Saturday, 24 May 2025
Hard News Team

บิ๊กบอสเมาไม่ขับหวังพึ่งสภา เสนอขอวันนอร์แก้กฎหมาย แบ่งค่าปรับจราจรให้คนแจ้ง

เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.67) ที่รัฐสภา เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายดำรง พุฒตาล ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับ ได้มอบหมายให้นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เข้ายื่นหนังสือต่อนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา โดยมีนายกมลศักดิ์ ลีมาเมาะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทน นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นผู้รับหนังสือ ทั้งนี้เนื้อหาในหนังสือที่ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับได้ยื่นต่อประธานรัฐสภา 

มีใจความสำคัญว่าสถานการณ์ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤตจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมบนท้องถนนที่ คนไทยต้องเผชิญ โดยในแต่ละวันจะมีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ยวันละ 40 คน หรือคิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 5 แสนล้านบาท หากย้อนหลังไป 10 ปี ( 2556-2566 ) คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณ 200,000 คน เท่ากับประชากรในจังหวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งสูญหายไปหมดทั้งจังหวัด สำคัญที่สุดคนที่เสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงาน ซึ่งเป็นวัยที่เป็นกำลังสำคัญของชาติในการสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ ล่าสุดได้เกิดความสูญเสียของเด็กถึง 20 คน นับเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

ปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านที่ดีขึ้น ในลักษณะการกำกับควบคุมกันเองของคนในสังคมแตกต่างจากอดีตที่พึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นในการนำผู้กระทำผิดบนท้องถนนมาลงโทษ ขณะที่ปัจจุบันการบันทึกหลักฐานเชิงประจักษ์สามารถทำได้จากกล้องหน้ารถ กล้องจากโทรศัพท์มือถือ หรือกล้องซีซีทีวี ที่ปรากฏโดยทั่วไป ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนสามารถนำหลักฐานนั้นมาใช้ประกอบการดำเนินคดีผู้กระทำผิดบนท้องถนนได้เนื่องจากไม่จำเป็นต้องอาศัยการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้กระทำผิดเสมอไป และบันทึกภาพหลักฐานได้แม้ไม่ได้เกิดซึ่งหน้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ภาพเหตุการณ์ในโซเชียลมีเดียนำไปสู่การแสวงหาข้อเท็จจริงของคนในสังคมโดยไม่จำเป็นต้องรอกระบวนการทางกฎหมายเพียงอย่างเดียวทำให้หลายกรณีที่ผู้กระทำผิดยอมสารภาพต่อสังคม ซึ่งลดกระบวนการดำเนินการทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐได้

นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า มูลนิธิเมาไม่ขับทำงานสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายและการรณรงค์ ลดปัจจัยเสี่ยงทางถนนมา 29 ปี มูลนิธิเมาไม่ขับเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่การจัดการปัญหาความปลอดภัยบนท้องถนนต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ในการจัดการคนที่ขับขี่รถบนท้องถนนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่หนุนเสริมการจัดการปัญหานี้ มูลนิธิเมาไม่ขับเสนอผ่านประธานรัฐสภา ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ 

ขอให้แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อสามารถนำเงินส่วนแบ่งค่าปรับจราจรจากผู้กระทำผิดบนท้องถนนส่วนหนึ่งมอบให้กับประชาชนที่แจ้งเบาะแส เนื่องจากปัจจุบันรถบนท้องถนนมีกล้องหน้ารถ ผู้ใช้รถใช้ถนน มีโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายคลิปเหตุการณ์ได้ ตนเชื่อว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้มีการประกาศบังคับใช้ จะเป็นเครื่องมือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และลดพฤติกรรมของผู้ขับขี่บนท้องถนนที่ไม่เคารพกฎจราจรได้เป็นอย่างมาก เพราะจะมีสายตาคนคอยจ้องจับผู้กระทำความผิดตลอด 24 ชั่วโมง สำคัญที่สุดโอกาสลอยนวลยากขึ้น แม้อาจรอดพ้นจากการลงโทษทางกฎหมาย แต่การลงโทษทางสังคมจะรุนแรงกดดันจนเจ้าหน้าที่ต้องไปดำเนินการจับกุมตัวมาลงโทษ รวมไปถึงการถูกสังคมประณาม อาจส่งผลเสียถึงหน้าที่การงาน เนื่องจากต้นสังกัด หน่วยงาน มองว่าสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กรที่มีบุคลากรที่ไม่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยสาธารณอยู่ในองค์กร

‘อาจารย์สุวินัย’ โพสต์แสดงความอาลัย หลัง ‘โสภณ องค์การณ์’ เดินทางไกล

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความแสดงความอาลัยแด่ ‘โสภณ องค์การณ์’ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ซึ่งเสียชีวิตวานนี้ ว่า

แด่กัลยาณชน ผู้จากไป

ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง 

เหตุแห่งกรรม ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการแยกดีแยกชั่วไม่ออก

'แยกแยะดีชั่วได้' เป็นพื้นฐานที่แยกคน (สัตว์ประเสริฐ) กับเดรัจฉาน

ไม่คบคนพาลที่เป็นเดรัจฉานในร่างคน

ไม่ยอมให้คนแบบนี้เข้ามาอยู่ในโลกของตนเด็ดขาด ไม่ว่าในโลกจริง หรือโลกโซเชียล

ก้าวพ้นดีชั่วได้ด้วยจิตที่ตื่นรู้ กับจิตที่รู้ทัน 

สามารถประคองจิตที่เฝ้าดูโดยไม่เข้าไปร่วมเล่นละครชีวิต คือเส้นแบ่งที่แยก 'ปุถุชน' กับ 'กัลยาณชน' ออกจากกัน

