Wednesday, 21 May 2025
Hard News Team

‘ความปลอดภัยหรือการเมือง’ เมื่อรัฐในอินเดีย เล็ง ออกกฎหมายลงโทษ ‘การทำอาหารสกปรก’

(28 ต.ค. 67) ในเดือนนี้ สองรัฐภายใต้การปกครองของพรรคภารติยะชนตา (BJP) ของอินเดีย ประกาศแผนที่จะปรับและจำคุกอย่างหนักสำหรับการปนเปื้อนอาหารด้วยน้ำลาย ปัสสาวะ และสิ่งสกปรก

รัฐอุตตราขันต์ทางตอนเหนือจะปรับผู้กระทำผิดสูงสุด 100,000 รูปี (1,190 ดอลลาร์; 920 ปอนด์) ในขณะที่รัฐอุตตรประเทศซึ่งเป็นรัฐใกล้เคียงเตรียมที่จะออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อแก้ไขปัญหานี้

คำสั่งของรัฐบาลตามมาหลังจากการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ไม่ผ่านการตรวจสอบบนโซเชียลมีเดียซึ่งแสดงให้เห็นพ่อค้าแม่ค้าถ่มน้ำลายลงบนอาหารที่แผงขายของและร้านอาหารในท้องถิ่น และมีคลิปวิดีโอหนึ่งที่แสดงให้เห็นแม่บ้านกำลังผสมปัสสาวะลงในอาหารที่เธอกำลังปรุง

แม้ว่าคลิปวิดีโอดังกล่าวจะจุดชนวนความโกรธแค้นในหมู่ผู้ใช้ โดยหลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารในรัฐเหล่านี้ แต่คลิปวิดีโอบางส่วนยังกลายเป็นประเด็นในการกล่าวโทษชาวมุสลิม ซึ่งต่อมาเว็บไซต์ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้

เจ้าหน้าที่ระบุว่ามีหลายคนในโซเชียลมีเดียกล่าวหาว่าผู้หญิงที่ใส่ปัสสาวะลงในอาหารเป็นชาวมุสลิม แต่ต่อมาตำรวจระบุว่าเธอเป็นชาวฮินดู

เจ้าหน้าที่กล่าวว่ากฎหมายที่เข้มงวดเป็นสิ่งจำเป็นและมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขอนามัยเกี่ยวกับอาหาร แต่ผู้นำฝ่ายค้านและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของกฎหมายเหล่านี้และกล่าวหาว่ากฎหมายเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อใส่ร้ายชุมชนใดชุมชนหนึ่ง

หนังสือพิมพ์ Indian Express วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่เสนอโดยรัฐอุตตรประเทศโดยกล่าวว่ากฎหมายเหล่านี้ "ทำหน้าที่เป็นนกหวีดเรียกความสนใจของชุมชน [นิกาย] ที่ใช้ประโยชน์จากแนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์และมลพิษของคนส่วนใหญ่ และมุ่งเป้าไปที่กลุ่มชนกลุ่มน้อยที่ขาดความมั่นคงอยู่แล้ว"

อาหารและนิสัยการกินเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนในอินเดียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับศาสนาและระบบวรรณะตามลำดับชั้นของประเทศ บรรทัดฐานและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารบางครั้งนำไปสู่การปะทะกันระหว่างชุมชน ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจ ดังนั้น แนวคิดเรื่อง 'ความปลอดภัยของอาหาร' จึงได้เข้ามาเกี่ยวพันกับศาสนาด้วย ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อระบุแรงจูงใจจากเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าปนเปื้อน

ความปลอดภัยของอาหารยังเป็นข้อกังวลสำคัญในอินเดีย โดยสำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหาร (FSSAI) ประมาณการว่าอาหารที่ไม่ปลอดภัยทำให้เกิดการติดเชื้อประมาณ 600 ล้านรายและเสียชีวิต 400,000 รายต่อปี

ผู้เชี่ยวชาญระบุสาเหตุต่างๆ ของความปลอดภัยด้านอาหารที่ย่ำแย่ในอินเดีย รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยด้านอาหารที่ไม่เพียงพอและการขาดการตระหนักรู้ ห้องครัวที่คับแคบ อุปกรณ์ที่สกปรก น้ำที่ปนเปื้อน และการขนส่งและจัดเก็บที่ไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้ความปลอดภัยของอาหารลดลงไปอีก

ดังนั้น เมื่อมีการเผยแพร่วิดีโอของพ่อค้าแม่ค้าที่ถุยน้ำลายลงในอาหาร ผู้คนก็ตกใจและโกรธแค้น ไม่นานหลังจากนั้น รัฐอุตตราขันต์ก็ประกาศปรับผู้กระทำผิดจำนวนมาก และกำหนดให้ตำรวจต้องตรวจสอบพนักงานโรงแรมและติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องครัว

ในรัฐอุตตรประเทศ หัวหน้ารัฐมนตรี Yogi Adityanath กล่าวว่าเพื่อหยุดเหตุการณ์ดังกล่าว ตำรวจควรตรวจสอบพนักงานทุกคน รัฐยังวางแผนที่จะบังคับให้ศูนย์อาหารแสดงชื่อเจ้าของ ให้พ่อครัวและพนักงานเสิร์ฟสวมหน้ากากและถุงมือ และติดตั้งกล้องวงจรปิดในโรงแรมและร้านอาหาร ตามรายงาน Adityanath กำลังวางแผนที่จะออกกฎหมายสองฉบับที่ลงโทษการถ่มน้ำลายลงในอาหาร โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี

