผู้ถือครองตามกฎหมาย (พรบ.สัตว์พาหนะ ) แต่จากเหตุการณ์หลายๆครั้งที่ผ่านมา ล้วนกระทบจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ หลายส่วนยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองติดตามอย่างใกล้ชิด  จึงเป็นสิ่งที่ทุกท่านพึงตระหนักให้ดีว่า "ช้าง" มีสถานะยิ่งกว่าทรัพย์สิน แต่เขาคือสิ่งที่มีคุณค่า ที่สูงค่าอันประเมินมูลค่ามิได้ ซึ่งเป็นสมบัติของคนไทยเราทุกคน

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจพบหลังรับเงินสด 1 หมื่น อึ้ง! พบประชาชนสนับสนุน รบ. เพิ่ม 30%

(6 ต.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “รับเงินสด 10,000 บาท แล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือคนในครอบครัว ได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการได้รับเงินสด 10,000 บาท จากรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับเงิน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 86.79 ระบุว่า ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง) รองลงมา ร้อยละ 16.49 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ใช้หนี้ ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค หาหมอ) ร้อยละ 8.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า ร้อยละ 7.48 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ใช้ซื้อหวย สลากกินแบ่งรัฐบาล ร้อยละ 0.99 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร ร้อยละ 0.69 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เป็นต้น) ร้อยละ 0.31 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ใช้ซื้อทองคำ เพชร พลอย อัญมณี และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ตอบ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร รองลงมา ร้อยละ 30.31 ระบุว่า มีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 20.38 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ร้อยละ 13.13 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 7.34 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 19.08 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.25 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 36.18 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.05 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.10 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 47.79 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.21 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 13.44 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 18.47 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.08 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 24.81 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.20 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.73 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.82 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.45 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 34.05 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.28 สมรส และร้อยละ 2.67 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.61 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 41.76 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.72 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 19.08 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 1.83 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

ตัวอย่าง ร้อยละ 5.65 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.44 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 19.62 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 15.80 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 21.30 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.24 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 6.95 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 24.05 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 28.17 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 30.15 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 7.40 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 2.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 1.45 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 6.72 ไม่ระบุรายได้

เจาะความเหมือนความต่าง 3 ร่างกฎหมาย ‘ปลดล๊อกสุรา’

(6 ต.ค. 67) หนึ่งในข่าวสำคัญของสภาผู้แทนราษฎรไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่พ้นกฎหมายทลายทุนผูกขาดในกลุ่มผู้ผลิตสุรา 

ในครั้งนี้ได้มี 3 ร่างกฎหมายจาก 3 พรรคการเมืองขอเข้ามามีส่วนร่วมในการทลายทุนผูกขาด 

โดยผลการลงมติปราฏว่า 
กฎหมายสุรารวมไทย โดย พรรครวมไทยสร้างชาติ ผลการลงมติ เห็นด้วย 385 เสียง, ไม่เห็นด้วย 6 เสียง, งดออกเสียง 3 เสียง, ไม่ลงคะแนน 3 เสียง, สรุป : ที่ประชุมรับหลักการ

กฎหมายสุราชุมชน โดย พรรคเพื่อไทย ผลการลงมติ เห็นด้วย 384 เสียง, ไม่เห็นด้วย 5 เสียง, งดออกเสียง 3 เสียง, ไม่ลงคะแนน 7 เสียง, สรุป : ที่ประชุมรับหลักการ

กฎหมายสุราก้าวหน้า เสนอโดย พรรคประชาชน ผลการลงมติ เห็นด้วย 137 เสียง ไม่เห็นด้วย 237 เสียง, งดออกเสียง 3 เสียง, ไม่ลงคะแนน 3 คะแนน, สรุป : ที่ประชุมไม่รับหลักการ

The States Times จะพาทุกท่านทำความเข้าใจในสาระสำคัญของ 3 ร่างกฎหมายทลายทุนผูกขาดสุรา ภายใน 1 อินโฟกราฟฟิก