ใครที่ฝึกเจริญสติ เจริญปัญญา เราคือกัลยาณมิตรของกันและกัน

>>>กลไกแห่งอัตตา 

ความทุกข์ที่ร้าวรานใจที่สุดของคนเรา คือการที่ตัวเองรู้สึกว่าได้สูญเสียส่วนหนึ่งของตัวตนไป หรือรู้สึกว่าบางส่วนของตัวตนของตนได้ตายไปแล้ว

พวกเราเคยสังเกตเห็นบ้างหรือไม่ว่า โลกของความรู้สึกนึกคิดส่วนใหญ่มักไม่เกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียวกับความเป็นจริงที่แวดล้อมตัวเราในขณะนั้น

ความไม่รู้หรือความหลงผิดที่ใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ คือการหลงเข้าใจผิดว่า การคิด หรือการที่กำลังคิดอยู่เป็นอย่างเดียวกับการมีสติ

แต่จริง ๆ แล้ว ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สติมิได้ตั้งอยู่ด้วย ถ้าผู้นั้นมิได้ 'เห็น' ความคิดเป็นพัก ๆ

มนุษย์ส่วนใหญ่ก็จึง 'ขาดสติ' เหมือนกัน 'ไม่รู้' เหมือนกัน และตกอยู่ในอวิชชาเหมือนกัน

เพราะแต่ละคนล้วนถูกพัดพาไปตามกระแสของการ 'รู้สึกนึกคิด' ที่ไหลจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งอย่างแทบไม่หยุดหย่อน โดยแตกต่างกันก็แค่ในเนื้อหาและลีลาของอารมณ์เท่านั้น

ในชั่วขณะที่ 'คิด' ได้พลิกมาเป็น 'สติ' เป็นพัก ๆ ด้วยการดูจิต เห็นจิต 

ชั่วขณะนั้นจะเป็นห้วงยามที่ตัวเราตระหนักรู้ได้ว่า ชีวิตไม่จริงจัง ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอย่างที่ความนึกคิดปรุงปั้นให้เราหลงเชื่อ 

ในห้วงยามแห่งสัจจะนั้นเอง คนเราสามารถได้ลิ้มรสอิสรภาพที่แท้จริงช่วงสั้น ๆ เป็นการชั่วคราว... รสชาติของอิสรภาพจากการได้เห็นอุปทานของอัตตาตัวตน

การคิดด้วยสมองอาจเป็นสมบัติที่วิเศษสุดของมนุษย์ แต่มันไม่เพียงพอที่จะทำให้คนเราเข้าถึงความรู้แจ้งได้จริง

ความคิดสารพันที่วิ่งวนในความคิดของคนเรานั้น เกือบทั้งหมดเป็นกลไกของอัตตาซึ่งก็คือ “ตัวกู ของกู” อันเป็นต้นเหตุพื้นฐานความทุกข์ใจทั้งสิ้นทั้งปวง 

อุบายของอัตตาที่จองจำคนเราให้ 'ขาดสติ' นั้นมีมากมายไม่ว่าจะในเรื่อง ลัทธิบริโภคนิยม การยึดติดกับหัวโขนของตน การเก็บกดบาดแผลทางใจในอดีตจนกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติและบุคลิกภาพที่บิดเบี้ยว การยึดมั่นในมุมมองและความเชื่อของตนและพรรคพวกตนอย่างสุดโต่ง การติดสวยติดหล่อ การติดสนุก การติดอร่อย ฯลฯ

นอกจากนี้ความไม่อิ่มไม่พอของอัตตายังทำให้มันต้องแสวงหาอะไรต่อมิอะไรมาเติมแต้มตัวมันให้เต็มที่อย่างไม่รู้จบ 

แต่เติมเท่าไรก็ไม่เคยพอเคยเต็ม มันจึงต้องดึงเอาสารพัดสิ่ง เช่น อำนาจ ทรัพย์สิน เงินทอง สิ่งของ การท่องเที่ยว บันเทิง ความรัก ภาพลักษณ์ ความโด่งดัง ความสวย ความสำเร็จ ความทรงจำ ความผูกพัน หรือแม้กระทั่งความรวดร้าว ความเจ็บปวดทรมานใจ ความรู้สึกผิดในใจ ความพ่ายแพ้ ความล้มเหลวมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวมัน เพื่อให้ตัวมันเองคงอยู่อย่างเหนียวแน่นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

กลไกการเสริมสร้างตัวเองของอัตตานั้นสามารถแบ่งได้ เป็นสองส่วน คือส่วนโครงสร้างของทุกข์ กับส่วนเนื้อหาของทุกข์ 

ความรู้สึกเจ็บปวดโกรธเกรี้ยวระทมทุกข์เชิงโครงสร้างของคนเรานั้นมักจะทัดเทียมกัน ถึงแม้สิ่งที่สูญเสียไปจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเชิงเนื้อหาก็ตาม 

ส่วนของ 'เนื้อหาของทุกข์' ที่สูญเสียจนทำให้ทรมานใจนั้นอาจเป็น ของเล่น รถยนต์ ชื่อเสียง คนรัก ตำแหน่ง ทรัพย์สิน บุคคลอันเป็นที่รัก หรืออะไรก็ได้ที่ผิดหวัง เพราะเนื้อหาของความทุกข์มันเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องราว แต่ 'โครงสร้างของทุกข์' ไม่เคยเปลี่ยนแปลง 

ความทุกข์ที่ร้าวรานใจที่สุดของคนเรา คือการที่ตัวเองรู้สึกว่าได้สูญเสียส่วนหนึ่งของตัวตนไป หรือว่าตัวเองรู้สึกว่าบางส่วนของตัวตนของตนได้ตายไปแล้ว