ในเดือนกรกฎาคม ศาลฎีกาของอินเดียได้ระงับคำสั่งที่ออกโดยรัฐบาลอุตตราขันต์และอุตตรประเทศที่ขอให้ผู้ที่เปิดแผงขายอาหารตามเส้นทาง Kanwar yatra ซึ่งเป็นการแสวงบุญของชาวฮินดูประจำปี แสดงชื่อและรายละเอียดประจำตัวอื่นๆ ของเจ้าของอย่างชัดเจน ผู้ร้องเรียนบอกกับศาลสูงสุดว่าคำสั่งดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิมอย่างไม่เป็นธรรมและจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจของพวกเขา

เมื่อวันพุธ ตำรวจในเมืองบารากังกิของรัฐได้จับกุมเจ้าของร้านอาหาร Mohammad Irshad ในข้อกล่าวหาถ่มน้ำลายลงบนโรตี (แผ่นแป้งแบน) ขณะเตรียมอาหาร นาย Irshad ถูกตั้งข้อหาก่อกวนความสงบและความสามัคคีทางศาสนา หนังสือพิมพ์ Hindustan Times รายงาน

เมื่อต้นเดือนนี้ ตำรวจในเมืองมัสซูรี รัฐอุตตราขันต์ ได้จับกุมชายสองคน คือ Naushad Ali และ Hasan Ali ในข้อกล่าวหาถ่มน้ำลายลงในหม้อขณะชงชา และกล่าวหาว่าพวกเขาก่อให้เกิดความโกรธแค้นในสังคมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หนังสือพิมพ์ The Hindu รายงาน

วิดีโอที่ชายทั้งสองถ่มน้ำลาย ซึ่งเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียไม่กี่วันก่อนที่พวกเขาจะถูกจับกุม ได้รับการนำไปโยงกับศาสนา หลังจากบัญชีของชาตินิยมฮินดูจำนวนมากเริ่มเรียกพวกเขาว่าเหตุการณ์ 'thook-jihad' หรือ 'spit-jihad'

คำนี้เป็นการโยงกับคำว่า 'love-jihad' ซึ่งกลุ่มฮินดูหัวรุนแรงเป็นผู้คิดขึ้น โดยใช้คำนี้เพื่อกล่าวหาว่าผู้ชายมุสลิมเปลี่ยนศาสนาให้ผู้หญิงฮินดูด้วยการสมรส โดยขยายความ 'thook-jihad' กล่าวหาว่ามุสลิมพยายามทำให้ชาวฮินดูเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยการถุยน้ำลายลงในอาหาร

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชุมชนมุสลิมตกเป็นเป้าหมายของการกล่าวหาเรื่องการถุยน้ำลาย ในช่วงการระบาดของโควิด-19 วิดีโอปลอมชุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นชาวมุสลิมถุยน้ำลาย จาม หรือเลียสิ่งของเพื่อแพร่เชื้อไวรัสให้ผู้คนกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย วิดีโอดังกล่าวทำให้เกิดความแตกแยกทางศาสนามากขึ้น โดยบัญชีของฮินดูหัวรุนแรงโพสต์ข้อความต่อต้านมุสลิม

ผู้นำฝ่ายค้านในสองรัฐที่ปกครองโดยพรรค BJP ได้วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายใหม่ว่า คำสั่งดังกล่าวระบุว่าอาจใช้กำหนดเป้าหมายไปที่ชาวมุสลิม และรัฐบาลใช้คำสั่งดังกล่าวเป็นฉากบังตาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาสำคัญอื่นๆ เช่น การว่างงานและเงินเฟ้อที่พุ่งสูง

แต่นายมานิช ซายานา เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยด้านอาหารในรัฐอุตตราขันต์ กล่าวว่าคำสั่งของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้อาหารปลอดภัยต่อการบริโภค เขากล่าวกับบีบีซีว่า เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยด้านอาหารและตำรวจได้เริ่มดำเนินการตรวจค้นร้านอาหารแบบกะทันหัน และ "พวกเขาเรียกร้องให้ผู้คนสวมหน้ากากและถุงมือ และติดตั้งกล้องวงจรปิด" ทุกที่ที่พวกเขาไปตรวจค้น

V Venkatesan ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย กล่าวว่า มีความจำเป็นต้องมีการบัญญัติและกฎหมายใหม่ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารเพื่อให้มีการถกเถียงกันอย่างเหมาะสมในที่ประชุม

"ในความเห็นของฉัน กฎหมายที่มีอยู่ [ภายใต้พระราชบัญญัติความปลอดภัยและมาตรฐานอาหาร พ.ศ. 2549] นั้นเพียงพอที่จะดูแลความผิดใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอาหาร ดังนั้น เราต้องถามว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายและคำสั่งใหม่ๆ เหล่านี้" เขากล่าว

