Tuesday, 20 May 2025
Hard News Team

‘นิด้าโพล’ เผย!! ปชช. ยังเชื่อมั่นใน ‘ทนายความจิตอาสา’ ชี้!! ยังมีอยู่จริงแท้ แค่ไม่มากเท่าไร ยังคงไว้ใจได้อยู่

(3 พ.ย. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ทนายความจิตอาสาจริง ๆ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อทนายความ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการมีอยู่จริงของทนายความจิตอาสาที่ช่วยเหลือประชาชนด้วยใจ ไม่สนใจผลประโยชน์หรือการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.44 ระบุว่า มีจริง แต่ไม่มากเท่าไร รองลงมา ร้อยละ 26.56 ระบุว่า ไม่มั่นใจว่ามีจริง ร้อยละ 16.88 ระบุว่า ไม่มีจริง และร้อยละ 4.12 ระบุว่า มีจริง จำนวนมาก

ด้านบุคคลหรือหน่วยงานที่ประชาชนไว้ใจในการขอความช่วยเหลือหากไม่มั่นใจในความยุติธรรมจากคดีความที่ฟ้องร้องผู้อื่นหรือถูกผู้อื่นฟ้องร้อง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.06 ระบุว่า ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย รองลงมา ร้อยละ 21.83 ระบุว่า ชมรม สมาคม มูลนิธิ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง ร้อยละ 19.16 ระบุว่า สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด ร้อยละ 13.44 ระบุว่า ไม่ไว้ใจใครเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า ทนายอาสาจากสภาทนายความ ร้อยละ 11.37 ระบุว่า ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 ร้อยละ 9.01 ระบุว่า ทนายทั่วไป ร้อยละ 8.17 ระบุว่า ทนายอาสาจากเนติบัณฑิตยสภา ร้อยละ 6.87 ระบุว่า ทนายที่มีชื่อเสียง ร้อยละ 1.60 ระบุว่า นักการเมือง และร้อยละ 4.96 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความไว้วางใจของประชาชนต่อความช่วยเหลือที่จะได้รับจากการใช้บริการหรือขอคำปรึกษาจากทนายความ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.06 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ รองลงมา ร้อยละ 36.11 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 12.52 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย ร้อยละ 8.78 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.64 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.90 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.46 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.89 สมรส และร้อยละ 2.67 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 0.53 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 18.02 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 36.18 จบการศึกษามัธยมศึกษา หรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.47 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 30.99 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.81 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี

ตัวอย่าง ร้อยละ 10.92 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.56 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 20.46 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.21 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.34 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.85 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 4.66 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 20.00 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 4.96 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 13.66 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 30.53 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 12.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.66 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 2.90 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.99 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.38 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 0.69 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.09 ไม่ระบุรายได้

LINE ประกาศ!! เวอร์ชั่นมือถือรุ่นต่ำกว่าที่กำหนด จะใช้งานไม่ได้ หากไม่อัปเดต!! เป็นเวลานาน อาจไม่สามารถเรียกคืนข้อมูล

(3 พ.ย. 67) ไลน์ (LINE) ประเทศไทย ประกาศแจ้งเตือน ผู้ใช้งานมือถือระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชัน 13.7.0 และ Android เวอร์ชัน 6.0.1 หรือ เวอร์ชันก่อนหน้า จะไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน LINE ได้ ตั้งแต่เดือนพ.ย.2567 เป็นต้นไป

LINE ระบุว่า การรองรับแอปพลิเคชันดังกล่าว บนสมาร์ทโฟนเวอร์ชั่นก่อนหน้า 12.18.0 จะสิ้นสุดลง ในช่วงเดือนพ.ย.2567 ซึ่งหมายความว่า หากผู้ใช้ยังคงใช้ LINE เวอร์ชันเก่าอยู่ จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการใช้งาน LINE ต่อไป จำเป็นต้องอัปเดตระบบปฏิบัติการมือถือ เป็น iOS เวอร์ชัน 14.0 และ Android เวอร์ชัน 7.0.0 ขึ้นไป จึงจะสามารถอัปเดตแอปพลิเคชัน LINE เป็นเวอร์ชัน 12.18.0 หรือสูงกว่าได้

นอกจากนี้ หากไม่อัปเดตแอปพลิเคชัน LINE เป็นเวลานาน อาจเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถเรียกคืนข้อมูลต่าง ๆ เช่น ประวัติการแชทได้

‘Anish Sarkar’ ผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ปัจจุบัน ฝึกซ้อมอยู่ที่ Academy มีอยู่ 1,555 คะแนน

