Tuesday, 20 May 2025
Hard News Team

‘เอกนัฏ’ เอาจริง ลั่น!! ปราบโรงงาน ‘เถื่อน-ผิดกฎหมาย’ ย้ำ!! เร่งบริหารจัดการ กากอุตสาหกรรม อย่างเป็นรูปธรรม

(2 พ.ย. 67) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) ได้สั่งการให้ลงพื้นที่บริษัท ที แอนด์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกั ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นายอำเภอศรีมหาโพธิ์ เข้าร่วมตรวจสอบ ซึ่งประชาชนในพื้นที่ืได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม โดยบริษัทประกอบกิจการทำเชื้อเพลิงทดแทน สกัดโลหะมีค่าจากน้ำยาชุปโลหะ อบกากตะกอนที่มีโลหะมีค่า บดย่อยชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นำกรดและด่างที่ใช้แล้วมาผ่านกรรมวิธีทางอุตสาหกรรมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ทำเชื้อเพลิงผสม ซ่อมและล้างบรรจุภัณฑ์ หลอมหล่อทองแดงจากกากตะกอนของเสียที่มีทองแดงเป็นส่วนประกอบ คัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย 

กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้มีคำสั่งปิดโรงงานของบริษัทและเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวแล้ว ซึ่งทางโรงงานได้ฝ่าฝืนคำสั่งและยังคงประกอบกิจการอยู่ จึงได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดปราจีนบุรีเข้าตรวจสอบภายในโรงงาน ผลการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมวิศวกรชาวจีนผู้ดูแลโรงงานดำเนินคดี 1 ราย และคนงานต่างด้าว 4 ราย รวมทั้งพบความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1) ข้อหาตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต 2) ข้อหาประกอบกิจโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต 3) ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งปิดโรงงาน 

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสิ่งของที่ยึดและอายัดไว้ในทุกอาคาร พบว่ามีการสูญหายและมีการเคลื่อนย้ายสิ่งของออกไปนอกพื้นที่ จึงได้ดำเนินการเอาผิดเพิ่มเติม ดังนี้ 1) ความผิดข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานตามมาตรา 56 พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 2) ความผิดข้อหาทำลายหรือเคลื่อนย้ายของกลางที่ยึดอายัดตามมาตรา 141 และมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายอาญา 3) เจ้าหน้าที่ดำเนินการนำตัวอย่างวัตถุดิบหรือสิ่งของต่าง ๆ ภายในอาคารมาทดสอบ พบเป็นวัตถุอันตรายและไม่มีใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 และเป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจจับได้ทันทีเป็นเหตุให้จับวิศวกรชาวจีนดำเนินคดี และดำเนินคดีกับกรรมการบริษัทและผู้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดอย่างถึงที่สุด

รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้เน้นย้ำตามนโยบาย การปฏิรูปอุตสาหกรรม การจัดการกาก สารพิษ ที่ทำร้ายชีวิตประชาชน โดยปรับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ เพื่อคืนน้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ให้ประชาชน โดยการแก้ไขกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน การเพิ่มโทษอาญา เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนโดยรอบ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้อยู่ระหว่างดำเนินการร่าง พรบ.ว่าด้วยการจัดการกากอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่อยกระดับการจัดการกับผู้กระทำผิดต่อไป หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีฯ ฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

กระบวนท่าใหม่!! ..พรรคบ้านในป่า ออกจากมุม..ประดาบ จันทร์ส่องหล้า

(2 พ.ย. 67) มหากาพย์ดิ ไอคอน  ทำให้พรรคบ้านในป่า..พลังประชารัฐเอียงกะเท่เร่หวิดมอดม้วยมรณา...ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่สิงสถิตของเทวดา...

