Wednesday, 21 May 2025
Hard News Team

‘ปิยะ ปิตุเตชะ’ พร้อมลงชิงนายก อบจ. ระยองอีกสมัย มั่นใจย้ำชัยชนะ ไม่ลาออกก่อนเวลา หวั่นสิ้นเปลืองงบประมาณ

(28 ต.ค. 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยะ ปิตุเตชะ หรืออาช้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เปิดใจกลบกระแสดราม่าจะวางมือทางการเมืองท้องถิ่น เพื่อดันน้องชาย นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงสมัครนายก อบจ.ระยอง แทนในสมัยหน้า ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ โดยประกาศชัดเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และตนก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน ตนจะลงสมัครนายก อบจ.ระยอง สมัยหน้าแน่นอน ตนเป็นนายก อบจ.ระยอง มานานรวม 18 ปี ตามกฎหมายตนลงสมัครได้อีก 1 สมัย และเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนจะทำประโยชน์ให้กับจังหวัดระยอง

ส่วนกรณี นายสาธิต ปิตุเตชะ เขายังหนุ่มก็ให้เขาทำอย่างอื่นไป ส่วนสมาชิก ส.อบจ. ที่อยู่ในทีมจะลงสมัคร ส.อบจ.เพียง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ บางคนมีความประสงค์จะไปลงสมัครนายกเทศมนตรีและนายก อบต.

“ส่วนกรณีว่าทำไมผมไม่ลาออกก่อนหมดวาระเหมือนในหลายจังหวัดเพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น สำหรับผมเองคิดว่าถ้าลาออกก่อนเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง คือเลือกตั้งนายก อบจ. แล้วต้องมาเลือกตั้ง ส.อบจ.อีก เสียดายงบประมาณเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมาก เราจะเอางบประมาณมาทำเพื่อตัวเราเองมันไม่มีประโยชน์หรอก ด้วยสาเหตุนี้จึงไม่ลาออกก่อนหมดวาระ เลือกตั้งครั้งนี้ผมมีความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุด ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลสามารถคว้าชัยชนะได้ทั้ง 5 เขตของจังหวัดระยอง

‘เจ๊ไฝ’ ประกาศแขวนตะหลิวทอด ‘ไข่เจียวปู’ ส่งต่อกิจการให้ลูกสาวช่วงปีหน้า พร้อมสอนสูตร

(28 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า TikTok ช่อง ‘คมชัดลึก’ ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ ‘เจ๊ไฝ’ เจ้าของร้านมิชลินสตาร์สตรีทฟู้ดชื่อดัง เจ้าของร้าน ‘เจ๊ไฝ’ ได้ประกาศเตรียมแขวนตะหลิวในปีหน้า

โดยทางเจ๊ไฝ เปิดเผยว่า เจ๊คิดแล้วว่าจะไม่ทำต่อ เพราะมันลำบากมาก ของที่เตรียมตรวจสอบจะไปไว้ใจให้คนอื่นทำแทนไม่ได้เลย ทำให้ทุก ๆ เจ็ดโมงเช้าตนจะต้องลงมาตรวจสอบวัตถุดิบด้วยตนเอง หากไม่ถูกใจจะส่งกลับทันที

ประกอบกับราคาข้าวของแพงมากขึ้น และมีผู้ซื้อหลายราย ทำให้กว่าจะได้วัตถุดิบมาแต่ละอย่างค่อนข้างยากลำบาก ทำให้เหนื่อย 

ต่อไปทางเจ๊ไฝถ้ามีใครอยากได้สูตรอาหารของร้าน ยินดีอย่างยิ่งที่จะสอนให้ ตอนนี้เริ่มถอยออกจากร้านโดยหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ คือ วันอาทิตย์ถึงวันพุธ คาดว่าปีหน้าจะวางตะหลิวอย่างเต็มตัว และให้ทางลูกสาวมาดูแลกิจการต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ร้านของเจ๊ไฝถูกตั้งคำถามหลายครั้งในเรื่องของราคาที่ค่อนข้างแพง 