“รัฐบาลดูเหมือนจะคิดว่ากฎหมายที่กำหนดบทลงโทษที่รุนแรงจะช่วยยับยั้งไม่ให้ผู้คนก่ออาชญากรรม แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเหมาะสมต่างหากที่จะยับยั้งไม่ให้ผู้คนก่ออาชญากรรมได้ ดังนั้น กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการบังคับใช้อย่างเหมาะสมในรัฐเหล่านี้หรือ”

สมาคมค้ายาสูบ เผย บุหรี่เถื่อนทะลัก ทำท้องถิ่นรายได้วูบกว่า 2.4 พันล้าน

(28 ต.ค. 67) ธัญญศรัณ แสงทอง ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมการค้ายาสูบไทย เปิดเผยว่า จากกรณีกรมสรรพสามิตรายงานผลการปราบปรามยาสูบผิดกฎหมายปีงบประมาณ 2567 ซึ่งจับกุมได้ 13,170 คดี หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 60% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นค่าปรับ 361.73 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 2,334.40 ล้านบาท จำนวนของกลางแบ่งเป็นยาสูบในประเทศ 301,961 ซอง และยาสูบต่างประเทศ 2,579,434  ซอง นั้น

“ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าบุหรี่เถื่อนยังเป็นปัญหาที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนครั้งการจับกุม จำนวนมวนและมูลค่าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ สังคม ในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ จึงขอเสนอให้รัฐบาลช่วยยกระดับการแก้ปัญหาให้เป็นวาระระดับชาติ”

ขณะที่ บุหรี่เถื่อนส่วนใหญ่ลักลอบมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางบกและทางทะเล หวังหลีกเลี่ยงภาษี และนำมาขายในประเทศในราคาที่ถูกกว่าบุหรี่ถูกกฎหมายแบบหลายเท่าตัว คนก็ยิ่งเข้าถึงง่าย ส่งผลให้มาตรการควบคุมบุหรี่ที่ต้องการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ใช้ไม่ได้ผล

นอกจากนี้ ร้านค้าที่ขายบุหรี่ถูกกฎหมายในประเทศกว่า 5 แสนรายยังได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ โดยเฉพาะร้านค้าในภาคใต้ที่รายได้ต่อวันจากการขายสินค้าลดลงเฉลี่ย 700-1,400 บาท เนื่องจากลูกค้าหันไปซื้อบุหรี่เถื่อนซึ่งมีราคาถูกกว่าจากร้านค้าที่ผิดกฎหมายแทน

ด้าน ธัญญศรัณ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “บุหรี่เถื่อนยังส่งผลกระทบต่อรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ขาดหายไป เพราะบุหรี่ทุกๆ 1 ซองต้องเสียภาษีเพื่อมหาดไทยในอัตรา 10% จากภาษีสรรพสามิต หรือประมาณซองละ 4 บาท (ราคาบุหรี่ซองละ 75 บาท) และบุหรี่ถูกกฎหมายที่ขายในต่างจังหวัดต้องเสียภาษีอบจ. เพิ่มอีก 1.86 บาทต่อซอง ซึ่งในแต่ละปีภาษี 2 ก้อนนี้หายไปกว่า 2,400 ล้านบาทจากการเติบโตของบุหรี่เถื่อน”
.
ข้อมูลจากอุตสาหกรรมยาสูบเผยว่าเมื่อสิ้นปี 2566 บุหรี่เถื่อนมีสัดส่วนถึง 25.5% เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยจังหวัดที่พบบุหรี่เถื่อนมากที่สุดยังคงเป็น จ. สงขลา 90% สตูล 88% พัทลุง 75% และภูเก็ต 74%

ข้อมูลการจัดเก็บรายได้ภาษี อบจ. ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 – 2566 โดยสำนักป้องกันบุหรี่ผิดกฎหมาย การยาสูบแห่งประเทศไทย พบว่า รายได้จากการเก็บภาษี อบจ. ทั้งบุหรี่ไทยและบุหรี่ต่างประเทศ ใน 14 จังหวัดภาคใต้ มีจำนวน 670 ล้านบาท คิดเป็น 7.9 % ของรายได้จากการเก็บภาษี อบจ. ทั้งประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นรายปี พบว่าแนวโน้มการจัดเก็บภาษีบุหรี่ อบจ. ลดลงทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ จากที่จัดเก็บได้ราว 50 ล้านบาท ในปี 2563 มีอยู่ไม่ถึง 10 ล้านบาท ในปี 2566 ทั้งนี้ หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง คาดว่าปีต่อๆ ไป รายได้จากการจัดเก็บภาษี อบจ. ในพื้นที่ภาคใต้จะลดลงเรื่อยๆ ทำให้ไม่เหลือเพียงพอสำหรับนำไปพัฒนาท้องถิ่นและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ด้าน สุธรรม สุริโย สรรพสามิตพื้นที่ภูเก็ต กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารของหน่วยงานในพื้นที่ซึ่งรับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรง ได้นำนโยบายของกรมสรรพสามิตด้านการปราบปรามให้ตรงกลุ่มและด้านการปกป้องสังคมมาปฏิบัติ มีการบูรณาการการปฏิบัติงานกับกรมสรรพสามิต สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 8 กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง ในด้านข้อมูลข่าวสาร มีการพบปะหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับการยาสูบแห่งประเทศไทยและสื่อมวลชนท้องถิ่น รวมถึงได้มีการติดตามเร่งรัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามเพื่อให้มีการปราบปรามบุหรี่เถื่อนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ปัจจุบันพบว่า ผู้กระทำผิดมีจำนวนลดลง อย่างไรก็ตาม สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ภูเก็ต ได้เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยการสืบหาผู้กระทำผิดที่มีการลักลอบขายออนไลน์ มีการประสานงานด้านข้อมูลข่าวสารกับการไปรษณีย์ไทยและบริษัทขนส่งเอกชน เพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการขายยาสูบที่ชอบด้วยกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ โสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่พบบุหรี่เถื่อนมากเป็นอันดับ 4 ในภาคใต้ได้เคยระบุในระหว่างการแถลงข่าวจับกุมบุหรี่เถื่อนในปฏิบัติการสิงห์ทมิฬของกรมการปกครองเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า จังหวัดภูเก็ตมุ่งมั่นดำเนินการจัดระเบียบสังคมอย่างจริงจัง พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ดำเนินการ Re X-Ray อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทุกประเภทในพื้นที่ พร้อมขอบคุณประชาชนที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ทางราชการ เพราะสิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในการช่วยสอดส่องดูแลคนในชุมชน ในส่วนของผู้กระทำความผิดนั้นทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงขอประชาสัมพันธ์หากพบเบาะแสการกระทำความผิด หรือการสร้างความเดือดร้อนต่อสังคมส่วนรวม ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง  