พรรคพปชร.นั้นเหมือนถูกต้อนเข้ามุม ส.สามารถลาออกยังไม่พอ..ยังออกจากมุมไม่ได้ กระทั่งต้องใช้กระบวนท่าของพล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรค ออกมาตอบโต้ปล่อยชื่ออักษรย่อนักการเมือง ม.ม้า สองคนและพูดโยงใยไปถึงกลุ่มสามมิตร อักษรย่อส.และอักษรต่างๆ

แม้จะเป็นลีลาแบบเก่าๆ แต่ต้องยอมรับ..ได้ผล  เพราะตั้งแต่โฆษกพรรค รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยต้องพล่านเรียงหน้ากันมาตอบโต้ชี้แจง...และบางคนถึงขั้นขู่จะฟ้อง ‘บิ๊กต๊ะ’

งานนี้ ‘บิ๊กต๊ะ’ อดีตผบช.ภ.5 ที่ดูแลภาคเหนือตอนบน..ผลงานเข้าตากรรมการ  ทำให้พรรคพปชร.ออกจากมุมอับของมหากาพย์ดิ ไอคอนได้...ในจังหวะเดียวกันกับที่ฝ่ายวิชาการ-เศรษฐกิจของพรรคเปิดแนวรบแนวรุกในบริบทของตนได้อย่างน่าชื่นชม...

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพื้นที่ทับซ้อน-ไทยกัมพูชา ที่อ.ธีรชัย  ภูวนารถนรานุบาล -มล.กรกสิวัฒน์  เกษมศรีและสส.ของพรรคบุกสภาแถลงข่าวเรียกร้องให้ยกเลิก MOU2544 ไทย-กัมพูชา ที่มีขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ  ชินวัตร...

ในขณะที่ดร.อุตมะ สาวนายน อดีตขุนคลัง กับคณะออกมากระโดดขวางรัฐบาลเพื่อไทยจะส่งคนการเมืองอย่าง ‘โต้ง’ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ..

ทั้งสองกรณีสร้างแรงสั่นสะท้านให้บ้านจันทร์ส่องหล้าทั้งโดยอ้อมและโดยตรง..

บทบาททำนองนี้ของพปชร. บวกกับความคมชัดในการคัดค้านการนิรโทษกรรมความผิดมาตรา 112  ทำให้พรรคพปชร.ในส่วนที่เป็นฝ่ายค้านหรือปีกลุงป้อม..ดูดีมีราคา สวนทางกับเสียงปรามาสที่ว่า..หมดท่าหมดราคา...สมัยหน้าไม่มีคนดีๆหรือมือทำงานอีกแล้ว..

นี่ก็แว่วว่า..ลุงป้อมกำลังมียาบำรุงกำลังสองขวดใหญ่..เมื่อพี่ชายของวราเทพ  รัตนากร คือ ‘สุนทร รัตนากร’ ชิงลาออกจากนายกอบจ.กำแพงเพชร เพื่อลงสมัครใหม่ เช่นเดียวกับ อัครเดช  ทองใจสด   นายกอบจ.6สมัยของเพชรบูรณ์..ที่อยู่ในกลุ่มของสันติ  พร้อมพัฒน์   

เชื่อขนมกินได้ว่า..ทั้งสองบ้านใหญ่จะได้เป็นนายกอบจ.อีกครั้ง.. เป็นหน้าเป็นตาเสริมบารมีให้กับลุงป้อมและพรรคพปชร.เกิด”ใจบันดาลแรง”กันโดยทั่วถ้วน...

มีรายงานข่าวระบุด้วยว่า  นอกเหนือจะสร้างผลงานประเด็นเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองแล้ว  เปิดสภาสมัยหน้าพรรคพปชร.จะร่วมวงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจสร้างชื่อให้กับพรรคครั้งสำคัญ..

รวมความแล้ว...การสรุปว่าพปชร.กำลังป้อแป้เหมือนท่าเดิน”ลุงป้อม”และฟันธงว่าลุงป้อมเป็นยาหมดอายุ เป็นตะเกียงไร้น้ำมันแล้วนั้นจะต้องคิดใหม่...

ประเมินกันว่า อนาคตอาจจะมี ‘บิ๊กเนม’ บางคนบินออกไปซบบ้านใหญ่บุรีรัมย์ และบ้านจันทร์ส่องหล้า..แต่ยังจะมีแก่นแกนของพรรคและลุงป้อมอยู่ที่บ้านในป่า...ตรึงแนวรบพปชร.ในสมรภูมิการเมืองต่อไป!!  

