Tuesday, 20 May 2025
Hard News Team

ทำความรู้จักแลนด์บริดจ์โครงการเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเลไทย ใช้ประโยชน์จากทำเล ลุ้น!! สร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้ภาคใต้

(31 ต.ค. 67) จากข่าววานนี้ที่ทาง นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง วิจารณ์การขึ้นป้ายสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์ นั้น

ในวันนี้ THE STATES TIMES จะพาทุกคนมารู้จักโครงการแลนด์บริดจ์(Land Bridge)กัน สำหรับโครงการนี้มีชื่อเต็มว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

อธิบายอย่างเข้าใจง่ายโครงการนี้จะประกอบไปด้วย 
1.ท่าเรือน้ำลึก 2 ท่าเรือ ตั้งอยู่ฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันอย่างละหนึ่งท่าเรือ เพื่อรับส่งของจากเรือต่าง ๆ
2.ทางรถไฟ มอเตอร์เวย์ เชื่อมระหว่าง 2 ท่าเรือ เพื่อให้การขนส่งสินค้าจากท่าเรือทั้งสองดำเนินการได้โดยง่ายไร้รอยต่อ หรือ Seamless 

โดยเป้าหมายของโครงการนี้คือชิงส่วนแบ่งการตลาดจากท่าเรือแถว ๆ ช่องแคบมะละกาที่มีปริมาณเรือเป็นจำนวนมาก และต้องใช้ระยะเวลาจำนวนหนึ่งในการเดินทางอ้อมช่องแคบมะละกา 

นอกจากโครงสร้างพื้นฐานแล้วสิ่งที่จะเป็นอาวุธสำคัญของโครงการแลนด์บริดจ์ คือ กฎหมาย SEC ที่ใช้โมเดลเดียวกับ EEC เพื่อกระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมหลังอ่าว 

ด้วยอาวุธชิ้นนี้ผู้ที่ดำเนินการโครงการจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ นอกจากนี้เอกชนผู้ที่จะร่วมลงทุนในโครงการนี้จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ เป็นบริษัทเรือเดินทะเล 

ดังนั้นอย่างน้อยที่สุด ลูกค้าที่จะมาจะมาจากบริษัทผู้ร่วมทุนนั้นเอง 

ทุก ๆ ครั้งที่พูดถึงโครงการนี้ จะนึกถึงตัวอย่างหนึ่งตลอดมา คือ เราเป็นคนจนคนหนึ่งแต่โชคดีมีที่ดินติดรถไฟฟ้า บางคนอาจจะอยากขายที่ดินหาเงินใช้ บางคนอาจจะปล่อยเช่า หรือบางคนอาจจะร่วมลงทุนกับผู้ที่สนใจใช้ที่ดินทำประโยชน์ 

โครงการแลนด์บริดจ์ก็ไม่ต่างกันมากนัก คือ การใช้ประโยชน์จากทำเลเพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งหากย้อนไปในประวัติศาสตร์บริเวณปลายด้ามขวานแห่งนี้เคยทรงอิทธิพลในภูมิภาคด้วยความที่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสินค้า วัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก

และครั้งนี้โครงการแลนด์บริดจ์จะนำสถานะนั้นกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป

กทม. ออกข้อบัญญัติ ฝังไมโครชิป หมา-แมว หวังแก้ปัญหาสัตว์จรจัด

เมื่อวานนี้ (30 ต.ค. 67) นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 4) ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยมี สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง

นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. ... ได้รายงานผลการพิจารณาร่างข้อบัญญัติฯ ของคณะกรรมการวิสามัญฯ เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาในวาระที่สองและวาระที่สาม โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ประกาศใช้เป็นข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญฯ ได้ประชุมครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2566 และได้มีการประชุมร่วมกันใช้เวลารวมทั้งสิ้น 20 ครั้ง

หลักการพิจารณานั้น คณะกรรมการวิสามัญฯ พิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. ..... เริ่มจากชื่อร่าง หลักการ เหตุผล คําปรารภ และตัวร่างข้อบัญญัติเรียงตามลำดับจนจบ โดยอาศัยคำชี้แจงของข้าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมการวิสามัญ ผู้เทนอธิบดีกรมปศุสัตว์ ประกอบกับได้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (http://www.law.go.th) และแอปพลิเคชัน Google Forms รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นเป็นหนังสือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ได้ความเห็นว่าสมควรกำหนดเขตควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ เพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชน ป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์และเหตุเดือดร้อนรำคาญในกรุงเทพมหานคร ตลอดจนกำหนดมาตรการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องตราเป็นข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 ประกอบกับมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2538 

นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก.เขตจอมทอง ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ร้านอาหารบางร้านเลี้ยงสุนัขจำนวนมากและมีการถ่ายมูลภายในร้าน จนมีกลิ่นเหม็นและส่งผลกระทบด้านมลภาวะไปถึงเพื่อนบ้าน จนมีการร้องเรียนไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จนต้องร้องเรียนไปถึงสื่อมวลชน ซึ่งการร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมสัตว์เลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ฯ ครั้งนี้ มีข้อกำหนดเพิ่มเติมเรื่องของพื้นที่บ้าน (ตร.วา/ตร.ม.) ต่อการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง 1 ตัว ในแต่ละประเภทสัตว์ และในปัจจุบันมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน หรือมีวิธีแก้ไขปัญหาสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงเกินจำนวนและไม่สามารถดูแลสัตว์ได้ทั่วถึงหรือไม่อย่างไร

ด้านนายณรงค์ รัสมี ส.ก.เขตหนองจอก ตั้งข้อสังเกตว่า การกำหนดพื้นที่(ตร.วา/ตร.ม.) ต่อจำนวนสัตว์เลี้ยงแต่ละประเภทบางครั้งอาจเป็นข้อจำกัดและเป็นการริดรอนสิทธิสัตว์หรือไม่อย่างไร เพราะบางครั้งสัตว์ต้องอยู่เป็นคู่หรือต้องมีการผสมพันธุ์สัตว์

นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานกรรมการวิสามัญฯ ชี้แจงว่า คณะกรรมการวิสามัญชุดนี้ได้พิจารณา มาอย่างถี่ถ้วนผ่านประชาพิจารณ์จากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหลังจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศใช้ ผู้เลี้ยงสัตว์ต้องมีการจดแจ้งจำนวนสัตว์เลี้ยง แต่จะไม่มีบทลงโทษย้อนหลังหากสัตว์ที่เลี้ยงอยู่เดิมเกินจำนวน หลังจากที่ข้อบัญญัติประกาศออกไป แต่จะมีผลหลังจาก ประกาศแล้ว 360 วัน หากฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 หมวดที่ 8 ข้อ 34 และจะมีการใช้ข้อบังคับให้สุนัขและแมวต้องมีการฝังไมโครชิป เพื่อให้ทราบเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ต้องดูแลรับผิดชอบอีกด้วย ซึ่งจะลดและแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้อื่น รวมถึงสำนักอนามัยมีหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการทำหมันสัตว์จรจัดในแต่ละพื้นที่เพื่อลดจำนวนสัตว์จรจัด และในส่วนของสุนัขที่มีความดุร้ายสร้างความเดือดร้อน หน่วยงานของกรุงเทพมหานครจะนำไปไว้ที่ศูนย์ควบคุมและพักพิงสุนัขกรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตประเวศ ส่วนกรณีที่ต้องการเลี้ยงเป็นคู่เพื่อผสมพันธุ์สัตว์หรือประกอบธุรกิจนั้น สามารถขออนุญาตเพิ่มเติมได้ตาม พ.ร.บ. การสาธารณสุข

“ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. ...  ขอขอบคุณสมาชิกสภากรุงเทพมหานครทุกท่าน เมื่อข้อบัญญัติฯ นี้ได้ประกาศใช้ จะสามารถแก้ไขปัญหาสัตว์เลี้ยง สัตว์จรจัด สัตว์ดุร้ายที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญในกรุงเทพมหานครได้ เพื่อทำให้กรุงเทพมหานครมีความปลอดภัยกับประชาชน” นายนภาพล กล่าวทิ้งท้าย 

ทั้งนี้ ร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. ...  คณะกรรมการวิสามัญฯ พิจารณาแล้วมีการแก้ไขในข้อต่างๆ จากข้อบัญญัติเดิมเพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับปัจจุบัน และสภากรุงเทพมหานครมีมติเห็นชอบให้ประกาศใช้ร่างข้อบัญญัติฯ ดังกล่าว และจะส่งให้ฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานครพิจารณาดำเนินการต่อไป

เคาะ!! จัดงาน ‘พรรณไม้งามอร่ามสวนหลวง ร.9’ 1-10 ธ.ค. นี้ เตรียมร่างกาย กล้องถ่ายรูปให้พร้อม

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์สวนหลวง ร.9 ได้แจ้งกำหนดการจัด ‘พรรณไม้งามอร่มสวนหลวง ร.9 ประจำปี 2567’ ระหว่างวันที่ 1-10 ธันวาคม 2567

ภายในงานดังกล่าวจะมีการจัดแสดงพรรณไม้ต่าง ๆ ทั่วทั้งพื้นที่ของสวนหลวง ร.9 รวมไปถึงการแสดงศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจตลอดดทั้ง 10 วัน 

และเพื่อให้การจัดงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยทางสวนหลวง ร.9 จึงได้แจ้งปิดให้บริการระหว่างปิดให้บริการสวนหลวง ร.9 ในวันที่ 15-27 พฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่เวลา 08.00-05.00 น. ของวันรุ่งขึ้นและอนุญาตให้ประชาชนเข้าใช้บริการได้ในเวลา 05.00-08.00 น. 

และปิดให้บริการสวนหลวง ร.9 ในวันที่ 28-30 พฤศจิกายน 2567

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ทางกรุงเทพมหานครมีแผนพัฒนาสวนสาธารณะบึงหนองบอนที่อยู่ติดกันให้สามารถเชื่อมต่อกับสวหลวง ร.9 ได้ โดยจะเป็นพื้นที่สาธารณะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานครด้วยขนาดพื้นที่มากกว่า 1,144 ไร่ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2568

รองผู้ว่าฯ กทม. ยัน ค่าเก็บขยะช่วยเพิ่มการคัดแยกต้นทาง คาด 180 วันเริ่มจัดเก็บ ทำรายรับ กทม. จากขยะพุ่งขึ้น 3 เท่า

เมื่อวานนี้ (30 ต.ค.67) ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 4) ประจำปีพุทธศักราช 2567 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง นายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก.เขตยานนาวา ในฐานะประธานกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ. .... ได้รายงานผลการพิจารณาร่างข้อบัญญัติฯ ของคณะกรรมการวิสามัญฯ ต่อที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร โดยมีนายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ประกาศใช้เป็นข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และจะมีการประกาศใช้ข้อบัญญัติในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังการประชุมว่า เดิมข้อบัญญัติฯ ปี 2562 มีการกำหนดค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ค่าเก็บขยะ) ตามครัวเรือนเดือนละ 80 บาท โดยมองว่ามีค่าธรรมเนียมสูงเกินไป ผู้ว่าฯกทม. จึงให้จัดทำข้อบัญญัติฯ ใหม่ โดยแบ่งการจัดเก็บเป็น 2 แบบ คือ 1.มีการคัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อเดือน 2.ไม่มีการคัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 60 บาทต่อเดือน 

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการปรับปรุงค่าธรรมเนียมให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมมือลดและคัดแยกมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดอย่างจริงจัง และสอดคล้องกับสภาวการณ์และภาระค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน ซึ่งเนื้อหาหลักที่แตกต่างระหว่างปี พ.ศ. 2546 กับปี พ.ศ.2562 คือการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจะนำปริมาณขยะมาประกอบการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ที่ทิ้งขยะจำนวนน้อย ไม่เกิน 20 ลิตรต่อวัน หรือผู้ที่คัดแยกขยะต้นทางจากครัวเรือนได้มากกว่า 

รวมถึงเก็บอัตราค่าธรรมเนียมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีจำนวนขยะมากในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอัตราดังกล่าวยังเป็นการส่งเสริมการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนให้คัดแยกขยะอีกทางด้วย ซึ่งการคาดการณ์รายได้จากการจัดเก็บอัตราค่าธรรมเนียมใหม่จะทำให้กทม.สามารถจัดเก็บรายได้จากผู้ประกอบการรายใหญ่ได้มากขึ้น จากเดิม 166 ล้านบาท เป็น 664 ล้านบาท ซึ่งหัวใจของการจัดเก็บอัตราใหม่นี้ คือจะเก็บเงินกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีขยะสู่เมืองในอัตราที่สูงขึ้น และหากใครมีการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางก็จะได้ลดอัตราค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง โดยร่างข้อบัญญัตินี้ต้องการสร้างจิตสำนึกของประชาชนอย่างต่อเนื่องและสร้างความตื่นตัวให้กับเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครในการให้บริการประชาชน

