Saturday, 24 May 2025
Hard News Team

ครบรอบ 5 ปี เซ็นสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เมกะโปรเจกต์เชื่อมโยงอีกหลายโครงการ ที่ถึงเวลาต้องตัดสินใจ

(25 ต.ค. 67) จังหวะเวลาช่างเหมาะเจาะเหลือเกินที่ช่วงนี้กำลังมีข่าวสารเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพราะวันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว คือ วันที่มีการลงนามในสัญญาฉบับนี้ระหว่างเอกชน กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) แบบพอดิบพอดี 

สำหรับปฏิกิริยาล่าสุดจากทางสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะที่กำกับดูแล รฟท. โดยตรงได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา(22 ต.ค. 67) ว่า

การแก้ไขสัญญา เกิดจากเอกชนและภาครัฐผิดสัญญา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของชุดไวรัสโควิด​- 19 ทำให้โครงการเกิดความล่าช้า รัฐบาลไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับเอกชนได้ ขณะที่เอกชนก็ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงเป็นต่างคนต่างผิดสัญญา จึงต้องพิจารณาใหม่

แม้จะตอบได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามยังเกิดข้อครหาตามติดมาว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนหรือไม่ 

สำหรับในประเด็นนี้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ตอบออกมาว่า ร่างสัญญาจะถูกตรวจสอบโดยสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่แล้ว ประเด็นนี้จึงไม่น่าเป็นห่วง 

สำหรับประเด็นร้อนประเด็นนี้ โดยเฉพาะเมื่อผ่านตา ‘ทีมคมนาคม’ ที่นำโดยสุริยะ ที่แม้ท่าทีจะเงียบ ๆ แต่ผลักดันแทบทุกโครงการจนสัมฤทธิ์ผล 

นอกจากนี้พ่อบ้านของกระทรวงคมนาคมอย่าง ‘ชยธรรม์ พรหมศร’ ปลัดกระทรวงคมนาคม ที่เติบโตจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ทำให้สามารถมองเห็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้อย่างเป็นภาพรวม 

และมีเสียงลือจากกระทรวงคมนาคมว่า ปลัดคนนี้นี่เองที่เคยทำงานอยู่ในทีมสมัยแรกที่ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ นั่งเจ้ากระทรวง

ด้วยสรรพกำลังภายในกระทรวงที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ข้อกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์เอกชนคงจะจางหายไปบ้าง

อย่างที่กล่าวไปในย่อหน้าแรก ว่าโครงการนี้ค้างคามาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว โอกาสของประเทศที่สูญเสียไปไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเท่าไหร่กันแน่ 

และนอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังเกี่ยวเนื่องกับอีก 2 โครงการโดยตรง!!

สำหรับโครงการแรก คือ เมืองการบินอู่ตะเภา ที่จะพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์สนามบินหลักแห่งที่ 3 ของประเทศ 

ขยายศักยภาพสนามบินหลักเดิม 2 แห่งที่ปัจจุบันรองรับเที่ยวบินจำนวนมหาศาลจนทำให้การจราจรทางอากาศติดขัดเป็นบางช่วงเวลา 

แต่ก็ต้องยอมรับว่าจุดหมายปลายทางหลักคงไม่ใช่อู่ตะเภาเท่านั้นเพราะ ‘กรุงเทพ’ เมืองฟ้ายังเป็นจุดหมายปลายทางหลัก

ดังนั้นการทำให้การเดินทางเชื่อมต่อกันโดยง่ายจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ‘รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน’ คือคำตอบเดียว 

หากไฮสปีดสามสนามบินล่าช้าออกไปอีก คงทำให้อีกโครงการล่าช้าต่อเนื่องไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

สำหรับโครงการที่ 2 จะออกนอกพื้นที่ EEC คือโครงการที่มีชื่อว่า ‘รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา’

สำหรับเหตุผลว่าเรื่องนี้ทำไมล่าช้า เพราะในช่วงทับซ้อนของโครงการดังกล่าวคือช่วงบางซื่อ-สนามบินดอนเมือง ทั้งสองโครงการจะใช้ระบบรางเดียวกัน โดยผู้ที่ดำเนินการก่อสร้างคือเจ้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน

ดังนั้น หากยังไม่สามารถปลดล็อกการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินไปได้ นอกจากการก่อสร้างบางช่วงที่ติดปัญหาของรถไฟไทย-จีน แล้ว จะมาติดล็อกของโครงการรถไฟ 3 สนามบินอีกด้วย 

และยังไม่รวมถึงโครงการหลักอย่าง EEC หรือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่เสน่ห์เย้ายวนจะหายไปเพียงใด หากการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสะดุด 

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่ผ่านมาจึงไม่แปลกใจนักหากรัฐบาลพร้อมที่จะเดินหน้าแก้ไขสัญญา เพราะในบางครั้งต้องมีการยอมกลืนเลือดไปเสียบาง เพื่อรักษาผลประโยชน์โดยรวม 

และดูเหมือนว่าครั้งนี้กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าเต็มกำลัง เพราะหลังจากกลับมารับตำแหน่งใน ครม. ชุดแพทองธาร ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก็จัดการยึดอำนาจกำกับ รฟท. มาไว้ที่ตนเอง พร้อมกับที่ชื่อ ‘วีริศ อัมระปาล’ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย 

ทั้งหมดย่อมหนีไม่พ้นการแสดงออกว่าราชรถ 1 อย่างสุริยะ ‘เอาจริง’ กับการพัฒนาระบบรางของประเทศไทยอย่างแน่นอน

เจาะ Model สามองค์กรคล้ายแชร์ลูกโซ่ ? ใช้การตลาดนำ แต่ตั้งอยู่บนความว่างเปล่า

(25 ต.ค. 67) กระแสข่าวในช่วงที่ผ่านมาคงไม่มีใครสามารถหลบความมาแรงของข่าว บอส...บอส ของ The iCon Group ได้พ้น 

เพราะอานิสงส์จากคดีนี้แทรกไปในทุกวงการไม่ว่าจะเป็น วงการบันเทิง วงการการเมือง วงการสีกากี หรือแม้กระทั่งวงการสงฆ์

หัวใจของกลเกมจาก The iCon Group ไม่ใช่เรื่องที่ลึกล้ำอะไรมากนัก เพราะธุรกิจของกลุ่มนี้ล้วนทำมาหากินบน ‘อคติ 4’ อันประกอบด้วย ‘รัก โลภ โกรธ หลง’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์

ถ้าพูดตามตำรา MBA แล้วต้องบอกว่าธุรกิจนี้สามารถจี้ไปยัง Pain Point ของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นกระตุ้นความโลภ ให้ทุกคนอยากรวยไปด้วยกัน โดยใช้เทคนิคทางการตลาดต่าง ๆ หว่านล้อม

แต่สุดท้าย พอถึงเวลาอันสมควร สิ่งที่กลวงเปล่าขององค์กรก็ปรากฏตัวขึ้น บนความเสียหายมหาศาล ที่เพิ่งเห็นข่าวสารผ่านตาว่ามีผู้เสียหายไม่น้อยกว่า 8,000 คน

ดูละครแล้วย้อนดูตัว 

การตลาดนำโดยจี้ไปที่ Pain Point ในสังคมไทย สังคมโลก ‘The iCon’ เป็นแค่หนึ่งในผู้ที่ฉกฉวยเอาเทคนิคนี้มาใช้เท่านั้น 

ในวงการการเมือง พรรคสีส้ม ๆ บางพรรคก็ได้ใช้การตลาดนำ จี้ไปที่ความต้องการของผู้คน เช่น บำนาญผู้สูงอายุ 3,000 บาทต่อเดือน, รวมถึง ‘นโยบายทุ่มเงิน’ ภายใต้ชุดที่ถูกเรียกว่า ‘รัฐสวัสดิการ’ 

เพราะจากสถานการณ์ปัจจุบัน 10,000 บาทของเพื่อไทย กว่าจะสามารถทำได้ก็ต้องออกแรงเข็นกันจนเลือดตาแทบกระเด็น 