‘China Airlines’ เจอพายุ ลงจอดไม่ได้ บินวน เปลี่ยนเส้นทาง ผู้โดยสารชั้นธุรกิจ!! โกรธจัด ลั่น!! ให้พนักงาน ‘คุกเข่าขอโทษ’

เมื่อวานนี้ (1 พ.ย. 67) ที่ไต้หวัน China Airlines เที่ยวบิน CI782 โฮจิมินห์ซิตี้ ประเทศเวียดนาม เที่ยวบินเวลา 11.00 น. กำหนดถึงสนามบินเถาหยวนเวลา 15.15 น. เนื่องจากพายุ กองเร็ยขึ้นฝั่ง เครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้ บินวน 3 รอบ ก่อนเปลี่ยนเส้นทางลงจอดสนามบินเกาสง 31.10.2024

หลังเครื่องลงจอด เกาสง ผู้โดยสารชั้นธุรกิจโกรธจัดให้พนักงานภาคพื้นคุกเข่าขอโทษ และให้อธิบาย ผู้โดยสารชายชั้นธุรกิจที่โกรธแสดงพฤติกรรมและท่าทางในลักษณะวางมือบนเอว จ้องไปที่พนักงาน คลิปถูกบันทึกจากผู้โดยสารท่านอื่น และแชร์บนโซเซียล 

หลังคลิปเผยแพร่ชาวเน็ตเดือด แสดงความเห็นจำนวนมากอาทิ เรียกร้องให้สายการบินออกมาปกป้องพนักงาน ปกป้องศักดิ์ศรี ,และบอกพนักงานไม่ผิดอย่าคุกเข่าจะทำให้ผู้โดยสารนิสัยเสีย คนอื่นๆทำตาม , ผู้โดยสารชั้นธุรกิจไม่ใช่พระเจ้า , รู้ทั้งรู้ว่ามีพายุไต้ฝุ่น พนักงานผิดอะไร…? , ทั้งพนักงานสายการบิน และพนักงานภาคพื้นต่างทำงานหนักช่วงพายุ เขาไม่ผิด ทำไมต้องให้คุกเข่า แค่ทำงานก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว

‘บีโอไอ’ เคาะลงทุน!! Data Center 6 หมื่นล้าน พร้อมขยายมาตรการ!! กระตุ้นลงทุน เร่งฟื้นเศรษฐกิจ

(2 พ.ย. 67) บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวลงทุน Data Center 2 โครงการใหญ่ ของบริษัทในเครือ Google และ GDS มูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท และอนุมัติบริษัท เฉิงยี่ เทคโนโลยี ผู้ผลิตวัตถุดิบสำคัญ PCB อันดับ 2 ของโลก ลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย และต่ออายุมาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงปี 2568  

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วยบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ในเครือ Google มูลค่าลงทุน 32,760 ล้านบาท และบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ในเครือ GDS มูลค่าลงทุน 28,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการ Data Center ของบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง ในเครือ Alphabet Inc. (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google เป็นการลงทุนตามแผนธุรกิจที่ Google ได้ประกาศระหว่างการพบนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ว่าจะสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเป็นศูนย์ Data Center แห่งที่ 5 ในเอเชียของ Google ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2570 

ส่วนโครงการ Data Center ของบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส ในเครือ GDS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำระดับโลก ที่ให้บริการทั้งในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการใหม่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในปี 2569

ทั้งสองโครงการจะเป็น Data Center ขนาดใหญ่ระดับ Hyperscale ที่มีขีดความสามารถในการประมวลผลสูง และสามารถรองรับการขยายตัวของการใช้บริการ Cloud Services ทั้งจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอัตราการใช้บริการออนไลน์และการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลในสัดส่วนที่สูง รวมทั้งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G, Cloud Computing, Internet of Things (IoT) และ AI เพื่อต่อยอดธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร รวมทั้งไทยยังสามารถเป็นฐานในการให้บริการ Data Center แก่ประเทศอื่น ๆ เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