‘สมเสร็จ’ สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์โผล่ กองร้อย ตชด.446 สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า จ.นราธิวาส

เพจ ‘สวท.สุไหงโก-ลก’ โพสต์ภาพ ‘สมเสร็จ’ กำลังเข้ามาเดินเล่นชมวิวเยี่ยมพี่ๆตำรวจ ถึงบ้านพักในกองร้อย ตชด.446 อ.แว้ง จ.นราธิวาส ล่าสุดเจ้าหน้าที่ป่ามารับตัวกลับเข้าป่าไปแล้ว

เมื่อวันที่ 27 ต.ค. เพจ ‘สวท.สุไหงโก-ลก’ โพสต์ภาพ ‘สมเสร็จ’ กำลังเข้ามาเดินเล่นชมวิวเยี่ยมพี่ๆตชด. ที่กองร้อย ตชด.446 ตำบลฆอเลาะ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส บริเวณบ้านพักข้าราชการตำรวจกองร้อย ตชด.446 ล่าสุด พี่ ๆ ตชด.ได้ประสานเจ้าหน้าที่ป่ามารับตัวกลับเข้าป่าไปแล้ว

ทั้งนี้ คาดว่าน้องสมเสร็จตัวนี้จะอยู่ในป่าที่อยู่ใกล้กองร้อย ตชด.446 เนื่องจากบริเวณนั้นมีพื้นที่ป่ามากถึง 156 ไร่

‘สมเสร็จ’ เป็นสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์ โดยพื้นที่เขตภาคใต้ตอนล่างจะพบที่ป่าฮาลาบาลา ซึ่งการได้เห็นสมเสร็จในพื้นที่ส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า รวมทั้งการที่ทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนร่วมกันอนุรักษ์และปกป้องทั้งผืนป่าและสัตว์ป่า

ทั้งนี้ มีชาวเน็ตแห่คอมเมนต์แซวความน่ารัก ‘น้องสมเสร็จ’ อย่างล้นหลาม อาทิ อ่อ…เด็กนี่ ใส่แพมเพิส เดินเล่นบายใจเลยนะ , เมื่อไหร่น้องจะเลิกใส่เสื้อครอปคะ , เจ้าแพมเพิส มาอีกแล้ว , น้อล ใส่ผ้ากระโจมอกออกมาทำไม๊ก๊อน?

เช็กข้อมูล ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ รอบปี 2568 เตรียมลงทะเบียน พร้อมรับสวัสดิการ 1.5 พันต่อเดือน

(28 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงาน ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้มีการทบทวนข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใหม่ทุก ๆ 2 ปี นั้น

สำนักข่าวมติชน ได้รายงานว่า นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง จะนัดประชุมหารือความคืบหน้าเรื่องนี้ในเร็ว ๆ นี้ ตามมติครม. ที่ให้มีการทบทวนข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใหม่ทุก 2 ปี

เพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการฯ รอบใหม่ช่วงต้นปี 68 ก่อนจะมีการคัดกรองคุณสมบัติใหม่ เพื่อให้ได้ผู้มีสิทธิทั้งหมดเสร็จทันภายในวันที่ 31 มีนาคม 2568

ซึ่งผู้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ จะได้เงินช่วยเหลือ 1,545 บาท แยกเป็น

-วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 300 บาทต่อคนต่อเดือน
-วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาทต่อคนต่อเดือน
-วงเงินส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน
-มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
-มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน

สำหรับเว็บลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568 หากเงื่อนไขการลงทะเบียนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คาดว่า กระทรวงการคลัง จะเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ที่เว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th/ มีขั้นตอนลงทะเบียน 6 ขั้นตอน ดังนี้