หากใช้มุมมองแบบ Bird Eyes View กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา ประเทศพี่ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาก็คงไม่ต่างกัน 

ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาที่ชื่อว่า ‘ประชาธิปไตย’ หรือ ‘สิทธิมนุษยชน’ ที่ส่งออกไปยังหลายประเทศ โดยมีบางประเทศถึงระดับ ‘รัฐล้มเหลว’ จนสุดท้ายแหล่งทรัพยากรถูกแทรกแซงโดยบริษัทต่างชาติที่ปฏิบัติการภายใต้หน้ากากทุนนิยม ไม่ใช่พวกเดียวกับ ประชาธิปไตย 

หรือแม้กระทั่งเงินดอลลาร์ที่ตนเองใช้อำนาจและบารมีบีบคั้น จนไม่ต้องผูกกับอะไรนอกจาก ‘พันธบัตร’ ที่ออกโดยรัฐบาลสหรัฐฯ

ทำให้ทุก ๆ ปีต้องมีการออกพันธบัตรใหม่เพื่อใช้หนี้พันธบัตรเก่าอยู่ไม่รู้จบ และจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอัตราดอกเบี้ย 

ละครเรื่อง The iCon ยังไม่จบ ละครในวงการการเมืองไทย และการเมืองโลกก็ยังไม่จบเช่นกัน

โปรดติดตามโดยใจระทึกพลัน 

ซัด ‘สื่อตะวันตก’ ขยันปั้นน้ำเป็นตัวด้อยค่าชาวจีน ใส่ร้ายเป็นคนจรจัด ลืมมองสหรัฐฯที่คนนอนข้างถนนเกลื่อนเมือง

(25 ต.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความสะท้อนความจริงของ 2 ประเทศ ระหว่าง จีน และสหรัฐ อเมริกา สะท้อนการบิดเบือนข้อมูลของสื่อฝั่งตะวันตก โดยระบุว่า

สิ่งที่เป็นจริงในสหรัฐอเมริกาและเป็นเท็จในประเทศจีน

สื่อตะวันตกเช่นบีบีซี รายงานข่าวว่า “จีนมีคนจรจัดจำนวนมากนอนอยู่บนถนน” แต่นี่เป็นข่าวปลอม ที่จริงแล้ว เป็นช่วงฤดูร้อน ภาพที่เห็นนั้น เป็นนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังรอร่วมพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา พากันพักผ่อนตามบริเวณโดยรอบจัตุรัสเทียนอันเหมินของกรุงปักกิ่ง 

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากต่างเมือง ที่ไม่อยากพลาดเวลาเชิญธงขึ้นเสา ซึ่งจะทำตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้น โดยมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งโพสต์ข้อความว่า “ฉันมาถึงประมาณตี 1 แต่เกือบไม่มีที่ว่างแล้ว”

ขณะเดียวกัน ในสหรัฐ อเมริกา ซึ่งมีบรรดาคนจรจัดที่กินนอนบนถนนในเวลากลางวันเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้ยังมีผู้ติดยาที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เดินช้าๆ อยู่บนถนน เหมือนกับ 'ซอมบี้' อีกจำนวนมาก นี่คือชีวิตประจำวันที่แท้จริงบนถนนเคนซิงตัน (Kensington) ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งปรากฏภาพออกมาตั้งแต่ปี 2021

“คนจรจัดในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนมาก” เป็นเรื่องจริง

“คนจรจัดในจีนมีจำนวนมากเป็นเรื่องไม่จริง หรือเรื่องโกหกทั้งเพ”

ทนายความบอสพอล เผย เตรียมแจ้งความฉ้อโกง แม่ข่าย 2,000 คน สัปดาห์หน้าประกันตัวระดับบอส

(25 ต.ค. 67) นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาในคดีดิไอคอน ภายหลังเข้าเยี่ยม ‘บอสพอล’ ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า ได้รับออเดอร์เพิ่มเติมจากบอสพอล อีก 1 ออเดอร์ คือให้แจ้งความกับกลุ่มแม่ข่าย 2,000 คน ซึ่งทำตีเนียนเป็นผู้เสียหายในข้อหาฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากมีขบวนการแจ้งความเท็จ

สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นการแจ้งความแบบแพตเทิร์น มีการพยายามบอกว่าดิไอคอน ไปหลอกลวงให้ทางตัวแทนสั่งซื้อสินค้ากับทางดีลเลอร์ จนขายไม่ได้ แล้วแม่ข่ายสัญญาว่าจะช่วยขาย ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะบริษัทเป็นบริษัทขายส่งสินค้า เราขายให้ตัวแทน แล้วตัวแทนต้องขายต่อ หากขายไม่ได้ ก็รับความเสี่ยงกันไป แต่ปรากฏว่ามีการเข้าไปแจ้งความเพื่อบิดประเด็นให้เข้าข่ายฉ้อโกง ด้วยการเกณฑ์ผู้เสียหายจำนวนมาก เข้าไปแจ้งความดำเนินคดี

ทั้งนี้ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่การโยนความผิดให้กับแม่ข่าย แต่เป็นข้อเท็จจริง ดังนั้นภายในสัปดาห์หน้า ตนจะทำหนังสือถึงตำรวจสอบสวนกลาง ให้ดำเนินคดีกับคนที่มาแจ้งความ และอ้างว่าเป็นผู้เสียหาย แต่เป็นผู้เสียผลประโยชน์ คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 2,000 คน จากที่แจ้งความทั้งหมด 8,000 กว่าคน แต่ความจริงแล้วเท่าที่เข้าข่ายคาดว่าประมาณ 6,000 คน

“เท่าที่ตรวจสอบและจะแจ้งความแบบชัวร์ๆ เลย คือ 2,000 คน ส่วนตัวมองว่าเป็นยอดที่เยอะเช่นเดียวกัน แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพวกที่ขายของไม่ได้ แล้วมาตีเนียนเป็นผู้เสียหายด้วย ซึ่งตนจะให้ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน เหมือนที่กลุ่มบอสพอลเจอ”  ทนายความ ยังบอกว่า บอสพอล ได้ฝากตนมาบอกกับนักข่าวว่า “พอลจะไม่ปล่อยมือใคร”

เมื่อถามว่า หมายความว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังใช่หรือไม่ ทนายตอบเสียงดังฟังชัดว่า “ใช่ครับ เพราะเราไม่ได้กระทำความผิด แต่โดนดำเนินคดี ส่วนคนที่เป็นคนทำตัวจริง ไปหลอกลวงให้เขาซื้อสินค้ามา เดี๋ยวช่วยขาย , ไม่ต้องขายนะ ให้ไปหาคนเพิ่ม กลุ่มคนเหล่านี้มีเยอะ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ปล่อยมือใคร เราโดนดำเนินคดี พวกคุณก็ต้องเป็นผู้ต้องหาเหมือนกันกับเรา ตอนนี้มันต้องแฟร์กันแล้ว”

ขณะเดียวกัน ทนายความ ยังกล่าวว่า หลังจากเข้าเยี่ยมบอสพอล และได้คุยกันกับกลุ่มทนายความของ 15 บอส ยกเว้นกลุ่มบอสดาราที่ยังไม่ได้คุย ทุกคนบอกว่าจะยื่นประกันภายในสัปดาห์หน้า หากพ้นการฝากขังในผัดแรก เพราะบอสพอล อยากออกมาชี้แจงกับประชาชน และกับทุกๆ รายการ ถึงโครงสร้างของบริษัท ว่ามีรูปแบบเป็นเช่นใด ส่วนที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ยื่นประกัน เนื่องจากเกรงว่า จะถูกคัดค้านหวั่นไปยุ่งเหยิงกับพยาน หลักฐาน ส่วนจะได้ประกันหรือไม่นั้นให้เป็นดุลยพินิจของศาล

‘สน.สามเสน’ แนะเริ่มวางแผนการเดินทาง รับก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก พ.ย. นี้