‘ประเสริฐ’ ลุยปราบโจรออนไลน์ จับมือ ‘กระทรวงพาณิชย์’ กำจัด ‘บัญชีม้านิติบุคคล’ ปกป้องคนไทย ตัดวงจรอาชญากรรมไซเบอร์

วันที่ 28 ตุลาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากมาตรการการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับมาตรการการตรวจสอบและปราบปรามบัญชีม้า ซึ่งเป็นช่องทางหลักการหลอกลวงรับเงินของมิจฉาชีพ กระทรวงดีอี ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีผลการดำเนินงานถึง 17 ตุลาคม 2567 ระงับบัญชีม้ารวมกว่า 1,100,000 บัญชี แบ่งเป็นสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ปิด 559,843 บัญชี ธนาคาร 300,000 บัญชี และศูนย์ AOC 1441 ระงับ 324,192 บัญชี

นายประเสริฐ กล่าวว่า ผลการเร่งรัดปราบปรามปิดบัญชีม้า และจับกุมบัญชีม้าอย่างเข้มข้นดังกล่าว ทำให้มิจฉาชีพได้เปลี่ยนวิธีการการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยใช้วิธีจดทะเบียนนิติบุคคลและนำหลักฐานการจดทะเบียนนิติบุคคลไปเปิดบัญชีธนาคาร (บัญชีม้านิติบุคคล) และนำบัญชีม้านิติบุคคลนั้น มาใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหลายคดี รวมถึงนำมาเป็นบัญชีรับเงิน-จ่ายเงินให้กับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์อีกด้วย

“ข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 พบบัญชีม้าที่เป็นนิติบุคคล จำนวน 602 บัญชี มูลค่าความเสียหายที่ผู้เสียหายถูกหลอกให้โอนเงิน ประมาณ 680 ล้านบาท ดังนั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกระทรวงดีอี จึงได้บูรณาการทำงานร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เร่งขับเคลื่อนการแก้ปัญหาภัยออนไลน์ดังกล่าว โดยมอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พิจารณาการกวดขันการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนบัญชีนิติบุคคลอย่างเข้มงวด โดยเสนอให้เพิ่มมาตรการในการตรวจสอบกรรมการที่มีชื่อในนิติบุคคลว่าเป็นรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงหรือไม่ และมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการจับกุมบัญชีม้านิติบุคคลอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาสำหรับประชาชนให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายรัฐบาลต่อไป” นายประเสริฐ กล่าวย้ำ   

ขณะนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าอยู่ระหว่างการดำเนินการเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนธุรกิจของนิติบุคคลต่าง เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยจะมีการประชุมหารือร่วมกับ ปปง. ตร. และธนาคาร ในรายละเอียดและวิธีการเชื่อมโยงข้อมูลรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง (HR-03) รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่อให้นายทะเบียนตรวจสอบข้อมูลของกรรมการก่อนรับจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล

“ในภาพรวม กระทรวง ดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้บูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้าและซิมม้า และเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งการการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้แก่ประชาชน เชื่อส่งผลลดความเสียหายในเดือนกันยายนจากคดีออนไลน์ เหลือมูลค่า 1,974 ล้านบาท ถึงแม้จะยังสูงอยู่ แต่ก็ลดลง กว่า 1,500 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกปีนี้ (มค - มิย 67) ที่ความเสียหายเฉลี่ย 3,514 ล้านบาทต่อเดือน ”รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยออนไลน์ โดยได้เร่งรัดการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายรัฐบาล และขอให้ประชาชน ยึด “หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน เพื่อเป็นการตัดช่องทางการหลอกลวงของมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อีกทางหนึ่ง และหากพี่น้องประชาชนถูกคุกคามจากกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ สามารถแจ้งดำเนินการ ระงับอายัดบัญชีสายด่วน AOC 1441 และแจ้งเบาะแส ข่าวปลอมและอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง) หรือที่ Line ID: @antifakenewscenter และ เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