แต่ความจริงก็คือว่า มีบางอย่างได้สูญเสียไปแล้วจริง เพียงแต่ถ้าตอนนี้เราตั้งสติ ปล่อยวางความคิด มาอยู่กับความรู้สึกตัว ณ ปัจจุบันของลมหายใจ ของกาย ของใจเราได้ 

ไม่ช้าเราจะรู้สึกสงบ เบาสบายอย่างประหลาด และยังอิ่มเต็มในตัวของตัวเอง โดยที่สิ่งที่สูญเสียไปแล้วมันเป็นคนละส่วนไม่เกี่ยวกันเลย มันไม่เกี่ยวกับกายใจที่เราสัมผัสในความเป็นจริง ณ ปัจจุบันนี้แม้แต่นิดเดียว

การสลายตัวตนของคนเราทำได้แบบนี้ และด้วยวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น นี่เป็นกระบวนการที่เราต้องฝึกต้องทำให้ช่ำชองชั่วชีวิต

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

‘โตเกียว เมโทร’ ทำ IPO สูงที่สุดในรอบ 6 ปี ระดมทุนกอบกู้ภัยพิบัติจากสึนามิของ ‘ญี่ปุ่น’

(25 ต.ค. 67) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Tokyo Metro ได้เริ่มต้นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงจากผู้ให้บริการสาธารณะไปสู่ตั๋วร้อนสำหรับนักลงทุน โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น 45% ในวันแรกที่เปิดตัวบนส่วน Prime ของตลาดหลักทรัพย์หลักของญี่ปุ่น

ผู้ให้บริการระบบรถไฟใต้ดินที่มีอายุเก่าแก่ถึง 104 ปีของกรุงโตเกียวแห่งนี้ ตั้งเป้าที่จะใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตนในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับเมืองที่มีประชากร 14 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางสำคัญของการท่องเที่ยวขาเข้า ศูนย์กลางการเงินระดับโลก และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เฟื่องฟู

หุ้นปิดการซื้อขายวันแรกที่ 1,739 เยน สูงขึ้น 45% จากราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 1,200 เยน หลังจากเปิดที่ 1,630 เยนบนส่วน Prime ของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว
ราคาเสนอขายทำให้มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 697,200 ล้านเยน (4,600 ล้านดอลลาร์) แต่การพุ่งขึ้นในวันพุธทำให้มูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.01 ล้านล้านเยน ในช่วงหนึ่งวัน ราคาหุ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1,768 เยน

ราคาหุ้นครั้งแรก 'สูงกว่าที่คาดไว้' นายชินโง อิเดะ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านหุ้นของสถาบันวิจัยเอ็นแอลไอกล่าวหลังจากเปิดการซื้อขาย "ราคาหุ้นอ่อนตัวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ความต้องการหุ้นเมโทรเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรที่มั่นคง"

ราคาหุ้นโตเกียวเมโทรอาจร่วงลงมาเหลือประมาณ 1,500 เยนในที่สุด เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 2% นายอิเดะกล่าว อัตราผลตอบแทนที่ราคาเสนอขายครั้งแรกจะอยู่ที่ 3.3%

การซื้อขายในช่วงเช้า "เริ่มต้นได้ดี เนื่องจากเราเห็นความต้องการซื้อในระดับหนึ่ง" นายโทโมอิจิโร คูโบตะ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจากบริษัท Matsui Securities กล่าว บริษัท Tokyo Metro เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุดในกลุ่ม Prime ในวันนี้ โดยมี "นักลงทุนรายย่อยหลากหลายกลุ่ม" ที่ลงทุนทั้งในระยะยาวและระยะสั้นเข้าร่วมด้วย เขากล่าว

IPO ดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ โดยการเปิดบัญชีกับบริษัท Matsui Securities เพิ่มขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคม ในขณะที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์มากขึ้นระมัดระวังในการใช้เงินของตนในขณะที่รอผลการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่น แต่ความสนใจจากนักลงทุนรายใหม่ "เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกไม่กี่ประการ" สำหรับตลาดหุ้น คูโบตะกล่าว

ไม่มีการระดมทุนใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกมีขึ้นเพื่อให้รัฐบาลสามารถขายหุ้นที่ถืออยู่ 53% ในบริษัทผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินได้ครึ่งหนึ่ง และชำระหนี้คืนสำหรับการก่อสร้างบางส่วนของประเทศหลังจากภัยพิบัติสึนามิในปี 2011

รัฐบาลกรุงโตเกียวเป็นเจ้าของหุ้น 47% ที่เหลือ การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกได้ลดหุ้นที่รัฐบาลกลางและกรุงโตเกียวถืออยู่เหลือ 50% และหุ้นที่เหลืออีก 50% จะถูกขายออกไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกนี้ "สร้างรากฐานสำหรับการปฏิรูปองค์กรต่อไป" นายอาคิโยชิ ยามามูระ ประธานบริษัทโตเกียวเมโทรกล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังตลาดปิด "การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกนี้จะช่วยเพิ่มความเป็นอิสระและความโปร่งใสในการบริหารจัดการบริษัท และเร่งความเร็วในการตัดสินใจ"

เมื่อถูกถามว่าราคาเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกต่ำเกินไปหรือไม่ ยามามูระปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) ครั้งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่การจดทะเบียนของ SoftBank Corp. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมภายในประเทศของ SoftBank Group ในปี 2018 และเป็นโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) ของ Japan Post ในปี 2015

เดิมทีมีกำหนดเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในช่วงฤดูร้อน ตามรายงานของ Nikkei ในเดือนพฤษภาคม แต่ดูเหมือนว่าจะถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากตลาดเกิดความปั่นป่วนหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ในเดือนสิงหาคม Nikkei รายงานว่า IPO จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยวันที่จดทะเบียนในวันที่ 23 ตุลาคมได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 21 กันยายน

แต่ความผันผวนของตลาดกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ Shigeru Ishiba ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ตลาดได้รับผลกระทบจากความกลัวว่าพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของ Ishiba จะประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 ตุลาคม

Tokyo Metro ยังคงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนในฐานะผู้ประกอบการโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง

"Tokyo Metro มีฐานรายได้ที่มั่นคงซึ่งสามารถต้านทานภาวะเศรษฐกิจได้" Yusuke Maeyama นักวิเคราะห์จาก NLI Research Institute กล่าว "ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลที่มีเสถียรภาพจะน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ"

ในปีงบประมาณ 2020 บริษัทประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากภาวะฉุกเฉินที่เกิดจาก COVID และการปิดทำการทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม นับจากนั้นมา การที่พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศในญี่ปุ่นได้ดำเนินไปพร้อมๆ กับที่การท่องเที่ยวขาเข้าเติบโตจนเกินระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยปัจจุบันปริมาณผู้โดยสารโดยรวมอยู่ที่ 95% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19

โตเกียวเมโทรกำลังขยายขอบเขตการดำเนินงานไปสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกโดยใช้ทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเป็นเจ้าของตามเส้นทางรถไฟใต้ดิน บริษัทมีอัตรากำไรสูงสำหรับผู้ประกอบการรถไฟ

สำหรับปีสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025 บริษัทคาดการณ์อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 21.6% โดยมีกำไรสุทธิ 52,300 ล้านเยน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน และรายได้ 407,500 ล้านเยน เพิ่มขึ้น 4.7%

“อารมณ์ของตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรกในขณะนี้ เนื่องจากความผันผวนของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ” Maeyama กล่าว“

“แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องการรับเงินปันผลเป็นประจำ Tokyo Metro ถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ”

Tokyo Metro ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 แต่บริษัท Tokyo Underground Railway Company ซึ่งเป็นบริษัทก่อนหน้าก่อตั้งขึ้นในปี 1920 ปัจจุบัน บริษัทผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินแห่งนี้มีเส้นทางทั้งหมด 9 สาย รวมระยะทาง 195 กิโลเมตร ขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยวันละประมาณ 6.5 ล้านคน

นายกฯ นั่งประธาน ‘บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์’ ดันประเทศสู่ผู้นำอุตสาหกรรม 4.0 ของภูมิภาค

(25 ต.ค. 67)นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธาน พร้อมแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชนมาร่วมเป็นกรรมการ ได้แก่ รมว.ต่างประเทศ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รมว.พลังงาน รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการสภาพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ม.ล.ชโยทิต กฤดากร นายวุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นายศุภกร คงสมจิตต์ โดยมีเลขาธิการบีโอไอ เป็นกรรมการและเลขานุการ

บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ฯ จะทำหน้าที่กำหนดทิศทางนโยบาย และเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (Semiconductor and Advanced Electronics) พร้อมทั้งจัดทำแผนแม่บท (Roadmap) ของการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นรูปธรรมและครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านการส่งเสริมการลงทุน การกำหนดสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม การพัฒนาบุคลากรทักษะสูงทั้งในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา การพัฒนา Supply Chain และการพัฒนาระบบนิเวศที่จำเป็นต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรม นอกจากนี้ บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ฯ จะมีหน้าที่ในการพิจารณาแผนงานและโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งการบูรณาการและติดตามประเมินผลการดำเนินงานให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ถือเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ในระดับโลก ซึ่งมีการแข่งขันดึงดูดการลงทุนระหว่างประเทศที่รุนแรง เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญของหน่วยประมวลผลและผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เครื่องมือแพทย์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ รวมถึงเทคโนโลยี AI ต่าง ๆ โดยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ และจะทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต จากการแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างประเทศ

การแต่งตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ฯ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่จะทำให้ประเทศไทยมียุทธศาสตร์และแผนพัฒนาอุตสาหกรรมที่ชัดเจน ช่วยเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย นอกจากนี้ การที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ โดยเป็นประธานบอร์ดฯ ด้วยตนเอง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงของภูมิภาค อีกทั้งจะช่วยให้การประสานนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐเป็นไปอย่างมีเอกภาพ มีเป้าหมายร่วมกัน และเกิดความรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งเป็นหัวใจของการแข่งขันในเวทีโลก

D-PREP International Schoolเฉลิมฉลองหมุดหมายใหม่แห่งการเรียนรู้ผ่านการเปิด Secondary Campus สุดยิ่งใหญ่

เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.67) โรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School เฉลิมฉลองพิธีเปิด Secondary Campus สุดยิ่งใหญ่ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการส่งมอบประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งใหม่ สำหรับนักเรียนในระดับ Middle & High School (เกรด 6-12) โดยการเปิดแคมปัสแห่งใหม่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสุดล้ำสมัยในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของทางโรงเรียน สำหรับการส่งมอบหลักสูตรการศึกษาที่ครอบคลุม ร่วมกับการพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำ ภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้ที่ทันสมัย