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘สถานีตำรวจนครบาลสามเสน’ ได้โพสต์ประชาสัมพันธ์ให้วางแผนในการเดินทางจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันตก) จากสถานีศูนย์วัฒนธรรมไปยังสถานีบางขุนนนท์ ความว่า 

ประชาสัมพันธ์ผู้ปกครองที่ใช้ถนนมาจากบางขุนนนท์ ถึง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื่องด้วยมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม จำนวน 11 สถานี 
ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.67 ถึงปี พ.ศ.2572 (รวม 5 ปี) 

(ผ่านถนนราชินี,อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย,ถ.ราชดำเนินกลาง,ถ.หลานหลวง,ถ.เพชรบุรี,ถ.ราชปรารภ,ถ.วิภาวดีรังสิต)

ขอประชาสัมพันธ์ในการวางแผนในการเดินทางด้วยครับ

ครบรอบ 1 ปีรถไฟฟ้า 20 บาท รฟม. เผยผลสำเร็จโครงการ ผู้โดยสารสีม่วงพุ่ง 17.70% รับ อานิสงส์ครบทั้งลานจอดรถ-สายสีน้ำเงิน

(25 ต.ค. 67) เมื่อ 23 ต.ค. 67 ที่ผ่านมาครบรอบการดำเนินการตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย 1 ปีในการนี้ทางการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจึงออกมาแถลงถึงผลการดำเนินการที่ผ่านมา

โดยนายวิทยา พันธุ์มงคล รักษาการแทน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า 

หลังจากที่ รฟม. ได้ดำเนินการตามนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท ซึ่งเป็นหนึ่งนโยบาย Quick Win “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ที่สำคัญของกระทรวงคมนาคม เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน 

โดยเริ่มดำเนินการในระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ก่อนเป็นลำดับแรก ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 จากนั้นในระยะที่ 2 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 จึงเริ่มใช้อัตราค่าโดยสารร่วมสูงสุด 20 บาท สำหรับผู้เดินทางเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง และระบบรถไฟฟ้าชานเมือง สายนครวิถี (สายสีแดง) โดยใช้บัตร EMV Contactless ใบเดียวกัน และเปลี่ยนถ่ายระบบ ณ สถานีบางซ่อน ภายในระยะเวลา 30 นาที 

ทั้งนี้ ตลอดช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ได้เริ่มดำเนินการมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท พบว่า จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 17.70 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเริ่มมาตรการ โดยปัจจุบันผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 66,000 คนต่อเที่ยวต่อวัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงผลของการดำเนินงานตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ได้อย่างชัดเจน  

นายวิทยา พันธุ์มงคล กล่าวต่อว่า จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงที่เพิ่มสูงขึ้น ยังช่วยเพิ่มปริมาณผู้โดยสารให้กับรถไฟฟ้าสายอื่นได้เป็นอย่างดี โดยจากผลการเปรียบเทียบจำนวนผู้โดยสารในช่วงก่อนดำเนินการนโยบายเทียบกับปัจจุบัน พบว่า รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 11.92 หรือคิดเป็นจำนวนเฉลี่ยกว่า 420,000 คนต่อเที่ยวต่อวัน 

สถานีรถไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สถานีสุขุมวิท สถานีเพชรบุรี สถานีพระราม 9 สถานีพหลโยธิน และสถานีสีลม โดยสถานีสุขุมวิทและสถานีสีลมซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.11 และ 9.80 ตามลำดับ 

ในส่วนของรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยสถานีที่มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สถานีเตาปูน สถานีตลาดบางใหญ่ สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี สถานีบางซ่อน และสถานีคลองบางไผ่ โดยในส่วนของสถานีศูนย์ราชการนนทบุรีซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 63.36 และสถานีตลาดบางใหญ่ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า แหล่งชุมชน มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.22 ตามลำดับ

นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้บริการอาคารจอดแล้วจร MRT สายสีม่วง ก็มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนดำเนินการนโยบาย เช่น อาคารจอดแล้วจรสถานีสามแยกบางใหญ่ มีจำนวนผู้ใช้บริการในช่วงวันธรรมดาเพิ่มสูงถึงร้อยละ 29 อาคารจอดแล้วจรสถานีบางรักน้อยท่าอิฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 และอาคารจอดแล้วจรสถานีคลองบางไผ่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เป็นต้น 

สถานีคลองบางไผ่นอกจากจะมีอาคารจอดแล้วจรให้บริการแล้วนั้น ยังถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์คมนาคมขนส่งด้านตะวันตก (คลองบางไผ่) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยเปิดให้บริการจุดจอดรถรับ-ส่ง รถโดยสารประจำทางของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และบริษัท สมาร์ทบัส จำกัด เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างระบบขนส่งสาธารณะทางบกและทางรางแบบไร้รอยต่อ (Seamless Transport) 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้สะท้อนให้เห็นว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น นอกจากจะช่วยเพิ่มปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงแล้วนั้น ยังสนับสนุนให้เกิดการใช้รถไฟฟ้าในภาพรวมของทั้งโครงข่าย ลดการใช้รถส่วนบุคคลเพื่อลดปัญหาการจราจรและมลพิษทางอากาศ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบของสถานีรถไฟฟ้า 

‘สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง’ จัดประกวด ‘รถไฟในฝัน’ เปิดเวที!! ให้เยาวชนระดมไอเดียพัฒนา ‘การขนส่งทางราง’

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(24 ต.ค. 67) ห้องบอลรูม B โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ภายใต้กระทรวงคมนาคม ได้แถลงเปิดตัวโครงการ 'คิดใหญ่ไปให้สุดราง' (Think Beyond Track) ซึ่งเป็นการประกวดความคิดสร้างสรรค์ระดับเยาวชนในหัวข้อ 'รถไฟในฝัน' พร้อมเปิดวิสัยทัศน์และพันธกิจของ สทร. ในการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ

ดร.จุลเทพ เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นกิจกรรมนำร่องของ สทร. ซึ่งเป็นสถาบันหลักด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง  และมีพันธกิจสำคัญด้านหนึ่งคือ การพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ  จึงได้ริเริ่มจัดโครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราง โดยพุ่งเป้าที่กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ เชิญชวนให้นักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 16-22 ปี ในจังหวัดที่มีรถไฟสายหลักวิ่งผ่าน ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดภายใต้หัวข้อ 'รถไฟในฝัน' โดยมีรางวัลเป็นเงินทุนการศึกษารวม 420,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะของเยาวชนในการคิดสร้างสรรค์ และนำเสนอไอเดียที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในอนาคต โดยผู้สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค.- 24 พ.ย. 2567 และปิดรับผลงานวันที่ 4 ธ.ค. 2567   

หรือศึกษารายละเอียดการสมัครเข้าร่วมโครงการและส่งผลงานได้ทางเว็บไซต์ www.คิดใหญ่ไปให้สุดราง.net 

“ภารกิจหลักของ สทร. คือ การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของไทย เราคาดหวังว่าอุตสาหกรรมนี้จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถยกระดับขีดความสามารถของไทยให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมระบบรางในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมระบบราง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรีบดำเนินการ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักในกลุ่มเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังหลักของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต เราจึงริเริ่มจัดโครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์การพัฒนาระบบราง และหวังว่ากิจกรรมนำร่องครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของระบบราง และมองเห็นโอกาสด้านอาชีพในอุตสาหกรรมใหม่นี้” ดร.จุลเทพ กล่าว