ข่าวดี!! ก.แรงงาน จับมือ คาเธ่ย์ แปซิฟิค “ปลัดบุญสงค์”นำทัพ MOL Matching คัดแอร์-สจ๊วต กว่า 1,000 อัตรา 27-29 ต.ค.นี้ ที่ รร.แมริออท สุวรรณภูมิ

วันที่ 27 ตุลาคม 2567 นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน และคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะพูดคุยให้กำลังใจกับผู้ที่มาเข้ารับการสอบสัมภาษณ์คัดเลือกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เพื่อเข้าทำงานกับบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค ซึ่งเป็นสายการบินของฮ่องกง ที่มีความต้องการพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกว่า 1,000 อัตรา

โดย คุณ Patrick Chan (แพททริค ชัน) , Talent acquisition manager-service  delivery (inflight) (ผู้จัดการแผนกบุคคลฝ่ายสรรหาบุคลากร การบริการบนเครื่อง) มอบหมายให้คุณ Elaine Yip (อีเลน ยิป), Talent acquisition Lead -Hong Kong  (หัวหน้าแผนกบุคคลฝ่ายสรรหาบุคลากร การบริการบนเครื่อง) เป็นผู้ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท กรุงเทพ สุวรรณภูมิแอร์พอร์ต 

นายบุญสงค์ กล่าวว่า ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้แรงงานไทยได้ไปทำงานในประเทศที่มีศักยภาพ สอดคล้องกับนโยบาย "หลักประกันสังคมเด่น เน้นทักษะทันสมัย คนไทยมีงานทำ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เศรษฐกิจ แรงงานไทยมั่นคง" โดยเฉพาะตลาดแรงงานในต่างประเทศ ปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานอยู่ในต่างประเทศ จำนวน 142,924 คน ประเทศที่มีแรงงานไทยทำงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล และมาเลเซีย ตามลำดับ ในส่วนของฮ่องกงมีแรงงานไทยทำงานอยู่ จำนวน 1,947 คน และปัจจุบันพบว่า ฮ่องกงยังขาดแคลนแรงงานทักษะฝีมือและกึ่งฝีมือเป็นจำนวนมาก รวมถึงตำแหน่งในภาคธุรกิจการบิน โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่พบว่ายังมีความต้องการสูง 

นายบุญสงค์ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ ผมพร้อมด้วยท่านอธิบดีกรมการจัดหางาน และท่านทูตแรงงานเมืองฮ่องกง และผู้บริหารบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จึงได้มาเยี่ยมการสัมภาษณ์งานและพบปะพูดคุยเพื่อให้กำลังใจน้องๆ ที่มาสอบ ซึ่งผู้ที่ผ่านการสัมภาษณ์และผ่านการตรวจร่างกายตามเงื่อนไขที่ทางบริษัทกำหนดนั้น จะได้รับการจ้างงาน และเดินทางไปทำงานที่ฮ่องกง โดยจะได้รับค่าจ้าง 9,100 เหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 40,248 บาท (1 HKD = 4.4229 บาท) มีระยะเวลาสัญญาจ้าง 3 ปี  ชั่วโมงการทำงาน 70 ชั่วโมง ค่าล่วงเวลา จำนวน 180 เหรียญฮ่องกงต่อชั่วโมง หรือประมาณ 796 บาทต่อชั่วโมง วันลาหยุดประจำปี จำนวน 21 วัน สิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาล ค่าที่พัก ปีที่ 1 - ปีที่ 2 จำนวน 7,000 เหรียญฮ่องกงต่อเดือน หรือประมาณ 30,960 บาทต่อเดือน และปีที่ 3 จำนวน 5,800 เหรียญฮ่องกงต่อเดือน หรือประมาณ 25,653 บาทต่อเดือน

“โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน กับ บริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค ดำเนินการรับสมัครและจัดส่งคนหางานไปทำงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (Flight Attendant) ซึ่งในปี 2567 ได้ดำเนินการ 3 ครั้ง รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,213 อัตรา ครั้งแรกเดือนมกราคม รับสมัคร 413 อัตรา ผ่านการคัดเลือก 412 คน ขณะนี้ได้เดินทางไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ครั้งที่ 2 เดือนพฤษภาคม รับสมัคร 400 อัตรา ผ่านการคัดเลือก 389 คน เดินทางไปทำงานแล้ว 155 คน เตรียมเดินทางไปอีก 245 คน และในวันนี้เป็นครั้งที่ 3 รับสมัครเดือนกันยายน 400 อัตรา มีผู้มีสิทธิสอบ 894 คน ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานแรงงาน ณ เมืองฮ่องกง และกรมการจัดหางาน ได้ร่วมกันดำเนินการประกาศ และคัดเลือกบุคคลตามเงื่อนไข โดยวิธีการสอบสัมภาษณ์วันละ 300 คน ในระหว่างวันที่ 27-29 ตุลาคมนี้” นายบุญสงค์ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้สนใจที่จะไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวการรับสมัครงานไปทำงานต่างประเทศได้ที่ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน www.doe.go.th หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506

นายกฯ หารือ กกร. เดินหน้าสางปัญหาเศรษฐกิจ จับตา ‘หนี้ครัวเรือนสูง-ปรับค่าแรงขั้นต่ำ’

(28 ต.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน3 สถาบัน (กกร.) นำโดยนายสนั่น อังอุบลกุล ในฐานะประธาน กกร. และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย และนายสุธีร์ สธนสถาพร ผู้อำนวยการสำนักงาน กกร.

โดยก่อนเริ่มหารือนายสนั่นได้มอบ สมุดปกขาว ข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศจัดทำโดย กกร. ให้กับนายกรัฐมนตรี

ขณะที่นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ดีใจที่ได้เจอที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งเพราะได้เจอครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทยก่อนแถลงนโยบายรัฐบาล ก็อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งครั้งที่แล้วก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี  

และแน่นอนว่าผลกระทบนี้ส่งผลถึงประชาชนมีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น อยากให้ภาครัฐและภาคเอกชนได้พูดคุยร่วมมือกัน เราไม่สามารถจะพูดได้แค่เรื่องการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเดียวที่เป็นปัญหา แต่ต้องมีการหารายได้ใหม่เข้าสู่ประเทศถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า และสิ่งที่รัฐบาลทำขณะนี้ก็มีเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ และมีความร่วมมือกับเอกชนจำนวนมากเพราะมองว่าเอกชนคือภาคสำคัญที่จะทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มและสนับสนุนประชาชนด้วยจึงอยากจะให้รัฐกับเอกชนทำงานร่วมกันเยอะขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจและโอกาสใหม่ๆให้กับประชาชนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก วันนี้รัฐบาลพร้อมที่จะซัพพอร์ตรับฟังจากภาคเอกชน เพื่อให้สามารถปรับให้เข้านโยบายของรัฐบาลต่อไป

ด้านนายสนั่น กล่าวว่า เชื่อมั่นรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯแพทองธาร ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายและปัญหาหลากหลายมิติ กกร.จึงได้ระดมความคิดเห็นจากภาคธุรกิจในสาขาต่างๆ จัดทำเป็นสมุดปกขาวเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการทั้งในระยะเร่งด่วนระยะกลาง และระยะยาว 

โดยมีทั้งหมด 4 ประเด็น ได้แก่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  หรือ SMEs การบริหารจัดการน้ำและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น ระยะเร่งด่วน เสนอมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน ลดต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งการควบคุมราคาสินค้าพื้นฐาน และบริการที่จำเป็น ตรึงราคาค่าไฟ น้ำมันดีเซล เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และลดภาระประชาชน รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยเอกชนขอให้เป็นไปตามกลไกของคณะอนุกรรมการไตรภาคี  