นอกจากนี้ ทางโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School เป็นหนึ่งในสมาชิกอันทรงเกียรติของ XCL Education กลุ่มการศึกษาระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พร้อมส่งมอบการศึกษาที่มุ่งเน้นอนาคตแก่นักเรียนมาแล้วกว่า 29,000 คน และยังเป็นโรงเรียนในเครือเดียวกับโรงเรียนนานาชาติ XCL American School of Bangkok, Sukhumvit อีกเช่นเดียวกัน

โดยพิธีเปิด D-PREP Secondary Campus ในครั้งนี้ จัดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567 เวลา 9:00 น. เริ่มต้นโดยการกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ และสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิในวงการการศึกษา โดย คุณ Gilles Mahe ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มการศึกษา XCL Education และ คุณเลดี้ ดิษยะศริน ตะเวทิกุล ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School

งานในครั้งนี้ได้รับเกียรติการเข้าร่วมจากหลากหลายองค์กรชั้นนำของประเทศไทย อาทิ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการ แสนสิริ ท็อปกอล์ฟ โรงพยาบาลสมิติเวช เมกาบางนา และธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น โดยคณะผู้บริหารของโรงเรียนยังได้แบ่งปันวิสัยทัศน์สำหรับการสร้างโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School ขึ้น ตามด้วยมอบรางวัลแก่ช่างภาพผู้ชนะการประกวดถ่ายภาพ D-PREP Secondary Campus ‘Dream Capture Photo Contest’ ที่ผ่านมา พร้อมปิดงานด้วยการนำแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเข้าเยี่ยมชมพื้นที่การเรียนรู้ภายในโรงเรียน รวมถึงพิธีเปิดสุดเซอร์ไพรส์ในตอนท้าย

หลักสูตรที่ครอบคลุมและล้ำสมัยของ D-PREP International School โรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School มุ่งมั่นในการส่งมอบการศึกษาหลักสูตรอเมริกัน พร้อมผสานแนวทางการเรียนรู้ชั้นนำจากทั่วโลก ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เกิดความแตกต่าง แต่เป็นไปเพื่อให้เหมาะกับการเสริมสร้างพัฒนาการของนักเรียนในแต่ละช่วงวัยได้อย่างเหมาะสมที่สุด

• Early Years (เตรียมอนุบาล-อนุบาล): Reggio Emilia และ International Baccalaureate (IB PYP)
หลักสูตรสำหรับนักเรียนระดับ Early Years ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาการเรียนรู้แบบ Reggio Emilia ซึ่งพร้อมเปิดโอกาสให้นักเรียนในวัยเด็กได้สำรวจโลกอย่างอิสระ ผ่านการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และการรู้จักสงสัยและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
• Primary Years (เกรด 1-5): IB Primary Years Programme (PYP)

หลักสูตรสำหรับนักเรียนระดับ Primary Years จะกระตุ้นให้นักเรียนอายุระหว่าง 7-11 ปี เกิดความสงสัยและพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ผ่านการรู้จักตั้งคำถาม และการพยายามค้นพบคำตอบด้วยตนเอง เพื่อเป็นรากฐานด้านวิชาการต่อไปในอนาคต
• Middle School (เกรด 6-8): Expeditionary Learning (EL)
นักเรียนในระดับ Middle School จะได้เรียนรู้ผ่าน “การออกสำรวจ” เพื่อเปิดโอกาสในการประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้รับจากในห้องเรียน สู่ประสบการณ์ในชีวิตจริง โดยแนวทางการเรียนรู้ดังกล่าวจะช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบความชอบ ตัวตน และความโดดเด่นของตนเอง

• High School (เกรด 9-12): Advanced Placement (AP) Program
หลักสูตรสำหรับนักเรียนระดับ High School จะมุ่งเน้นในการเตรียมพร้อมนักเรียนสู่การเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ผ่านการเลือกเรียนรายวิชาต่างๆ ใน Advanced Placement (AP) Program ซึ่งยังเป็นโอกาสที่นักเรียนจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นหน่วยกิตเมื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ทางโรงเรียนยังมี 3 โปรแกรมการศึกษาให้นักเรียนได้เลือกเรียนตามความสนใจ ได้แก่ โปรแกรม STEAM (มุ่งเน้นด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ศิลปะ และคณิตศาสตร์), โปรแกรม Global Leadership and Entrepreneurship, และโปรแกรม Individualized Passion Program

สิ่งอำนวยความสะดวกสุดล้ำสมัยที่ Secondary Campus แห่งใหม่ พื้นที่การเรียนรู้จะครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสนับสนุนนักเรียนทุกคน ทั้งในด้านวิชาการและกิจกรรมภายนอกห้องเรียน
• ห้องเรียนสุดล้ำสมัย: ออกแบบขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านอุปกรณ์การเรียนรู้และการออกแบบห้องเรียนให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัย
• ห้องเรียน Design Technology: ออกแบบขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ การออกแบบ และการเรียนรู้แบบ STEAM
• ห้อง Esports และ ICT: ออกแบบขึ้นเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และตอบรับกับความสนใจของนักเรียนในด้านเกมและนวัตกรรมดิจิทัล
• สวนบนดาดฟ้า และพื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียน: พื้นที่สีเขียวทั่วบริเวณโรงเรียน ออกแบบขึ้นเพื่อปลูกฝังความรักต่อธรรมชาติ และการเรียนรู้สุดสร้างสรรค์ภายนอกห้องเรียน