1.เข้าไปเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th
https://welfare.mof.go.th/ คลิกลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ เลือกหน่วยงาน เช่น ธนาคารกรุงไทย เลือกจังหวัด

2.กรอกข้อมูลบัตรประชาชน และ เลข Laser หลังบัตรประชาชน คลิก ขั้นตอนถัดไป

3.กรอกข้อมูล 4 ส่วนได้แก่ ข้อมูลส่วนตัวของผู้ลงทะเบียน,การประกอบอาชีพ,รายได้และหนี้สินของผู้ลงทะเบียน และ ความต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือ

4.ผู้ลงทะเบียนที่จดทะเบียนสมรส หรือ มีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ เลือกหน่วยรับลงทะเบียนที่จะไปยื่นเอกสาร

5.ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง แล้วกดยืนยัน

6.ไม่มีมีครอบครัว รอผลการตรวจสอบสถานะบุคคล , มีครอบครัว ไม่แสดงตัวตน และ ยื่นเอกสารยังหน่วยงานลงทะเบียนที่เลือกไว้

คุณสมบัติลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565 ที่ได้กำหนดก่อนหน้านี้
1.สัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป
2.รายได้ไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี
3. รายได้เฉลี่ยครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี
4. มีทรัพย์สิน : เงินฝาก สลาก พันธบัตร และตราสารหนี้ภาครัฐ ไม่เกิน 100,000 บาท/คน
4. ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์(ตามที่กำหนด)
5. ต้องไม่มีบัตรเครดิต
6. มีวงเงินกู้ ที่อยู่อาศัยรวมไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และ/หรือ วงเงินกู้ ยานพาหนะรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นต้น

ด้านสำนักข่าว ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ได้รายงานถึงไทม์ไลน์ของโครงการ ดังกล่าวว่า 

มกราคม 2568 เปิดให้ลงทะเบียนทั้งคนเก่า และ คนใหม่
มีนาคม 2568 ประกาศผล เปิดให้ยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ์
เมษายน 2568 เริ่มใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบัตรคนจนรอบใหม่

สำหรับเว็บไซต์ ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ 2568 กระทรวงการคลัง เตรียมปรับปรุงเว็บไซต์เดิมเพื่อรองรับการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่  

กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าน่าจะมีผู้ลงทะเบียนประมาณ 10 ล้านราย (ประมาณการจากกลุ่มกรอกข้อมูลลงทะเบียนโครงการฯ ปี 2565 ไม่ครบถ้วน 1.3 ล้านราย กลุ่มผู้ลงทะเบียนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจำนวนประมาณ 5.1 ล้านราย และกลุ่มผู้ที่ตกหล่น/ต้องการลงทะเบียนเพิ่มจำนวนประมาณ 2 ล้านราย รวมถึงกลุ่มผู้ไม่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลจากกรมการปกครองจำนวนประมาณ 1.4 ล้านราย)

‘ปิยะ ปิตุเตชะ’ พร้อมลงชิงนายก อบจ. ระยองอีกสมัย มั่นใจย้ำชัยชนะ ไม่ลาออกก่อนเวลา หวั่นสิ้นเปลืองงบประมาณ

(28 ต.ค. 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยะ ปิตุเตชะ หรืออาช้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เปิดใจกลบกระแสดราม่าจะวางมือทางการเมืองท้องถิ่น เพื่อดันน้องชาย นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงสมัครนายก อบจ.ระยอง แทนในสมัยหน้า ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ โดยประกาศชัดเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และตนก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน ตนจะลงสมัครนายก อบจ.ระยอง สมัยหน้าแน่นอน ตนเป็นนายก อบจ.ระยอง มานานรวม 18 ปี ตามกฎหมายตนลงสมัครได้อีก 1 สมัย และเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนจะทำประโยชน์ให้กับจังหวัดระยอง

ส่วนกรณี นายสาธิต ปิตุเตชะ เขายังหนุ่มก็ให้เขาทำอย่างอื่นไป ส่วนสมาชิก ส.อบจ. ที่อยู่ในทีมจะลงสมัคร ส.อบจ.เพียง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ บางคนมีความประสงค์จะไปลงสมัครนายกเทศมนตรีและนายก อบต.

“ส่วนกรณีว่าทำไมผมไม่ลาออกก่อนหมดวาระเหมือนในหลายจังหวัดเพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น สำหรับผมเองคิดว่าถ้าลาออกก่อนเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง คือเลือกตั้งนายก อบจ. แล้วต้องมาเลือกตั้ง ส.อบจ.อีก เสียดายงบประมาณเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมาก เราจะเอางบประมาณมาทำเพื่อตัวเราเองมันไม่มีประโยชน์หรอก ด้วยสาเหตุนี้จึงไม่ลาออกก่อนหมดวาระ เลือกตั้งครั้งนี้ผมมีความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุด ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลสามารถคว้าชัยชนะได้ทั้ง 5 เขตของจังหวัดระยอง

‘เจ๊ไฝ’ ประกาศแขวนตะหลิวทอด ‘ไข่เจียวปู’ ส่งต่อกิจการให้ลูกสาวช่วงปีหน้า พร้อมสอนสูตร