ประธาน กกร. และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรแยกวิธีให้เหมาะสมและใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพโดยมุ่งเป้ากระตุ้นไปยังกลุ่มเปราะบาง ถือเป็นสิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลดำเนินการไปแล้ว  

ขณะที่ประชาชนกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อสามารถดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะโครงการคูณสองเพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นจะต้องใช้งบประมาณมาก สำหรับกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงสามารถออกมาตรการดึงการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นเช่น มาตรการทางภาษี  ที่รัฐไม่ต้องใช้งบประมาณเลย

ทางหลวงชนบท พัฒนาถนนเชื่อม ‘พัทลุง-ทะเลสาบสงขลา’ หนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง-ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้

(28 ต.ค. 67) นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสู่ต้นแบบการท่องเที่ยวยั่งยืน โดยลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษ ระบบนิเวศสามน้ำ ทั้งน้ำเค็ม น้ำกร่อย และน้ำจืด หนึ่งเดียวของประเทศไทย และเป็นหนึ่งใน 117 แห่งทั่วโลก เป็นพื้นที่มี ศักยภาพ มีคุณค่า ซึ่งถูกประกาศให้ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 

ทช. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย พท.4007 แยก ทล.4047 – บ้านทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงชุมชนท้องถิ่นริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแถบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอย่างยั่งยืน

นายมนตรี กล่าวต่อไปว่า สำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแอสฟัลต์คอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร ไป – กลับ ผิวจราจรกว้างข้างละ 3.5 เมตร ไหล่ทางข้างละ 1 – 2.5 เมตร พร้อมก่อสร้างระบบระบายน้ำ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ติดตั้งเครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัย มีการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 2 แห่ง และขยายสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเดิม จำนวน 3 แห่ง โดยมีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม.ที่ 0+000 (หาดแสนสุขลำปำ) ถึง กม.ที่ 21+033 (ทะเลน้อย) ระยะทาง 21.033 กิโลเมตร ใช้งบประมาณรวม 249.100 ล้านบาท

ทั้งนี้ ทช. พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ อีกทั้ง จะช่วยผลักดันยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเชิงทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการนี้จะสามารถรองรับปริมาณการจราจรการขนส่ง และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพัทลุง เพื่อมุ่งยกระดับเมืองชั้นรอง เส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจุบันโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จสมบูรณ์ ประชาชนสามารถสัญจรผ่านได้เรียบร้อยแล้ว

‘ดร.โสภณ’ เปิดข้อมูลเชิงลึก อสังหามือหนึ่งถึงจุดสูงสุด เตรียมรับมือเทรนด์ใหม่ ‘บ้าน-คอนโด’ มืองสองราคาไม่แรง

(28 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย(AREA) ได้เปิดเผยว่า

ในขณะนี้ประเทศไทยมีบริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่ ครองส่วนแบ่งตลาดเกือบครึ่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ท่านเชื่อหรือไม่บริษัทที่ดินยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีอนาคตอันมืดมน ทำไมจึงจะเป็นเช่นนี้

จากผลการสำรวจล่าสุด ณ กลางปี 2567 ของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า 10 บริษัทมหาชนและบริษัทในเครือครองส่วนแบ่งตลาด (จากการเปิดตัวหน่วยขายใหม่ๆ ในครึ่งแรกของปี 2567) สูงสุดถึง 62% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับว่ามีขนาดใหญ่มากถึงเกือบหนึ่งในสามของทั้งตลาด

ในขณะที่ในแง่จำนวนหน่วย 10 บริษัทแรกที่ใหญ่ที่สุด ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 53% ของทั้งหมด ส่วนบริษัทที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม คาดว่าจะมีสัดส่วนเพียง 15% ของหน่วยขายที่เปิดใหม่ทั้งหมด ถ้าหมายรวมทั้งปี มูลค่าการพัฒนาของบริษัทมหาชน 10 แห่งแรก จะมีมูลค่ารวมกันประมาณ 262,802 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่มากจริงๆ

