Thursday, 22 May 2025
Hard News Team

‘สมศักดิ์’ สั่ง ‘กรมสุขภาพจิต’ ระดมสหวิชาชีพ 5 ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต เหตุพลุยักษ์ระเบิดที่กาฬสินธ์ หลังรายงานเสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บเกือบ 10 ราย

(28 ต.ค. 67) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า จากกรณีพลุยักษ์ระเบิดในงานฉลองบุญกฐิน ที่บ้านเก่าน้อย หมู่ 3 ต.เจ้าท่า อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์
เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา จากรายงานพบมีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บเกือบ 10 ราย นอกเหนือจากการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่แล้ว การฟื้นฟูสภาพจิตใจของญาติพี่น้องที่สูญเสียคนในครอบครัว ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุพลุยักษ์ระเบิดเป็นภารกิจที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญ

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นห่วงและสั่งการ นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต ( Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team : MCATT)จังหวัดกาฬสินธ์และอำเภอกมลาไสย โดยมีการแบ่งเป็น 5 ทีมไปดูแลปฐมพยาบาลทางจิตใจ ณ จุดบัญชาการ ณ วัดบ้านเก่าน้อยโนนรัง ต.ท่าใหม่ อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เยี่ยมบ้านผู้เสียชีวิต และเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม มีผู้เข้ารับบริการรวมทั้งสิ้น 65 คน ดูแลด้านร่างกาย 16 คน ดูแลด้านจิตใจ 33 คนและวางแผนด้านจิตใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทีม mcatt 3 หน่วยของกรมจิต (ศูนย์/รพจ/ส.เด็ก) เตรียมสแตนบายสนับสนุนหากมีการร้องขอจากจังหวัดต่อไป

ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต หรือ MCATT คือทีมสหวิชาชีพที่ให้การช่วยเหลือทางด้านจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาลจิตเวช เภสัชกร นักจิตวิทยา นักสังคมสเงคราะห์ นักวิชาการสาธารณสุข ผู้รับผิดชอบงานสุขภาพจิตและผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ทีม MCATT ในส่วนของกรมสุขภาพจิต และทีมระดับจังหวัดและระดับอำเภอ ซึ่งบุคลากรดังกล่าวจะเข้ามาเป็นองค์ประกอบของทีม ร่วมกันปฐมพยาบาลทางจิตใจ ให้การปรึกษา เสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ การปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม การบำบัดรักษาเพื่อให้เกิดความสมดุลทางด้านจิตใจ สามารถปรับตัวและกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติต่อไป

'ภูมิธรรม' รอง นรม. และ รมว.กห. ตรวจเยี่ยมกองทัพเรือ 'มุ่งเน้นพัฒนากองทัพเรือ ให้มีความเจริญก้าวหน้าและทันสมัย' 

รอง นรม. และ รมว.กห. ตรวจเยี่ยมกองทัพเรือ “มุ่งเน้นพัฒนากองทัพเรือให้มีความเจริญก้าวหน้าและทันสมัย ทั้งในเชิงศักยภาพ ขนาดกองทัพ ภารกิจ และเทคโนโลยีนวัตกรรมทางทหาร มีศักยภาพความพร้อมในการพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ รักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติ ตลอดจนเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส”

พลตรี ธนาธิป สวางแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในโอกาสที่ นายภูมิธรรม  เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและรับทราบภารกิจของกองทัพเรือ โดยมี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ รวมถึงนายทหารระดับสูงและหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงของกองทัพเรือ ให้การต้อนรับ ณ กองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน

โดย รอง นรม./รมว.กห.ได้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ก่อนขึ้นแท่นรับการเคารพและตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ หลังจากนั้นรอง นรม. และ รมว.กห. เข้าร่วมประชุมฯ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุป ภารกิจ การจัด และบทบาทหน้าที่ของกองทัพเรือ 

