Wednesday, 21 May 2025
Hard News Team

สตม. ทลายเครือข่ายต่างด้าวแสบ รวบเรียงตัว 5 ผู้ต้องหา หลอกลงทุน Crypto Currency ซื้ออสังหาฯหวังฟอกเงิน

(29 ต.ค. 67) สืบเนื่องจากเมื่อประมาณปลายปี 2566 มีกลุ่มแก๊งคนต่างด้าว ได้ร่วมกับชาวไทยกลุ่มหนึ่ง หลอกลวง นางสาวมัลลิกา (นามสมมติ) ผู้เสียหาย ให้ลงทุนเทรดหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซี  โดยได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก (Facebook) ใช้ชื่อ ห้องคุยนักลงทุน ซึ่งเปิดเป็นสาธารณะบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ แนะนำการลงทุนในการเทรดหุ้น ซึ่งได้รับผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายจึงเข้าไปพูดคุยและสนใจ เมื่อกลุ่มผู้ต้องหาเห็นว่าผู้เสียหายสนใจ จึงได้ติดต่อมาทาง แอปพลิเคชันไลน์ และหลอกล่อจนกระทั่งผู้เสียหายยอมโอนเงินไปให้หลายครั้ง หลายบัญชี โดยคนร้ายจะมีการพูดหลอกล่อ เช่น ต้องค้างเงินไว้ในพอร์ตเป็นเวลาขั้นต่ำกี่วัน หรือต้องมีการโอนเพิ่มเพื่อให้สามารถทำการเทรดโดยใช้ leverage ได้ เมื่อผู้เสียหายเทรดได้กำไร มีการโอนผลกำไรกลับไปบางส่วน เป็นต้น ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ทั้งนี้ รวมยอดความเสียหายที่ผู้เสียหายโอนเงินไปทั้งสิ้น เป็นจำนวนเงิน 21 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางรัก โดยจากการสอบสวนพบว่าผู้ต้องหาแก๊งนี้มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานตั้งแต่ระดับ สั่งการจนถึงบัญชีม้า ดังนี้ นายมูน ชาวกัมพูชา (ผู้ต้องหาที่ 1) และ นายโก ชาวเมียนมา (ผู้ต้องหาที่ 2) ทำหน้าที่เป็นบัญชีม้า รับโอนเงินต่อกัน โดยได้รับการชักชวนจากนายหน้าชาวเมียนมาอีกทอดหนึ่ง ก่อนจะมีการโอนเงินไปยัง นายวิน นักธุรกิจ ชาวเมียนมา (ผู้ต้องหาที่ 3) ซึ่งเปิดบริษัททำธุรกิจบังหน้าในประเทศไทยอีกทอดหนึ่ง ก่อนที่จะมีการโอนเงินไปให้ นางสาวซาน หญิงชาวเมียนมา (ผู้ต้องหาที่ 4) ที่ทำหน้าที่รับยอดเงินรวม ก่อนจะมีการนำไปรวมกับบัญชีของ นางสาวถ่วย หญิงชาวเมียนมา (ผู้ต้องหาที่ 5) เพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบคอนโดมิเนียมหรูย่านพระราม 9 มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นเงินสด และขายต่อให้บุคคลที่สามชาวเมียนมาทันที พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และร่วมกันนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

ชุดสืบสวน กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้สืบสวนหาข่าวเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 5 รายดังกล่าวเรื่อยมา จนสามารถจับกุม นายโก ชาวเมียนมา ได้ที่บ้านพักส่วนตัว จว.ปทุมธานี จับกุมนายมูน ชาวกัมพูชา ได้ที่โรงงานแห่งหนึ่งใน จว.สระบุรี หลังสืบทราบว่าได้มีการหลบหนีไปสมัครงานที่โรงงานดังกล่าว จับกุมนางสาวซาน หญิงชาวเมียนมา ที่คอนโดมิเนียมหรู ริม ถ.รัชดาภิเษก จับกุมนางสาวถ่วย ชาวเมียนมา ขณะเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยที่ ท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อจะมาจัดการทรัพย์สิน และจับกุมนายวิน นักธุรกิจชาวเมียนมา ขณะเดินอยู่ที่บริเวณริม ถ.ราชดำริ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บางรัก ดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการสอบปากคำนายโก นายมูน และ นางสาวซาน ยังนำไปสู่การออกหมายจับบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาอีกหนึ่งรายหนึ่ง ซึ่งอยู่ในระหว่างสืบสวนจับกุม และจะได้ขยายผลสืบสวนจับกุมต่อไป