“กระแสการลงทุนในกิจการ Data Center ในประเทศไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ของบริษัทระดับโลกทั้งสองโครงการนี้ เป็นการตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ รองรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลของทั้งภาคธุรกิจและองค์กรภาครัฐ อีกทั้งยังช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Digital Innovation Hub ของภูมิภาคอาเซียนด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโครงการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 47 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 173,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่ทั้งสัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้อนุมัติให้การส่งเสริมลงทุนโครงการผลิตวัตถุดิบตั้งต้นสำคัญของแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) อย่าง Prepreg และ Copper Clad Laminate (CCL) มูลค่าลงทุน 6,150 ล้านบาท ของบริษัท เฉิงยี่ เทคโนโลยี โดยเป็นผู้ผลิตอันดับ 2 ของโลก ซึ่งตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม PCB ในประเทศไทย โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ผลิต PCB รายใหญ่ เช่น KCE, APEX, MFLEX เป็นต้น การลงทุนของเฉิงยี่ เป็นข้อต่อสำคัญในการสร้างซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PCB ที่กำลังจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย โดยโครงการนี้จะตั้งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะมีการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 200 คน 

นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ ยังได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและสนับสนุนให้ฟื้นฟูธุรกิจได้โดยเร็ว โดยจะยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรที่นำเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย รวมถึงอนุญาตให้ตัดบัญชีเครื่องจักรและวัตถุดิบที่ได้รับความเสียหายหรือสูญหายจากน้ำท่วม โดยไม่มีภาระภาษีอากร โดยต้องยื่นเอกสารเข้ามาที่บีโอไอภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ออกประกาศ หรือหากเป็นกรณีประสบอุทกภัยหลังวันที่ออกประกาศ ให้ยื่นเอกสารภายใน 6 เดือน นับจากวันที่สิ้นสุดสถานการณ์อุทกภัย

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้ขยายระยะเวลาและปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุน 4 มาตรการสำคัญที่จะสิ้นสุดในปี 2567 ได้แก่ มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม (Retention and Expansion Program) มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร (Relocation Program) มาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยให้ขยายเวลาทั้ง 4 มาตรการถึงสิ้นปี 2568 และได้ปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนจริงขั้นต่ำจาก 1,000 เป็น 2,000 ล้านบาท เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย

ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การรับรอง ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาส ตรวจเยี่ยมหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด

(2 พ.ย. 67) พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือและคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด  (นปก.) อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เพื่อบำรุงขวัญ และตรวจการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลกองทัพเรือ ให้มีความพร้อมอยู่เสมอ โดยมี พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และนาวาโท รัฐวิชญ์ โชติสุริยกาญจน์ ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด พร้อมด้วยกำลังพลหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด ร่วมให้การรับรอง ผู้บัญชาการทหารเรือ เน้นย้ำว่า ให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยทหารเรือได้ดูแลอธิปไตยของชาติทางทะเล ด้านตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่เกาะกูด มาตั้งแต่อดีต และเมื่อไทยประกาศไหล่ไหล่ทวีป เมื่อปี พ.ศ. 2516 กองทัพเรือ ก็ได้ดูแลมาอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ปรากฎปัญหาในพื่นที่ ส่งผลให้ประชาชน ดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างปกติสุข

สำหรับหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด (นปก.) เป็นหน่วยเฉพาะกิจของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ที่ขึ้นการควบคุมทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด มีที่ตั้งหน่วยบนเกาะกูด อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด โดยกองทัพเรือจัดตั้งหน่วยตรวจการณ์พิเศษที่ 1 บนเกาะกูด เมื่อปีพุทธศักราช 2521 ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2529 กองทัพเรือ ได้อนุมัติเปลี่ยนชื่อจากหน่วยตรวจการณ์พิเศษที่ 1 เป็นหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด จนถึงปัจจุบัน และในปีพุทธศักราช 2534 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อนุมัติให้ กรมรักษาฝั่งที่ 1 เป็นหน่วยรับผิดชอบในการจัดกำลัง