(3 พ.ย. 67) เจ้าหนู Anish Sarkar นับเป็นผู้เล่นที่ได้รับการจัดอันดับที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยวัย 3 ปี 8 เดือน

Anish เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2021 และทำคะแนนได้ 5.5/8 ในการแข่งขัน West Bengal State Under-9 Open ในเดือนตุลาคม โดยจบการแข่งขันในอันดับที่ 24 ทำคะแนนได้ 2/3 ในการแข่งขันกับผู้เล่นที่ได้รับการจัดอันดับในงานนี้ ซึ่งถือเป็นการแข่งขันระดับคลาสสิกครั้งแรกของเจ้าหนู

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจ้าหนูได้แข่งขัน West Bengal State Under-13 Open ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ยากมากสำหรับเจ้าหนู ที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้เล่นที่ได้รับการจัดอันดับสองคนแต่ไม่ได้คะแนนเลย อย่างไรก็ตาม การแข่งขันก็เป็นไปตามเกณฑ์ เนื่องจากเจ้าหนูต้องเผชิญหน้ากับผู้เล่นที่ได้รับการจัดอันดับทั้งหมดห้าคน

ในรายชื่อการจัดอันดับของ #สหพันธ์หมากรุกสากล #ฟีเด (International Chess Federation หรือ #FIDE) เดือนพฤศจิกายน 2024 เจ้าหนูได้รับการจัดอันดับ 1,555 คะแนน ปัจจุบันกำลังฝึกซ้อมอยู่ที่ Dhanuka Dhunseri Dibyendu Barua Chess Academy

เราขออวยพรให้เด็กน้อยคนนี้ประสบความสำเร็จในอนาคต และเราจะคอยติดตามความคืบหน้าของเขาอย่างใกล้ชิดต่อไป

เชียงใหม่-ททท. ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกาศศักยภาพความพร้อมภาคเหนือจัดงาน "เหนือพร้อม...เที่ยว" 

ททท. ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกาศศักยภาพความพร้อมภาคเหนือ จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” Kick off แคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” ดีเดย์ 1 พ.ย. นี้

(3 พ.ย. 67) เวลา 18.00 น. ศูนย์วัฒนธรรม โอลด์เชียงใหม่  อำเภอเมืองเชียงใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” ประกาศศักยภาพความพร้อม เร่งสร้างความเชื่อมั่น ฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” รับนักท่องเที่ยวช่วง High Season หวังกระตุ้นรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 โดยมีนายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมพิธีเปิดงานและกล่าวแสดงความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมด้วย นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. และคณะผู้ประกอบการจาก 5 ภูมิภาค เข้าร่วมงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบปะแลกเปลี่ยนเจรจาธุรกิจ กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากทั้ง 5 ภูมิภาค 

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่  ทั้งในแง่ของการคมนาคมเดินทางเข้าสู่พื้นที่และความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์ในจังหวัดภาคเหนือได้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว และตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป แหล่งท่องเที่ยวและสถานประกอบการต่าง ๆ ในภาคเหนือพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้กลับมาเดินทางชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่งดงามและทรงคุณค่าของทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงฤดูแห่งการท่องเที่ยวภาคเหนือ ดังนั้นเพื่อสร้างกระแสให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในการเดินทาง ตลอดจนแสดงถึงความพร้อมและศักยภาพของภาคเหนือ ททท. ได้จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” ส่งเสริมให้เกิดการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ๆ สู่ภาคเหนือ 17 จังหวัด 

โดยในวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2567 ททท. ได้นำผู้ประกอบการและสื่อมวลชนจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 200 คน ร่วมอัปเดทสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว และเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือ 17 จังหวัด ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ พร้อมร่วมพิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อความเป็นสิริมงคล ตลอดจนกิจกรรม CSR พร้อมกันนี้ถือเป็นการคิกออฟเปิดตัวแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เพื่อเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสิ้นสุดปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ภูมิภาคภาคเหนือกว่า 22.13 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวกว่า 164,106 ล้านบาท

นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายได้ผนึกความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่และช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2567 โดยได้เตรียมเปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยหลากหลายกิจกรรม เทศกาล งานประเพณีที่มีการผสมผสานทั้งกิจกรรมท่องเที่ยว กีฬา ผลิตภัณฑ์ชุมชน วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น งานประเพณีลอยกระทงยี่เป็งนครเชียงราย กิจกรรม Mae Salong Trail งานมหกรรมดอกไม้อาเซียน งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม งานเคาท์ดาวน์เชียงราย 2025 ฯลฯ ซึ่งจะช่วยสร้างสีสันรับฤดูท่องเที่ยวของภาคเหนือ และสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทาง และการกระจายรายได้หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจภายในจังหวัดได้เป็นอย่างดี
 
นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 50 ปี ของจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นับว่าเป็นรายได้หลักของจังหวัด ภายหลังจากเหตุการณ์คลี่คลายลง จังหวัดเชียงใหม่ได้ระดมกำลังทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ประชาชน และจิตอาสา เร่งฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และในวันนี้จังหวัดเชียงใหม่พร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season ที่กำลังจะมาถึง

 โดยในช่วงปลายปี จังหวัดเชียงใหม่จะมีการจัดกิจกรรม เทศกาล งานประเพณี ที่น่าสนใจ เช่น งานประเพณียี่เป็งเชียงใหม่ มหกรรมดนตรีเชียงใหญ่เฟส เทศกาลงานออกแบบ Chiang Mai Design Week งานวิ่งเมืองไทยเชียงใหม่มาราธอน และงาน Amazing Chiang Mai Countdown 2025 และอีกมากมาย ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ กระตุ้นการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ให้ฟื้นตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” เริ่มต้นวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ททท. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ อาทิ โรงแรม/ที่พัก ร้านกาแฟ ร้านอาหาร กิจกรรม DIY แหล่งท่องเที่ยว ร้านของที่ระลึก มอบส่วนลด 50% ของการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รวมมูลค่าไม่เกิน 400 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ (1 คน/1 สิทธิ์) ให้แก่นักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวสามารถสแกน QR code เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ ณ โรงแรมที่เข้าพักที่ร่วมโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด 

โดยเมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์แล้ว จะได้รับ SMS ยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญ ซึ่งจะมีระยะเวลาการใช้งานสิทธิ์ที่ได้รับภายใน 3 วัน (72 ชั่วโมง) นับจากเวลาที่ได้รับ SMS ยืนยัน ทั้งนี้สำหรับการใช้สิทธิ์ส่วนลด นักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิ์โดยสแกน QR code ณ สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการโดยสังเกตป้ายที่มีโลโก้แอ่วเหนือคนละครึ่ง ทั้งนี้สิทธิ์ในการใช้ส่วนลดมีจำนวนจำกัด ททท. ขอสงวนสิทธิ์ให้กับผู้ที่ลงทะเบียนก่อนจะได้รับสิทธิ์ก่อน (First Come First Served) โดยสามารถเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หรือเมื่อครบจำนวนการใช้สิทธิ์

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดการสมัครเข้าร่วมแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” และตรวจสอบรายชื่อสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ได้ที่เว็บไซต์ www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center โทร. 1672

นภาพร/เชียงใหม่

กองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ นำกำลังพลร่วมบริจาคโลหิต ในกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 71 ปี

น.อ.หญิง นงลักษณ์ สิงหโกวินท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริการสุขภาพ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ให้การต้อนรับ พล.ร.ต.อารยะ สิงหเสมานนท์ ผู้บัญชาการกองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา และกำลังพลในสังกัด จัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา กองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ ครบรอบ 71 ปี 6 พฤศจิกายน 2567

โดยร่วมกันบริจาคโลหิตให้กับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ณ โรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

นิราช ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

กห. ขานรับนโยบายรัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดจังหวัดร้อยเอ็ด นำร่องจังหวัดสีขาว ทั่วประเทศ

(3 พ.ย. 67) พลตรีธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผย ณ วัดบ้านเขวาทุ่ง ตำบลเขวาทุ่ง อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมสั่งการโมเดล การแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด 1 ใน 25 จังหวัด ที่กำหนดเป็นพื้นที่นำร่องจังหวัดสีขาว ทั่วประเทศ 

โดยรัฐบาล ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ถือเป็นวาระแห่งชาติ และขอให้ทุกภาคส่วนมุ่งมั่นดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป พร้อมยกระดับให้เข้มข้นขึ้น ขยายผลการดำเนินงานไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามภูมิภาค โดยมี จังหวัดนำร่อง 10 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ : เชียงใหม่ ภาคกลาง : อุทัยธานี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : สกลนคร นครพนม ภาคตะวันออก : ระยอง ภาคใต้ : นครศรีธรรมราช ตรัง นราธิวาส โดยต้องเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติด หรือ ปัญหายาเสพติดลดลงกว่าร้อยละ 90 การแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดไป โดยทุกหน่วยงานต้องบูรณาการร่วมกันทั้งในการป้องกัน สกัดกั้น และฟื้นฟู รวมถึงต้องมีการพัฒนาเชื่อมระบบข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ 