(28 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า TikTok ช่อง ‘คมชัดลึก’ ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ ‘เจ๊ไฝ’ เจ้าของร้านมิชลินสตาร์สตรีทฟู้ดชื่อดัง เจ้าของร้าน ‘เจ๊ไฝ’ ได้ประกาศเตรียมแขวนตะหลิวในปีหน้า

โดยทางเจ๊ไฝ เปิดเผยว่า เจ๊คิดแล้วว่าจะไม่ทำต่อ เพราะมันลำบากมาก ของที่เตรียมตรวจสอบจะไปไว้ใจให้คนอื่นทำแทนไม่ได้เลย ทำให้ทุก ๆ เจ็ดโมงเช้าตนจะต้องลงมาตรวจสอบวัตถุดิบด้วยตนเอง หากไม่ถูกใจจะส่งกลับทันที

ประกอบกับราคาข้าวของแพงมากขึ้น และมีผู้ซื้อหลายราย ทำให้กว่าจะได้วัตถุดิบมาแต่ละอย่างค่อนข้างยากลำบาก ทำให้เหนื่อย 

ต่อไปทางเจ๊ไฝถ้ามีใครอยากได้สูตรอาหารของร้าน ยินดีอย่างยิ่งที่จะสอนให้ ตอนนี้เริ่มถอยออกจากร้านโดยหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ คือ วันอาทิตย์ถึงวันพุธ คาดว่าปีหน้าจะวางตะหลิวอย่างเต็มตัว และให้ทางลูกสาวมาดูแลกิจการต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ร้านของเจ๊ไฝถูกตั้งคำถามหลายครั้งในเรื่องของราคาที่ค่อนข้างแพง 

‘ประเสริฐ’ ลุยปราบโจรออนไลน์ จับมือ ‘กระทรวงพาณิชย์’ กำจัด ‘บัญชีม้านิติบุคคล’ ปกป้องคนไทย ตัดวงจรอาชญากรรมไซเบอร์

วันที่ 28 ตุลาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากมาตรการการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับมาตรการการตรวจสอบและปราบปรามบัญชีม้า ซึ่งเป็นช่องทางหลักการหลอกลวงรับเงินของมิจฉาชีพ กระทรวงดีอี ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีผลการดำเนินงานถึง 17 ตุลาคม 2567 ระงับบัญชีม้ารวมกว่า 1,100,000 บัญชี แบ่งเป็นสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ปิด 559,843 บัญชี ธนาคาร 300,000 บัญชี และศูนย์ AOC 1441 ระงับ 324,192 บัญชี

นายประเสริฐ กล่าวว่า ผลการเร่งรัดปราบปรามปิดบัญชีม้า และจับกุมบัญชีม้าอย่างเข้มข้นดังกล่าว ทำให้มิจฉาชีพได้เปลี่ยนวิธีการการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยใช้วิธีจดทะเบียนนิติบุคคลและนำหลักฐานการจดทะเบียนนิติบุคคลไปเปิดบัญชีธนาคาร (บัญชีม้านิติบุคคล) และนำบัญชีม้านิติบุคคลนั้น มาใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหลายคดี รวมถึงนำมาเป็นบัญชีรับเงิน-จ่ายเงินให้กับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์อีกด้วย

“ข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 พบบัญชีม้าที่เป็นนิติบุคคล จำนวน 602 บัญชี มูลค่าความเสียหายที่ผู้เสียหายถูกหลอกให้โอนเงิน ประมาณ 680 ล้านบาท ดังนั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกระทรวงดีอี จึงได้บูรณาการทำงานร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เร่งขับเคลื่อนการแก้ปัญหาภัยออนไลน์ดังกล่าว โดยมอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พิจารณาการกวดขันการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนบัญชีนิติบุคคลอย่างเข้มงวด โดยเสนอให้เพิ่มมาตรการในการตรวจสอบกรรมการที่มีชื่อในนิติบุคคลว่าเป็นรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงหรือไม่ และมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการจับกุมบัญชีม้านิติบุคคลอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาสำหรับประชาชนให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายรัฐบาลต่อไป” นายประเสริฐ กล่าวย้ำ   

ขณะนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าอยู่ระหว่างการดำเนินการเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนธุรกิจของนิติบุคคลต่าง เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยจะมีการประชุมหารือร่วมกับ ปปง. ตร. และธนาคาร ในรายละเอียดและวิธีการเชื่อมโยงข้อมูลรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง (HR-03) รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่อให้นายทะเบียนตรวจสอบข้อมูลของกรรมการก่อนรับจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล

“ในภาพรวม กระทรวง ดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้บูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้าและซิมม้า และเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งการการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้แก่ประชาชน เชื่อส่งผลลดความเสียหายในเดือนกันยายนจากคดีออนไลน์ เหลือมูลค่า 1,974 ล้านบาท ถึงแม้จะยังสูงอยู่ แต่ก็ลดลง กว่า 1,500 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกปีนี้ (มค - มิย 67) ที่ความเสียหายเฉลี่ย 3,514 ล้านบาทต่อเดือน ”รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยออนไลน์ โดยได้เร่งรัดการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายรัฐบาล และขอให้ประชาชน ยึด “หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน เพื่อเป็นการตัดช่องทางการหลอกลวงของมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อีกทางหนึ่ง และหากพี่น้องประชาชนถูกคุกคามจากกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ สามารถแจ้งดำเนินการ ระงับอายัดบัญชีสายด่วน AOC 1441 และแจ้งเบาะแส ข่าวปลอมและอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง) หรือที่ Line ID: @antifakenewscenter และ เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