สำหรับสาระสำคัญอัตราค่าธรรมเนียมที่ปรับปรุงใหม่ แบ่งเป็นค่าเก็บและขนสิ่งปฏิกูลต่อครั้ง คิดอัตราลูกบาศก์เมตรละ 300 บาท ส่วนอัตราค่าเก็บและขนมูลฝอยทั่วไป แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ปริมาณไม่เกิน 20 ลิตรต่อวัน ค่าเก็บและขน เดือนละ 30 บาท ค่ากำจัด 30 บาท รวม 60 บาท (เดิม 20 บาท) กลุ่มที่ 2 เกิน 20 ลิตรต่อวัน แต่ไม่เกิน 500 ลิตรต่อวัน (เดิม 40 บาท/20 ลิตร) และเกิน 500 ลิตรต่อวันแต่ไม่เกิน 1 ลบ.ม. ต่อวัน (เดิม 2,000 บาท) ค่าเก็บและขน 60 บาท/20 ลิตร ค่ากำจัด 60 บาท/20 ลิตร รวม 120 บาท/20 ลิตร กลุ่มที่ 3 เกิน 1 ลบ.ม.ต่อวัน (เดิม 2,000 บาท/1 ลบ.ม.) ค่าเก็บและขน 3,250 บาท/1 ลบ.ม. ค่ากำจัด 4,750 บาท/1 ลบ.ม. รวม 8,000 บาท/1 ลบ.ม.

ปีที่ผ่านมากรุงเทพมหานครยังไม่มีการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าว แต่กรุงเทพทหานครมีโครงการ 'ไม่เทรวม' ซึ่งสามารถลดขยะได้มากกว่า 10% จากความร่วมมือของประชาชน ดังนั้นหากเริ่มการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าว คาดการณ์ว่าจะสามารถลดขยะของกรุงเทพมหานครได้ปริมาณมหาศาลและสร้างรายได้ให้กับกรุงเทพมหานครจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมอีกทางด้วย

หลังจากนี้ กทม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบให้มากที่สุด คาดว่าข้อบัญญัติฯ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน ทั้งนี้ในกรุงเทพฯ มีบ้านเรือนประชากรกว่า 2 ล้านหลังคาเรือน ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นมีประชาชนคัดแยกขยะประมาณ 50,000 ครัวเรือน โดยเบื้องต้นจะมีการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน และที่ฝ่ายรักษาความสะอาดฯ ทั้ง 50 สำนักงานเขต โดยหลังจากลงทะเบียนแล้วเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริงหรือไม่ และเก็บค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อเดือน ตามเดิม

รายการตีสิบประกาศยุติบทบาทบนจอแก้ว หลังสร้างความบันเทิงให้ชาวไทยกว่า 40 ปี

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ตีสิบเดย์ At Ten Day’ ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า

40 ปี ที่โลดแล่น แดนโทรทัศน์
วิทวัจน์ ขอเกษียณ หยุดสรวลเส
หยุดรายการ 27 ปี ตีสิบเดย์
จึงขอเซย์ กู๊ดบาย ปลาย พอ.ยอ.
#ตีสิบเดย์ เทปสุดท้าย 30 พ.ย. 67
#ไม่ไปต่อ #ไม่มีดราม่าอะไรนะจ๊ะ

เช็กรายละเอียดรับส่วนลดจากโครงการ ‘แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง’ ที่นี่ รับส่วนลด 400 บาทหมื่นสิทธิ์ จาก ททท. หนุนกอบกู้ภาคเหนือ

(31 ต.ค. 67) ททท. จัดแคมเปญ 'แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง' เริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้ มอบส่วนลด 50% รวมไม่เกิน 400 บาท 10,000 สิทธิ์ แบบ First Come First Served ลงทะเบียนก่อนรับสิทธิ์ก่อน ณ โรงแรมในโครงการที่นักท่องเที่ยวเข้าพัก