ภารกิจ หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด ได้แก่ การป้องกันการคุกคามทางทะเล และทางอากาศ คุ้มครองเรือประมงไทย สนับสนุนการปฏิบัติการของเรือและกำลังทางบก ปฏิบัติการจิตวิทยา และประชาสัมพันธ์กับส่วนราชการ และราษฎรในพื้นที่เพื่อความสัมพันธ์อันดีและง่ายในการประสานการปฏิบัติงานร่วมกัน

นิราช นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

2 พฤศจิกายน พ.ศ 2498 ในหลวง ร. 9 พร้อมสมเด็จพระพันปีหลวง เสด็จฯ เยือน จ.นครราชสีมา เป็นครั้งเเรก

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎร และทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ณ จังหวัดนครราชสีมา เป็นครั้งแรก ในระว่างวันที่ 2 - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 

โดยทรงเสด็จด้วยขบวนรถไฟพระที่นั่งจากสถานีรถไฟจิตรลดา เเละมาถึงสถานีเมืองนครราชสีมา วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ในเวลา 14.48 น. ซึ่งมีราษฎรเฝ้ารับเสด็จไม่น้อยกว่า 50,000 คน จากนั้นจึงเสด็จดำเนินเยี่ยมราษฎร และทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ในพื้นที่ต่างๆของจังหวัดนครราชสีมา จนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498  

'อินโดนีเซีย' สั่งแบนสมาร์ทโฟน 'Google Pixel' เหตุไม่ใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศอย่างน้อย 40%

(1 พ.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อินโดนีเซีย ได้สั่งห้ามจำหน่าย 'Google Pixel’ สมาร์ทโฟนที่ผลิตโดยบริษัทกูเกิล ที่เป็นบริษัทลูกของอัลฟาเบต เนื่องจากตามระเบียบแล้วกำหนดให้สมาร์ทโฟนจะต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศอินโดนีเซีย โดยก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน อินโดนีเซียก็เพิ่งสั่งห้ามจำหน่าย 'iPhone 16' ของบริษัทแอปเปิล ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้

อินโดนีเซีย ห้ามจำหน่ายโทรศัพท์ 'Google Pixel’ เนื่องจากทางบริษัทไม่ได้ทำตามระเบียบที่กำหนดให้สมาร์ทโฟนที่จำหน่ายในอินโดนีเซียจะต้องใช้ส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศอินโดนีเซียอย่างน้อยร้อยละ 40

โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย กล่าวว่า รัฐบาลผลักดันระเบียบนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่นักลงทุนทุกคนในอินโดนีเซีย ซึ่งผลิตภัณฑ์ของกูเกิลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ดังนั้น จึงไม่สามารถจำหน่ายในอินโดนีเซียได้

อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคสามารถซื้อ 'Google Pixel’ ในต่างประเทศได้ หากว่าชำระภาษีอย่างถูกต้อง แต่ว่าทางการกำลังพิจารณาปิดการใช้งานโทรศัพท์ที่จำหน่ายอย่างผิดกฎหมาย 

ในขณะเดียวกันกูเกิล ระบุว่า ในขณะนี้ยังไม่มีการจำหน่ายโทรศัพท์ 'Google Pixel’ ในอินโดนีเซีย อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

อินโดนีเซีย สั่งแบนโทรศัพท์ 'Google Pixel’  หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ก่อน อินโดนีเซียสั่งปิดกั้นการจำหน่ายโทรศัพท์ 'iPhone 16' ภายในประเทศมาแล้ว เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามระเบียบเรื่องชิ้นส่วนประกอบของโทรศัพท์ที่ต้องมีส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศ

โพลเผยคนอเมริกันกังขา กว่าครึ่งมองประเทศตัวเอง 'ประชาธิปไตยไม่จริง'

เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส เผยแพร่ผลสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 20-23 ต.ค. จำนวน 2,516 คน ซึ่งพบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เชื่อมั่นความสามารถของรัฐบาลในการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

รายงานระบุว่าผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 45 มองว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ล้มเหลวจะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และร้อยละ 62 มองว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ทำเพื่อประโยชน์ของตนเองและชนชั้นนำเป็นหลัก โดยความคับข้องหมองใจนี้รวมกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ความแตกแยกทางการเมือง และปัญหาสังคมเรื้อรัง ฉุดความเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตยสหรัฐฯ

นอกจากนั้นผลสำรวจนี้ยังตอกย้ำความแตกแยกทางการเมืองที่ชัดเจน โดยร้อยละ 60 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งกล่าวโทษโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าทำให้ความแตกแยกทางการเมืองเลวร้ายกว่าเดิม ขณะร้อยละ 37 ชี้ความผิดไปที่กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

แรนดัล พาร์ เกษตรกรวัยเกษียณคนหนึ่ง เผยว่าไม่ใช่พรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกัน แต่เป็นพวกชนชั้นนำในรัฐบาลวอชิงตันที่กำกับควบคุมทุกอย่างและมองข้ามความต้องการของประชาชน

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนผิดหวังกับการนิ่งเฉยของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดยซาราห์ วอชิงตัน พนักงานชั่วคราวคนหนึ่ง เผยว่าเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนบ่อยครั้ง แต่ยังคงไม่มีการทำงานแก้ไขปัญหานี้ ได้แต่พูดถึงและปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจราวหนึ่งในสามกังวลว่าปัญหาของสหรัฐฯ อาจร้ายแรงมากจนถึงขั้นประเทศชาติล้มเหลว ขณะร้อยละ 58 มองว่าต้องปฏิรูประบบการเงินและการเมืองของประเทศครั้งใหญ่หรือไม่ก็ยกเครื่องใหม่ทั้งหมด

Starbucks โตสดใสในจีน ทั้งปีเปิดสาขาใหม่แล้ว 790 แห่ง เจาะตลาดระดับอำเภอ สะท้อนนอกเมืองใหญ่กำลังซื้อสูง

เมื่อวานนี้ (31 ต.ค.67) สตาร์บัคส์ (Starbucks) เผยแพร่รายงานงบการเงินประจำปีที่ระบุว่าสตาร์บัคส์สร้างสถิติเปิดร้านสาขาใหม่รวม 790 แห่ง และเข้าสู่ตลาดระดับอำเภอใหม่ 166 แห่ง บนแผ่นดินใหญ่ของจีนในปีงบการเงินที่สิ้นสุดวันที่ 29 ก.ย. 2024 แม้ยอดจำหน่ายของร้านสาขาที่เปรียบเทียบได้ทั่วโลกลดลง

ยอดจำหน่ายของร้านสาขาที่เปรียบเทียบได้ทั่วโลกของสตาร์บัคส์ในไตรมาสสี่ของปีงบการเงินข้างต้นลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเป็นผลจากธุรกรรมที่เปรียบเทียบได้ลดลงร้อยละ 8 โดยยอดจำหน่ายของร้านสาขาที่เปรียบเทียบได้ในตลาดจีนลดลงร้อยละ 14 ซึ่งเป็นผลจากยอดซื้อเฉลี่ยต่อใบเสร็จลดลงร้อยละ 8 และธุรกรรมที่เปรียบเทียบได้ลดลงร้อยละ 6

แม้ยอดจำหน่ายของร้านสาขามีแนวโน้มลดลง แต่สตาร์บัคส์เพิ่มร้านสาขาใหม่บนแผ่นดินใหญ่ของจีนในไตรมาสสี่ 290 แห่ง ซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 40 ของร้านสาขาเปิดใหม่ทั่วโลก 722 แห่ง โดยตัวเลขนี้ทำให้จำนวนร้านสาขาบนแผ่นดินใหญ่ของจีนรวมอยู่ที่ 7,596 แห่ง ครอบคลุมตลาดระดับอำเภอราวหนึ่งในสามของทั้งหมดในจีน