ข่าวดี!! ก.แรงงาน จับมือ คาเธ่ย์ แปซิฟิค “ปลัดบุญสงค์”นำทัพ MOL Matching คัดแอร์-สจ๊วต กว่า 1,000 อัตรา 27-29 ต.ค.นี้ ที่ รร.แมริออท สุวรรณภูมิ

วันที่ 27 ตุลาคม 2567 นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน และคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะพูดคุยให้กำลังใจกับผู้ที่มาเข้ารับการสอบสัมภาษณ์คัดเลือกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เพื่อเข้าทำงานกับบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค ซึ่งเป็นสายการบินของฮ่องกง ที่มีความต้องการพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกว่า 1,000 อัตรา

โดย คุณ Patrick Chan (แพททริค ชัน) , Talent acquisition manager-service  delivery (inflight) (ผู้จัดการแผนกบุคคลฝ่ายสรรหาบุคลากร การบริการบนเครื่อง) มอบหมายให้คุณ Elaine Yip (อีเลน ยิป), Talent acquisition Lead -Hong Kong  (หัวหน้าแผนกบุคคลฝ่ายสรรหาบุคลากร การบริการบนเครื่อง) เป็นผู้ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท กรุงเทพ สุวรรณภูมิแอร์พอร์ต 

นายบุญสงค์ กล่าวว่า ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้แรงงานไทยได้ไปทำงานในประเทศที่มีศักยภาพ สอดคล้องกับนโยบาย "หลักประกันสังคมเด่น เน้นทักษะทันสมัย คนไทยมีงานทำ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เศรษฐกิจ แรงงานไทยมั่นคง" โดยเฉพาะตลาดแรงงานในต่างประเทศ ปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานอยู่ในต่างประเทศ จำนวน 142,924 คน ประเทศที่มีแรงงานไทยทำงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล และมาเลเซีย ตามลำดับ ในส่วนของฮ่องกงมีแรงงานไทยทำงานอยู่ จำนวน 1,947 คน และปัจจุบันพบว่า ฮ่องกงยังขาดแคลนแรงงานทักษะฝีมือและกึ่งฝีมือเป็นจำนวนมาก รวมถึงตำแหน่งในภาคธุรกิจการบิน โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่พบว่ายังมีความต้องการสูง 

นายบุญสงค์ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ ผมพร้อมด้วยท่านอธิบดีกรมการจัดหางาน และท่านทูตแรงงานเมืองฮ่องกง และผู้บริหารบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จึงได้มาเยี่ยมการสัมภาษณ์งานและพบปะพูดคุยเพื่อให้กำลังใจน้องๆ ที่มาสอบ ซึ่งผู้ที่ผ่านการสัมภาษณ์และผ่านการตรวจร่างกายตามเงื่อนไขที่ทางบริษัทกำหนดนั้น จะได้รับการจ้างงาน และเดินทางไปทำงานที่ฮ่องกง โดยจะได้รับค่าจ้าง 9,100 เหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 40,248 บาท (1 HKD = 4.4229 บาท) มีระยะเวลาสัญญาจ้าง 3 ปี  ชั่วโมงการทำงาน 70 ชั่วโมง ค่าล่วงเวลา จำนวน 180 เหรียญฮ่องกงต่อชั่วโมง หรือประมาณ 796 บาทต่อชั่วโมง วันลาหยุดประจำปี จำนวน 21 วัน สิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาล ค่าที่พัก ปีที่ 1 - ปีที่ 2 จำนวน 7,000 เหรียญฮ่องกงต่อเดือน หรือประมาณ 30,960 บาทต่อเดือน และปีที่ 3 จำนวน 5,800 เหรียญฮ่องกงต่อเดือน หรือประมาณ 25,653 บาทต่อเดือน

“โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน กับ บริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค ดำเนินการรับสมัครและจัดส่งคนหางานไปทำงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (Flight Attendant) ซึ่งในปี 2567 ได้ดำเนินการ 3 ครั้ง รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,213 อัตรา ครั้งแรกเดือนมกราคม รับสมัคร 413 อัตรา ผ่านการคัดเลือก 412 คน ขณะนี้ได้เดินทางไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ครั้งที่ 2 เดือนพฤษภาคม รับสมัคร 400 อัตรา ผ่านการคัดเลือก 389 คน เดินทางไปทำงานแล้ว 155 คน เตรียมเดินทางไปอีก 245 คน และในวันนี้เป็นครั้งที่ 3 รับสมัครเดือนกันยายน 400 อัตรา มีผู้มีสิทธิสอบ 894 คน ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานแรงงาน ณ เมืองฮ่องกง และกรมการจัดหางาน ได้ร่วมกันดำเนินการประกาศ และคัดเลือกบุคคลตามเงื่อนไข โดยวิธีการสอบสัมภาษณ์วันละ 300 คน ในระหว่างวันที่ 27-29 ตุลาคมนี้” นายบุญสงค์ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้สนใจที่จะไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวการรับสมัครงานไปทำงานต่างประเทศได้ที่ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน www.doe.go.th หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506

นายกฯ หารือ กกร. เดินหน้าสางปัญหาเศรษฐกิจ จับตา ‘หนี้ครัวเรือนสูง-ปรับค่าแรงขั้นต่ำ’

(28 ต.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน3 สถาบัน (กกร.) นำโดยนายสนั่น อังอุบลกุล ในฐานะประธาน กกร. และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย และนายสุธีร์ สธนสถาพร ผู้อำนวยการสำนักงาน กกร.