• พื้นที่สำหรับการกีฬา: ครบครันด้วยพื้นที่สำหรับการกีฬา ทั้งภายในและภายนอกตัวอาคาร เพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านร่างกาย และกิจกรรมกีฬาอื่นๆ เช่น กีฬากายกรรม เป็นต้น
ส่งมอบการศึกษามากคุณภาพด้วยความมุ่งมั่น
นอกจากนี้ ที่ Secondary Campus ของโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School ไม่เพียงแต่พร้อมส่งมอบการศึกษาที่เข้มข้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างการพัฒนาตัวตน ทักษะการเป็นผู้นำ และทักษะด้านการเข้าสังคมอย่างรอบด้าน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนทุกคนตระหนักรู้ต่อการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และพร้อมสู่การเป็นประชาคมโลกที่มีคุณภาพต่อไป

เกี่ยวกับโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School:
D-PREP International School หนึ่งในสมาชิกของ XCL Education และเครือข่ายเดียวกับ American School of Bangkok มุ่งมั่นในการส่งมอบการศึกษาที่ล้ำสมัย ผ่านการประยุกต์ใช้หลากหลายแนวทางการสอน ไม่ว่าจะเป็น Reggio Emilia Approach, Project-based Learning, หลักสูตร IB PYP เข้ากับหลักสูตรอเมริกันสุดล้ำสมัย เพื่อช่วยให้นักเรียนในระดับชั้น Nursery จนถึง High School ได้ค้นพบศักยภาพและความฝัน พร้อมส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับสังคมรอบข้างและโลกของเรา นอกจากนี้ ทางโรงเรียนยังพร้อมปลูกฝังความรักในการเรียนรู้ และการเป็นพลเมืองโลก ผ่านค่านิยมหลัก CO-CREATORS อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวอาวุโส ‘โสภณ องค์การณ์’ เสียชีวิตวานนี้ รวมอายุ 75 ปี

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้เฟซบุ๊กบัญชี ‘Sopon Onkgara’ ได้โพสต์แจ้งข่าวว่า

เรียนผู้ชมและ fc ของคุณโสภณ องค์การณ์

เมื่อช่วงค่ำของวันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 24 ตค.2567 เวลา 22.29 น. คุณพ่อได้จากไปโดยสงบ 

คุณพ่อหลับสบายแล้วครับ ผมและคุณแม่ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ส่งกำลังใจมาให้คุณพ่อและครอบครัวตลอดมา

ผมจะแจ้งกำหนดการสวดพระอภิธรรมอีกครั้งเมื่อทราบรายละเอียดครบถ้วนแล้ว
ขอบพระคุณทุกท่านครับ

น้องบิ๊ก

สำหรับนายโสภณ องค์การณ์ เกิดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2492 เป็นชาวตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนบพิตรพิมุข แผนกภาษาต่างประเทศ ปี 2511 เริ่มทำงานเป็นล่ามในปี 2512 ให้นักศึกษาชาวอเมริกันทำวิจัยที่จังหวัดลำปางและเชียงรายเป็นเวลา 1 ปี เพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่สถาบันเอ็มไอที

นายโสภณเข้าสู่วงการสื่อมวลชน โดยเริ่มงานกับหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ที่มีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ในตำแหน่งพนักงานพิสูจน์อักษร ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้สื่อข่าว นักเขียน และบรรณาธิการต่อมาเป็นผู้ดำเนินรายการ Face The Nation รายการสัมภาษณ์ภาคภาษาอังกฤษ ออกอากาศทางช่อง 9 อสมท. และเป็นผู้ดูแลแผนกโทรทัศน์ของเครือเนชั่น ได้รับทุน Nieman Fellowship ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน สหรัฐอเมริกา

ที่ผ่านมานายโสภณมีงานเขียนภาษาไทย ในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก รวมถึงการจัดรายการโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนเนล ขณะออกอากาศทางเคเบิลทีวี ยูบีซี 8 และรายการวิทยุ พูดนอกสภา ทางสถานีวิทยุกรมการพลังงานทหาร วิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองอย่างตรงไปตรงมา มีแฟนคลับที่สนใจการเมืองในยุคนั้นติดตามอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ สุทธิชัย หยุ่น เทพชัย หย่อง สรยุทธ สุทัศนะจินดา กนก รัตน์วงศ์สกุล กฤษณะ ละไล ฯลฯ

ต่อมานายโสภณได้ร่วมงานกับเครือผู้จัดการ ปี 2552 เป็นผู้ดำเนินรายการผ่านสถานีโทรทัศน์เครือข่ายเอเอสทีวี เช่น รายการ News Hour สุดสัปดาห์ ทาง ASTV News 1 และรายการเคาะข่าวริมโขง ทาง ASTV 3 อีสานทีวี แต่ยังคงเขียนคอลัมน์ เล่นนอกสภา และ เกาที่คันวันเสาร์ ให้กับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก 

อย่างไรก็ตาม นายโสภณได้หยุดเขียนคอลัมน์ให้กับสื่อในเครือเนชั่นมาตั้งแต่สิ้นปี 2553 หลังอยู่กับเครือเนชั่นมานานกว่า 30 ปี สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กรณีปราสาทพระวิหาร และเริ่มเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2554 เป็นต้นมา เริ่มจากคอลัมน์หน้ากระดานเรียงห้า ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น ป้อมพระอาทิตย์ และมีคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ ชื่อว่า มองต่างแดน ส่วนนิตยสารผู้จัดการสุดสัปดาห์ มีคอลัมน์ โสภณ องค์การณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2554 พร้อมกับจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วันหลายรายการ เช่น News Hour Weekend, ชวนคิดชวนคุย, เคาะไข่ใส่ข่าว ฯลฯ และรายการวิทยุ พูดนอกสภา ทางสถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 90.5 MHz

25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานปริญญาบัตร ครั้งแรกของสยาม