‘พิชัย’ จับมือทูตแคนาดา เร่งเครื่องเจรจาเอฟทีเอ อาเซียน-แคนาดา พร้อมนัดถกรัฐมนตรีการค้าแคนาดาช่วงประชุมเอเปคที่เปรู ขยายโอกาสการค้าในตลาดอเมริกาเหนือ

เมื่อวันที่ (28 ต.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการหารือกับนางสาวปิง คิตนีกอน (H.E. Ms. Ping Kitnikone) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย ณ กระทรวงพาณิชย์ ว่าเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันหลังจากที่ได้เข้ารับตำแหน่ง โดยเน้นย้ำความพร้อมของไทยในการทำงานร่วมกับแคนาดาอย่างใกล้ชิด 
เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ระหว่างกัน

นายพิชัย กล่าวว่า ไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนจากแคนาดาที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีศักยภาพ ซึ่งสอดรับกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ด้านพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมต่อยอดความร่วมมือกับแคนดาด้าน AI และ Cybersecurity อีกทั้ง ไทยยังมีศักยภาพเป็นฐานการผลิตในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ มีโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคและระดับโลกได้นอกจากนี้ ไทยยังสามารถขยายโอกาสทางเศรษฐกิจกับแคนาดาเพื่อเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประเทศ G7 ที่แคนาดามีความตกลงการค้าเสรีครบทุกประเทศแล้ว

นายพิชัย เสริมว่า ตนได้ขอบคุณแคนาดาที่มีแผนจะนำคณะนักธุรกิจแคนาดาสาขาต่าง ๆ มายังไทยช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 พร้อมทั้งได้เชิญชวนภาคธุรกิจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าของกระทรวงพาณิชย์ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับภาคเอกชน เช่น งานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX-ANUGA ASIA (27-31 พฤษภาคม 2568) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่ของเอเชีย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างกันด้วย
นายพิชัย กล่าวต่ออีกว่า ไทยและแคนาดาเห็นพ้องที่จะสนับสนุนการเจรจา FTA อาเซียน-แคนาดา ให้เสร็จตามเป้าหมายในปี 2568 ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจทั้งสองประเทศ และขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน สามารถเชื่อมโยงทั้งสองภูมิภาคให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และความตกลงดังกล่าวยังถือเป็น FTA แรกของไทยกับประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ

นอกจากนี้ ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ตนยังได้พบกับนายกรัฐมนตรีแคนาดา (นายจัสติน ทรูโด) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการส่งเสริมการส่งออก การค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจ ของแคนาดา (นาง Mary Ng) และในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเอเปค (APEC Ministerial Meeting: AMM) ครั้งที่ 35 กลางเดือนพฤศจิกายน 2567 ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ที่จะถึงนี้ ตนจะมีโอกาสพบหารือกับ นาง Mary Ng อีกครั้ง เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในเชิงลึกระหว่างไทยและแคนาดาต่อไป

ในปี 2566 แคนาดาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 30 ของไทย โดยการค้ารวมของไทยและแคนาดา มีมูลค่า 2,933.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 10.41 โดยไทยส่งออกไปยังแคนาดามูลค่า 1,903.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 10.07 สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ข้าว เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์  เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน และผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่ไทยนำเข้าจากแคนาดามูลค่า 1,030.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 11.03 สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงข่าว บก.สส.ภ.5 จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางยาบ้า 2,494,000 เม็ด 

(29 ต.ค. 67) เวลา 09.30 น.ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผบ.ตร, พล.ต.อ.ธนา ชูวงค์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ มทภ.3 ได้รับบัญชาและข้อสั่งการนำไปสู่การปฏิบัติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร  ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร, พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง  รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำฯ ช่วยราชการ ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 และพล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35ฝ่ายปกครอง โดย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผวจ.เชียงใหม่สำนักงาน ปปส.ภาค 5 โดย นายธันวา ผุดผ่อง ผู้เชี่ยวชาญฯ รรท.ผอ. สำนักงาน ปปส.ภาค 5 แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ บก.สส.ภ.5 จับกุมผู้ต้องหา 3 คน ยาบ้าประมาณ 2.5 ล้านเม็ด ที่ อาคารหอประชุม ภ.จว.เชียงใหม่ 