แคมเปญแอ่วเหนือ...คนละครึ่ง กิจกรรมภายใต้ โครงการเหนือพร้อม…เที่ยว เป็นแคมเปญกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวระยะเร่งด่วนในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567 เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวภาคเหนือ ภายหลังสถานการณ์อุทกภัย มุ่งสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวภาคเหนือ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและกระจายรายได้จากการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้าย ปี 2567 คาดว่าจะสร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 44.34 ล้านบาท

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 550 ราย มอบส่วนลด 50% ของการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รวมมูลค่าไม่เกิน 400 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ ให้แก่นักท่องเที่ยว (1 คน/1 สิทธิ์) 

โดยผู้ที่ลงทะเบียนก่อนได้รับสิทธิ์ก่อน (First Come First Served) นักท่องเที่ยวสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ ณ โรงแรมที่เข้าพักที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด โดยสแกน QR Code และกรอกข้อมูล ชื่อ-สกุล ภูมิลำเนา เบอร์โทรศัพท์ เพื่อรับ SMS ยืนยันการเข้าร่วม (ไม่สามารถจองสิทธิ์ล่วงหน้าได้) 

สำหรับการใช้สิทธิ์ส่วนลด นักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิ์ เมื่อใช้จ่ายกับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ โรงแรม/ที่พัก ร้านอาหาร สปา ผ่านการสแกน QR code ณ สถานประกอบการที่ต้องการใช้สิทธิ์ จากนั้นกรอกเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียน และยอดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้สามารถใช้สิทธิ์ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในวงเงินไม่เกิน 400 บาท แต่จะต้องไม่ซ้ำกับสถานประกอบการเดิมที่เคยใช้สิทธิ์ส่วนลดไปแล้ว และจำกัดระยะเวลาการใช้สิทธิ์ภายใน 3 วัน (72 ชั่วโมง) นับจากเวลาที่ได้รับ SMS ยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญ

สำหรับสถานประกอบการที่เข้าร่วมแคมเปญแอ่วเหนือ...คนละครึ่ง 554 แห่ง แบ่งสัดส่วนออกเป็น โรงแรมที่พัก 59% (326 แห่ง) ร้านอาหาร/ร้านคาเฟ่ 29% (160 แห่ง) ร้านของฝากของที่ระลึก 7% (38 แห่ง) และอื่นๆ อาทิ แหล่งท่องเที่ยวชุมชน สปา 5% (30 แห่ง) ทั้งนี้ เนื่องจากสิทธิ์ส่วนลดมีจำนวนจำกัด ททท. จึงขอสงวนสิทธิ์ดำเนินการในรูปแบบลงทะเบียนก่อนรับสิทธิ์ก่อน (First Come First Served) 

โดยนักท่องเที่ยวสามารถเริ่มลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ ณ โรงแรมที่เข้าพักที่ร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หรือเมื่อครบจำนวนการใช้สิทธิ์ นักท่องเที่ยวสามารถดูรายละเอียดแคมเปญ สิทธิ์คงเหลือ และรายชื่อสถานประกอบการที่เข้าร่วมแคมเปญได้ที่เว็บไซต์ https://www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center โทร. 1672

‘ต่อตระกูล ยมนาค’ ชม ‘พีระพันธุ์’ เปาะ นัก กม. สู้คดีโฮปเวลล์ สู่ภารกิจพลังงาน

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตัวอย่างนักกฎหมายที่ดี เขาทำประโยชน์ให้ชาติ เป็นหมื่นล้าน ไม่เรียกร้องเปอร์เซ็นต์

ไม่เหมือน นักกฎหมายชื่อดัง ๆในหน้าข่าวทุกวันนี้ เรียกเงิน ทีละเป็นสิบล้าน 10 %ของจำนวนเงิน 100 ล้านที่จะเรียกคืนจากสามี ให้บริการแค่ให้คำปรึกษาสั้น ๆ ทางโทรศัพท์และเจอตัวกันแค่ 3 ครั้ง อ่านแล้วเศร้าใจ