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรเวชศาตรบัณฑิต (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแพทยศาสตรบัณฑิต) ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของไทยที่มีการพระราชทานปริญญาบัตร ณ ห้องประชุมตึกบัญชาการ (ตึก 1 คณะอักษรศาสตร์ปัจจุบัน) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ห้องประชุม พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร-เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานครุยกิตติมศักดิ์แก่ข้าราชการของมหาวิทยาลัย 2 ท่าน คือ

1.) บัณฑิตชั้นโท (มหาบัณฑิตในปัจจุบัน) ทางวิทยาศาสตร์แก่พระยาภะรตราชา(หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) ผู้บัญชาการ (อธิการบดีในขณะนั้น)

2.) บัณฑิตชั้นเอก (ดุษฎีบัณฑิตในปัจจุบัน) แก่ศาสตราจารย์ น.พ. A.G.Ellis คณบดีคณะแพทยศาสตร์ (ต่อมาเป็นอธิการบดีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่าง พ.ศ. 2478-2479)

จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานประกาศนียบัตร (ปริญญาบัตรในปัจจุบัน) แก่เวชบัณฑิตชั้นตรี จำนวน 29 คน ประกอบด้วยผู้สอบได้บัณฑิตชั้นตรีในปี 2471 จำนวน 18 คน และปี 2472 จำนวน 16 คน

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชโชวาทแก่บัณฑิตในครั้งนั้น ตอนหนึ่งว่า “…ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาให้ปริญญาแก่นักเรียนมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรกในวันนี้ นับว่า เป็นวันสำคัญสำหรับประวัติการของมหาวิทยาลัย และโดยเหตุนั้น นับว่าเป็นวันสำคัญสำหรับประวัติการของประเทศสยามด้วย เพราะว่าไม่ว่าประเทศใดๆ ความเจริญของประเทศนั้นย่อมวัดด้วยความเจริญของการศึกษานั้นอย่างหนึ่ง…”

อนึ่ง ในการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำหนังสือเชิญผู้แทนหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมยุทธศึกษาทหารบก, กรมยุทธศึกษาทหารเรือ, สภากาชาดสยาม, วชิรพยาบาล, มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ราชบัณฑิตยสภา, โรงเรียนกฎหมาย, ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากกระทรวงต่างๆ เอกอัครราชทูตของประเทศที่มาประจำประเทศไทย ฯลฯ มาร่วมพิธีด้วย

‘พีระพันธุ์’ เผย ต้องทำให้ถูกต้องทุกกระบวนการ พร้อมเดินหน้ารักษาความสามารถในการส่งออก

(24 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า 

สำหรับสิ่งที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะได้มีการเปิดประมูลพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน รูปแบบ Feed-in Tariff จำนวนประมาณ 3,600 เมกะวัตต์นั้น 

ทั้งตนและข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพลังงานขอยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงในการทุจริต ในโครงการประมูลโรงไฟฟ้า 

ในลำดับแรกขอกล่าวถึงโครงการดังกล่าวเสียก่อน โครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน รูปแบบ Feed-in Tariff จำนวนประมาณ 3,600 เมกะวัตต์นั้น เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน จำนวนประมาณ 5,200 เมกะวัตต์

โดยในโครงการนี้จะแบ่งการรับซื้อ หรือการประมูลออกเป็น 2 โครงการย่อย คือ โครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ และโครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 2,100 เมกะวัตต์ 

สำหรับโครงการแรกที่รับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 1,500 เมกะวัตต์นั้น ใช้การประมูลในรูปแบบปกติ ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าสามารถร่วมประมูลได้อย่างเปิดกว้าง หรือ Open Bid

แต่สำหรับโครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 2,100 เมกะวัตต์นั้น เป็นการประมูลแบบพิเศษ คือให้สิทธิ์ผู้ที่เคยประมูลในโครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน จำนวนประมาณ 5,200 เมกะวัตต์แต่ไม่ชนะการประมูล เป็นผู้มีสิทธิยื่นประมูล

ตนและกระทรวงพลังงานมีความเห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์เช่นนี้จะเกิดปัญหา และเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การเปิดประมูลในแต่ละรอบต้องแยกจากกันโดยเด็ดขาด มิใช่เอามาเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกัน

แต่อย่างไรก็ดี กกพ. ที่เป็นผู้ดำเนินการนั้นเป็นองค์กรอิสระ มีสถานะคล้ายกับ กสทช. กระทรวงพลังงานไม่มีอำนาจบังคับบัญชา กล่าวโดยง่ายคือไม่สามารถไฟสั่งได้ แต่ก็ได้ใช้อำนาจตามที่มีอยู่โดยทำหนังสือทักท้วงพร้อมกับขอให้ทบทวนโครงการไปยัง กกพ. แล้วเป็นที่เรียบร้อย 

เบื้องต้นได้รับการแจ้งว่าที่มาที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดดังกล่าว เกิดจากความผิดพลาดในการทำมติที่ประชุม และจะได้ดำเนินการแก้ไขต่อไป

นอกจากนี้เมื่อมีการทบทวนในเรื่องนี้ให้รอบคอบและถูกต้องแล้ว เรื่องดังกล่าวจะมีการรายงานไปยังคณะกรรมการนโยบายพลังงาน หรือ กบง. เพื่อนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานชาติ หรือ กพช. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานต่อไป

ทั้งนี้ตนคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลา 1 เดือน ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อย และตนขอยืนยันว่าตนไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ เนื่องจากได้มีการกำกับ ติดตาม อย่างใกล้ชิดตลอดมา 