แต่หากเทียบกับบริษัทพัฒนาที่ดินจีน ไทยยังมีขนาดเล็กมาก

จะเห็นได้ว่ามูลค่าการพัฒนาของบริษัทมหาชน 10 แห่งแรกของไทยที่ประมาณการไว้ทั้งปี 2567 จะเป็นเงินรวมกันเพียง 262,802 ล้านบาท ยังเล็กกว่าบริษัทที่เล็กที่สุดใน 9 อันดับแรกของจีนที่เมื่อปี 2566 ผลิตที่อยู่อาศัยมีมูลค่ารวมกันถึง 813,011 ล้านบาท (บริษัท Longfor Properties) ดังนั้นหากบริษัทพัฒนาที่ดินจีนเข้ามาในประเทศไทย ก็จะถึงคราวหายนะของบริษัทพัฒนาที่ดินไทยอย่างแน่นอน และมูลค่ารวมของบริษัทพัฒนาที่ดินจีน 9 แห่งที่ใหญ่ที่สุดเป็นเงินสูงถึง 11,950,280 ล้านบาท หรือราวสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของไทยที่ราวๆ  18 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตามโดยที่ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งจีนและไทยต่างสร้างที่อยู่อาศัยออกมามากมาย ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ก็จะลดลง กลายเป็นตลาดบ้านมือสองแทน  จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่าประเทศไทยในวาระครบรอบ 200 ปี (พ.ศ.2525) มีที่อยู่อาศัยรวมกันในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลประมาณ 1 ล้านหน่วย แต่พอถึงปี 2567 หรืออีก 42 ปีต่อมา มีการผลิตที่อยู่อาศัยใหม่ 3 ล้านกว่าหน่วย (มากกว่าช่วง 200 ปีแรกถึง 2 เท่าตัวหรือมีที่อยู่อาศัยรวมเป็น 3 เท่าของที่อยู่อาศัยเดิม) ทำให้ในอนาคต ความต้องการสร้างบ้านใหม่ๆ จะลดน้อยลง เพราะสามารถนำบ้านมือสองมาซื้อขายต่อกันได้ เพราะบ้านมือสองมักจะถูกกว่า ทำเลที่ตั้งดีกว่า แม้จะต้องซ่อมแซมบ้างก็ตาม

เมื่อหันมามองบริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่สร้างบ้านจัดสรรและอาคารชุดขาย ณ ปี 2565 จะพบใน 10 บริษัทแรก มีมูลค่าการพัฒนาโดยรวม 3.6155 ล้านล้านบาท เล็กกว่า 9 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีขนาดเป็นเพียง 30% ของจีนเท่านั้น  หลายบริษัทพัฒนาที่ดินมานับร้อยปีในสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากนัก เพราะการสร้างที่อยู่อาศัยให้มีแบรนด์เป็นที่ยอมรับกันทั่วประเทศถึง 50 มลรัฐเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

จะเห็นได้ว่าบริษัทนายหน้าใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ 10 บริษัทแรก มีการขายทรัพย์สินรวมกันถึง 1,293,872 หน่วย มากกว่าของบริษัทพัฒนาที่ดินที่ขายอยู่ 258,800 หน่วยเสียอีก และยิ่งพิจารณาในแง่มูลค่าของสินค้าที่ขาย ก็สูงถึง 28.787 ล้านล้านบาท 

เมื่อบริษัทพัฒนาที่ดินใหญ่ที่สุดที่มียอดขายรวมกัน 3.6155 ล้านล้านบาท หากสมมติว่าได้กำไรปีละ 8% ก็เป็นเงินประมาณ 280,000 ล้านบาท แต่ในกรณีบริษัทนายหน้าที่มียอดขาย 28.787 ล้านบาท สมมติได้กำไรสุทธิเพียง 2% จากค่านายหน้าประมาณ 6% ก็เป็นเงินถึง 570,000 ล้านบาท สูงกว่าของบริษัทพัฒนาที่ดินเสียอีก