ส่วน พีระพันธุ์ นักกฎหมายเพื่อประชาชนตัวจริง ต่อสู้ ค่าโง่โฮป เวลล์ ที่คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินแล้ว สั่งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินค่าเสียหาย25,000 ล้านบาท จนชนะความ รัฐบาลไทยไม่ต้องจ่ายสักบาทเดียว

ผมได้เคยเจอนั่งคุยกับคุณพีระพันธุ์ ในงานสวดครั้งหนึ่งที่วัดธาตุทอง ช่วงนั้น คุณพีระพันธุ์ อดีตสส. ปชป. 7 สมัย ว่างงาน ปชป.ไม่ได้เป็นรัฐบาล ผมรู้ได้จากการพูดคุยว่า คุณพีระพันธุ์ เป็นคนที่ลงมือค้นหาข้อมูลมาต่อสู้เรื่องทาง กฎหมายต่าง ๆ ด้วยตัวเองทุก ๆ เรื่อง และเป็นคนที่คิดแต่จะให้ พอรู้ว่าผมเป็นวิศวกร ก็เลยขอปรึกษาเรื่องการสร้างศาลา ใหม่มอบให้วัดธาตุทอง

ซึ่งคุณพีระพันธุ์ ได้ออกแบบเองไม่เหมือนศาลาสวดศพทั่วไป บอกว่าจะใช้โครงสร้างเหล็กจะได้เสร็จเร็ว เสียดายที่งานได้เริ่มไปแล้ว ถ้าผมรู้เร็วกว่านี้ ผมจะแนะให้สร้างง่าย ๆ ด้วยโครงสร้างคอนกรีตธรรมดานี่แหละ ช่างที่ทำตามวัดเขาจะสร้างได้ชำนาญกว่า และผมจะร่วมทำบุญ ดูแลงานก่อสร้างให้ด้วย ตอนนี้ผ่านมากว่า 4 ปี ศาลาก็ยังไม่เสร็จ

มาถึงวันนี้ คุณพีระพันธุ์ มาเป็น รมต.พลังงาน ในรัฐบาลปัจจุบัน ตำแหน่งที่มีโอกาสหาเงินได้ ไม่ต้องเรียกก็จะมีบริษัทพลังงานต่าง ๆ ยินดีมามอบเงินให้เป็น 100 เป็น 1,000 ล้านสบาย ๆ 

แต่คุณพีระพันธุ์ กลับเลือกที่จะอยู่ข้างประชาชน ประกาศจะลดค่าน้ำมัน ให้ได้อย่างถาวร เลิกอ้างอิงต้นทุนจากราคาของสิงคโปร์ แล้วร่างระเบียบ กฎหมายใหม่ให้เป็นธรรมขึ้น

ผมจึงติดตามอยู่ ว่าจะคุณพีระพันธุ์ จะทำได้แค่ไหน เมื่อได้เห็นจดหมายรายงานการทำงานครบ 1 ปี ในเว็บไซต์ของคุณพีระพันธุ์ ได้อ่านแล้วรู้สึกดีใจ ว่าประเทศไทยยังมีนักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถและเป็นคนดีอยู่บ้าง

ทำความรู้จัก ‘มหาสมุทรซีฟู้ด’ สะพานเชื่อมผู้บริโภค-ชาวประมง

(31 ต.ค. 67) วัตถุดิบจากท้องถิ่นของไทยโดยเฉพาะอาหารการกิน กุ้ง หอย ปู ปลา จากน้ำในแผ่นดินนี้ล้วนแต่มีรสชาติเยี่ยมไม่แพ้ใครอย่างแน่นอน 

นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์หนึ่งในวงการอาหารที่น่าสนใจ คือ นักทำอาหารชาวไทย รวมถึงชาวประมง ได้มีการพัฒนาทักษะขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะทักษะการถนอมอาหารแบบญี่ปุ่น โดยเฉพาะ ‘การทำอิเคะจิเมะ’ ทำให้เกิดเป็นเทรนด์ซาซิมิปลาไทยขึ้นอย่างแพร่หลาย 

กรรมวิธีเหล่านี้ทำให้มูลค่าของผลิตภัณฑ์จากท้องทะเลเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากเทรนด์ของซาซิมิปลาไทยแล้ว วันนี้ THE STATES TIMES ขอนำเสนอหน้าร้านแห่งนึงที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างพี่น้องชาวประมงกับผู้บริโภค 