‘ปราชญ์ สามสี’ วิเคราะห์ Gen Z ชี้มั่นใจในตัวเองจนล้นเกิน ไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริง ขาดภูมิคุ้มกันรับมือกับความล้มเหลว

(6 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ปราชญ์ สามสี’ ได้ทำการวิเคราะห์ลักษณะนิสัย และแนวทางการใช้ชีวิตของ Gen Z ว่า 

Gen Z: The Lost Generation

ในยุคที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน Gen Z เติบโตขึ้นมาเป็นเจเนอเรชันที่เชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส และมีความสามารถในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาหลงทางในโลกแห่งความเป็นจริง

Gen Z มักถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง แต่บางครั้งความเชื่อมั่นนี้ก็กลายเป็นดาบสองคม พวกเขาเห็นความสามารถของตัวเองเหมือนมองในกระจก มองเห็นความเป็นตัวตนที่สะท้อนกลับมาหาตนเอง แต่ละเลยความจริงที่โลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อนและอุปสรรค เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความล้มเหลวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การขาดการเตรียมพร้อมในการเผชิญหน้ากับความล้มเหลวนี้ทำให้พวกเขาดูเหมือนไม่มีมาตรการรับมืออย่างเพียงพอ

ในบทความนี้ เราจะสำรวจลึกลงไปในพฤติกรรมและลักษณะเฉพาะของ Gen Z เพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขาเป็น "เจนที่ล้มเหลว" จริงหรือเป็นเพียงกลุ่มคนที่ยังต้องการเวลาในการปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่นี้ ที่ไม่ได้ง่ายเหมือนที่พวกเขาเคยเชื่อ

>>>ลักษณะเฉพาะของเด็ก Gen Z ที่สะท้อนแนวคิดและวิถีชีวิต

1. ปฏิเสธการวัดผลด้วยเกรด
เด็ก Gen Z ไม่ต้องการระบบการวัดผลด้วยเกรด พวกเขาเชื่อว่าการเรียนรู้ควรเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ ความรู้ และความเข้าใจมากกว่าการประเมินผลด้วยตัวเลขหรือการแบ่งแยกด้วยเกรด

แม้จะมีจุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการกดดัน แต่การปฏิเสธการวัดผลอาจทำให้ขาดเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินความสามารถ ทำให้ยากต่อการพัฒนาตนเองหรือการเตรียมตัวสำหรับการทำงานในโลกความเป็นจริง ที่ยังคงใช้การประเมินผลงานเป็นตัววัดความสามารถ

2. เรียนเฉพาะสิ่งที่ตนเองสนใจ
พวกเขามักเลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่ตรงกับความสนใจของตนเอง และหลีกเลี่ยงการเรียนในวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายในชีวิตของพวกเขา การเรียนรู้แบบนี้ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาความรู้ในด้านที่ตนถนัด

อย่างไรก็ตาม การมุ่งเรียนเฉพาะสิ่งที่สนใจอาจจำกัดความรู้รอบด้าน ทำให้ขาดทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหรือในสายงานที่ไม่ได้ตรงกับความชอบทั้งหมด นอกจากนี้ยังทำให้พวกเขาอาจขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องการความรู้ที่หลากหลาย

3. ไม่ชอบการแข่งขันและเน้นความเท่าเทียม
Gen Z ไม่ชอบการแข่งขันที่ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ พวกเขาเน้นให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น ในการแข่งขันวิ่งมาราธอน พวกเขาต้องการให้ทุกคนได้รับเหรียญรางวัลไม่ว่าจะเข้าเส้นชัยที่อันดับใดก็ตาม

การไม่ชอบการแข่งขันอาจลดทอนแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง เพราะการไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะอาจทำให้ผู้คนขาดความทะเยอทะยานและการฝึกความอดทนเมื่อเผชิญกับความล้มเหลว นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่การลดทอนคุณค่าของความสำเร็จที่แท้จริง

4. สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ
เด็ก Gen Z เชื่อมั่นในความเท่าเทียมทางเพศ และเรียกร้องให้ทุกเพศมีสิทธิ์และเสรีภาพในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตของตนเอง พวกเขาเห็นความสำคัญของการมีห้องน้ำแยกตามเพศทางเลือก เพื่อให้ทุกเพศมีความสะดวกและสบายใจในการใช้ชีวิต

แม้การสนับสนุนความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเน้นย้ำมากเกินไปในบางกรณีอาจสร้างความซับซ้อนและปัญหาในการจัดการกับความหลากหลายที่มากเกินความจำเป็นในสังคม เช่นงานเอกสารเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลประชากรเกิดความซับซ้อน

5. ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองแม้ว่ามันจะไร้สาระแค่ไหนก็ตาม
เด็ก Gen Z มองว่าทุกการกระทำมีเหตุผลเบื้องหลังเสมอ และไม่มีการกระทำใดที่ถือว่าผิดหากสามารถอธิบายเหตุผลได้ แม้ว่าเหตุผลนั้นอาจไม่ตรงกับค่านิยมหลักของสังคมก็ตาม พวกเขาเชื่อในความหลากหลายทางความคิดและให้ความสำคัญกับการเข้าใจมุมมองของผู้อื่นมากกว่าการตัดสินแบบเด็ดขาด

การที่เด็ก Gen Z เชื่อว่าทุกการกระทำมีเหตุผลที่อธิบายได้ อาจทำให้พวกเขาหลุดจากการรับผิดชอบในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่อแก้ตัวหรือหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้ขาดการเรียนรู้จากความผิดพลาดและการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

6.Gen Z มักไม่นิยมการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ โดยเชื่อถือในภูมิปัญญาหรือประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนเป็นข้อมูลตกสมัย

เนื่องด้วยเด็ก Gen Z เกิดมาในยุคที่เรามีเทคโนโลยีข้อมูลสนับสนุนต่างๆเข้าถึงง่าย และ พวกเขาจึงชื่นชอบการหาข้อมูลด้วยตัวเอง ซึ่งแสดงถึงความเป็นอิสระและความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเอง

อย่างไรก็ตามการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากผู้ใหญ่ อาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ไม่สามารถหาได้จากการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว เพราะอินเตอร์เน็ตไม่ได้มีข้อมูลที่รอบด้านเท่าประสบการณ์ของผู้ใหญ่

จากการศึกษาพฤติกรรมทั้งด้านข้อดีและข้อเสียของ Gen Z จะเห็นได้ว่ามีลักษณะเฉพาะที่ทำให้พวกเขาอาจไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนึ่งในลักษณะเฉพาะนั้นคือการมองเห็นตัวเองผ่านกระจกเสมือนว่าโลกภายนอกสะท้อนแต่ความสามารถของตนเอง พวกเขามักให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นในตัวเองและข้อมูลที่ตนเองหามาได้ มากกว่าการรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากผู้อื่น

การมองโลกผ่านมุมมองที่สะท้อนความสำเร็จของตัวเองทำให้พวกเขาอาจมองข้ามความเป็นจริงของโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความยากลำบาก เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พวกเขาอาจขาดการเตรียมตัวหรือมาตรการรองรับการล้มเหลวนั้น เพราะพวกเขาไม่เคยเรียนรู้จากคำเตือนหรือประสบการณ์ของผู้อื่นมาก่อน

ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเผชิญความจริงของโลก ความล้มเหลวอาจเป็นบทเรียนที่ยากลำบาก และหากพวกเขาไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือแผนรองรับความล้มเหลวนี้ อาจทำให้เกิดความสับสนและขาดการปรับตัวในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต

>>>สภาพการเรียนรู้ของเด็ก Gen Z และผลกระทบต่อการจ้างงานอย่างไร?
การที่พฤติกรรมของ เด็ก Gen Z ที่มักซึมซับเฉพาะสิ่งที่ตนเองสนใจและละเลยสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสนใจ ส่งผลให้พวกเขามีลักษณะการเรียนรู้ที่ขาดๆ เกินๆ ซึ่งสร้างข้อจำกัดต่อความสามารถในการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง แม้ว่าพวกเขาอาจมีความเชี่ยวชาญในบางด้านอย่างลึกซึ้ง แต่กลับขาดความรู้รอบด้าน ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ที่จำเป็นต่อการทำงานเป็นทีม

นอกจากนี้ การขาดทักษะในการสื่อสารกับกลุ่มที่มีความคิดและความสนใจต่างกัน และการขาดความอดทนต่อการเผชิญกับความท้าทาย ทำให้พวกเขาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ความเป็นจริงแล้วโลกใบนี้มันอยู่ยากกว่าที่คิด เด็ก GenZ จะเอาตัวไม่รอดท่ามกลางการแข่งขันที่สูง จะไม่สามารถทนได้กับความผิดหวัง จะจะอยู่ได้ยากในสภาพสังคมโลกที่เผชิญกับภัยพิบัติต่างๆที่ไม่สามารถคาดคะเนได้

ด้วยเหตุนี้ สภาพการเรียนรู้ที่ไม่สมดุลและขาดการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกด้านของ Gen Z จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขาไม่ได้รับการจ้างงานมากเท่าที่ควรในตลาดแรงงานปัจจุบัน ซึ่งต้องการบุคลากรที่มีความยืดหยุ่น มีทักษะการทำงานร่วมกัน และสามารถเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

>>>แล้วคน Gen Zจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z คือการมีความเป็นตัวเองสูง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ส่งผลต่อการเลือกอาชีพและการดำเนินชีวิต พวกเขาเน้นไปที่การทำสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสายงานศิลปะ การออกแบบ หรืออาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวนำ ซึ่งอาชีพที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาจึงมักจะเป็นอาชีพที่สามารถเน้นความสนใจเฉพาะตัว เช่น การเป็นผู้ประกอบการ นักออกแบบ หรือทำการตลาดออนไลน์ โดยสร้างแบรนด์ส่วนตัวที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาเอง

การที่พวกเขามีอิสระในการตัดสินใจและสร้างสิ่งใหม่ๆ ตามความสนใจของตัวเอง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านค้าหรือสร้างธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง พวกเขาก็สามารถลงมือทำได้โดยไม่ต้องรอคำแนะนำจากคนอื่น หากล้มก็ล้มด้วยตัวเอง แต่ด้วยความที่ขาดประสบการณ์และการวางแผนในระยะยาว โอกาสที่จะเสี่ยงล้มเหลวก็สูงตามไปด้วย เพราะพวกเขามักไม่ค่อยยอมรับฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่หรือผู้มีประสบการณ์มาก่อน

ดังนั้น แม้ว่าความเป็นตัวเองจะทำให้เด็กในกลุ่มนี้มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าลงมือทำ แต่การขาดประสบการณ์และการเตรียมตัวรับมือกับความล้มเหลวอาจทำให้เส้นทางการเติบโตของพวกเขามีความเสี่ยงมากขึ้น การหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นตัวเองกับการรับฟังคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงในอนาคต

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2567 : ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม: ทำไมจึงเกิดการเวียนว่าย ตาย เกิด และใครเป็นผู้บัญญัติเรื่องนี้?