โดยก่อนเริ่มหารือนายสนั่นได้มอบ สมุดปกขาว ข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศจัดทำโดย กกร. ให้กับนายกรัฐมนตรี

ขณะที่นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ดีใจที่ได้เจอที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งเพราะได้เจอครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทยก่อนแถลงนโยบายรัฐบาล ก็อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งครั้งที่แล้วก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี  

และแน่นอนว่าผลกระทบนี้ส่งผลถึงประชาชนมีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น อยากให้ภาครัฐและภาคเอกชนได้พูดคุยร่วมมือกัน เราไม่สามารถจะพูดได้แค่เรื่องการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเดียวที่เป็นปัญหา แต่ต้องมีการหารายได้ใหม่เข้าสู่ประเทศถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า และสิ่งที่รัฐบาลทำขณะนี้ก็มีเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ และมีความร่วมมือกับเอกชนจำนวนมากเพราะมองว่าเอกชนคือภาคสำคัญที่จะทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มและสนับสนุนประชาชนด้วยจึงอยากจะให้รัฐกับเอกชนทำงานร่วมกันเยอะขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจและโอกาสใหม่ๆให้กับประชาชนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก วันนี้รัฐบาลพร้อมที่จะซัพพอร์ตรับฟังจากภาคเอกชน เพื่อให้สามารถปรับให้เข้านโยบายของรัฐบาลต่อไป

ด้านนายสนั่น กล่าวว่า เชื่อมั่นรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯแพทองธาร ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายและปัญหาหลากหลายมิติ กกร.จึงได้ระดมความคิดเห็นจากภาคธุรกิจในสาขาต่างๆ จัดทำเป็นสมุดปกขาวเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการทั้งในระยะเร่งด่วนระยะกลาง และระยะยาว 

โดยมีทั้งหมด 4 ประเด็น ได้แก่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  หรือ SMEs การบริหารจัดการน้ำและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น ระยะเร่งด่วน เสนอมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน ลดต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งการควบคุมราคาสินค้าพื้นฐาน และบริการที่จำเป็น ตรึงราคาค่าไฟ น้ำมันดีเซล เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และลดภาระประชาชน รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยเอกชนขอให้เป็นไปตามกลไกของคณะอนุกรรมการไตรภาคี  

ประธาน กกร. และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรแยกวิธีให้เหมาะสมและใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพโดยมุ่งเป้ากระตุ้นไปยังกลุ่มเปราะบาง ถือเป็นสิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลดำเนินการไปแล้ว  

ขณะที่ประชาชนกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อสามารถดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะโครงการคูณสองเพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นจะต้องใช้งบประมาณมาก สำหรับกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงสามารถออกมาตรการดึงการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นเช่น มาตรการทางภาษี  ที่รัฐไม่ต้องใช้งบประมาณเลย

ทางหลวงชนบท พัฒนาถนนเชื่อม ‘พัทลุง-ทะเลสาบสงขลา’ หนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง-ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้

(28 ต.ค. 67) นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสู่ต้นแบบการท่องเที่ยวยั่งยืน โดยลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษ ระบบนิเวศสามน้ำ ทั้งน้ำเค็ม น้ำกร่อย และน้ำจืด หนึ่งเดียวของประเทศไทย และเป็นหนึ่งใน 117 แห่งทั่วโลก เป็นพื้นที่มี ศักยภาพ มีคุณค่า ซึ่งถูกประกาศให้ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 

ทช. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย พท.4007 แยก ทล.4047 – บ้านทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงชุมชนท้องถิ่นริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแถบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอย่างยั่งยืน

นายมนตรี กล่าวต่อไปว่า สำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแอสฟัลต์คอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร ไป – กลับ ผิวจราจรกว้างข้างละ 3.5 เมตร ไหล่ทางข้างละ 1 – 2.5 เมตร พร้อมก่อสร้างระบบระบายน้ำ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ติดตั้งเครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัย มีการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 2 แห่ง และขยายสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเดิม จำนวน 3 แห่ง โดยมีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม.ที่ 0+000 (หาดแสนสุขลำปำ) ถึง กม.ที่ 21+033 (ทะเลน้อย) ระยะทาง 21.033 กิโลเมตร ใช้งบประมาณรวม 249.100 ล้านบาท

ทั้งนี้ ทช. พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ อีกทั้ง จะช่วยผลักดันยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเชิงทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการนี้จะสามารถรองรับปริมาณการจราจรการขนส่ง และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพัทลุง เพื่อมุ่งยกระดับเมืองชั้นรอง เส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจุบันโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จสมบูรณ์ ประชาชนสามารถสัญจรผ่านได้เรียบร้อยแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top