โดย ผบ.ทร. ได้กล่าวรายงาน พร้อมเน้นย้ำการปฏิบัติภารกิจของ กองทัพเรือตามนโยบายของ กห. ทั้งในด้านความมั่นคง อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การปรับปรุงโครงสร้างกองทัพ ให้มีขนาดกะทัดรัดทันสมัย การดูแลกำลังพลชั้นผู้น้อยทุกระดับ การเน้นย้ำให้หน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ ปฏิบัติต่อทหารกองประจำการ ด้วยความเสมอภาคและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชน เพื่อเป็น กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ 

ในโอกาสนี้ รอง นรม. / รมว.กห. ได้กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งและขอบคุณกองทัพเรือ ที่ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งชี้แจงศักยภาพและความพร้อมของกองทัพเรือ ในการปฏิบัติภารกิจหลักของกองทัพ โดยเฉพาะการปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลของชาติ ซึ่งเป็นภารกิจที่มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากประเทศไทย มีพื้นที่ทะเลที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่อุดมสมบูรณ์ และเส้นทางการเดินเรือที่เชื่อมต่อการค้าระหว่างประเทศ การรักษาความปลอดภัยในน่านน้ำเหล่านี้ จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในเวทีโลก ตลอดจนสนับสนุนการปฏิบัติตามนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและ กห. 

โดยขอชื่นชม กองทัพเรือ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคง พร้อมเน้นย้ำการพิจารณาการจัดหายุทโธปกรณ์ที่มีความจำเป็นและการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแลกำลังพลชั้นผู้น้อย 

นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึง “ภัยคุกคามใหม่” ซึ่งครอบคลุมการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หน้าที่หลักของทหารในสถานการณ์ความมั่นคงรูปแบบใหม่คือการมีบทบาทในการบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ภัยธรรมชาติ (เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว) และภัยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (เช่น การก่อการร้าย การฉ้อโกงผ่านคอลเซ็นเตอร์ และยาเสพติด) ซึ่งที่ผ่านมากองทัพ ได้ปฏิบัติภารกิจเหล่านี้อย่างแข็งขัน 

ทั้งนี้ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ชื่นชมการทำงานของหน่วยซีลและนาวิกโยธิน ซึ่งได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลังในการการลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย หนองคาย นครพนม และสตูล ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เห็นถึงความเสียสละ ความมุ่งมั่น และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการช่วยเหลือประชาชน 

ภายหลังการประชุมฯคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์บรรเทาสาธารณภัยฐานทัพเรือกรุงเทพและอู่ทหารเรือธนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่จอดเรือพระที่นั่งทั้ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งเอนกชาติภุชงค์ ในการเสด็จพระราชดำเนิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ต.ค. 2567 นี้ โดย รอง นรม. / รมว.กห. ได้รับทราบความพร้อมกองทัพเรือในการเตรียมขบวนเรือพระราชพิธี การถวายความปลอดภัยทางน้ำ 

ทั้งนี้ กองทัพเรือ ได้เตรียมความพร้อมกรณีเกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยมีแผนรองรับในทุกด้าน ทั้งนี้ กำลังพลทุกนายของกองทัพเรือ พร้อมถวายความปลอดภัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์สูงสุด และจะถวายงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้การจัดขบวนพยุหยาตรา ทางชลมารค เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สง่างาม และสมพระเกียรติ 

เปิดปฏิบัติการ!! คุ้ยบ่อขยะ หาแหวนเพชร ระดมกำลัง 30 ชม. ลุยพื้นที่กว่า 70 ไร่

(27 ต.ค. 67) กลายเป็นเรื่องราวร้อนแรงบนโลกโซเชียล หลังมีผู้ใช้ TikTok @apitchayaningApitchaya Ning โพสต์คลิปวิดีโอ ความยาว 17 วินาที และ 14 วินาที โดยเป็นคลิป อุทาหรณ์ถอดแหวนล้างมือ กับ 30 ชั่วโมงที่บ่อขยะเทศบาลนครพนม โดยในคลิปเป็นภาพเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน กำลังคุ้ยขยะเพื่อหาแหวนเพชรวงใหญ่ ที่เจ้าของแหวนทำหล่นไว้ ก่อนที่จะติดไปกับขยะ จนต้องจ้างเจ้าหน้าที่และชาวบ้านตามหา