ทั้งนี้ จำนวนร้านสาขาในสหรัฐฯ และจีนคิดเป็นร้อยละ 61 ของร้านสาขาสตาร์บัคส์ทั่วโลก เมื่อนับถึงสิ้นไตรมาสสี่

จูตานเผิง นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมอาหาร กล่าวว่าตลาดระดับอำเภอกลายเป็น 'น่านน้ำสีน้ำเงิน' (blue ocean) หรือตลาดที่ยังมีคู่แข่งน้อยสำหรับการบริโภคกาแฟในจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของสตาร์บัคส์สะท้อนความเชื่อมั่นในตลาดกาแฟของจีน

มอลลี หลิว ซีอีโอของสตาร์บัคส์ ไชน่า เน้นย้ำว่าธุรกิจของสตาร์บัคส์ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น โดยสตาร์บัคส์ยังคงมุ่งมั่นดำเนินการพัฒนาระยะยาวในตลาดจีนต่อไป

‘ลุงจรูญ’ ยังไว้ใจ ‘ทนายตั้ม’ ทำคดีต่อ ชี้ เป็นปัญหาส่วนตัวไม่ขอก้าวก่าย

‘ลุงจรูญ’ หวย 30 ล้าน เปิดใจยังไว้ใจ ‘ทนายตั้ม’ ทำคดีฟ้องกลับ ยืนยันไม่เคยถูกเรียกเงินเพิ่มเหมือนอย่างที่หลายคนโจมตี พร้อมไม่ขอก้าวก่ายปัญหาส่วนตัว

หลังจากที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ‘ทนายตั้ม’ กำลังถูกคู่กรณีหลายฝ่ายออกมาให้ข้อมูลเชิงลบ ทั้งเรื่องของการโอนเงิน 71 ล้านบาท จากเจ๊อ้อย รวมถึงถูกอดีตคู่กรณีหลายคน ออกมาแฉพฤติกรรมไม่เหมาะสม

ล่าสุดผู้สื่อข่าว ได้มีโอกาสพูดคุย กับร้อยตำรวจโทจรูญ วิมูล หรือ ‘ลุงจรูญ’ ที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในคดีหวย 30 ล้านกับทนายตั้มมายาวนานกว่า 7 ปี จนชนะคดีไปแล้ว และยังเหลือคดีฟ้องกลับที่ยังมีการฟ้องร้องกันอยู่นั้น

โดยลุงจรูญ กล่าวว่า สำหรับกระแสข่าวที่ทนายตั้มโดนโจมตี อยู่ในขณะนี้ ตนเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับทนายตั้ม ที่เดินทางมาว่าความให้ตนเองเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งทางทนายตั้มก็ยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกเครียดหรือหนักใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตนเองก็ได้แต่สอบถามว่ายังไหวหรือไม่ ซึ่งทนายตั้มก็ยืนยันกับตนเองว่าไม่มีปัญหาอะไร ไม่น่าหนักใจอะไร ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้นตนเองก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายมาก

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการทำคดีหวย 30 ล้าน ซึ่งทนายตั้มเป็นทนายให้กับลุงจรูญมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้กว่า 7 ปีแล้วนั้น ลุงจรูญยืนยันว่า การให้ทนายตั้มมาเป็นทนายให้ มีการพูดคุยตกลงราคากันไว้ตั้งแต่เริ่มแรก โดยไม่ได้มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรอะไร แต่ทนายตั้มก็ไม่ได้มีการเรียกเงินเพิ่ม หรือคิดเงินส่วนต่างใดๆเพิ่มเติมจากที่ตกลงกันไว้ในตอนแรก ซึ่งสำหรับตนเองแล้ว ถือว่าทนายตั้มเป็นคนรักษาสัญญาลูกผู้ชาย และตนเองยังยืนยันว่า ในส่วนของคดีที่จะฟ้องกลับคู่กรณี ในคดีหวย 30 ล้าน ทำคดีให้กับตนเองต่อไป ไม่มีความคิดจะเปลี่ยนแปลงทนายความ อย่างแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top