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 22.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.ภ.5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 คน คือนายอัครชัย อายุ 27 ปี ภูมิลำเนา อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่, นายภูมิพัฒน์ อายุ 30 ปี ภูมิลำเนา อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ และนายดุสิต อายุ 48 ปี ภูมิลำเนา อ.ดอยเต่า จว.เชียงใหม่พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้าจำนวน 10 กระสอบ รวมประมาณ 2.5 ล้านเม็ด ที่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ตั้งอยู่ที่ถนนเชียงใหม่ - หางดง หมู่ 6 ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ ต่อเนื่อง สวนลำไย พื้นที่หมู่ 6 ต.โปงทุ่ง อ.ดอยเต่า จว.เชียงใหม่

คดีนี้ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.ภ.5 ติดตามพฤติการณ์กลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติด ที่มีช่องทางนำเข้าจากแนวชายแดน ทาง อ.เวียงแหง จว.เชียงใหม่ แล้วลำเลียงมาจุดพักยาเสพติดในพื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.เชียงดาว - อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ และจะมีกลุ่มลักลอบลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ

ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถจักรยานยนต์ PCX สีแดง ขับนำรถยนต์กระบะบรรทุกสิ่งของเต็มหลังกระบะ จากพื้นที่ อ.แม่แตง ผ่าน อ.แม่ริม - อ.เมืองเชียงใหม่ แล้ว วิ่งไปตามถนนสายเชียงใหม่ - หางดง จึงสกัดจับกุมที่บริเวณปั๊มน้ำมัน เขต ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ โดยมี นายภูมิพัฒน์ฯ ขับรถจักรยานยนต์ PCX สีแดง นำทาง และนายอัครชัยฯ ขับรถยนต์บรรทุกพบ ยาบ้าประมาณ 2.5 ล้านเม็ด บรรทุกอยู่บริเวณหลังรถ และต่อมาได้ขยายผลไปจับกุมนายดุสิตฯ ซึ่งเป็นคนว่าจ้าง/ติดต่อกลุ่มลำเลียงยาเสพติดที่บริเวณสวนลำไย พื้นที่หมู่ 6 ต.โปงทุ่ง อ.ดอยเต่า จว.เชียงใหม่ มาดำเนินคดีตามกฎหมาย จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลหาเครือข่ายและตรวจยึดอายัดทรัพย์สินมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘หมอยง’ เปิดเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ในวงวิจัย วารสารวิชาการเรียกเก็บค่าตีพิมพ์แพงเว่อร์

(29 ต.ค. 67) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง ‘กับดัก ผลงานทางวิชาการของมหาวิทยาลัย กับสำนักพิมพ์’ ว่า

ค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัย เพิ่มขึ้นแบบ exponentialกว่า 60% ของผลงานวิจัยที่เผยแพร่ในระดับนานาชาติ จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายที่เรียกว่า Article Processing Charge (APC) ชื่อเรียกนี้เพราะมาก ไม่ยอมเรียกว่าค่าตีพิมพ์ 

สำนักพิมพ์เกือบทุกแห่ง คิดว่า APC และจะออกมาในรูปของ open access หรือเปิดเผยเป็นสาธารณะมากขึ้น ให้เข้าไปอ่านได้ โดยไม่ต้องเสียสตางค์

สำนักพิมพ์ได้วัสดุ หรือผลงาน มาฟรีๆ ให้ผู้อ่านทบทวน หรือที่เราเรียกว่า reviewer ก็ฟรี มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจัดการ และระบบการเผยแพร่บนอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทสำนักพิมพ์ในปัจจุบันนี้จึงมีกำไร อย่างมาก เป็นบริษัทที่มีอัตรากำไรมหาศาล บางบริษัทกำไร 30 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า

ค่าตีพิมพ์ที่ใช้อยู่ขณะนี้ มีค่าเฉลี่ยที่สูงมาก บางวารสารค่าตีพิมพ์เป็นแสน โดยเฉพาะวารสารที่อยู่ใน q1 หรือ T1 ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องการ 

การจัดอันดับ Ranking ของมหาวิทยาลัย จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็นภาคเอกชนเป็นคนจัดการ ซึ่งจะเกี่ยวโยงกันกับการตีพิมพ์ หรืออาจจะเรียกว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน

ผมลองคิดคร่าวๆ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่ผลงานระดับงานนานาชาติ ประมาณ 3,000 เรื่องต่อปี 60% ต้องเสียค่าตีพิมพ์ ถ้าคิดค่าเฉลี่ยเรื่องละ 50,000 บาท ก็ประมาณเกือบร้อยล้านบาท แต่ความจริงน่าจะมากกว่านี้มาก น่าทำการศึกษาวิจัยแล้ว รวมทั้งประเทศจะเป็นเท่าไหร่

ที่ศูนย์ผม เผยแพร่ผลงานวิจัยในปีที่แล้ว 2003 จำนวน 42 เรื่อง บางเรื่องมีผู้ร่วมวิจัยอื่นจ่าย ที่ศูนย์ต้องจ่าย เพียงแค่ 18 เรื่อง เฉลี่ยเรื่องละ 80,000 บาท รวมจ่ายไปทั้งสิ้นประมาณ 1.5 ล้านบาท แต่สามารถเบิกมหาวิทยาลัยได้ 150,000 บาท ที่เหลืออีก ล้าน 3 กว่า ผมต้องหาเงินมาจ่าย การขอแหล่งทุนเมื่อเป็นผู้อาวุโสแล้ว ก็จะขอยากขึ้น และเงินจำนวนนี้เป็นเงินจำนวนที่ค่อนข้างมาก ถ้าเอาไปทำวิจัยก็จะได้ผลงานเพิ่มขึ้น 

จะเล่าในตอนต่อไปว่ามหาวิทยาลัยติดกับดักอย่างไร

KResearch คาด ส่งออกปีนี้ซบเซาต่อเนื่อง ลุ้น!! ‘อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์’ เป็นพระเอกขี่ม้าขาว

(29 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ หรือ ‘KResearch’ ได้สรุปสภาวะการส่งออกของประเทศไทย ดังต่อไปนี้

การส่งออกไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าช่วง 9 เดือนก่อนหน้า เนื่องจาก

1.ปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศที่ยังคงอยู่ ประกอบกับแรงกดดันจากแนวโน้มอุปสงค์โลกที่ชะลอตัวโดยเฉพาะในตลาดจีน โดยดัชนีภาคการผลิต (Manufacturing PMI) และดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออก (New export order) ของโลกอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือน (รูปที่ 2) นอกจากนี้ การส่งออกเกาหลีใต้ 20 วันแรกของเดือน ต.ค. หดตัว -2.9%YoY ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2024 แม้การส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ยังขยายตัวดี

2.นโยบายกีดกันการค้ากับจีน โดยสงครามการค้าอาจรุนแรงขึ้นหากสงครามการค้ารอบใหม่เกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ฯ ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2024 อาจได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการทางการค้าจะยกระดับขึ้นในปี 2025 แต่อัตราการขยายตัวการส่งออกไปสหรัฐฯ คงไม่เพิ่มขึ้นจากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 ซึ่งอยู่ที่ 12.5%YoY มากนัก เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตชะลอลงและสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการภาพรวมการส่งออกไทยในปี 2024 อยู่ที่ 2.5% โดยในไตรมาสที่ 4/2024 คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวชะลอลงตามอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว 

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์อุทกภัยหากมีความยืดเยื้อหรือผลกระทบเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ภาคกลางและใต้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตและการส่งออกสินค้าเกษตรมากขึ้น อย่างไรก็ดี การส่งออกไทยมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ดีกว่าคาด หากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ หากพิจารณาการนำเข้าสินค้าของไทยในเดือน ก.ย. 2024 พบว่า ขยายตัวสูงสวนทางการส่งออกที่ 9.9%YoY จากการนำเข้าทองคำที่ขยายตัวถึง 910.8%YoY ประกอบกับการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย ส่งผลให้มีการนำเข้าเครื่องจักรและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากจีนขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมถึงการนำเข้าสินค้าอุปโภคและบริโภคจากจีนก็สูงขึ้นเช่นกัน อาทิ ของตกแต่งบ้านและเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าภาพรวมดุลการค้าไทย (ตามฐานศุลกากร) ในปี 2024 จะยังติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

สตม. รวบอดีตทหารรับจ้างรัสเซียส่งข้อความขู่ฆ่าคู่อริ ยึดแม็กกาซีนและเครื่องกระสุนปืนหลายขนาดนับร้อยนัด