โดยในคอมเมนต์ระบุค่าจ้าง 20,000 บาท ค่าแหวนเพชร 20 เท่าของค่าจ้าง ก่อนที่จะมีผู้มาเมนต์ว่า แหวนเพชรราคา 4 แสนบาท อีกคลิปความยาว 14 วินาที เป็นคลิปที่เจ้าของแหวนเพชร โชว์แหวนเพชรวงใหญ่หลายกะรัต ออร่าวิบวับ ที่หาเจอในบ่อขยะ

โดยคลิปวิดีโอดังกล่าวมียอดเข้าชมเกือบ 2.6 ล้าน ครั้ง มีข้อความระบุว่า ‘อุทาหรณ์ถอดแหวนล้างมือ กับ 30 ชั่วโมงที่บ่อขยะ’

พร้อมภาพชาวบ้านกำลังคุ้ยหาแหวนเพชรวงใหญ่ ท่ามกลางกองขยะจำนวนมากในบ่อขยะเทศบาลนครพนม ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 70 ไร่

ภายหลังคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ชาวเน็ตส่วนใหญ่ต่างพากันแสดงความคิดเห็น อาทิ สวยมาก สมกับที่หา30ชั่วโมง, บอกได้ไหมคะว่าเท่าไหร่ สงสัยจะแพงมากๆ, คอมเมนต์บอกว่า 20เท่าของค่าจ้าง, ความสุดยอดคือ หาเจอได้ยังไง, จริงค่ะสุดยอดมาก แต่ถ้าตรวจตามรถขยะที่มาทิ้งก็คงค้นเฉพาะบริเวณนั้น อีกอย่างเพชรแท้จะส่องแสงวิบๆวับๆเข้าตาค่ะ

นอกจากนี้ ยังมีคอมเมนต์ ที่ถามว่า ‘อยากรู้วิธีหา ว่าจุดไหนคือจุดที่ควรหาครับ’ ก่อนที่จะมีคนเข้ามาตอบว่า ‘ต้องรู้ว่ารถขยะที่มาเก็บที่บ้านเราเค้านำขยะไปรวมไว้ที่ไหนก่อนค่ะ แต่ละเขตจะมีจุดรวมขยะ แล้วก็จะขนไปจุดกำจัด ที่บ่อขยะอีกที’

ก่อนที่จะมีผู้แสดงความเห็นว่า ‘อยากทราบว่าเราจะบอก คนที่จ้างไปหายังไงไม่ให้เอาแหวนที่หาเจอ’ หลังจากนั้นผู้ใช้ TikTok เจ้าของแหวน เข้ามาตอบระบุว่า ‘บอกว่าเป็นแหวนเลยค่ะ จะได้ละเอียดในการหา’

เยาวชนไทย ได้เหรียญทอง!! นักตะกร้อ ‘ม.กรุงเทพธนบุรี’ สุดเจ๋ง!! คว้า!! ‘แชมป์ - รองแชมป์’ ที่เมืองจีน

(27 ต.ค. 67) รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตามที่ คณะนักกีฬาเซปักตะกร้อของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.) รวม 14 คน ได้รับโอกาสในการเป็นตัวแทนทีมตะกร้อทีมชาติไทย เดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันซปักตะกร้อ รายการ ‘The  2024 China Sepaktakraw Open of Lancang-Mekong Cooperation’ ที่นครหนานหนิง ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค.67 นั้น

ปรากฏว่า การแข่งขันรายการนี้ ทีมนักตะกร้อของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยประเภททีมชาย ทีมตะกร้อชายไทย คว้ารางวัลชนะเลิศ ได้เหรียญทองมาครอง พร้อมกับรับเงินรางวัล 8,000 หยวน หรือประมาณ 40,000 บาท ขณะที่ ประเภททีมหญิง ทีมตะกร้อสาวไทย คว้ารางวัลรองชนะเลิศ ได้เหรียญเงินมาครอง พร้อมรับเงินรางวัล 6,000 หยวน หรือประมาณ 30,000 บาท

รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแขังขันกีฬาเซปักตะกร้อรายการดังกล่าว จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างศูนย์พัฒนากีฬาลูกบอลกว่างซี และกีฬากว่างซี ของประเทศจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการกีฬาและการพัฒนาสมรรถภาพของนักกีฬา อีกทั้งมุ่งส่งเสริมการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงกับประชาชนของจีน

กิจกรรมที่สำคัญในการแข่งขันกีฬาเซปักตะกร้อรายการดังกล่าว ประกอบด้วย การอบรมผู้ฝึกสอน, กิจกรรมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการพัฒนากีฬาเซปักตะกร้อ และการแข่งขันกีฬาเซปักตะกร้อ

นอกจากนี้การเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเซปักตะกร้อ และร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องดังกล่าว จะเป็นโอกาสอันดีในการสะท้อนบทบาทที่สร้างสรรค์ของประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนในการพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬาและสุขภาพ ตลอดจนจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือด้านการกีฬาระหว่างสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย, การกีฬาแห่งประเทศไทย  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีนและประเทศลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย

สินค้าเกษตร ‘เมดอินไทยแลนด์’ ขึ้นแท่นที่ 1 ในอาเซียน ติดอันดับ 8 ของโลก ยอด 8 เดือน ส่งออกพุ่ง 4.3 แสนล้านบาท นายกฯ เล็งดันติด Top 5 โลกในปีหน้า

(27 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลก ช่วง 8 เดือน (มกราคม-สิงหาคม 2567) นั้น พบว่าประเทศไทยสามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลก มีมูลค่ามากถึง 19,826 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นการส่งออกไปกลุ่มประเทศคู่ค้าที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วย มูลค่า 13,774 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.3 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 69% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด

ซึ่งประเทศไทยสามารถครองแชมป์เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับที่ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 8 ของโลก โดยตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน สัดส่วนกว่า 31% ของการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยทั้งหมด อาเซียน สัดส่วน 15% ญี่ปุ่น สัดส่วน 11% และเกาหลีใต้ สัดส่วน 3% ตลาดที่เติบโตได้ดี ได้แก่ อาเซียน ขยายตัว 39% อินเดีย ขยายตัว 34% ออสเตรเลีย ขยายตัว 23% สิงคโปร์ ขยายตัว 10% เกาหลีใต้ ขยายตัว 9% และญี่ปุ่น ขยายตัว 7% ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเจออุปสรรคการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ และความท้าทายจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน แต่แนวโน้มการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังมีทิศทางที่ดี และขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

นายจิรายุ ยังกล่าวต่ออีกว่า จากรายงานถึงสถิติการส่งออกรายเดือน พบว่าความต้องการสินค้าเกษตรไทยเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 1,651 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 9% จากเดือนก่อนหน้า และภาพรวมของไทยกับคู่ค้าในตลาด FTA เติบโตเพิ่มขึ้น อาทิ จีน และญี่ปุ่น ขยายตัว 11%  อินเดีย ขยายตัว 24%  นิวซีแลนด์ ขยายตัว 34%  อาเซียน ขยายตัว 4% ฮ่องกง ขยายตัว 2%  ชิลี ขยายตัว 42.8%  อีกทั้ง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ 5 อันดับต้นของไทย ขยายตัวเป็นที่น่าพอใจทุกรายการ โดยสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกเป็นอันดับที่หนึ่ง คือ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง มูลค่า 604 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 21% ข้าว มูลค่า 562 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 41% ยางพารา มูลค่า 497 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 9% ไก่ มูลค่า 392 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 6%  ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง มูลค่า 260 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 2%  