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าบริษัทพัฒนาที่ดินใหญ่ๆ ก็จะค่อยๆ ลดบทบาทลง เพราะความต้องการบ้านใหม่จะลดลง การซื้อขายบ้านมือสองจะมีราคาถูกกว่า ได้ทำเลดีกว่า กิจการนายหน้าจะเฟื่องฟูขึ้นมา และรวมศูนย์เป็นบริษัทนายหน้าขนาดยักษ์มากยิ่งขึ้น ส่วนบริษัทพัฒนาที่ดินรายย่อยก็อาจมีบทบาทมากขึ้นในท้องถิ่นต่างๆ แต่เป็นบริษัทเล็กๆ ที่มีออร์เดอร์จากการสั่งสร้างมากกว่าการสร้างบ้านและห้องชุดจำนวนมากๆ ออกมาขายเช่นเดิม

และด้วยอำนาจของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริษัทนายหน้าใหญ่ที่สามารถจัดหาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ดีและมากกว่า ก็จะกลายเป็นเจ้าตลาดไปในอนาคต

กระจายทั่วโลก ผู้เสียหายมากกว่า 20 ราย จาก 17 ประเทศฟ้องเอาผิด The iCon

(28 ต.ค. 67) นายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ ตัวแทนผู้รวบรวมผู้เสียหายของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ในต่างประเทศ นำ น.ส.นิน (สงวนนามสกุล) ผู้เสียหายชาวไทยจากฮ่องกง เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ “ดิไอคอน” กับพนักงานสอบสวน บก.ปคบ.

น.ส.นิน เปิดเผยว่า ตนเห็นโฆษณาผ่านโซเชียล จึงได้ทักและได้รับการชักชวนผ่านแม่ข่ายที่ชื่ออักษรย่อ จ. ให้ร่วมลงทุน นอกจากนี้ยังเห็นป้ายโฆษณาในประเทศไทยหลายป้ายตามทางด่วน เป็นโฆษณาของดิไอคอน ตนเห็นว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ มีแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และตนมีอาชีพเปิดร้านขายของชำ รับสินค้าจากประเทศไทยไปขายที่เกาลูน ฮ่องกง อยู่แล้ว จึงตัดสินใจเปิดบิลสินค้าคอลลาเจนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จำนวน 2 บิล มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท อีกทั้งยังชักชวนเพื่อนชาวไทยอีก 3 คนในฮ่องกงมาร่วมลงบิลด้วย รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

น.ส.นิน กล่าวว่า ตนต้องเป็นคนลงทุนเบิกสินค้าข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศไทยไปฮ่องกง แต่ไม่สามารถขายสินค้าดังกล่าวได้เลย เนื่องจากมีราคาที่สูงและไม่เป็นที่นิยมของคนฮ่องกง ขายได้แต่เพียงแค่คนไทยด้วยกันเองเท่านั้น และเมื่อบริษัทเกิดปัญหา ทำให้ตนไม่สามารถเบิกสินค้าจากคลังของบริษัทได้ อีกทั้งคดีความที่เกิดขึ้น จึงส่งผลให้สินค้าของบริษัทขาดความน่าเชื่อถือ ยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายและไม่สามารถคืนทุนได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ เพราะถือเป็นการฉ้อโกง ทำให้ตนและเพื่อนคนอื่นที่มาเปิดบิลได้รับความเสียหายรวมกว่า 2 ล้านบาท

ด้านนายอิทธิเดช กล่าวว่า ขณะนี้ตนรวบรวมผู้เสียหายจากต่างประเทศได้มากกว่า 20 ราย ทั้งจากประเทศจีน เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมนี เอสโตเนีย สวีเดน ลักเซมเบิร์ก แคนาดา สหรัฐอเมริกา มาเก๊าและฮ่องกง