ส่วนต่อมาตนขอชี้แจงกรณีมีการกล่าวว่าการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวแพงเกินจริงนั้น ตนขอชี้แจงว่าในการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามการผลิต ประเภทแรกคือส่วนที่ผลิตจากแสงแดดมีการรับซื้อที่ 2.16 บาทต่อหน่วย และประเภทที่ผลิตจากพลังงานลมมีการรับซื้อที่ 3.10 บาทต่อหน่วย ซึ่งทั้ง 2 ส่วนไม่ได้มีราคาสูงกว่าการรับซื้อเดิมแต่อย่างใด ดังนั้นตนจึงขอยืนยันว่าการรับซื้อไฟฟ้าในครั้งนี้ไม่ได้แพงเกินจริงแต่อย่างใด 

สำหรับคำถามที่ว่าในเมื่อจะมีการดำเนินการในส่วนของ Direct PPA แล้ว ทำไมจะต้องมีโครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนจะเป็นการซ้ำซ้อนกันหรือไม่ รวมถึงการทำไฟฟ้าให้มีที่มาจากพลังงานสะอาดด้วย

ในประเด็นนี้ตนขอนำเรียนว่า Direct PPA หรือการรับซื้อไฟฟ้าตรง กับ การรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน นั้นเป็นคนละเรื่องกันอย่างชัดเจน 

สำหรับ Direct PPA เป็นการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ประกอบการกิจการโรงไฟฟ้ากับผู้ประกอบการที่ต้องการใช้ไฟฟ้าโดยตรง 

แต่สำหรับ RE หรือการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนซึ่งในโครงการที่กล่าวไปตอนต้นที่มีกำลังการผลิต 3,600 เมกะวัตต์นั้น จะเป็นส่วนที่ส่งไฟเข้าสู่ กฟผ. ซึ่งเมื่อมีสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน หรือ RE ถึงเกณฑ์ที่กำหนดแล้วก็จะมีการจัดเก็บ UGT ที่ย่อมาจาก Utility Green Tariff หรืออัตราการเก็บค่าบริการสำหรับไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งไฟฟ้าสีเขียวจะได้มาจากพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ เป็นต้น โดยจะมีใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate หรือ REC) ควบคู่มาด้วย 

ซึ่ง Renewable Energy Certificate หรือ REC นี้ผู้ประกอบการจะใช้เป็นเอกสารประกอบเมื่อมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่มีการกำหนดกำแพงภาษีหากไม่มี REC การดำเนินการของ กกพ. จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกของประเทศ 

ถึงแม้ว่าพลังงานไฟฟ้าที่ได้มานั้น จะไม่สามารถแยกออกได้ว่าพลังงานไฟฟ้าหน่วยใดมีที่มาจากแหล่งใด ซึ่งมิใช่แค่ UGT แม้กระทั่ง Direct PPA ก็ตามก็ไม่สามารถแยกได้ เว้นแต่เอกชนจะดำเนินการเดินสายส่งไฟฟ้าด้วยตนเอง ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้เอกชนหลายรายพิจารณาใช้สายส่งไฟฟ้าของ กฟภ. และ กฟน. ทดแทน 

ประเด็นคำถามถึงแนวทางในการจัดการกับการประมูลพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนในครั้งที่มีการประมูลขนาด 5,200 เมกะวัตต์นั้น ตนขอเรียนว่า ได้มีการสอบถามและหารือไปยัง “คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)” อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดีการดำเนินการใด ๆ อาจจะส่งผลให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้น ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อสังเกตและข้อแนะนำรวมถึงหารือในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และขอยืนยันว่าท่านใดมีข้อเสนอแนะที่ชัดเจนในเรื่องนี้ตนยินดีที่จะรับฟังพร้อมเดินหน้าปฏิบัติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน 

นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีอยู่ระหว่างปรับปรุงกฎ ระเบียบ เพื่อให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เป็นการลดความยุ่งยากในการผลิตไฟฟ้าในครัวเรือนซึ่งจะสามารถช่วยลดผลกระทบของพี่น้องประชาชนจากค่าครองชีพหรือค่าไฟฟ้า

“ตนขอยืนยันว่า เบื้องหลังของตนมีแค่ผลประโยชน์ของประชาชน ไม่มีกลุ่มทุน อะไรที่สามารถแก้ไขได้ตนจะดำเนินการแก้ไข โดยไม่บ่ายเบี่ยงว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคใดในสมัยใด ขอให้ท่านมั่นใจว่าตนจะทำให้เต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง” นายพีระพันธุ์ กล่าวในตอนท้าย 

ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี สถาบันปลูกป่า และระบบนิเวศ ปตท. ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม

ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี สถาบันปลูกป่า และระบบนิเวศ ปตท. รับประกาศเกียรติคุณ 'โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme: LESS)' จาก การจัดการของเสีย 2 กิจกรรม

1. การขยายผลองค์ความรู้การใช้ชุดอุปกรณ์ย่อยสลายขยะอินทรีย์แบบใช้อากาศ (Biodegradation Bin) นวัตกรรมที่คิดค้น และพัฒนาโดยศูนย์ฯ สิรินาถราชินี
2. การคัดแยกขยะรีไซเคิล ภายในร้านอาหารชิกเก้น แอนด์ บี (Chicken and Bee) ซึ่งเป็นร้านอาหารเครือข่ายชุมชนโดยรอบ

ผลลัพธ์
➢ ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้จำนวน 6.878 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
(ช่วงการประเมินระหว่าง 1 ม.ค. 65 – 31 ก.ค. 66)

CLICK ON CLEAR
โครงการดังกล่าวจัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นการขยายผลองค์ความรู้ของศูนย์เรียนรู้ ปตท. ต่อยอดในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้จริง พร้อมร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top