“แม้ว่าแนวโน้มสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรไทยในอนาคตมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น ถือเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตรได้ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งลดอุปสรรคและเงื่อนไขต่างๆในข้อติดขัดเพื่อสนับสนุนให้ผู้ส่งออกของไทย ทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นซึ่งจะมีโอกาสส่งผลให้ไทยติดอันดับหนึ่งใน 5 ของโลกได้ในปีหน้า โดยใช้ประโยชน์จากการดำเนินการของรัฐบาลที่เปิดโอกาส ในการสร้างข้อตกลง FTA อย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันไทยได้เจรจาจัดทำ FTA สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยทั้งสิ้น 14 ฉบับกับคู่ค้า 18 ประเทศคู่ค้า อีกทั้ง มีการลดและยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกส่วนใหญ่แล้ว อาทิ  ยางพารา 16 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว ยกเว้นจีนและอินเดีย  ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 15 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทย ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย  ไก่แปรรูป 14 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าไก่แปรรูปจากไทย ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ชิลี และเปรู ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง 12 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าแล้ว ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวระบุทิ้งท้าย

เผยตัวเลข!! ชาวต่างชาติเยือนไทย ม.ค. - ก.ย. 2567

(27 ต.ค. 67)  เผยตัวเลข ! ชาวต่างชาติเยือนไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2567 สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง 

จำนวนผู้โดยสารต่างชาติขาเข้ารวมด่านรายเดือน ประมาณ 31.3 ล้านคน
นักท่องเที่ยวชาวจีน  เดินทางเยือนประเทศไทยมากที่สุด อยู่ที่ 5.6 ล้านคน 
ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีนักท่องเที่ยวผ่านเข้ามามากที่สุด อยู่ที่ 13.9 ล้านคน
จังหวัดที่มีผู้มาเยี่ยมเยือนมากที่สุด โดยรวมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติก็คือ กรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 38 ล้านคน

‘เทศกาลดิวาลี 2567’ จัดเต็มแสง สี เสียง!! สไตล์บอลลีวูด ตลอดทั้งวัน ลิ้มรสอาหาร!! ‘ภัตตาคารอินเดีย’ สักการะ ‘พระพิฆเนศ-พระแม่ลักษมี’

(27 ต.ค. 67) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ อดีตผู้สมัครเขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ เชิญชวนเที่ยวงานเทศกาล ดิวาลี เทศกาลแห่งแสงสว่าง 2567  วันที่ 28 ตุลาคม 2567 ถึง 3 พฤศจิกายน 2567 ณ คลองโอ่งอ่าง พาหุรัด Little india ของไทย โดยคลองโอ่งอ่างได้รับการปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม ตั้งแต่สมัย พล.อ ประยุทธ จันทรโอชา อดีตนายกรัฐมนตรี พี่น้องชาวไทยเชื้อสายอินเดีย ได้นำพื้นที่มาจัดกิจกรรม เทศกาลแห่งแสงสว่างซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของชาวอินเดีย โดยมีการเฉลิมฉลองจุดไฟประดับบ้านเรือน พี่น้องชาวไทยเชื้อสายอินเดียจึงจัดกิจกรรมดังกล่าวที่ประเทศไทย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และอินเดียมาท่องเที่ยว

ภายในงานดังกล่าวมีอาหาร การแสดง กิจกรรมต่างๆ รวมถึงร่วมกันสวมชุดอินเดียให้เข้ากับเทศกาล นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมถ่ายภาพร่วมสนุก เพื่อให้พาหุรัด-คลองโอ่งอ่างเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งของไทย

‘ซุปเปอร์เล็ก - เทรนเนอร์ฟ้าใส’ เข้าอุปสมบทที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ อาจารย์สุดใจ ปุ่มประโคน หัวหน้าค่ายเกียรติหมู่ 9 ร่วมถ่ายรูปยินดี

(27 ต.ค. 67) ซุปเปอร์เล็ก และ เทรนเนอร์ฟ้าใส เข้าพิธีอุปสมบทที่บ้านเกิด อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ โดยมีอาจารย์สุดใจ ปุ่มประโคน หัวหน้าค่ายเกียรติหมู่9 ร่วมถ่ายรูปกับพระใหม่ 