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) : ก็เหมือนกับกลางวันกลางคืน เป็นธรรมชาติ ไม่มีใครบัญญัติ

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เราก็สมมุติว่ากลางวัน แล้วใครไปทําให้พระอาทิตย์ขึ้น? ก็ไม่มีคนทํา พระอาทิตย์นั้นอยู่คงที่

ซึ่งนักดาราศาสตร์ค้นพบแล้วว่า ตัวหมุนมันคือโลก แต่เนื่องด้วยเราอยู่ในโลก มันใหญ่เรามองไม่เห็นเราก็นึกว่าพระอาทิตย์มันเคลื่อนมันขึ้นมันตก

ฉะนั้น จึงไม่มีใครสร้างกลางวัน ไม่มีการใครสร้างกลางคืนฉันใด การเวียนว่ายเราเกิดก็ฉันนั้นแหละ เป็นเรื่องธรรมชาติ

เป็นสิ่งที่มีมาอยู่แล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า ตรัสว่า มีเกิดขึ้น ดํารงอยู่ สูญสลายไป แต่พระพุทธเจ้า ท่านรู้เหตุรู้ผล และนํามาสอนพวกเรา ให้รู้ว่าการเกิด มันจะนํามาซึ่งความเจ็บ นํามาซึ่งความแก่ แล้วสุดท้ายนํามาซึ่งความตาย

ดังนั้น เมื่อความเจ็บ ความแก่ ความตาย เป็นทุกข์ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ท่านเลยสอนให้เราออกจากทุกข์ นี่คือเหตุใหญ่ของอริยสัจ 4 ประการ...

‘เอกนัฏ’ ปิดช่องนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สั่งการ!! สมอ.ร่วมกรมศุลฯ คุมเข้มสินค้า ‘กลุ่ม Exempt 5’

(5 ต.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้ามาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานภายใต้นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมไทย โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดสั่ง สมอ. ร่วมกับกรมศุลกากร ปิดช่องทางการนำเข้าสินค้าที่ สมอ. ควบคุม ที่นำเข้ามาโดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจำหน่ายและไม่เกินจำนวนที่กำหนด หรือ EXEMPT 5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน 

นอกจากนี้ ได้เร่งรัดให้ สมอ. หารือกับกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและปราบปรามสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ตั้งแต่การนำเข้า ผลิต และจำหน่าย ให้ถึงมือประชาชนด้วยความปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ตนได้มอบให้หน่วยงานในสังกัดเดินหน้าปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย เพื่อรับโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลก

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สมอ. ได้ร่วมกับกรมศุลกากร ปิดช่องทาง EXEMPT 5 และเปิดเป็น 'ศูนย์เฉพาะกิจรับแจ้งการนำเข้า' ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเดิม EXEMPT 5 เป็นช่องทางที่อาจมีผู้นำเข้าอาศัยช่องว่างดังกล่าว ลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในประเทศ จึงต้องทำการปิดช่องทางนี้ และเปิดให้มายื่นขอบริการผ่านทางช่องทาง national single window (NSW) แทน ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะนำเข้าสินค้าควบคุมทั้ง 144 รายการ ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใด หรือนำเข้ามาจำนวนเพียงไม่กี่ชิ้นก็ตาม จะต้องยื่นคำขอผ่านระบบ NSW เพื่อแจ้งข้อมูลการนำเข้ากับ สมอ. ทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น สำหรับศูนย์เฉพาะกิจฯ มีผู้ประกอบการและประชาชนเข้ามารับบริการแล้วอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อศูนย์เฉพาะกิจฯ ได้ที่ชั้น 1 สมอ. หรือ โทร. 0 2430 6815 ต่อ 3001 – 3003 ในวันและเวลาราชการ

“ฝากถึงผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ลักลอบนำสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่าย ไม่ว่าจะช่องทางใด หากตรวจพบ สมอ. จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ สำหรับคำแนะนำประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าให้สังเกตที่มีเครื่องหมาย มอก. คู่กับ QR Code ที่แสดงข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง อย่าดูที่ราคาถูกเพียงอย่างเดียวอาจได้สินค้าด้อยคุณภาพ” เลขาธิการ สมอ. กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top