กก.สส.บก.ตม.1 จับกุม MR. MILO (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติรัสเซีย พร้อมด้วยของกลาง ซองกระสุนปืนพกขนาด .380 จำนวน 1 ซอง พร้อมกระสุนบรรจุ จำนวน 2 นัด, กระสุนปืนขนาด .380 ยี่ห้อบุลเล็ท มาสเตอร์ จำนวน 50 นัด, กระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 42 นัด, กระสุนปืนขนาด .45 มม. จำนวน 16 นัด โดยกล่าวหาว่า มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม คอนโดมิเนียมในพื้นที่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจาก กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับแจ้งจากประชาชนผู้ไม่ประสงค์ออกนามว่าถูกชายชาวรัสเซียซึ่งพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมในพื้นที่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ใช้ภาพอาวุธปืนและส่งข้อความข่มขู่ว่าจะยิง ทีละคนจนกว่าเขาจะตาย และจะสาดเลือดหมูใส่ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนจับกุม จากการสืบสวนพบว่าชายชาวรัสเซียคนดังกล่าวคือ MR. MILO (นามสมมติ) พักอาศัยอยู่ที่ห้อง 128 กก.สส.บก.ตม.1 จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญาเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ MR.MILO และพบของกลาง ซุกซ่อนอยู่ภายในกล่องสีเทาข้างตู้เสื้อผ้า โดย MR.MILO ให้การว่าอดีตเคยเป็นทหารรับจ้างของประเทศรัสเซีย ซองกระสุนและเครื่องกระสุนของกลางทั้งหมดไม่ใช่ของตนเอง เป็นของเพื่อนคนไทยจำชื่อไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว  

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สตม. รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตาน้ำข้าว หนีคดีข้ามชาติ ก่อความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท กบดานพัทยา OVER STAY 

กก.สส.บก.ตม.3 ได้รับแจ้งข้อมูลว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติสวีเดน ซึ่งกระทำผิดฐานฉ้อโกง ในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินไทย กว่า 50,000,000 บาท ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ออกสืบสวนหาข่าว โดยขณะที่ชุดจับกุมได้ไปตรวจสอบที่บริเวณหน้าอาคารชุดในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี ได้พบคนต่างด้าวลักษณะมีพิรุธอยู่บริเวณหน้าอาคารชุด จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง 

จากการตรวจสอบพบ MR.JOHN (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี สัญชาติสวีเดน การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด (OVER STAY) จากนั้นได้ไปตรวจสอบที่ห้องพักของ MR.JOHN พบ MR.VLADIS (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดน เมื่อตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด (OVER STAY) เช่นเดียวกัน จึงได้จับกุมในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย

อนึ่ง จากการประสานงานตรวจสอบกับทางการสวีเดน รับแจ้งว่า ทั้ง MR.JOHN และ MR.VLADIS มีประวัติกระทำความผิดอาญาในประเทศสวีเดน ในความผิดฐานฉ้อโกง ในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มูลค่าความเสียหาย กว่า 50,000,000 บาท

นราธิวาส-รองผู้ว่าฯ นราธิวาส ปล่อยแถว กำลัง 3 ฝ่าย เฝ้าระวัง เขตเศรษฐกิจ พื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก ย้ำไม่ประมาท สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน

ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส มอบหมายให้นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย นายอนิรุทร บัวอ่อน นายอำเภอสุไหงโก-ลก ผู้แทน กอ.รมน.จังหวัดนราธิวาส ลงพื้นที่ปล่อยแถวกำลังร่วม 3 ฝ่ายเฝ้าระวังเมือง กวาดล้าง อาชญกรรมและสิ่งผิดกฎหมาย พร้อมเยี่ยมจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่เขตสุไหงโก-ลก ประกอบด้วย จุดตรวจบือแรง อยู่ในความรับผิดชอบของ สภ. สุไหงโกลก จุดตรวจด่านน้ำตก และเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลปาเสมัส ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก

นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ มาให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ ทั้ง 3 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง พร้อมมาเน้นย้ำเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่ประมาท รอบคอบ เข้มแข็ง เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยให้ความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนทั้งนี้อำเภอสุไหงโกลก ถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดนราธิวาส เป็นเมืองการค้าชายแดน ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่ เป็นจำนวนมาก การให้ความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะ สถานที่ที่เป็นแหล่งชุมชน เป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ บ้านพักส่วนราชการสำคัญ ต้องเพิ่มความเข้มข้น เอาใจใส่ในการตรวจตรารักษาความปลอดภัย ประกอบกับ ในห้วงนี้ เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง และอำเภอสุไหงโกลกมีพื้นที่ติดกับอำเภอตากใบ จึงอยากฝากผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ตลอดจน พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันดูแลพื้นที่ เป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส และหากพบสิ่งของ วัตถุ บุคคลต้องสงสัย ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ในทันที เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างสูงสุด

โอกาสนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสได้มอบสิ่งของบริโภคให้แก่ กองกำลังฝ่ายความมั่นคง 3 ฝ่ายที่ทำหน้าที่ประจำจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชน

กองทัพเรือ โดย หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ส่งมอบพื้นที่ชุมชนตลาดสายลมจอย อ.แม่สาย เชียงราย หลังฟื้นฟูเรียบร้อย

เมื่อวันที่ (27 ต.ค.67) กองทัพเรือ โดยหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โดยมี นาวาเอก สกล กลิ่นคำหอม รองผู้บังคับการกรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นหัวหน้าชุด และนาวาโท ศิวชัย ใจสุทธิ์ ผู้บังคับกองพันขนส่ง กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รองหัวหน้าชุดฯ ทำพิธีส่งมอบพื้นที่ชุมชนตลาดสายลมจอย ให้กับเทศบาลตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 

โดยมี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการส่งมอบ ในวันนี้

‘สุริยะ’ ยันโครงการ ‘รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน’ เป็นประโยชน์ต่อประเทศ เตรียมชงแก้สัญญาเข้า ครม.

(29 ต.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน แบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ว่า ยังไม่มีการนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้าหรือสัปดาห์ถัดไป 

แต่ยืนยันว่าการแก้ไขสัญญาโครงการดังกล่าวเป็นเรื่องที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้เจรจากับภาคเอกชน โดยเอกชนได้รับผลกระทบจากโควิด อยากให้รัฐบาลแก้ไขเยียวยา ซึ่งมีข้อเสนอมา 6 ข้อ แต่คณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาเห็นว่ามีเพียงข้อเดียวที่จะรับได้คือ เรื่องต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น เนื่องจากมีผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน   

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ส่วนข้อเรียกร้องประเด็นค่าก่อสร้างเพิ่มเติมที่เอกชนขอมานั้น รฟท.ไม่ได้ให้ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับผลกระทบโควิด เรามองว่าเป็นเหตุสุดวิสัย จึงต้องแก้สัญญา โดยได้ดูครบถ้วนทุกประเด็นที่รัฐไม่เสียประโยชน์ ประกอบกับเราอยากให้โครงการนี้เดินต่อ 

หากมีการยกเลิกสัญญาปัญหาจะตามมา รัฐเองต้องยอมรับว่าไม่สามารถส่งพื้นที่ก่อสร้างให้กับเอกชนได้ เอกชนเองที่ต้องจ่ายในส่วนของแอร์พอร์ตลิงก์ให้ก็ไม่ได้จ่าย ทำให้ต้องเจรจากัน อย่างไรก็ตาม เรื่องการเจรจา ตนไม่ใช่ผู้ริเริ่มเจรจา แต่เป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาจาก รฟท. และเข้ามาที่สำนักงานนโยบายและแผนงานและขนส่งจราจร  กระทรวงคมนาคม เป็นผู้กรองเรื่อง ซึ่งเห็นแล้วว่าเป็นประโยชน์ ไม่เสียเปรียบ ตนจึงได้เซ็นเรื่องไป

”โครงการนี้เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ ลดระยะเวลาเดินทางจาก กทม.ไปอู่ตะเภาได้มาก การเดินหน้าโครงการนี้จึงเป็นประโยชน์ ยืนยันการเดินหน้าโครงการนี้รัฐบาลไม่เสียเปรียบเอกชน 100%  เพราะการแก้ไขสัญญาต่าง ๆ มีอัยการเข้ามาช่วยดูแล” นายสุริยะ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการแก้ไขสัญญาเสร็จสิ้นแล้ว โครงการจะแล้วเสร็จเมื่อใด นายสุริยะ กล่าวว่า หากเราไม่รีบเจรจาแก้ไขสัญญา โครงการจะแล้วเสร็จล่าช้ากว่าปี 71 จะมีผลกระทบไปถึงโครงการเมืองการบินที่การยื่นเงื่อนไขการยื่นประมูลมีเรื่องของรถไฟเชื่อม 3 สนามบินเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งหากล่าช้ากว่าปี 71 อาจจะถูกฟ้องร้องจากเอกชน เราพยายามจะทำให้เสร็จตามกรอบเวลาดังกล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top