ซุปเปอร์เล็ก ได้ฉายา ตึกฺขญาโณ 
แปลว่า ผู้มีญาณอันกล้า

เทรนเนอร์ฟ้าใส ได้ฉายา พลวฑฺฒโน
แปลว่า ผู้เจริญด้วยกำลัง

THE STATES TIMES ขอร่วมอนุโมทนาด้วย

ซีอีโอ JPMorgan แนะคนรุ่นใหม่ เลิกเล่น Facebook - TikTok ซะ!! เพราะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์สุดๆ ควรอ่านหนังสือแทน โดยเฉพาะแนวประวัติศาสตร์

(27 ต.ค. 67) Jamie Dimon ซีอีโอ JPMorgan กล่าวว่า คนหนุ่มสาวควรใช้เวลาน้อยลงกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และใช้เวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น ในการกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมคุณภาพตลาดการเงินประจำปีของ Georgetown Psaros Center for Financial Markets and Policy เมื่อมีคนถามว่าเขามีคำแนะนำอะไรให้กับนักศึกษาที่นั่นบ้าง

 “สำหรับพวกคุณส่วนใหญ่ ปิด TikTok หรือ Facebook ซะ เพราะมันเป็นการเสียเวลาที่โง่เขลาอย่างยิ่ง” Dimon กล่าว

Dimon ยังแนะนำอีกว่าการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย อ่านแบบรวดเดียว น่าจะเป็นการใช้เวลาที่ดีกว่ามาก

“คำแนะนำของผมสำหรับนักเรียนคือ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ หากคุณเป็นเดโมแครต ให้อ่านความเห็นของรีพับลิกัน ซึ่งเป็นความเห็นที่ดี หากคุณเป็นรีพับลิกัน ให้อ่านความเห็นของเดโมแครต” Dimonกล่าว

“จงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น Nelson Mandela, Abe Lincoln, Sam Walton คุณเรียนรู้ได้จากการอ่านและพูดคุยกับผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่น” เขากล่าวเสริม

Dimon เรียกได้ว่าแตกต่างจากผู้บริหารธุรกิจส่วนใหญ่ เขาค่อนข้างที่จะ ‘โลว์โปรไฟล์’ บนโซเชียลมีเดีย โดยนอกจาก LinkedIn แล้ว Dimon ไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, X หรือ TikTok แม้ว่าเขาจะยอมรับในปี 2021 ว่ามีบัญชี Instagram ภายใต้ชื่อผู้ใช้ปลอมก็ตาม

Dimon ยังวิพากษ์วิจารณ์โซเชียลมีเดียในปีนี้ในจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น โดยระบุว่าแพลตฟอร์มต่างๆ จำเป็นต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อแก้ไขปัญหาที่พวกเขาสร้างขึ้น

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบเชิงลบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนการเลือกตั้ง ไปจนถึงผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตของเด็กๆ ที่ได้รับการบันทึกว่าเพิ่มมากขึ้น” Dimon ระบุ 

“นี่คือปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งในระดับบุคคลและส่วนรวมของเรา” เขากล่าวเสริม

“และถึงเวลาแล้วที่บริษัทโซเชียลมีเดียจะต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว”

แปลและเรียบเรียงจาก Jamie Dimon Says TikTok and Facebook Are a 'Total Stupid Waste of Time' and People Should Read Books Instead

‘เอเวอรี่ แจ็คสัน’ ขึ้นปกนิตยสารดังระดับโลก ‘แนชันแนล จีโอกราฟิก’ ล่าสุดประกาศ!! ตนเองไม่ใช่ทรานส์ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นมากกว่าหนึ่งเพศ

(27 ต.ค. 67) ‘Sompop Pordi’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘เอเวอรี่ แจ็คสัน’ เด็กที่ตกเป็นเหยื่อ ของลัทธิ Woke โดยได้ระบุว่า …

Woke อำมหิต

เด็ก 9 ขวบที่อยู่บนปกนิตยสาร แนชันแนล จีโอกราฟิก ฉบับเดือนมกราคม 2017 หรือ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ชื่อ เอเวอรี่ แจ็คสัน
ก่อนถ่ายภาพขึ้นปกหนังสือ เอฟเวอรี่เป็นเด็กผู้ชาย ที่ชอบสีชมพู ชอบเล่นตุ๊กตา ชอบแอบเอาเครื่องสำอางค์ของแม่มาเล่น 