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบนโยบายจึงได้สั่งการให้เหล่าทัพ ใช้เครื่องมือ ยุทโธปกรณ์ และทรัพยากรที่มีอยู่ในการป้องปราม ป้องกัน สกัดกั้นยาเสพติดแนวพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ตอนในของประเทศ การกวดขันกวาดล้าง ตัดวงจรการค้ายาเสพติด รวมถึงการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีและสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน  ตลอดจนการเตรียมสถานพยาบาลในสังกัดของเหล่าทัพ ในการฟื้นฟู รักษาบำบัดผู้ติดยาเสพติด ทั้งนี้ นรม. ได้มอบหมายให้ รอง นรม./รมว.กห. ร่วมบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มสถานพยาบาล จัดทำโมเดลบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด โครงการธวัชบุรี โมเดล เป็นพื้นที่นำร่องในการบำบัด ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดอย่างครบวงจร ครอบคลุมถึงสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่แข็งแรง รวมถึงการจัดอบรมพัฒนาทักษะสร้างอาชีพ เพื่อให้ผู้เข้ารับการบำบัดได้มีทักษะ ความรู้ สามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงชีพและอยู่ร่วมในสังคมได้

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหม ได้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทั้งด้านการป้องกันและปราบปราม การสกัดกั้น ความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจน การบำบัดรักษามาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมในการบูรณาการร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเข้มงวดจริงจัง ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อให้ยาเสพติดหมดไปจากประเทศไทย

นิราช ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2567 : คนที่อยากเจริญ ต้องอยู่ให้ไกลจาก คนพาล ควรคบค้าแต่ คนดี หรือ บัณฑิต ถือเป็นมงคลชีวิตของคนเรา

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : หลวงพ่อมักจะแนะนําทุกคนให้อธิษฐานว่าให้เจอกัลยาณมิตรที่ดี เป็นเพราะอะไร

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์  (หลวงพ่อโกวิท) : การได้เจอคนดีถือเป็นมงคลข้อที่สอง ต่อจากเว้นคนชั่วในมงคล 38  ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า อยากจะเจริญเรื่องแรกควรเว้นคนชั่ว ก็คือไม่คบคนพาล คนที่ไม่ดีทั้งหลาย

การสังเกตคนพาล ดูได้จากลักษณะง่าย ๆ คนที่คิดก็คิดแต่ชั่ว ๆ พูดก็พูดแต่เรื่องชั่ว ๆ พูดดีไม่เป็น พูดยังไงก็ได้ให้บาดหูคนอื่น กระแทกกระทั้นคนอื่น นี่เป็นคนพาล ทําเรื่องดีไม่เป็น

ยกตัวอย่าง การจอดรถ ไม่เอื้อเฟื้อใครเลย จอดคนเดียวคร่อม 3 ช่อง แบบนี้ก็คือเข้าลักษณะพาล ไม่ใช่คนดี

ส่วนคนดี หรือ พระพุทธเจ้า เรียกว่าบัณฑิตนั้น มักจะคิดอะไรก็จะคิดแต่เรื่องดี ๆ คิดเผื่อคนอื่น เช่นว่า การจอดรถแบบนี้มันคร่อมเลน ก็ขยับไปอีกหน่อย หรือไม่จอดในที่มีป้ายวีลแชร์ของคนพิการแบบนี้เป็นต้น ก็ไม่จอด

สิ่งเหล่านี้ บัณฑิต มักจะคิดได้ แต่คนพาลจะไม่สนใจเอาแค่ความสะดวกสบายส่วนตัวเท่านั้น

3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 ในหลวง รัชกาลที่ 9 และ รัชกาลที่ 10 เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (ในหลวง รัชกาลที่ 10 พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 

สำหรับการจัดตั้งโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ” ซึ่งสร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของทายาท มรว.สุวพรรณ สนิทวงศ์, ธนาคารทหารไทย จำกัด, มูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โดยเสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 โรงพยาบาลก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2530 และเปิดให้บริการประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2530 เพื่อถวายเป็นราชกุศลเนื่องในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ

ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2531 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ทรงประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติอย่างเป็นทางการ โดยในระยะแรกมีเพียง 2 อาคารที่เปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนทั่วไป คือ

1. อาคาร มรว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ เปิดให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอก และสำนักงานต่างๆ

2. อาคารธนาคารทหารไทย เปิดให้บริการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทุกประเภท

ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2533 โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนราชการหนึ่งซึ่งมีฐานะเทียบเท่าสถาน (ภาควิชา) ของคณะแพทยศาสตร์ เช่นเดียวกับสถานวิทยาศาสตร์พรีคลินิก และสถานวิทยาศาสตร์คลินิก โดยมีภารกิจในการให้บริการวิชาการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่ประชาชนโดยทั่วไป และเป็นแหล่งฝึกปฏิบัติภาคคลินิกของคณะแพทยศาสตร์ด้วย

ย้อนรอย ‘จอมขมังเวทย์’ ร่ายอาคม ลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง | THE STATES TIMES Story EP.156

เรื่องเวทมนตร์ ไสยศาสตร์ อาคม ล้วนแต่เป็นความเชื่อที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน แม้ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำสมัยมาก ๆ แล้ว แต่ความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ยังอยู่คู่คนไทยไม่จางหาย

ทั้งนี้ในอดีตประเทศของเรามี ‘กรมแพทยา’ ซึ่งคอยกำกับดูแลผู้ใช้จอมขมังเวทย์ คุณไสย และไต่สวนความผิดอันเนื่องมาจากการใช้เวทมนตร์ คาถา แต่สุดท้ายก็ถูกลดบทบาทและจางหายไปตามกาลเวลา

วันนี้ THE STATES TIMES Story มีเรื่องสนุกๆ เกี่ยวกับเวทมนตร์ คุณไสย และการใช้คุณไสย อาคมในการลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง มีเกล็ดน่าสนใจมากมาย ไปฟังกัน…

“ร้านอาหารครัวดอกไม้ขาว เข้าร่วมงานเปิดตัวยิ่งใหญ่! “MONOPOLY : Bangkok Edition” บอร์ดเกมระดับโลก”

(2 พ.ย. 67) ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 5 Craftstudio จัดงานเปิดตัวของ  MONOPOLY : Bangkok Edition” บอร์ดเกมระดับโลก” โดยงานนี้เป็นความร่วมมือ ผนึกกำลัง ททท. และพันธมิตร สร้าง Global Awareness เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก โดย มีนายธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในพิธี  ร่วมด้วยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล วิลเลจ บริษัท Winning Move ผู้ผลิตเกม MONOPOLY ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Hasbro บริษัทผู้ผลิตเกมและของเล่นชั้นนำระดับโลก และพันธมิตรที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญในเกมส์

​นายธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่ง
ประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น ไม่เพียงสำหรับแฟน ๆ ของเกมกระดาน MONOPOLY เท่านั้น แต่ยังสำหรับทุกคนที่รักประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพมหานคร “การร่วมมือครั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้นำความคลาสสิกของ MONOPOLY มาผสมผสานกับเสน่ห์อันเปี่ยมด้วยสีสันของกรุงเทพมหานครฯ สำหรับ MONOPOLY: Bangkok Edition มีจุดเด่นอยู่ที่การนำเสนอแลนด์มาร์คทางศิลปะและวัฒนธรรม ถนนในเมืองหลวงที่ครึกครื้น โรงแรมหรูที่สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ระบบขนส่ง และอาหารการกิน ที่สะท้อนถึงความเป็นกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง MONOPOLY: Bangkok Edition ยังสามารถเป็นของสะสมและของที่ระลึกที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวทุกท่าได้ย้อนรำลึกถึงการเดินทางมายังประเทศไทย พร้อมกับเพื่อนและครอบครัว” และขอขอบคุณพันธมิตรที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม หรือร้านอาหาร ซึ่งได้มีร้านอาหารครัวดอกไม้ขาวที่ได้มีการคัดเลือกมาอย่างดี

​ทั้งนี้ ร้านอาหารครัวดอกไม้ขาว โดย นางสาวพิมตา วิริยะโรจน์ หรือคุณพิม เจ้าของร้านฯ ได้กล่าวถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า มีความยินดีและปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก  ถือว่าเป็นร้านที่มีสไตล์อาหารแบบไทยดั้งเดิม และสูตรที่พัฒนามากว่า 20 ปี มีลูกค้าให้การยอมรับมาช้านาน ซึ่งการเข้าร่วมเป็นแลนด์มาร์คแห่งหนึ่งในบอร์ดเกมระดับโลกครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และขอเดินหน้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาเที่ยวชมประเทศไทย ทั้งนี้สามารถดูข้อมูลกิจกรรมและข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับร้านดอกไม้ขาวได้ที่ https://whiteflowerbkk.net/en


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top