ในร้านที่มีชื่อว่า ‘มหาสมุทรซีฟู้ด’ หรือ Mahasamutfoods

โดยร้านแห่งนี้ปัจจุบันมี 3 สาขา ได้แก่ Gourmet Market Siam Paragon ชั้น G (โซนซีฟู้ด), โซนงาน Gourmet Tastival, Gourmet Market, Siam Paragon (ติดกับโซนสลัดบาร์), Gourmet Market The Mall ท่าพระ ชั้น B1 (หน้าร้าน You Hunt We Cook)

สำหรับผลิตภัณฑ์เด่นที่ทาง ‘มหาสมุทร’ ได้คัดเลือกมาส่งถึงมือของผู้บริโภค จะประกอบไปด้วย ปลากะพง 3 น้ำ จากสงขลา, ปูดำ จากนครศรีธรรมราช, หอยนางรม จากสุราษฎร์ธานี

ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ล้วนได้รับการรับรอง GI หรือ ‘สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์’ เป็นเครื่องหมายประดับคุณภาพของอาหารจากท้องถิ่น 

โดยเฉพาะปลากะพง 3 น้ำ ที่ทาง THE STATES TIMES ได้เคยลงบทความที่เล่าถึงที่มาที่ไปอย่างละเอียดของการเพิ่มมูลค่าของ ‘อาหารทะเลไทย’ สามารถติดตามได้ที่(https://today.line.me/th/v2/article/PGPOvW5)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตาม ‘มหาสมุทรซีฟู้ด’ ได้ที่ https://www.facebook.com/profile.php?id=61563070555114&locale=th_TH

เช็ก 3 กลุ่ม รัฐบาลเร่งให้สัญชาติไทย ตามมติ ครม. 29 ต.ค. 67

(31 ต.ค. 67) THE STATES TIMES เปิดเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้สัญชาติไทย 483,000 คน ดังนี้ 

ครม.เห็นชอบตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนออนุมัติหลักเกณฑ์ เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะของกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย แบ่งเป็น 

>>>ซึ่งจากการสำรวจตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จนถึง 2542 มีกลุ่มผู้อพยพเข้ามาเป็นเวลานานประมาณ 120,000 คน 

>>>และเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ซึ่งมีการสำรวจตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2554 มีประมาณ 215,000 คน 

>>>กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของชนกลุ่มน้อย 29,000 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของบุคคลที่ไม่มีสถานะตามทะเบียนประมาณ 113,000 คน รวมทั้งหมดประมาณ 483,000 คน

โดยการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันนี้เป็นการลดขั้นตอนมอบสัญชาติให้กับบุคคลเหล่านี้ ที่ต้องใช้ระยะเวลาถึง 44 ปี ปัจจุบันการให้สัญชาติไทยกับบุคคลข้างต้นจะเป็นการยกเลิกขั้นตอนต่าง ๆ จำนวนมาก โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ข้อสังเกต 2-3 ข้อ หากให้สัญชาติไทยกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน จะเกิดผลกระทบใดตามมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่ สมช.เสนอ และส่งให้กระทรวงมหาดไทยประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันไม่เกิน 60 วัน

น้ำมันพืชเตรียมพาเหรดขึ้นราคา น้ำมันปาล์มพรวด 10 บาท พาณิชย์ เด้งรับ งัดมาตรการงดส่งออกเพิ่มสต๊อกปาล์มในประเทศ

(31 ต.ค. 67) นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันกำลังยังไม่ค่อยคึกคัก เนื่องจากคนมีรายได้เท่าเดิมและเริ่มใช้จ่ายประหยัดขึ้น ทำให้สินค้าที่เป็นของกินของใช้ในครัวเรือน เช่น กะปิ น้ำปลา ที่ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ และราคาไม่เกิน 10-20 บาท จะขายดี ส่วนความเคลื่อนไหวของราคาสินค้า ล่าสุดมีน้ำมันปาล์มขวดปรับราคาขายขึ้นอีก 10 บาทต่อขวดลิตร จากเดิมขายอยู่ที่ 40 กว่าบาท เป็น 50 กว่าบาทต่อขวดลิตร ซึ่งไม่ทราบสาเหตุเกิดจากอะไรถึงทำให้ราคาปรับขึ้นแรง

นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด จ.อุดรธานี กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง จะปรับราคาขายขึ้นอีก 1-2 บาทต่อขวด ภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เข้าใจว่าน่าจะเป็นผลมาจากน้ำมันปาล์มปรับราคาขายขึ้น จึงต้องขึ้นตาม

ทางสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมัน ว่า ขณะนี้ผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดน้อยลง ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าไปดูแลให้เกิดความสมดุล เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาดี และผู้บริโภคไม่ต้องบริโภคน้ำมันปาล์มขวดแพงเกินไป โดยได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปพิจารณามาตรการดูแลปาล์มน้ำมัน โดยในระยะสั้น ไม่ให้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อให้มีสต็อกเพียงพอ และดูแลราคาน้ำมันปาล์มขวดให้เหมาะสม หรือหากจำเป็น ก็ปรับลดการใช้น้ำมันปาล์มในไบโอดีเซลลงมา เพื่อให้เหลือบริโภคมากขึ้น

นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า  ช่วงนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย เนื่องจากเจอภัยแล้ง และโรคระบาดก่อนหน้านี้ ทำให้ผลผลิตเข้าสู่ตลาดลดลง โดยราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 8-9 บาท ซึ่งเป็นผลดีต่อเกษตรกร แต่ก็ต้องดูแลฝั่งผู้บริโภคในส่วนของน้ำมันปาล์มขวด ไม่ให้ราคาสูงเกินไป ซึ่งนายวิทยากร มณีเนตร ผู้ตรวจราชการ กระทรวงพาณิชย์ และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ จึงได้มีการหารือร่วมกับสมาคมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม และสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม  ถึงแนวทางการบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งความต้องการบริโภค และการใช้ในภาคพลังงาน

โดยพบว่า ขณะนี้ปริมาณมีเพียงพอต่อความต้องการ สต็อกเกินกว่า 2 แสนตัน และทางสมาคมฯ ยังยืนยันที่จะไม่ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบในช่วงนี้ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่ ม.ค.2568 เป็นต้นไป

ขณะเดียวกัน ได้หารือร่วมกับห้างค้าส่งค้าปลีก และห้างท้องถิ่น ถึงสถานการณ์สินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะน้ำมันพืชบรรจุขวด โดยกรมขอความร่วมมือผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวดชะลอการปรับราคาออกไปให้นานที่สุด และขอความร่วมมือห้างค้าส่ง/ค้าปลีก จำหน่ายน้ำมันปาล์มบรรจุขวดให้อยู่ในระดับราคาที่ไม่เป็นภาระต่อประชาชน โดยห้างยินดีให้ความร่วมมือในการตรึงราคาน้ำมันพืช พร้อมจัดโปรโมชันเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง

นายกรนิจ กล่าวว่า  ส่วนราคาน้ำมันปาล์มขวด ขณะนี้จำหน่ายในราคาตั้งแต่ 43-48 บาทต่อขวด แล้วแต่สต็อกเก่าใหม่ ซึ่งกรมได้หารือกับห้างค้าปลีกค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า และห้างท้องถิ่น เพื่อขอความร่วมมือให้ตรึงราคาจำหน่ายให้นานที่สุด และขอความร่วมมือให้จัดโปรโมชันลดราคาน้ำมันปาล์มขวดต่อเนื่อง รวมทั้งหากจะมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายจากราคาเดิม ให้แจ้งมายังกรมด้วย และกรณีที่สั่งน้ำมันปาล์มขวดจากผู้ผลิต และได้รับสินค้าช้า หรือมีสินค้าไม่เพียงพอ ก็ให้รีบแจ้งมายังกรม เพื่อที่จะเข้าไปดูแลต่อไป

ทั้งนี้กรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจะติดตามสถานการณ์น้ำมันพืช ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง หากพบผู้ประกอบการดำเนินการใดๆ โดยจงใจที่จะทำให้ราคาสูงเกินสมควร หรือทำให้ปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการใด จะดำเนินการตามกฎหมายต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยประชาชนสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือทางแอปพลิเคชัน[email protected] และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top