นอกจากนี้ ดร.จุลเทพ ยังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของ สทร.ว่า  สทร. เป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กระทรวงคมนาคม ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ.2564 เพื่อบูรณาการความเชี่ยวชาญและทรัพยากรจากทุกภาคส่วน ในการยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ โดยมีภารกิจหลักที่สำคัญคือ การสร้างยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบราง เพื่อสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติและระดับกระทรวง โดยบูรณาการทิศทางและความร่วมมือของ 3 ภาคส่วน ประกอบด้วย ส่วนของผู้กำหนดนโยบาย ส่วนของผู้เดินรถและอุตสาหกรรม และส่วนของนักวิจัย/นักวิชาการ ให้ครอบคลุมทั้งบริบทด้านเทคโนโลยีระบบราง บริบทด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดลำดับความสำคัญอย่างชัดเจนและเป็นระบบ  พร้อมกำหนด Roadmap ตัวชี้วัด มาตรการ กลไก และผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศการสร้างอุตสาหกรรมระบบราง

ภารกิจหลักของ สทร. ยังประกอบด้วย การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การสร้างมาตรฐานระบบรางและระบบการทดสอบด้านระบบราง การร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศในการรับ แลกเปลี่ยน และถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบราง รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง และการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบรางด้วย

ที่ผ่านมา สทร. ได้สร้างความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกเพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบราง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรผ่านการฝึกอบรม และการส่งเสริมหลักสูตรด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบราง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมระบบรางซึ่งใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทยและใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ  อีกทั้งยังมีการประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยในเบื้องต้นว่า จะสามารถเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมระบบรางตามมาตรฐานระดับโลกได้หรือไม่

“ตอนนี้ผู้ประกอบการและแรงงานในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์กำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การสร้างอุตสาหกรรมระบบรางโดยอาศัยเทคโนโลยีที่เป็นของคนไทย จะสามารถช่วยแก้ปัญหาผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมได้อีกทางหนึ่ง และอุตสาหกรรมนี้จะเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” ผอ. สทร. กล่าวทิ้งท้าย

สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดงาน 'เรียนรู้ สร้างโอกาส เชื่อมโยงการศึกษากับอุตสาหกรรม'

เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.67) เวลา 08.30 – 15.30 น. ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดงาน 'เรียนรู้ สร้างโอกาส เชื่อมโยงการศึกษากับอุตสาหกรรม' เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงการศึกษาและการพัฒนาทักษะของผู้เรียนให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสร้างโอกาสการจ้างงานให้แก่ผู้เรียนในอนาคต

​โดยในงานได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ฉัตรชาญ ทองจับ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นประธานกล่าวเปิด

​พร้อมกันนี้ยังมีการเสวนาพิเศษ ในหัวข้อ 'สร้างโอกาสในการพัฒนาผู้เรียนสู่การเป็นมืออาชีพในอนาคต' มีผู้ร่วมเสวนาจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายนิธิวัชร์ ศิริปริยพงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน), รองศาสตราจารย์ ดร.สุรพันธ์ ยิ้มมั่น รองอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, นายประทีป จุฬาเลิศ รองผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก และ ดร.ปัญญาพล สุพรรณวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.เอ็ม.ซี (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี ผศ.ดร.ดวงกมล โพธิ์นาค รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและกิจการพิเศษ สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนายจักรพันธ์ ดาปาน อุปนายก และผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานโครงการและความร่วมมือ สมาคมดิจิทัลเพื่อการศึกษาไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ

และภายในงานยังมีการเปิดตัว 'ชุดฝึกอบรม TPQI E-Training เพื่อสถานประกอบการ' พร้อมแนะนำ แพลตฟอร์ม E-Workforce Ecosystem Platform (EWE) ที่เป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะในการบริหารจัดการข้อมูลด้านกำลังคนและการพัฒนาสมรรถนะเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีการพิธีมอบโล่เกียรติคุณให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนการจัดฝึกอบรมและประเมินสมรรถนะบุคคล รวมถึงการมอบประกาศนียบัตรรับรองคุณวุฒิวิชาชีพอีกด้วย​

การจัดงานครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการเชื่อมโยงการศึกษาเข้ากับภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับผู้เรียนและเตรียมความพร้อมในการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรในทุกระดับให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณภาพและมีงานทำในอนาคต

ประชาธิปัตย์นำร่อง 'เมืองคอนโมเดล' สำเร็จ สส.ปชป.นครศรีธรรมราช ขอบคุณ 'รัฐมนตรี เฉลิมชัย' แก้ปัญหาฉับไวมอบสมุดที่ดินทำกินคทช.ล็อตแรก1หมื่นราย8หมื่นไร่รอของขวัญปีใหม่ครบ 3 แสนไร่

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช เปิดเผยวันนี้ว่า ต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะที่ได้เดินทางมาแจกสมุดประจำตัวผู้ได้รับการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการที่ตนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์นครศรีธรรมราชได้หารือในสภาผู้แทนราษฎรเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อนระหว่างรัฐและประชาชน ในนครศรีธรรมราชมีทั้งหมด 380,000 ไร่ในความเป็นจริงแล้วมีที่ดินมากกว่านี้ เป็นปัญหามาอย่างยาวนานนับร้อยปีบางพื้นที่อยู่กันมาหลายชั่วอายุคนไม่ได้มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินเลย หลังจากได้มีการหารือในสภา รมว ทส.จึงได้เรียกไปพูดคุยกันหาแนวทางในการแก้ไข สุดท้าย รมว.ทส. จึงได้นำเสนอเข้าสู่โครงการ คทช.จึงได้แจกสมุดคู่มือให้กับเกษตรกรทุกท่าน ทั้ง 11 อำเภอ ทั้งหมดกว่า 10,000 ราย ที่ดินจำนวน 80,000ไร่ และเหลือพื้นที่เข้าโครงการแล้วอีก 300,000 ไร่ รมว มา รับปรกแล้วปีใหม่นี้จะมอบให้กับเกษตรกรทั้งหมด ทั้งนี้ สส.นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 6 ท่านได้เดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชนในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องภายใต้” เมืองคอนโมเดล“

”ต้องยอมรับว่า โครงการ คทช.นอกเหนือจากแจกคู่มือที่ดินทำกินแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีปัญหาเข้าไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ไม่ได้ก็สามารถเข้าไปดำเนินการได้เป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีนโยบายเรื่องนี้มองเห็นและทำงานอย่างรวดเร็วในการคิกออฟแจกคู่มือที่ดินทำกินให้กับเกษตรกรในพื้นที่และต่อไปแจกทั่วทั้งประเทศ 12 ล้านไร่โดยนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่นำร่อง

ต่อข้อถามนครศรีธรรมราชยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจอีกมากน้อยเพียงใดว่า “ผมเชื่อว่ายังคงมีพื้นที่ไม่ได้สำรวจอีกประมาณ 5-6 แสนไร่ ซึ่งในพื้นที่นั้นอาจจะอยู่ในพื้นที่สูงต้องดูว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน อุทยาน รวมถึงพื้นที่ลุ่มน้ำหรือไม่ จึงเป็นหน้าที่ของ สส.ปชป.ที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป” 'ส.ส.ชัยชนะ'กล่าว

สนง.คลองเตย ฉกโอกาสช่วงฝนตกหนัก เร่ง ประชาสัมพันธ์งานบริการประชาชน

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์ฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครเมื่อวานนี้ (24 ต.ค. 67) เป็นเหตุให้มีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ แต่อย่างไรก็ดีสำนักงานเขตคลองเตยกลับอาศัยโอกาสนี้ทำการประชาสัมพันธ์ได้อย่างน่าประทับใจ 

โดยประชาสัมพันธ์จุดที่น้ำท่วมขัง และจุดที่น้ำลดพร้อมระยะเวลา อีกทั้งยังมีการส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจอำนวยความสะดวกในจุดที่น้ำท่วมขัง ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจของทางสำนักงานเขต 

โดยในโพสต์ดังกล่าว มีประชาชนต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น มีหลายซอยให้ชมเลยค่า มีน้ำท่วมขังไม่ถึง30นาทีเลยค่า, เยี่ยมค่ะ แถวบ้านช.ม.ที่แล้วน้ำเต็มซอย ตอนนี้ลดลงแล้วเหมือน ซ.22 เลย เป็นต้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top