นายอิทธิเดช ระบุว่า ผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่ไปแต่งงานกับชาวต่างชาติ และพำนักอยู่ที่นั่น รวมทั้งยังได้ชักชวนญาติชาวต่างชาติให้มาร่วมเปิดบิลลงทุนกับดิไอคอน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งในวันนี้ นอกจากตนได้พาผู้เสียหายจากฮ่องกงมาแจ้งความแล้ว ตนยังได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายชาวอังกฤษและคนไทยที่อยู่ในลักเซมเบิร์ก เอสโตเนีย กับอิตาลี ให้เข้าแจ้งความแทนด้วย

‘บางปะหัน’ พลิกวิกฤติเป็นโอกาส จากพื้นที่หน่วงน้ำสู่การท่องเที่ยว

(28 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘คนปากน้ำคุยอะไรกัน’ ได้เผยแพร่โพสต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ณ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเกิดจากการเป็นพื้นที่รับน้ำของพื้นที่ จนสามารถเป็นแหล่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ ความว่า

จุดเช็คอินใหม่!!
เที่ยวใกล้กรุง ทุ่งตาลเอน บางปะหัน พระนครศรีอยุธยา
พื้นที่ทุ่งรับน้ำเหนือ ให้ไหลมากรุงเทพฯ และปริมณฑลน้อยลง ชะลอน้ำไปได้มาก #พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ 
อยากให้มีคนไปเที่ยว ไปเช็คอิน ชมบรรยากาศ เล่นน้ำกันเยอะๆ ค่ะ 
ปล. ศึกษาเส้นทางก่อนไปเที่ยวกันด้วยนะ 

‘สมศักดิ์’ สั่ง ‘กรมสุขภาพจิต’ ระดมสหวิชาชีพ 5 ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต เหตุพลุยักษ์ระเบิดที่กาฬสินธ์ หลังรายงานเสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บเกือบ 10 ราย

(28 ต.ค. 67) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า จากกรณีพลุยักษ์ระเบิดในงานฉลองบุญกฐิน ที่บ้านเก่าน้อย หมู่ 3 ต.เจ้าท่า อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์
เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา จากรายงานพบมีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บเกือบ 10 ราย นอกเหนือจากการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่แล้ว การฟื้นฟูสภาพจิตใจของญาติพี่น้องที่สูญเสียคนในครอบครัว ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุพลุยักษ์ระเบิดเป็นภารกิจที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญ

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นห่วงและสั่งการ นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต ( Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team : MCATT)จังหวัดกาฬสินธ์และอำเภอกมลาไสย โดยมีการแบ่งเป็น 5 ทีมไปดูแลปฐมพยาบาลทางจิตใจ ณ จุดบัญชาการ ณ วัดบ้านเก่าน้อยโนนรัง ต.ท่าใหม่ อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เยี่ยมบ้านผู้เสียชีวิต และเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม มีผู้เข้ารับบริการรวมทั้งสิ้น 65 คน ดูแลด้านร่างกาย 16 คน ดูแลด้านจิตใจ 33 คนและวางแผนด้านจิตใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทีม mcatt 3 หน่วยของกรมจิต (ศูนย์/รพจ/ส.เด็ก) เตรียมสแตนบายสนับสนุนหากมีการร้องขอจากจังหวัดต่อไป

ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต หรือ MCATT คือทีมสหวิชาชีพที่ให้การช่วยเหลือทางด้านจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาลจิตเวช เภสัชกร นักจิตวิทยา นักสังคมสเงคราะห์ นักวิชาการสาธารณสุข ผู้รับผิดชอบงานสุขภาพจิตและผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ทีม MCATT ในส่วนของกรมสุขภาพจิต และทีมระดับจังหวัดและระดับอำเภอ ซึ่งบุคลากรดังกล่าวจะเข้ามาเป็นองค์ประกอบของทีม ร่วมกันปฐมพยาบาลทางจิตใจ ให้การปรึกษา เสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ การปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม การบำบัดรักษาเพื่อให้เกิดความสมดุลทางด้านจิตใจ สามารถปรับตัวและกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top