แม่ของเอเวอรี่ ชื่อ เดบี้ เป็นนักรณรงค์สนับสนุน LGQLEDTV เลยพาเอเวอรี่ไปหาหมอที่ทำงานร่วมกันและเป็นผู้ชำนาญเรื่อง การยืนยันเพศสภาพ หรือ gender affirming care 
และหมอที่ว่าก็บอกเอเวอรี่และแม่ว่า อันที่จริงแล้ว เอเวอรี่ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิง

ดังนั้น ก่อนถ่ายภาพขึ้นปกนิตยสาร เอเวอรี่จึงได้เข้ากระบวนการเปลี่ยนเพศด้วยการรับ ฮอร์โมนและสารเคมีเพื่อยับยั้งการพัฒนาของร่างกายตามธรรมชาติ หรือ puberty blocker โดยความยินยอมและดีใจของแม่

หลังจากได้ขึ้นปกนิตยสาร เอเวอรี่และแม่ก็โด่งดังมีชื่อเสียงในฐานะตัวแทนของคนข้ามเพศหรือ trans ได้รับเชิญให้ไปพูดในโรงเรียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กคนอื่นๆที่สงสัยในเพศของตน และตามชุมชนคนข้ามเพศเพื่อร่วมกันเรียกร้องสิทธิของคนข้ามเพศให้เท่าเทียมกับคนทั่วไป
เอเวอรี่กลายเป็น โปสเตอร์ไชลด์ (นางแบบเด็กผู้โด่งดัง) ของ LGQLEDTV ส่วนเดบี้ได้รับการยกย่อง ชื่อเสียงและเงินทองจากกลุ่มคนข้ามเพศอย่างมาก

ปีนี้ 2024 เอเวอรี่ ไม่ได้รู้สึกอยากเป็นผู้หญิงอีกต่อไป ไม่ได้ชอบสีชมพู ไม่ชอบเล่นตุ๊กตา ไม่ชอบใช้เครื่องสำอาง
แล้วเอเวอรี่ก็ประกาศว่าตนเองไม่ใช่ทรานส์ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็น นอน-ไบนารี่ หรือ เป็นมากกว่าหนึ่งเพศ 

เอเวอรี่เลิกใช้สรรพนาม she/her แล้วเปลี่ยนไปใช้ they/them แทน 

แต่ไม่ว่าเอเวอรี่จะอยากเป็นอะไร ต้องการเป็นอะไรก็ตาม เอเวอรี่ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นผู้ชายจริงๆตามธรรมชาติ เพราะ puberty blocker ทำลายพัฒนาการของร่างกาย จนเป็นหมัน กุ๊กกู๋ไม่พัฒนาตามวัย ไม่มีสมรรถภาพทางเพศ ไม่มีสเปิร์ม หรือจะผู้หญิงอย่างที่เคยอยากเป็นก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครเนรมิตให้ได้

เอเวอรี่จะเป็นได้แค่คนที่สับสนทางเพศ จนกว่าจะตายไป 

เอเวอรี่เป็นแค่ หนึ่งในเด็กที่ไร้เดียงสาหลายพันรายที่เป็นเหยื่อของลัทธิอำมหิต ลัทธิ Woke เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จนยินยอมให้ตนเองถูกทำหมัน ถูกตอน เพื่อไม่ให้สามารถเติบโตมีชีวิตปกติ มีลูกมีหลานสืบต่อไป เพราะ Woke เกลียดมนุษย์ Woke เชื่อว่าประชากรมนุษย์ที่มากเกินไปจะทำลายโลก
เมื่อเด็กเหล่านี้ เติบโตขึ้น พวกเขาเปลี่ยนกลับไปตามธรรมชาติของตน แต่สายเกินไปแล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เสียหายแตกหักอย่างถาวรแล้ว
นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ

เป็นเรื่องจริงที่อำมหิต และน่าเศร้ามาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top